ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตอนที่ 126 (บทความ) _ ทริปลาวใต้

ทริปลาวใต้
3 มี.ค. 2559

     นี่เป็นการเดินทางไปต่างประเทศเป็นประเทศที่ 2 ในชีวิตเลยนะครับเนี่ย ประเทศแรกที่เคยไปก็คือ พม่า (ไกลจริงๆ) ก็ข้ามตรงด่านแม่สายไปซื้อของนั่นแหละ เพราะฉะนั้นการไปลาว (ไกลอีกละ) ก็ถือว่าเป็นการเดินทางไปต่างประเทศเป็นประเทศที่ 2 ได้นะครับ

     การไปเที่ยวลาวใต้ครั้งนี้ ก็ไปกับทริปของบริษัทอีกครั้งหนึ่ง โดยผมก็พกแฟนไปด้วยเหมือนเดิมครับ ส่วนจะไปเที่ยวที่ไหนของลาวใต้บ้าง เชิญอ่านต่อแบบยาวๆ พร้อมรูป(เกือบ)สวยๆได้เลยครับ

     ณ คืนวันพฤหัสบดีที่ 17 ก.พ. 2559 เวลาประมาณ 19.00 น. ผมลงจากรถรับ-ส่ง ของบริษัทเพื่อเดินเท้ากลับที่พัก แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อผมลวงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายเพื่อจะหยิบกระเป๋าตังค์...เชี่ย ไม่มี ผมลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่ออฟฟิศ ทั้งๆที่ร้อยวันพันปีไม่เคยลืม ดันมาลืมเอาวันที่สำคัญมากๆ (ในกระเป๋าตังค์มีบัตรประชาชน แล้วไปเที่ยวต้องใช้บัตรประชาชน) ผมต้องรีบกลับไปเอากระเป๋าตังค์ที่ออฟฟิศทันที : รถเมล์ > รถไฟใต้ดิน > แอร์พอร์ต ลิงค์ > มอไซค์ > ออฟฟิศ > มอไซค์ > แอร์พอร์ต ลิงค์ > รถไฟใต้ดิน > รถเมล์ กว่าจะเสร็จ ปาเข้าไปสามทุ่มกว่า ดึกเลยครับ สำหรับคืนก่อนวันเดินทาง (เที่ยว 18-20 ก.พ.)

     ผ่านพ้นคืนวิกฤตไปได้ ก็มาถึงวันเดินทางกันต่อ กำหนดการเวลานัดหมายเจอกันที่สนามบินคือ 06.00 น.ครับ เครื่องจะขึ้นบินเวลา 07.25 น. ผมก็ต้องตื่นมาเตรียมตัวตั้งแต่ตีสี่ครึ่งเลยครับ เวลาประมาณตีห้ายี่สิบเตรียมตัวเสร็จก็จะเรียกแท็กซี่ด้วยแอปฯ แต่แอปฯที่เคยใช้ดันทรยศ ใช้งานไม่ได้ ผมก็เลยต้องลากกระเป๋าไปเรียกแท็กซี่ที่หน้าปากซอยแทน ดีนะที่ระยะทางจากหอไปหน้าปากซอยไม่ไกลมาก เลยทำเวลาได้อยู่

     เวลาประมาณหกโมงนิดๆผมก็ถึงสนามบิน ในใจคิดว่า 'เราน่าจะมาถึงเร็วกว่าคนอื่นๆ' แต่ที่ไหนได้ ไปถึงเกือบสุดท้ายเลยครับ พอไปถึงกระเป๋าคนอื่นๆกองกันเพียบแล้ว นี่แสดงว่าทริปนี้ ลูกทัวร์มีความพร้อม และมีความตรงต่อเวลากันสูงมากๆครับ (ทริปก่อนๆ ลูกทัวร์จะมาช้ากว่านี้นะ นี่ถือว่าเร็วมากๆ)

     โดยทริปนี้ หัวหน้าทัวร์ก็คือ ไกด์กวาง สาวน้อยผู้มากความสามารถคนเดิมนั่นเอง (ทริปก่อน คือ ทริปทีลอซู) เจอไกด์กวางเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ทำให้ร่วมทริปกันสนุกขึ้นครับ (ไกด์กวางบอกว่า ตื่นตั้งแต่ ตีสามแน่ะ ตื่นเช้ามากกกก)

(ไกด์กวางเตรียมพร้อม)

     โหลดกระเป๋าเรียบร้อย ก็เดินทางกันเลยครับ มุ่งหน้าสู่จังหวัดอุบลราชธานี โดยสายการบินนกแอร์ (นึกว่าจะโดนยกเลิกเที่ยวบินซะแล้ว)

     ถึงสนามบินจังหวัดอุบลราชธานี ก็รอรับกระเป๋ากันครับ โดยที่ตัวอาคารผู้โดยสารของสนามบินก็ถือว่าไม่ใหญ่มากครับ เท่าที่สังเกตดูก็เหมือนจะมีสายพานโหลดกระเป๋าแค่ที่เดียวนี่แหละครับ (ใหญ่กว่าอาคารผู้โดยสารของจังหวัดตากอยู่พอสมควรเลย) แล้วก็เป็นจังหวะเหมาะอะไรก็ไม่ทราบครับ พอลงเครื่องมาก็มาเจอแขกระดับ VIP มาที่สนามบินพอดี (ไม่รู้ว่าใคร) ตำรวจเต็มสนามบินเลยครับ รถเยอะ รถติดในสนามบินเลย ทำเอารถบัสที่จะมารับทัวร์หาที่จอดแทบไม่ได้ครับ

