ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตอนที่ 134 (บทความ) _ พ่อหลวงจะอยู่ในใจตลอดไป

พ่อหลวงจะอยู่ในใจตลอดไป
02 ต.ค. 2560

ตอนนี้ก็เข้าสู่เดือนตุลาคมแล้ว เดือนที่เมื่อปีที่แล้ว ปี 2559 ประชาชนชาวไทยต้องใจหาย และเสียน้ำตากันเป็นจำนวนมาก ในระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบ 1 ปีเต็มนี้ เชื่อว่าหลายๆคน (รวมถึงผมด้วย) น่าจะรู้สึกหายจากความโศกเศร้าไปบ้างแล้วกับเหตุการณ์การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ แต่พอถึงเดือนนี้ เดือนที่ทุกอย่างต้องมีพิธีการอีกครั้ง สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น มันก็ทำให้ผม และใครอีกหลายๆคน อดนึกถึงความหลังไม่ได้ แล้วพอมันนึกขึ้นมา มันก็จะใจหาย แล้วน้ำตาก็จะซึมอีกครั้ง

ผมยอมรับเลยว่า พอผมนึกถึงภาพของท่านทรงงาน แล้วก็นึกถึงว่าใกล้วันที่ท่านจะต้องกลับสู่สรวงสวรรค์แล้ว ความรู้สึกของผมตกลงทันที ผมรู้สึกเศ้ราขึ้นมาทันที (แม้แต่ตอนที่เขียนบทความนี้) มันรู้สึกใจหายอีกครั้ง น้ำตามันจะไหลซะให้ได้ คิดถึงพ่อหลวงจริงๆนะครับ

ในบทความนี้ก็ไม่มีอะไรจะเขียนมากหรอกนะครับ แค่จะมาเขียนบอกความรู้สึกของผมก็เท่านั้น เพราะเชื่อว่าหลายๆคนน่าจะมีอาการแบบผมนี่แหละครับ

แต่...คิดไปคิดมา ขอเล่าถึงประสบการณ์การไปกราบพระบรมศพให้อ่านสักหน่อยก็แล้วกันนะครับ เพื่อให้บทความนี้จะได้ยาวอีกสักนิดหนึ่ง

วันที่ผมไปกราบพระบรมศพนั้น เป็นวันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2560 ครับ ซึ่งมันเป็นเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกรา ซึ่งมันเป็นวันเด็กนั่นเอง ทีแรกก็คิดว่า วันเด็ก ผู้ใหญ่น่าจะพาเด็กๆไปเที่ยวนะ ไม่น่าจะมาไหว้พระบรมศพ แต่ที่ได้ ผมคิดผิดครับ เพราะคนเยอะมากๆวันหนึ่งเลย ไม่รู้ว่าเพราะคิดแบบเดียวกันรึเปล่านะครับ วันนั้นคนถึงเยอะมากขนาดนั้น

เนื่องจากบ้านผมอยู่ไกล การเดินทางจึงใช้ระยะเวลาพอสมควรเลย ผมจำไม่ได้นะครับว่าออกจากบ้านกี่โมง แต่ลำดับการเดินทางของผมมีดังนี้

1. แว๊นมอเตอร์ไซค์จากบ้าน ไปยังสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์(ลาดกระบัง)
2. ยืน (เพราะมันไม่ได้นั่งไง) รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ จากสถานีลาดกระบัง ไปยังสถานีปลายทาง พญาไท
3. ไปต่อรถไฟฟ้า BTS จากสถานีพญาไท ไปสถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (แค่ 1 สถานีเอง)
4. ต่อรถเมล์ที่ให้บริการฟรี ไปยังสนามหลวง

นั่นแหละครับการเดินทางของผม ดูมันง่ายๆนะครับ แต่มันก็ง่ายจริงๆแหละ เพียงแต่ว่ามันใช้ระยะเวลาเดินทางหน่อยแค่นั้นเอง ผมไปถึงสนามหลวงประมาณ 10 โมงครับ พอไปถึงผมก็ดูไม่ออกหรอกคครับว่า คนมันเยอะหรือน้อย รู้แต่เพียงว่า มองไปทางไหนก็คนทั้งนั้น ดำไปหมดเลย

