hostneverdie

weltrade

siamfocus

ตอนที่ 174 (บทความ) _ เปิดไฟเลี้ยวเถอะครับ ถ้ามันไม่ได้ทำให้บ้านพี่ไฟไหม้

 เปิดไฟเลี้ยวเถอะครับ ถ้ามันไม่ได้ทำให้บ้านพี่ไฟไหม้

16 กุมภาพันธ์ 2564

       จำไม่ได้ว่าเคยเขียนเรื่องนี้ไปรึยังนะครับ แต่ว่าวันนี้โดนอีกแล้ว ก็เอามาเขียนอีกสักรอบก็แล้วกัน แล้วถ้าโดนอีก ก็อาจจะเอามาเขียนอีกเรื่อยๆ ฮ่าๆๆ ก็มันหงุดหงิดจริงๆนี่ครับ ซื้อใบขับขี้มารึไง ทำไมถึงได้ไม่มีมารยาท ไม่รู้กฎหมายได้ขนาดนั้น ใครๆก็รู้ว่า ถ้าจะเลี้ยว ต้องเปิดไฟเลี้ยวก่อน ไม่ใช่เลี้ยวเสร็จแล้ว ค่อยเปิดไฟแล้ว แหม พูดละขึ้นๆ

       วันนี้ที่เจอมาก็คือ ขี่มอเตอร์ไซค์ตามหลังรถกระบะคันหนึ่งครับ แล้วรถคันนั้นมันขับแบบเบี่ยงขวานิดนึงครับ ทำให้ผมแซงไม่ได้ ก็ต้องขี่ตามไปเรื่อยๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าเขารอให้ผมแซง หรือว่าเขารอจังหวะออกขวาก็ไม่รู้นะครับ เพราะขี่ตามกันไปไกลอยู่ ซึ่งจังหวะแซงผมทำไม่ได้ครับ เพราะเขาเบี่ยงขวานิดๆ เบียดเลนอยู่ ช่องว่างในการแซงมันไม่พอครับ

       จนในที่สุดเขาก็เปลี่ยนเลนไปเลนขวาตามที่คิดไว้ครับ แต่ที่หงุดหงิดคือ เขาเข้าไปค่อนเลนแล้วครับ ถึงจะเปิดไฟเลี้ยวขวา จริงๆถ้าเปิดไฟเลี้ยวขวาตั้งแต่แรก ผมอาจจะผ่อนความเร็ว แล้วเบี่ยงออกซ้ายไป แล้วเขาก็เข้าเลนขวาไปเลยก็ได้ แต่ทำไมเขาไม่ทำ ทำไมไม่เปิดไฟเลี้ยวขวาตั้งแต่แรก จะรอให้ผมแซงก็ไม่น่าใช่ เพราะตัวเองขับเบียดขวา จนผมไม่มีช่องให้แซง

       จบเหตุการณ์แรกไป ก็ไปเจออีกเหตุการณ์ (วันซวยอะไรเนี่ย) รอบนี้รถจะเข้าซอยครับ เหตุการณ์นี้หลายๆคนคงจะเคยเจอกับตัวเองบ่อยๆ ผมขี่ตามหลังรถเก๋งครับ ขี่ตามฝั่งซ้าย ค่อยๆขี่ เพราะไม่รีบ แต่อยู่ๆเก๋งก็ชะลอๆๆ ผมก็ดูถนนข้างหน้านะครับ ว่าเกิดอะไรขึ้น มีรถติด หรือรถออกจากซอยรึเปล่า แต่ว่ามันไม่มีอะไรเลย นอกจากถนนโล่งๆครับ

       เอาล่ะ ตอนนั้นผมรู้ตัวแล้วว่า ผมโดนแล้ว ถ้าไม่จอด ก็เข้าซอยแน่ๆ แต่ทำไมไม่เปิดไฟเลี้ยว ไม่เข้าใจจริงๆ ผมตัดสินใจไม่ออกขวาเพื่อแซงครับ ผมจะรอดูว่า เขาจะทำอะไร แล้วจะเปิดไฟเลี้ยวหรือไม่ ปรากฏว่าเขาก็ชะลอเรื่อยๆ จนถึงปากซอย แล้วเปิดไฟเลี้ยวซ้ายครับ ผมถึงค่อยออกขวาแล้วแซงไป 