(คนเยอะเหมือนกันนะเนี่ย)

(ด้านหน้าของอาคารผู้โดยสาร)

     แต่มันก็ไม่ยากเกินไปหรอกครับ สุดท้ายทัวร์ก็ได้ขึ้นรถบัสสมใจ เดินทางออกจากสนามบินมุ่งสู่ด่านพรมแดนช่องเม็ก (เม็กนะ ไม่ใช่แม็ก) ใช้เวลาเดินทางก็ประมาณ 1 ชั่วโมงครับ โดยเจ้าของรถบัส และเป็นพลขับ คือ พี่ประสาน (เอ้า รออะไร ปรบมือสิ แปะๆๆๆ)

(เสื้อแดงเลยครับ พี่ประสาน)

     พอถึงด่านพรมแดนช่องเม็ก แน่นอนว่าก็ต้องตรวจหนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ตนั่นเอง เข้าไปในตัวอาคารก็ถือว่าคนเยอะพอสมควรล่ะครับ ยืนต่อแถวรอตรวจพาสปอร์ตกัน ไม่รู้ว่าเขาตรวจ และเก็บข้อมูลอะไรบ้างนะครับ แต่ที่แน่ๆ มีถ่ายรูปด้วย

(ทางเข้าอาคารเพื่อไปตรวจพาสปอร์ต)

     ผ่านด่านพรมแดนออกมา ก็เดินลอดอุโมงค์ข้ามประเทศกันเลยครับ เป็นอุโมงค์ทางเดินเล็กๆ และไม่ยาวมากครับ แต่ก็สะดวกสบายไม่ร้อนดีครับ

(สุดเขตประเทศไทยแล้วจ้าาาาา)

(บันไดลงอุโมงค์)

(ทางเดินในอุโมงค์ ถือว่าเดินได้สบายๆเลยทีเดียว)

(ทางออกประเทศไทยไปสู่ ประเทศลาว)

     "สะบายดีประเทศลาว" หลังจากที่ลอดอุโมงค์มาโผล่ฝั่งลาวแล้ว ที่แรกที่ไกด์กวางพาไปก็คือ Duty Free นั่นเอง ไม่ได้มาไปซื้อของนะครับ แต่พาไปเข้าห้องน้ำ และทำเรื่องเข้าประเทศสาวต่างหาก โดยการเที่ยวลาวนั้น ไกด์กวางก็หาได้มีความรู้ ความสามารถเพียงพอ (อาจจะมีก็ได้ แต่ผมไม่รู้ไง) เพราะฉะนั้นทริปนี้จึงต้องการไกด์เจ้าถิ่นตัวจริงนำทัพ โดยไกด์เจ้าถิ่นนั่นเป็นไกด์ชาวสาวแน่นอนครับ เธอชื่อว่า...(ดนตรีเปิดตัวมา แถ่น แถ่น แทนแทนแทน แถ่น แท้นแท้น...) แน เอิ่น แน กะได้ (สำเนียงเหมือนในโฆษณาดาวคอฟฟี่ เอิ่น ดาว กะได้)

(Duty Free สถานที่แรกที่ต้องเจอ)

(ไกด์แน ไกด์สาวชาวลาวผู้อารมณ์ดี๊ดี)

(ยานพาหนะที่ใช้เดินทางในทริปครั้งนี้)

     เสร็จสิ้นภารกิจทำเรื่องเข้าประเทศลาวเรียบร้อย (ไกด์แน เป็นคนเอาพาสปอร์ตไปจัดการให้หมดเลย ลูกทัวร์ไม่ต้องทำอะไรเลย นั่งรออย่างเดียว) ไกด์แน ก็ขึ้นรถบัสเดินทางไปกับเราด้วย (ลูกทัวร์ทั้งหมดมี 21 คน) โดยภาษาที่ไกด์แนใช้ก็เป็นภาษาลาวครับ แต่มันก็ฟังออกแหละ เพราะมันก็คล้ายๆภาษาไทย ฟังเพลินๆ แปลกๆไปอีกแบบ เรานั่งรถเข้าเมืองปากเซ สถานที่แรกที่ไปคือ ร้านอาหารสิครับ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราไปทานอาหารกลางวันกันที่ร้าน มะนีพอน เบเกรี่ (เขียนยังไงหว่าภาษาลาว ผมเขียนถูกรึเปล่าก็ไม่รู้)

(แวะเติมพลังมื้อเที่ยง มื้อแรกในประเทศลาว อาหารที่มีก็คล้ายๆบ้านเรานั่นแหละครับ)

     เมนูอาหารของที่ลาวก็จะคล้ายๆของไทยนี่แหละครับ แต่ผมไม่ขอลงรายละเอียดเนอะ รูปก็ไม่ได้ถ่ายมาด้วยแหละ อ่อ ทุกร้าน ทุกมื้อ จะต้องมีส้มตำครับ เพราะเป็นอาหารจานหลักเลยก็ว่าได้ แซ่บกันทุกมื้อ

     ทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องออกเดินทางกันต่อ โดยที่จริงๆแล้วโปรแกรมเดิมคือ ไปเที่ยวกันต่อเลย แต่ไกด์แนเห็นว่า ทัวร์นี้มีเด็กน้อยมาด้วย 3 คน แล้วเวลาก็เพิ่งจะบ่ายสอง ซึ่งแดดแรงมาก กลัวว่าเด็กน้อยจะไม่สบาย โปรแกรมเลยเปลี่ยนเป็นเข้าที่พักก่อน แล้วสี่โมงเย็นค่อยไปเที่ยวต่อ ไกด์แนจึงพาพวกเราไปส่งเข้าที่พักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารมากนัก โดยที่พักที่ให้พวกเราไปพักนั้นมีชื่อเสียงมาก ไกด์แนเล่าว่า เป็นวังเก่า แล้วนำมาทำเป็นโรงแรม โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หรือ พระเทพฯ ก็เคยเสด็จมาพักที่โรงแรมแห่งนี้ด้วยครับ ซึ่งที่นี่ก็คือ โรงแรมจำปาสัก พาเลส (โชคดีมาก ที่ได้พักห้องริมสุด บรรยากาศดี วิวสวยมากครับ)

(ทางเข้าตัวโรงแรมจำปาสัก)

(แวะเคาเตอร์ รับกุญแจห้อง)

(ได้ห้องริมสุดครับ ห้อง 334)

(เตียงคู่ ขยับติดกันก็ไม่ได้ ขัดใจแฟนผมสุดๆ ฮ่าๆๆ)

(อยู่ห้องริม มันสว่างดีแบบนี้นี่เอง)

(ภายในบริเวณห้องน้ำครับ กว้างขวางดีมาก)

(แบ่งโซนอาบน้ำชัดเจน)

(มองจากหน้าต่างในห้องอาบน้ำ)

(ระเบียงทางเดินในอาคาร)

(มองดูอีกฝั่งของอาคาร)

(ก้มมองข้างล่าง ก็มีโต๊ะกินข้าวบรรยากาศดีๆให้ไปนั่งกัน)

(มองจากระเบียงหน้าห้องครับ วิวสวยเชียว)

     ถึงเวลานัดหมาย ทุกคนเตรียมพร้อมก็ลุยเที่ยวสถานที่แรกของลาวกันเลย โดยที่แรกที่ไปคือ ปราสาทวัดพู ตามที่รู้มาคือ ที่นี่คือ จุดเริ่มต้นของอาณาจักรขอมโบราณ เป็นปราสาทขอมแห่งแรก (ข้อมูลจากบริษัททัวร์ครับ) พอไปถึงบริเวณของปราสาทแล้ว ก็ต้องนั่งรถกอล์ฟไปที่ปราสาทครับ (บริเวณปราสาทกว้างมาก กว้างสุดๆ เรียกว่าอาณาจักรก็ยังได้ เมื่อก่อนได้ยินว่าต้องเดินเข้าไป แต่เดี๋ยวนี้พัฒนาขึ้น มีรถกอล์ฟรับ-ส่ง)

(นั่งรถกอล์ฟเสีย เพื่อรอรถกอล์ฟที่วิ่งได้มารับไปเที่ยว)

(หนทางยาวไกลยิ่งนัก มิน่าล่ะ ถึงต้องมีรถรับ-ส่ง)

     นั่งรถกอล์ฟไปจนถึงทางเดินไปปราสาท ก็ต้องลงเดินต่อสิครับ เข้าใจเลยว่าทำไมไกด์แนถึงให้เข้าที่พักก่อน เพราะถ้ามาตอนบ่ายสอง คงร้อนสุดๆล่ะครับ พวกเราเดินเข้าไปตามทางที่ปูด้วยหิน สองข้างทางก็โล่งมาก ถ้ามีลมพัดคงดีกว่านี้ (นิ่งสนิท ไม่มีลมเลย) เดินไปตามทางเรื่อยๆก็ไปแวะไหว้พระครับ ผมจำไม่ได้แล้วว่า พระพุทธรูปที่ไหว้ มีชื่อเรียกว่าอะไร เสร็จแล้วก็ไต่เขาขึ้นไปข้างบนครับ (ไต่เขาเลยนะ เพราะขั้นบันไดใหญ่ และสูงมาก บางจุดแถมความชันให้อีกต่างหาก ขึ้นไปทรงตัวไม่ดี มีหงายหลังร่วงเอาได้ง่ายๆ) ขึ้นไปเรื่อยๆจนสุดครับ จนได้เจอปราสาท และอะไรอีกหลายๆอย่างข้างบนนั้น  (ปล.มัวแต่วิ่งเล่น ลืมถ่ายหินบูชายันเลย พลาดอย่างแรง)

(ลงรถกอล์ฟก็เจอทางเดินเลยครับ ทางเดินตรงมากกกกก)

(ทางเดินเป็นหินซะด้วย)

(ปราสาทเก่าแก่)


(โน้นนน ต้องเดินไปอีกพอสมควรเลย)

(แวะกราบไหว้บูชาพระพุทธรูปเพื่อความสบายใจ)

(สูงไม่ว่า แต่บันไดโหดมาก)

(ทางเดินก็โหดใช่ย่อย แต่ก็เลือกเดินเหยียบสนุกดีครับ)

(สักหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าไม่ได้ไปจริงๆ)

(ทางขึ้นมันเป็น...ศิลปะมาก)

(ขึ้นไปอีกๆๆ บันไดก็โหดแท้)

(มองลงมาข้างล่างซะบ้าง โห...น่ากลัวนะเนี่ย ถ้าล่มลงไป มีเจ็บหนัก)