พอเข้าบริเวณเต็นท์สำหรับต่อคิวนั้น ก็งงๆ เดินวนไปวนมาสักพักเพื่อหาหางแถวแต่ก็ไม่เจอ เลยต้องไปถามพี่ๆที่ให้บริการแถวนั้น ถามประมาณ 2 ครั้ง จึงเดินวนไปเจอหางแถว พอเจอหางแถวเท่านั้นแหละครับ ทำหน้าตกใจ แล้วร้อง โหหหห ได้เลยครับ เพราะแถวยาวมากๆ แล้วยังต้องยืนตากแดดอีกด้วย เพราะหางแถวมันยาวเลยออกมานอกเต็นท์ล่ะครับ ผมก็ต่อท้ายแถว แล้วก็มีคนมาต่อข้างหลังผมอีกเรื่อยๆๆเลยครับ ระหว่างที่ยืนต่อแถวรอเข้าในเต็มท์ ก็มีน้องๆจิตอาสาเดินมาแจกน้ำ แจกขนม แจกร่ม(ให้ยืม แล้วต้องคืน)ก็มีครับ

ถ้าจำไม่ผิด ผมใช้เวลาต่อแถวรอเข้าเต็นท์เกือบๆ 1 ชั่วโมงเหมือนกันนะครับ เวลาตอนนั้นก็ใกล้เที่ยงเข้าไปทุกที ร้อนขึ้นเรื่อยๆครับ พอผมเข้าเต็นท์ได้ ก็ค่อยหายร้อนขึ้นหน่อย จะสงสารก็แต่คนที่ต่อแถวต่อจากผมอีกเพียบเลยนี่แหละครับ เพราะเจอแดดแรงเต็มๆเลย

ขืนเล่าละเอียดคงยาวแน่ๆ งั้นผมขอรวบรัดเลยนะครับ ระหว่างที่อยู่ในเต็นท์รอการเข้าไปกราบพระบรมศพนั้น จะเป็นการนั่งรอที่ง่วงด้วย เมื่อยตูดด้วยครับ แต่ยอมรับในความสะดวกสบายมากครับ เพราะเรานั่งอยู่ที่เดิม แต่ก็มีอาหาร น้ำดื่มมาให้ตลอด รวมไปถึงจิตอาสาที่คอยแวะเวียนมาเก็บขยะอยู่เรื่อยๆ เรียกได้ว่า สะดวกสบายยิ่งกว่าอยู่บ้านอีกครับ ที่ต้องทนมีเพียงอย่างเดียวคือ มันร้อน และต้องสู้กับใจตัวเองครับ ว่าต้องทนให้ได้ เพื่อกราบพ่อ

จากสว่างแดดเปรี้ยงๆ จนมืดค่ำ ในที่สุดผมก็ได้เข้าไปกราบพระบรมศพ ซึ่งตอนเข้าไปก็ไม่รู้นะครับว่ากี่โมง แต่ผมจะได้ว่า ผมออกจากบริเวณสนามหลวงประมาณ 21.00 น.ครับ รวมระยะเวลาในการไปกราบพระบรมศพคือ 11 ชั่วโมงครับ แต่ถ้าหากนับรวมตังแต่ออกบ้าน ก็เกิน 12 ชั่วโมงล่ะครับ

ไม่เหนื่อยเลยนะครับ กับการใช้เวลานั่งรอในเต็นท์เพื่อเข้าไปกราบพระบรมศพ แต่จะเหนื่อยก็ตรงเดินทางซะมากกว่าครับ มาคิดๆดู เราแค่นั่งรอในเต็นท์ แต่จิตอาสาที่คอยช่วยเหลือคนที่นั่งรอนี่สิครับ เหนื่อยกว่าเราเยอะ หากจิตอาสาในงานพระบรมศพได้อ่านบทความนี้ ผมก็ขอขอบคุณมากๆครับ ที่คอยดูแลทุกๆคนอย่างเต็มที่ สำหรับผมแล้วพวกท่านทุกคนคือ ฮีโร่..ฮีโร่คนธรรมดาๆที่ไม่ต้องการอะไรตอบแทน นอกเสียจาก ความภูมิใจ และสุขใจที่ได้ทำเพื่อพ่อหลวงของเรา (น้ำตาจะไหลอีกละ)

เอาล่ะครับ ไปๆมาๆก็ยาวจนได้ ดีใจที่บทความยาวแล้ว ก็ขอจบบทความนี้ไว้เพียงเท่านี้ครับ ... พ่อหลวงจะอยู่ในใจลูกคนนี้ตลอดไป

สวัสดีครับ
ต.ต้น

ความคิดเห็น