       ในความคิดคือแบบ ซื้อใบขับขี่มารึไง ในข้อสอบการสอบใบอนุญาตขับขี่ก็มีระบุไว้ว่า "เปิดให้สัญญาณไฟในระยะ 30 เมตรก่อนถึงแยก และให้เห็นสัญญาณได้ในระยะ 60 เมตร" ซึ่งแน่นอนว่ามันกะระยะบนถนนไม่ถูกหรอกครับ แต่มันก็ไม่ใช่ 1 เมตรก่อนเลี้ยวแน่ๆล่ะ แหม พูดละขึ้น ฮ่าๆๆ

       เอาเป็นว่า ขับขี่รถบนท้องถนน ควรมีความเห็นใจคนอื่นด้วยนะครับ จะเลี้ยว จะแซง จะชะลอ หรือจะทำอะไร ควรมีสัญญาณให้ชัดเจนจะดีกว่าครับ เพราะคนอื่นเขาไม่รู้หรอกว่า เราจะทำอะไรกันแน่ ป้องกันการโดนด่านะครับว่า "เปิดไฟเลี้ยวแล้วบ้านมึงจะไฟไหม้รึไง ไอ้เหี้ย"


ขอบคุณครับ

ต.ต้น

ตอนที่ 173 (บทความ) _ เมื่อไหร่ละครไทย จะนำสังคมไปในทางที่ดี

เมื่อไหร่ละครไทย จะนำสังคมไปในทางที่ดี

9 กุมภาพันธ์ 2564

       ปัจจุบันละครไทยมีทั้งที่สะท้อนสังคม และนำสังคมไปในทางที่ดี แต่ส่วนใหญ่แล้วที่จะนิยมกัน ก็จะเป็นพวกสะท้อนสังคมซะมากกว่า ถามว่าเพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะว่า คนเข้าถึงง่าย เข้าใจง่ายยังไงล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยาเสพติด เรื่องความรุนแรง เรื่องเพศ เรื่องความรักผิดๆ ฯลฯ ก็อีกเยอะล่ะครับ ก็ไม่รู้เรียกว่า สะท้อนสังคม หรือเอาแค่ชีวิตจริงมาทำละครกันแน่

       แต่เชื่อเถอะครับว่า มันไม่ได้ทำให้สังคมดีขึ้นสักเท่าไหร่หรอกครับ ดีไม่ดี นำพาสังคมไทยดำดิ่งลงไปอีกด้วยซ้ำ

       จะยกตัวอย่างทีละข้อๆ ที่เห็นในละครไทย แล้วมันไม่ได้ช่วยให้สังคมไทยดีขึ้นเลยก็แล้วกันนะครับ

       เรื่องยาเสพติด ที่เห็นๆส่วนมากเลยก็คือ เจ้าพ่อ นี่เลยยยย รวยมาเลย มีอิทธิพลสุดๆ มีเงินเยอะแยะ แต่ถามว่ารวยเพราะอะไร ในละครก็บอกว่า มีการยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดนั่นเอง แม้ว่าในตอนท้ายเรื่องเจ้าพ่อจะโดนจับ แต่ถามว่า ความรวยที่เห็นในละคร คนธรรมดาๆที่ดูละครอยากรวยมั้ย ตอบได้เลยว่า อยากรวยแน่ๆ และมันก็ทำให้คนธรรมดาๆ มุ่งหายาเสพติดเพื่อหวังรวยยังไงล่ะครับ

       เรื่องยาเสพติดอีกนิดหนึ่ง จะมีบทของวัยรุ่นติดยาเสพติดครับ แล้วในละครก็ช่วยกัน จนในที่สุดก็หายติดยา หรือถ้าเป็นตัวร้ายก็อาจจะตาย ถามว่า มันสะท้อนสังคมมั้ย มันก็สะท้อนสังคมแหละ แต่มันก็สะท้อนมากี่ปีแล้ว มันช่วยสังคมมั้ยล่ะ ผมว่าไม่นะ ดีไม่ดี วัยรุ่นอยากลองยามากกว่าเดิมอีก เพราะคำว่าสะท้อน มันก็เหมือนส่องกระจก ส่องเจออะไรไม่ดี ก็มีโอกาสเลียนแบบได้นั่นเอง