(ถึงจุดบนสุดแล้ว เจอปราสาทเก่าแก่อีกแห่ง)

(ขึ้นมาถึงจุดบนสุด ก็ต้องไหว้พระสิครับ)

(อะไรก็ไม่รู้)

(ใต้ภูเขาหิน มีสิ่งน่าสนใจ)

(ไหว้พระกันต่อ)

(ไม่รู้ว่ามีความหมายว่าอย่างไรเหมือนกันครับ)

(ขึ้นมาถ่ายจากมุมสูงของภูเขา)

(ไหว้พระๆ เพื่อความเป็นสิริมงคล)

(ณ ยอดบนสุด มองลงไปข้างล่าง กว้าง และสวยงามมากครับ จุดที่เราขึ้นรถกอล์ฟก็โน้นเลยครับ หลังบ่อน้ำใหญ่โน้นเลยครับ ไกลลิบๆ)

     มีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกแปลกใจกับที่นี่นะครับ นั่นก็คือ ทำไมถึงมีการขายของขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดได้ ทั้งๆที่มันน่าจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เหรอ ข้างบนควรจะเงียบ และสงบมากกว่านี้

     เย็นแล้ว ได้เวลากินข้าวแล้ว (กระแดะใช้คำว่า ทาน มาตั้งเยอะ ขอกลับมาใช้คำว่า กิน เหมือนเดิมดีกว่า) มื้อเย็นของวันแรก ได้ไปกินที่ริมแม่น้ำของ (ลาวเรียก แม่น้ำของ ส่วนไทยเรียก แม่น้ำโขง) เป็นร้านอาหารเรือนแพครับ บรรยากาศดีมาก อากาศปลอดโปร่ง รู้สึกโล่งสบายมากเลยครับ ซึ่งชื่อร้านก็คือ เรือนแพคำฟอง

(ร้านอาหาร เรือนแพคำฟอง)

(ทำเลร้านแจ่มมาก)

(พระอาทิตย์จะตกแล้ววววว)

(สะพานข้ามไปยังแพ)

(จองโต๊ะไว้ได้มุมดีทีเดียว)

(พอมืดแล้ว ก็มีเวทีร้องเพลงด้วย)

(อีกมุมของร้านอาหาร)

     จบวันแรกครับ กลับที่พักเพื่อพักผ่อน ห้องพักที่นี่ขัดใจแฟนผมมากครับ เพราะเป็นเตียงคู่ไม่ใช่เตียงเดี่ยว จะเอาโต๊ะตรงกลางออกก็ไม่ได้นะครับ เพราะต่อสายไฟไว้ ย้ายไม่ได้เลย สุดท้ายเลยต้องนอนคนละเตียงตามสภาพ ส่วนภายในห้องน้ำก็ทำไว้ลงตัวดีครับ มีหน้าต่างให้อาบน้ำโชว์ด้วย แหม...สยิวกิ้วกันเลยทีเดียว (ดีนะ ที่มองออกไปเจอแต่น้ำ ถ้าเจอตึก คงต้องหาอะไรมาปิดกันล่ะ)

(หน้าตาในห้องน้ำ ไม่มีผ้าม่านนะเออ)

(มองออกไปทางขวา เจอสะพาน)

(มองออกไปทางซ้าย เจอที่โล่ง)

     เช้าวันที่ 2 ไกด์กวางจัดลำดับไว้ดังนี้ 6, 7 และ 8 : 6 คือ ตื่น, 7 คือ กินข้าว และ 8 คือออกเดินทาง แน่นอนว่ามันเช้าอยู่นะ แต่ทุกคนก็ผ่านไปได้ด้วยดี (แหม...อย่างกับการสอบ) อาหารเช้าก็กินกันที่ห้องอาหารของโรงแรมนั่นแหละครับ เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ อยากกินเท่าไหร่ ตักเต็มที่ หลังจากเติมพลังกันเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินทางกันต่อ

     โปรแกรมวันที่ 2 มีเที่ยวน้ำตก 2 ที่ครับ ไปที่แรกกันก่อนเลย นั่งรถยาวๆเกือบ 1 ชั่วโมง (หรือเกิน 1 ชั่วโมงก็ไม่รู้ จำไม่ได้) พอไปถึงริมแม่น้ำของ ก็ต้องลงรถต่อเรือครับ เป็นเรือหางยาวลำใหญ่ แต่ทัวร์ก็ล้นล่ะครับ มีคนเสียสละนั่งตากแดด 2 คน นั่นก็คือ ไกด์สาวทั้งสองนั่นเอง นั่งเรือชิลๆ กินลมชมวิว ไม่นานก็มาจอดเทียบท่าขึ้นฝั่ง เพื่อไปนั่งรถ 5 แถว (เยอะกว่า 2 แถว และไม่ใช่ยันต์ 5 แถว) ไปที่น้ำตกกันต่อ

     นั่งรถ 5 แถวกันแน่นคันรถอีกเช่นเคย (ดีนะที่นั่งกันครบ ไม่ต้องใช้ 2 คัน) เส้นทางก็เป็นถนนลูกรังดีๆนี่เอง เป็นหลุมเป็นบ่อแต่ไม่มากนัก ที่จะมากหน่อยก็คงเป็นฝุ่นล่ะครับ เพราะแน่นอนว่าถนนลูกรังเกิดมาพร้อมกับฝุ่น (เอ๊ะ หรือว่าฝุ่นเกิดมาพร้อมถนนลูกรัง) นั่งเบียดๆกันจนไปถึงน้ำตก ก็ต้องไปเสียปี้กันก่อน ถึงจะได้ไปดูน้ำตก (ปี้ ในภาษาลาวคือ ตั๋ว นะครับ ส่วนปี้ ในภาษาไทย ก็คือ...นั่นแหละ รู้ๆกันอยู่) ผ่านการเสียปี้เรียบร้อย ก็ไปลุยน้ำตกกันเลยครับ ซึ้งน้ำตกที่นี่คือ น้ำตกหลี่ผี

     ตามที่ฟังไกด์แนเล่ามานะครับ หลี่ คือเครื่องมือจับปลาชนิดหนึ่ง สมัยก่อนก็จะใช้หลี่หาปลากันที่นี่ แล้วทีนี้ที่เหนือน้ำ มีการทำการเชือดกันในสงครามอินโดจีน แล้วเอาศพทิ้งลงน้ำ ศพก็ไหลๆๆมาเรื่อยๆ จนมาติดที่หลี่ครับ ทีนี้ศพในภาษาลาวเรียกว่า ผี รวมกันเลยเป็น หลี่ผี ด้วยประการเช่นนี้แล ประวัติจะเป็นยังไงไม่รู้ล่ะครับ แต่น้ำตกก็สวยน่าดูครับ

(ต้องเดินทางด้วยเรือหางยาวลำใหญ่ครับ)

(เดินลงเรืออย่างเป็นระเบียบ เพราะถ้าไม่เป็นระเบียบ มีตกน้ำแน่นอน)

(แน่นลำเลย)

(สองสาวผู้เสียสละ)

(ทำเลนั่งดี ก็ชิลๆเชียวนะไกด์กวาง)

(ถึงฝั่งแล้ว เทียบเรือติดดินกันเลย)

(รถ 5 แถว ที่ต้องนั่งไปยังน้ำตก)

(ปี้กันเถอะ)

(225 กีบ = 1 บาท เอ้า คิดเลขสิครับ)

(มีอุโมงค์ต้นไม้ด้วยนะ)

(ณ มุมหนึ่งของน้ำตกหลี่ผี)

(น้ำไหลแรงมาก นี่ขนาดไม่ใช่ฤดูฝนนะเนี่ย)

(ไหลไปโน้นนนนน)

(อีกสักมุมละกัน ใครเห็น"หลี่"บ้างครับ อยู่ทางซ้ายของน้ำตก กลางๆรูป ไกลๆโน้นเลยครับ เป็นไม้ซ้อนๆกันอยู่โน้น ผมก็ลืมซูมหลี่มาให้ดูกันเนอะ พลาดจนได้)

(เขตอันตราย)

(ปิดท้ายที่ห้องน้ำสักหน่อย ดูราคาๆ ห้องน้ำไทยอายไปเลยครับ 10 บาทแน่ะ)

     เขียนไปเขียนมา ก็เริ่มจะยาวแฮะ นี่ขนาดเน้นเอาแต่เนื้อๆ ไม่เอาน้ำมาเยอะแล้วนะครับเนี่ย สงสัยต้องเอาแต่เนื้อๆซะแล้วมั้ง

     จบจากน้ำตกหลี่ผี ก็เดินทางต่ออีกนิดไปยังน้ำตกคอนพะเพ็ง ระหว่างที่เดินทางไปน้ำตกไกด์แนก็ได้เล่าประวัติของน้ำตกให้ฟัง แต่...ผมลืมแฮะ จำไม่ค่อยได้ จำได้นิดๆแค่ว่า มีต้นไม้ใหญ่อยู่กลางน้ำตก ซึ่งเป็นต้นไม้ที่นับถือกัน โดยเรียกต้นไม้นี้ว่า ต้นมณีโคตร แล้วต้นมณีโคตรก็ได้ล้มลงตามอายุขัย หลังจากที่ต้นมณีโคตรล้มแล้ว ก็ได้ทำการอัญเชิญขึ้นมาไว้บนฝั่ง เพื่อให้เป็นที่สักการะบูชาจนถึงทุกวันนี้ ผมจำได้แค่นี้แหละครับ

     พูดถึงน้ำตกกันดีกว่า น้ำตกคอนพะเพ็ง หรือที่ได้รับฉายาว่า "ไนแองการาแห่งเอเชีย" สวยงามสมกับฉายาจริงๆครับ สายน้ำแรง และเยอะมากครับ เสียงดังน่าเกรงขาม น่าลงไปเล่น (ไม่ใช่ละ) ตัดน้ำออกไปลุยเนื้อ ดูรูปกันเลยละกันครับ (เล่าด้วยภาพ)

(แวะปี้กันอีกแล้วครับ ก่อนที่จะเข้าไปข้างใน)

(ยินดีต้อนรับ แจ้งราคา ที่เหลืออ่านเองนะครับ ฮ่าๆๆ)

(เอ้า คิดเลขอีกสักที)

(ต้นมณีโคตร ที่ถูกอัญเชิญขึ้นมาไว้บนฝั่งครับ)

(กราบไหว้ต้นมณีโคตร เพื่อความเป็นสิริมงคล)

(ต้องนั่งรถกอล์ฟไปยังมุมที่สวยที่สุดของน้ำตกครับ)