       ทำไมไม่ทำละครที่ตัวละครทำอาชีพดีๆ เป็นตัวอย่างดีๆ รวยเพราะขยันทำงานล่ะ แม้มันจะเพ้อฝัน ขายฝัน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้สังคมแย่ลงนะ ถ้าไม่เชื่อ ถามกัปตันอเมริกาดูสิ

       เรื่องความรุนแรง ในละครมีเยอะมากที่เอะอะตบ เอะอะกระทืบ จิกหัว รุมทำร้าย เจอคู่อริ เรียกพวกไปรุม ความรุนแรงทั้งน้านนนน อยากจะถามว่า ทำไปทำไม ยิ่งทำก็ยิ่งเป็นตัวอย่างให้สังคมไปในทางแย่ๆ อยากให้คนไทยไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา แต่ละครแม่งตีกันโครมๆ แล้วคนไทยที่ดูละคร ก็เลียนแบบกันไปสิครับ อย่าบอกว่า ก็คนที่ใช้ความรุนแรงไม่มีหัวคิดนะ เขาคิดแหละ แต่คิดแบบในละครไง

       ถ้าในละครสู้กันด้วยคำพูด สู้กันด้วยเหตุผล เถียงกันแทบเป็นแทบตาย แต่ก็ไม่ลงมือเลย มันจะดีกว่ามั้ย ถึงจะคันไม้คันมือเต็มที่ แต่ก็เป็นคนที่คิดได้ เลยไม่ลงมือ แบบนี้จะดีกว่ามั้ย อ้างอิงความเป็นจริง ความเป็นมนุษย์ ทำละครนำสังคมดีๆ คนก็ไม่ใช้ความรุนแรงได้นะครับ

       เรื่องเพศ อันนี้หนักเลย สาหัสมาก ที่เราเรียกกันว่าละครตบจูบนี่ ตัวดีเลยครับ พระเอกตบนางเอก ทำร้ายนางเอก แล้วลงท้ายที่ พระเอกข่มขืนนางเอก จนสุดท้าย พระเอกก็ได้นางเอก แอร๊ยยยยย ใครแม่งคิดพล็อตนี้วะ อุบาทมาก รู้มั้ยว่าในสังคมมันเลียนแบบกันเยอะมาก ความคิดของผู้ชายที่อยากได้ผู้หญิงสักคน ต้องข่มขืน แล้วสุดท้ายก็ทำดีด้วย สุดท้ายจะได้เป็นแฟนกัน เชี่ยยยย แม่ง คิดได้ไงวะ

       หรือนางตัวร้าย อยากได้พระเอก ต้องอ่อยพระเอก ให้พระเอกเอากูให้ได้ แล้วพระเอกก็จะเป็นของกู แอร๊ยยยยย นี่ก็อุบาท ใครคิดวะ บางทีในเรื่องนางร้ายอ่อยจะได้พระเอกนะ แต่จบที่นางร้ายโดนทิ้ง เอ้าาาา อิหยังวะ แบบนี้ก็ได้เหรอ พอสังคมเลียนแบบ ก็กลายเป็นว่า ความมั่วในเรื่องเพศมันกลายเป็นเรื่องปกติในสังคมไปซะแล้ว

       หรืออีกบทคือ นางร้าย(อีกละ) อ่อยพระเอก แต่พลาดเว้ยเฮ้ย โดนตัวร้ายข่มขืนแทน แล้วแม่งสุดท้ายก็ได้กันไปเฉยเลยก็มี หรืออีกสักบท นางเอกโดนตัวร้ายข่มขืนเว้ยเฮ้ย แต่สุดท้ายไม่เอาตัวร้าย ไปได้กับพระเอกแทน แอร๊ยยยยย ฟิน...ไม่ใช่ละ เนี่ยครับ เรื่องเพศในละคร บางทีมันก็ทำให้สังคมมองเรื่องเพศเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เพราะในละครมีให้เห็น จะมั่วขนาดไหน ยังไงสุดท้ายก็ได้ใครสักคนเป็นคู่แหละ มันก็เลยมั่วกันสุดๆไปเลย

       เรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์นะครับ แต่มันจะดีกว่ามั้ยถ้า มันเกิดจากความสมยอม ไม่ใช่การข่มขืนน่ะครับ แล้วก็ต้องยอมรับว่า ตอนนี้โลกเปิดกว้างมากขึ้นจริงๆ การมีเซ็กกันหลากหลายขึ้น ทั้งเพื่อหาเงิน(ไซด์ไลน์) ทั้งเพื่อความบันเทิง(FWB) หรือมีทั้งแบบสลับคู่(SWING) ไม่ว่าจะรูปแบบไหน ก็ไม่อยากให้ละครนำมาใส่ในละครครับ ปล่อยให้เป็นเรื่องของสังคมจริงๆมันไปจะดีกว่าครับ

       เรื่องความรักผิดๆ อันนี้ก็เข้าข่ายเมียน้อยล่ะครับ ละครหลายเรื่องนะ มีบทเมียน้อย ซึ่งมันก็นำพาสังคมให้อยากเลียนแบบนะครับ รวมไปถึงเรื่องฝ่ายหญิงมีชู้ด้วยก็มี มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรนำมาใส่ในละครเลยครับ เพราะคนที่เป็นน้อย หรือเป็นชู้ในละครนั้น โคตรจะสบายเลยครับ มีเงินใช้ มีที่อยู่สบายๆ แม้ตอนจบจะพัง แต่คนที่เห็นในละคร ก็อยากลองในชีวิตจริงใช่มั้ยล่ะครับ มีเงิน อยู่สบาย เสียแค่ตัวเอง ใครไม่อยากทำล่ะ

       ที่ผิดๆอีกเรื่องคือ พระเอกมีแฟนอยู่แล้ว แต่ไปเจอนางเอก ก็เลยเปลี่ยนสถานะของแฟนพระเอก ไปเป็นนางร้ายเฉยเลย คิดดูดีๆนะครับ จริงแล้ว นางเอกแย่งพระเอกมานะครับ ถ้าในชีวิตจริง มันสมควรเหรอครับ หรือจะบอกว่า เขาแค่แฟนกัน พระเอกยังมีสิทธิเลือก แล้วแฟนพระเอกล่ะครับ ทำไมเขาต้องเสียสละให้นางเอกด้วยล่ะ ทำไมเขาต้องถูกคนเกลียดเมื่อเขาอยากได้พระเอกซึ่งเป็นแฟนของเขาคืน

       จริงอยู่ว่าในสังคมจริงๆมันก็มีเรื่องแบบนี้อยู่เยอะ แต่ก็อยากจะถามว่า แล้วทำไมละครต้องนำสังคมด้วยการแย่งคนที่อยากได้แบบนั้นด้วยล่ะครับ มันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีไม่ใช่เหรอ คนอาจจะคิดว่า ฉันเป็นนางเอก ฉันเป็นพระเอก ฉันต้องได้คนที่ฉันอยากได้ เพราะในละครทำได้ ฉันก็ต้องทำได้ แบบนี้มันก็มีจริงๆนะครับ คนมักคิดเข้าข้างตัวเองเสมอแหละ

       เอาล่ะครับ พอเท่านี้จะดีกว่าครับ ผมก็แค่บ่นล่ะครับ เพราะอยากเห็นละครไทยก้าวหน้าจากในอดีตครับ หลุดพ้นจากเรื่องยาเสพติด เรื่องความรุงแรง เรื่องเพศ เรื่องความรักผิดๆ น่ะครับ