(ศาลารวมพล คนมาเที่ยวดูน้ำตก)

(ยิ่งใหญ่จริงๆครับ กว้างมาก ถ้าฤดูฝนน้ำน่าจะเยอะจนน่ากลัวแน่ๆเลย)

(ไหลไปๆๆ)

(จริงๆคนเยอะกว่านี้ครับ แต่ถ่ายไม่ทัน เลยได้มาเท่านี้)

(ออกจากศาลามาถ่ายมุมอื่นบ้าง)

(อีกสักมุมสำหรับความยิ่งใหญ่)

(นี่ขนาดอยู่ไกลนะเนี่ย ยังเห็นได้ชัดเจนเลย)

     ออกจากน้ำตกคอนพะเพ็ง ก็กลับเข้าที่พักก่อนครับ แล้วพอหกโมงเย็นก็เดินออกจากที่พัก ไปร้านอาหารใกล้ๆ (เข้าใจเลือกร้านเนอะ ง่าย และสะดวกดี) กินข้าวกันเสร็จ ก็แยกย้ายกันพักผ่อนครับ

(กองทัพเดินเท้าออกจากโรงแรม ไปยังร้านอาหารครับ)

(ยามเย็น ที่โรงแรม)

(เดินกันข้างถนนนี่แหละ ถนนที่ลาวจะขับชิดขวานะครับ เพราะพวงมาลัยรถของที่ลาว อยู่ฝั่งขวา ใครขับรถมาเที่ยวลาว อย่าเผลอขับซ้ายล่ะ มีซวยแน่)

(ร้านอยู่ไม่ไกลครับ เดินไม่ถึง 5 นาที)

(ยามดึก ที่โรงแรม กล้องกากๆ แต่ก็ได้แสงที่สวยเนอะ)

     เช้าวันที่ 3 วันสุดท้ายในการท่องเที่ยวลาวใต้ เวลามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเป็น 6.30, 7.30 และ 8.30 สำหรับวันสุดท้ายนี้ก็จะไปเที่ยวอีก 2 ที่ครับ คือ น้ำตกตาดฟาน หรือน้ำตกคู่แฝด และน้ำตกผาส้วมเป็นที่สุดท้ายครับ แล้วก็เนื่องจากว่าบทความค่อนข้างจะยาวเกินไปแล้ว งั้นผมขอเล่าด้วยภาพเลยก็แล้วกันนะครับ เพราะเดี๋ยวท้ายบทความผมยังจะนินทา เอ้ย เขียนถึงไกด์สาวทั้ง 2 คนอีกสักนิดนึง กลัวมันจะยาวเกินไปครับ

(ออกจากโรงแรมในวันสุดท้าย ก็ต้องแวะซื้อของฝากกันครับ แวะตลาดใหญ่เลยครับ)

(แต่มาเช้ากันไป ร้านยังเปิดไม่ครบ)

(จากตลาด ก็ไปที่น้ำตก ทางเข้าน้ำตกตาดฟาน)

(ทางเดินไปน้ำตก ร่มรื่นดีมากเลยครับ)

(ถึงน้ำตกแล้ว)

(มีน้ำตก 2 เส้น เป็นน้ำตกคู่แฝดจริงๆด้วย)

(จุดชมน้ำตกที่สร้างไว้ให้ แข็งแรกมากครับ)

(ออกจากน้ำตกตาดฟาน ก็ไปต่อที่น้ำผาส้วมครับ มีซุ้มเหมือนกัน แต่ถ้าเดินไม่ระวังมีเจ็บ ฮ่าๆๆ)

(ข้ามสะพานไม้ครับ ... เรารักธรรมชาติ)

(สะพานไม้อันมีชื่อเสียง)

(ลอดอุโมงค์ไม้ ที่สะพานไม้ ทางเดินก็เป็นไม้ และที่สำคัญ มันมีแกว่งด้วยเล็กน้อย ตื่นเต้นสำหรับคนกลัวความสูงล่ะครับ)

(ถึงแล้ว น้ำตกผาส้วม คนเยอะมากครับ แต่ผมไม่ได้ถ่ายบรรยากาศโดยรอบมาให้ชมกัน)

(อ่านป้ายดูสิครับ)

(ชมน้ำตกเสร็จ ก็แวะกินข้าวมื้อสุดท้ายที่ประเทศลาวกันที่ร้านอาหารบริเวณน้ำตกกันเลย)

(ไม้ล้วนๆ เป็นไม้แผ่นใหญ่แผ่นเดียวไม่มีการต่อด้วยนะครับ ทั้งโต๊ะ ทั้งพื้นที่นั่งอยู่ ไม้แผ่นใหญ่จริงๆครับ แล้วที่ชอบคือ นั่งแบบห้อยขา ไม่ต้องเปลืองเก้าอี้เลย)

(บรรยากาศภายในร้าน ... ที่เห็นผู้ชายนั่งอยู่ไกลๆนั่น เจ้าของร้าน และผู้บุกเบิกน้ำตกผาส้วมนี่แหละครับ)

(ดูพื้นครับๆ แผ่นไม้ใหญ่มากจริงๆ ... นั่นไกด์แนเดินไปที่เคาเตอร์ครับ)

(คุณวิมล ทำหนังสือขึ้นมาครับ หนังสือเล่มหนามาก เขียนได้ดีมากครับ หนังสือชื่อ "เขาว่าข้อยบ้า"... คุณวิมล คือคนไทยผู้บุกเบิกน้ำตกผาส้วมครับ)

(เดินเข้าสะพานไม้ เดินกลับสะพานเหล็กละกัน)

(ดูชัดๆ นั่นคือ สะพานไม้ที่ข้ามมาเมื่อกี้)

(แวะดู...จะว่าหมู่บ้านก็ไม่ใช่ จะเรียกอะไรก็ไม่ถูก เอาเป็นว่า แวะดูวิถีชีวิตชนเผ่าคนท้องถิ่นละกันครับ)

(ศาลากลาง หรือหอประชุม)

(ไม่รู้ว่าเผ่าอะไรบ้าง มัวแต่ถ่ายรูป)

(ไกด์แนเล่าว่า...ผมลืมไปแล้วครับ แต่ที่นี่ถือว่าสำคัญมากๆที่หนึ่งครับ)

(แวะเยี่ยมชมไปเรื่อยๆ)

(แวะเยี่ยมชมไปเรื่อยๆ)

(แวะเยี่ยมชมไปเรื่อยๆ)

(แวะเยี่ยมชมไปเรื่อยๆ)

(แวะเยี่ยมชมไปเรื่อยๆ แล้วก็มาจบที่คุณตาเล่นเครื่องดนตรีให้ฟังกันครับ)

(ทางเดินกลับไปขึ้นรถบัสครับ ธรรมชาติร่มรื่นดี)

(ออกจากน้ำตกผาส้วม ก็มาแวะที่ Duty Free เพื่อซื้อของกันครับ พอซื้อของกันเสร็จแล้ว ... ก็ลาแล้วประเทศลาว ลงอุโมงค์กลับฝั่งไทยครับ)

(ก่อนไปสนามบิน พี่ประสานแวะให้ซื้อหมูยอไปกินกันครับ ผมก็สอยมา 3 อัน)

(เอ้าๆ วางกระเป๋าให้เป็นระเบียบ จะได้เช็คอินง่ายๆ)

(เดินไปขึ้นเครื่องเพื่อกลับกรุงเทพ โดยสายการบิน นกแอร์)

     จบทริป 3 วัน 2 คืน ณ ลาวใต้แล้วครับ ลาวใต้ยังไม่เจริญเท่าลาวเหนือ และลาวกลาง แต่สิ่งที่พวกเขามีคือ ธรรมชาติครับ ทริปนี้อาจจะหนักไปทางการเดินทาง แต่การได้ไปเยี่ยมชมน้ำตกแต่ละแห่ง ก็ถือว่า สวยคุ้มค่ามากครับ

     เอาล่ะครับ มาเขียนถึงไกด์สาวทั้ง 2 คนกันดีกว่าครับ คงเขียนไม่มากครับ เพราะบทความยาวมากแล้ว ขอเขียนถึงไกด์เจ้าถิ่นก่อนละกันนะครับ...ไกด์แน

     ไกด์แน เป็นสาวลาว เว้าลาวตลอดทริปครับ เป็นคนอารมณ์ดีมากๆ มีมุข 5 บาท 10 บาท เล่นกับลูกทัวร์ตลอด แล้วก็หัวเราะได้อารมณ์มากครับ (ทำเอาผมขำตามได้ล่ะ) ไกด์แนมีความสามารถพิเศษอยู่หนึ่งอย่างครับ คือ สามารถพูดจนลิงหลับได้ครับ (ไม่ใช่ละ) สามารถพูดได้น้ำไหลไฟดับ พูดเป็นต่อยหอยได้ครับ เพราะตลอดเวลาที่เดินทางบนรถบัส ไม่ว่าจะเดินทางระยะสั้น 10-20 นาที หรือเดินทางระยะไกล 40-60 นาที เธอพูดไม่หยุดเลยครับ เป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านการพูดแบบสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าประวัติความเป็นมาต่างๆ หรือพูดเล่น พูดมีสาระ ไม่มีสาระบ้าง เธอพูดไม่หยุดจริงๆครับ ไม่รู้ว่าเอาคำพูดมาจากไหนเยอะแยะ เธอหัวไว้มากๆ เจอเหตุการณ์เฉพาะหน้าอะไร เธอก็พูดไปได้เรื่อยๆ เหมือนน้ำไหลเลยครับ (คิดถึงพี่โน้ต อุดมได้เลยตครับ แบบนั้นเลย ไหลไปได้เรื่อยๆตามสถานการณ์ปัจจุบัน)

     แต่ก็นั่นแหละครับ คือ ข้อดีของเธอ ทำให้คนที่ไปเที่ยวลาว ได้มีความรู้เพิ่มขึ้นเยอะเลยครับ ส่วนเสน่ห์ของเธอก็คือ ความเป็นกันเอง รอยยิ้ม และมุขเล็กๆน้อยๆ ที่มีเล่นกับลูกทัวร์แทบจะตลอดเวลาล่ะครับ รูปไกด์แนมีไม่มากครับ ดูเอาก็แล้วกันครับ

(จับไมค์ร่ายยาวๆ อยู่หน้ารถ ได้ความรู้จากเธอเพียบครับ)

(เดินปะปนไปกับลูกทัวร์ ดูไม่ออกเลยว่าเป็นไกด์ นึกว่าเที่ยวด้วยกัน ฮ่าๆๆ)

(นำขบวนขึ้นสู่ปราสาท ขนาดนุ่งผ้าซิ่นนะนั่น ยังขึ้นไปเร็วมาก)