       มันจะดีมากเลยถ้าละครไทยนำสังคมไปทางที่ดีเช่น คนรวย ก็รวยเพราะทำงานสุจริต, ทะเลาะกันด้วยเหตุผล ไม่ใช้ความรุนแรง, ไม่มีการข่มขืนกันในละคร รวมไปถึงไม่มีฉากเซ็กในละครเลย และไม่มีการแย่งชิงแฟนกันในละคร เอาแค่คนโสดๆมาเจอกันไปเลย 

       แต่ก็นะ ถ้าไม่มีบทพวกนั้นที่ว่ามา ละครก็คงจืดชืด ไม่สนุกแน่ๆเลย แต่ถ้าไม่เริ่มทำละครดีๆสักที แล้วเมื่อไหร่สังคมไทย จะดีขึ้นสักทีล่ะครับ จริงมั้ยครับ

ขอบคุณครับ

ต.ต้น

ตอนที่ 172 (บทความ) _ จะเยียวยา หรือจะเล่นเกม ?

 จะเยียวยา หรือจะเล่นเกม ?

8 กุมภาพันธ์ 2564

       อยากจะถามรัฐบาลประยุทธ์สุดๆเลยครับ ว่านี่พวกท่านกำลังทำการเยียวยา หรือพวกท่านกำลังเล่นเกมอะไรกับประชาชนอยู่กันแน่ เพราะโครงการที่ออกมา มันช่างเหมือนกันเลยเกมซะมากกว่านะ

       ทำไมถึงเหมือนเล่นเกมน่ะเหรอ ก็เพราะว่า เกมน่ะ จะเล่นเฉพาะคนที่สนใจ และมีอุปกรณ์พร้อมยังไงล่ะ ใครไม่สนใจ ก็จะไม่เล่น หรือใครที่อยากเล่น แต่อุปกรณ์ไม่พร้อม เขาก็ไม่เล่นไง จริงมั้ยล่ะครับ

       หากเปรียบเทียบกับเงินเยียวยาในชีวิตจริงๆ มองภาพกว้างๆ ก็จะเห็นว่า เออนี่ล่ะ การเล่นเกม ไม่ใช่การเยียวยาอย่างจริงใจของรัฐบาลเลย

       สมมุติว่ามีคนอยู่ 100 คนที่ได้รับผลกระทบจากโควิค และต้องได้รับการเยียวยาครบทุกคน แต่รัฐบาลบอกว่า เอ้า ใครอยากได้รับการเยียวยานะ ต้องลงทะเบียนนะ มีสิทธิทั้งหมด 70 คน ห๊ะ เชี้ยละ  ที่ต้องเยียวยา 100 คน แต่มีสิทธิแค่ 70 คนเนี่ยนะ นี่เกมที่ 1 ละ

       ในการลงทะเบียนรับสิทธินั้น ต้องมีโทรศัพท์ที่เล่นอินเตอร์เน็ตได้ หรือสมาร์ทโฟนด้วย ใน 100 คน อาจจะมีเพียง 90 คนก็ได้ที่มีพร้อม ดังนั้นเงื่อนไขนี้ก็ตัดคนออกไปเลย 10 คนแน่ๆละ แล้วก็มีคนรวยบางคนบอกว่า โห เดี๋ยวนี้สมาร์ทโฟนราคาไม่แพง 500 ก็ซื้อได้แล้ว ครับ!!! 500 ค่าโทรศัพท์ พอมีโทรศัพท์ก็ต้องมีอินเตอร์เน็ต ไปดูค่าเน็ตครับ แพงกว่าค่าโทรศัพท์ไปอีก ก็จะมีคนรวยมาบอกว่า อินเตอร์เน็ตฟรีก็มี ครับ!!! ถ้ามันจะลำบากขนาดนั้น ไม่ต้องเยียวยากูก็ได้ครับ นี่เกมที่ 2 ละ

       เปิดลงทะเบียน 6 โมงเช้า แน่นอนว่า ทุกคนต้องแหกขี้ตาตื่นมาแย่งกัน ถ้าคนที่ว่างๆ ก็อาจจะตื่นมานั่งรอ นอนรอได้เลย แล้วพอ 6 โมงปุ๊บ ก็พรึ่บๆๆๆ 8 นาที สิทธิเต็ม!!! แม่งเอ้ย แย่งกันอย่างหมาแย่งกระดูก แล้วคนที่เขาไม่พร้อมตอน 6 โมงเช้าล่ะ พ่อค้าแม่ค้าที่ต้องขายของตั้งแต่ก่อน 6 โมงล่ะ จริงอยู่ว่าเขาตื่นอยู่ แต่เขาจะมานั่งรอลงทะเบียนไม่ได้นะ เขาต้องทำงานไง ไม่ว่างหรอก นี่เกมที่ 3 ละ

       คนที่ลงทะเบียนได้ พอลงทะเบียนไป เอ้า สิทธิไม่ผ่าน ติดเงื่อนไขโน้นนี่นั่นไปอีก เงื่อนไขเยอะเกิ๊นนนน ถ้าการเยียวยามีเงื่อนไขแบบนี้ มันก็เป็นเหมือนการเล่นเกม ที่ต้องมีไอเทม มีเลเวลตามเงื่อนไข ถึงจะได้ผ่านด่านนั่นแหละ เกมมั้ยล่ะ เกมที่ 4 ละ

       พอละ ขี้เกียจเขียนละครับ ยิ่งเขียน ยิ่งหงุดหงิด อยากจะบอกว่าคนเขียนเอง ก็ไม่ได้สิทธิอะไรเลยสักอย่าง ติดเงื่อนไขเยอะ แล้วก็ไม่ชอบวิธีการที่ต้องแย่งชิงด้วยครับ (อันนี้คนเขียนอาจจะผิดที่ไม่ชอบแย่งชิง เลยไม่ได้สิทธิ) หากรัฐบาลจะเยียวยาจริงๆ ก็ไม่ควรมีเงื่อนไขเยอะแบบนี้ครับ เพราะทุกคนได้รับผลกระทบหมด เพียงแต่ว่าจะมาก หรือน้อยต่างกันก็แค่นั้น 

       รัฐบาลมีข้อมูลในทะเบียนราษฎร์ การเปิดดู แล้วก็เยียวยาตามในทะเบียนราษฎร์ด้วยการมอบเงินไปตามที่อยู่ตามทะเบียนบ้านเลย มันก็จบละ คนละเท่าๆกันไปเลยก็ได้ น้อยหน่อย แต่ก็ได้ทุกคน มันน่าจะดีกว่ามั้ย (อาจจะโดนด่าว่าเยียวยาด้วยเงินน้อย แต่มันก็ได้ทุกคนนะ)

       หากอยากจะให้เศรษฐกิจฟื้น ควรเยียวยาทุกคนครับ เพราะแต่ละคนก็ใช้เงินในรูปแบบต่างๆกันไป ถ้าการเยียวยาไปกระจุกที่คนกลุ่มเดียว เงินมันก็จะไปฟื้นเศรษฐกิจได้แค่กลุ่มเดียวครับ ซึ่งมันอาจไม่มีประโยชน์มากพอก็ได้ครับ

       อ่อ อีกอย่างนะ เป็นอะไรมากกับแอปพลิเคชั่น กับการลงทะเบียนเหรอ มันสนุกเหรอ มาลองใช้เองบ้างมั้ยล่ะ หรือเป็นแค่คนคิด เลยคิดว่า เออ สนุกๆๆ ประชาชนแย่งกันเหมือนหมาเลย สนุกจังเลยยยยย เป็นการเช็คเรตติ้งไปด้วยในตัว งี้ป่ะ แม่ง ไอ้...

       อยากให้สังคมไทยเป็นยุค 4G หรือ 5G สังคมไร้เงินสดน่ะ พอจะเข้าใจ แต่มันใช่เวลามั้ย ห๊ะ? เหมือนตอนนี้ไฟไหม้บ้านอยู่ แต่มึงอยากทดลองไฟบอลอะ โยนไส่ทีละลูกๆ โยนตรงนั่น โยนตรงนี้ ดูว่าจะดับไฟเป็นยังไงบ้าง กว่าไฟจะดับ บ้านมึงก็ไหม้ไปเยอะละ เฮ้ออออ

       สุดท้ายนี้ อยากจะถามรัฐบาลประยุทธ์ว่า จริงใจกับประชาชนบ้างมั้ย หรือเห็นประชาชนเป็นแค่พวกคนจนๆ เป็นพวกที่ต้องอยู่ในอำนาจของคนมีเงินเท่านั้น ถึงได้เหมือนเล่นเกมกันแบบนี้ เยียวยาในรูปแบบเกมแบบนี้ เอ๊ะ จะว่าไปแล้ว คนที่เป็นเจ้าของเกม ก็ได้เงินไปเพียบเลยสิ อุ๊ย!!!