(มีโดนแอบถ่าย ซึ่งเจ้าตัวก็ยังไม่รู้ตัวมาจนปัดนี้ ว่าโดนผมแอบถ่าย)

(เมื่อเธอเสียสละนั่งตากแดด นั่นจึงคือ อุปกรณ์บังแดดบนเรือ)

(ดูหน้ากันชัดๆ 2 ไกด์สาว ... ส่วนคนกลางขอไม่ออกสื่อ)

(ยืนให้ความรู้กับลูกทัวร์ใกล้ๆตลอด)

     มาถึงไกด์สาวที่เจอกันเป็นรอบที่ 2 ครับ สำหรับไกด์คนนี้ก็ยังคงรักษามาตรฐานของตัวเองไว้ได้เป็นอย่างดีครับ เคยเป็นกันเองยังไง ก็ยังเป็นอย่างงั้น เคยบริการดียังไง ก็ยังบริการดีต่อเนื่อง ทริปนี้แม้ว่าเธอจะถูกลดบทบาทลงไปเป็นผู้ช่วยไกด์แน แต่ก็ยังทำหน้าที่ได้ดีไม่ขาดตกบกพร่องเลยครับ

     สำหรับการเจอกันครั้งนี้กับ ไกด์กวง (ไกด์แน ออกเสียงสำเนียงเรียก กวาง เป็น กวง ซะงั้นแหละ) นอกจากที่ผมบอกไปข้างต้นแล้ว ยังมีสิ่งหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาครับ นั่นคือ เธอรักเด็ก หรือมีพลังงานอะไรบางอย่างในตัวที่ทำให้เด็กติดครับ ในทริปนี้มีเด็กสาวชื่อว่า ไข่เจียว (อายุ 6 ขวบ) ในการเที่ยว 2 วันแรก เธอไม่ได้เข้าไปเล่นกับไข่เจียวครับ ไข่เจียวก็ไม่สนใจเธอ แต่พอวันสุดท้าย มีจังหวะหนึ่งที่เธอไปถ่ายรูปเซลฟี่กับไข่เจียวครับ เท่านั้นแหละครับ ไข่เจียวติดหนึบเธอเลย ปกติไข่เจียวจะนั่งที่เบาะของตัวเองครับ แต่หลังจากเซลฟี่ด้วยกันแล้ว เธอมีพลังงานอะไรบางอย่างครับ ไข่เจียวไปนั่งกับเธอที่เบาะหน้าสุดตลอดทั้งวันเลย เออ...แปลกดีครับ สงสัยมีพลังงานรักเด็ก อิอิ

     เอาเป็นว่า ไกด์กวาง ยังคงเป็นไกด์ที่ดีมากๆในความรู้สึกของลูกทัวร์อย่างผมก็แล้วกันนะครับ ถ้าใครได้มีโอกาสได้เจอเธอเป็นไกด์ ก็สบายใจได้เลยครับ ว่าคุณจะได้รับการดูแลที่ดีแน่นอนครับ [[ ส่วนใครที่อ่านบทความนี้แล้ว อยากลองเรียกใช้บริการของไกด์กวาง ติดต่อได้ที่เบอร์ 086-073-9254 (คุณกาญนา หรือกวาง) บอกว่ารู้จักเธอจากบล็อก นักเขียนอิสระ ต.ต้น ก็ได้ครับ เธอรู้ (ปล.งานเธอชุกมากมาย แพลนงานของเธอยาวเป็นเดือนๆ ถ้าสนใจใช้บริการ ควรติดต่อล่วงหน้าสักระยะนะครับ) ]]

(จับไมค์ร้องเพลง เฮ้ย ไม่ใช่ จับไมค์คุยกับลูกทัวร์เป็นประจำที่หน้ารถ)

(เสียสละนั่งตากแดด แต่เอ๊ะ ทำไมดูชิลๆ)

(ถ่ายรูปให้หน่อย แต่ก่อนจะถ่ายผม ผมถ่ายสวนไปก่อนเลย ฮ่าๆๆ)

(ไม่แน่ใจว่ารู้ตัวมั้ยว่าโดนผมถ่ายรูป แต่ที่แน่ๆ เฮ้ย ยิ้มถูกจังหวะจริงๆแฮะ)

(รูปนี้ตั้งใจให้ถ่าย แต่กล้องดันโฟกัสอะไรก็ไม่รู้ รูปเลยออกมาเบลอซะงั้น)

(นี่คือ เหตุการณ์ต้นเหตุ ที่ทำให้เด็กติด เอ้า เซลฟี่หน่อยยยย ฮ่าๆๆ)

(หลังจากนั้น เด็กไปนั่งข้างหน้ารถด้วยทั้งวันเลย เด็กติดจริงๆ)

     เก็บตกเรื่องภาษา และราคาสินค้าในประเทศลาวกันสักหน่อย อ่านว่าอะไร และราคาเท่าไหร่ ไปหาคำตอบเอาเองนะครับ

(อ่านดูสิครับ)

(เมนูอาหารโดนใจ)

(แผงขายหวยของประเทศลาวครับ มีเยอะมากกกกก น่าจะเยอะกว่าไทยด้วยซ้ำไป)

(คือแบบ...จัดวางได้เทพมาก ยอมครับยอม)

(น้ำทิพย์ กี่บาทเอ่ย)


ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ _/\_

ความคิดเห็น