ขอบคุณครับ

ต.ต้น

ตอนที่ 171 (เรื่องสั้น) _ หนูต้องสอบผ่าน

หนูต้องสอบผ่าน

       "ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก ไม่มีแสงในตัวเอง แต่ที่เรามองเห็นดวงจันทร์สว่างนั้น เกิดจากได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ แล้วสะท้อนมายังโลกนั่นเอง เอาล่ะ ใครมีคำถามอะไรมั้ยคะ" จบประโยคของคุณครู ก็ไม่มีใครกล้ามีคำถามเลยสักคน

       "ถ้าไม่มีใครถามอะไร งั้นวันนี้ก็จบเท่านี้ค่ะ เลิกเรียนได้" คุณครูวิชาวิทยาศาสตร์สอนเรื่องของระบบสุริยะจักรวาลในชั่วโมงเรียนของวันนี้ มันช่างดูแปลกใหม่ และน่าสนใจมากๆ จนรู้สึกว่า อยากจะไปท่องอวกาศดูสักครั้ง มันคงสนุกไม่น้อยเลย

       "อ่อ ครูลืมบอกไปว่า วันจันทร์ครูจะสอบเก็บคะแนนเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนกันวันนี้นะ" ระหว่างที่คุณครูเก็บของเตรียมไปสอนที่ห้องอื่นต่อ ก็ได้หันมาบอกนักเรียนทุกคนในห้องให้ได้รับรู้ว่า วันจันทร์เตรียมตัวโดนเชือดกันไว้นะ

       "ขอบคุณครับ/ค่ะ" นักเรียนทุกคนทำความเคารพคุณครูหลังจากที่คุณครูได้สอนเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

       สวัสดีค่ะ หนูชื่อ เบส นะคะ ตอนนี้หนูเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 5 ค่ะ ถึงหนูจะยังเด็ก แต่หนูก็มีความคิด และความรับผิดชอบที่โตเกินวัยมากนะคะ หนูเรียนเก่งนะ แต่ก็ไม่ได้เก่งที่สุด แค่สอบได้ติด 1 ใน 5 ของห้องตลอดเท่านั้นเอง

       แล้วก็อย่างที่บอกไปค่ะว่า หนูมีความรับผิดชอบที่โตเกินวัย แค่การสอบเก็บคะแนน หนูก็จริงจังมากค่ะ หนูจะทำให้สมกับชื่อเบสที่แปลว่า ดีที่สุด ค่ะ

       "เย้ เลิกเรียนแล้ว ไปๆ ไปเล่นโดดยางที่หน้าตึกกัน" เพื่อนในกลุ่มของหนูชวนไปเล่นโดดยาง หลังจากที่เรียนมาทั้งวันแล้ว ต้องไปหาอะไรเล่นคลายเครียดกันค่ะ เห็นเด็กๆกันแบบนี้ ก็เครียดเหมือนกันนะคะ

       ถ้าถามว่าเป็นแค่เด็กประถม จะไปเครียดอะไรนักหนา โห อย่าให้ต้องเล่าค่ะ มันจะยาว แต่หนูก็ขอตอบสั้นๆนะคะว่า จะเรียนเยอะไปไหน แล้วบ้าเกรดอะไรนักหนาคะ พวกหนูยังเด็กอยู่เลย จบค่ะ

       กลับมาที่การไปเล่นโดดยางต่อนะคะ โดยปกติแล้วกลุ่มของพวกหนูจะมีกันอยู่ 6 คนค่ะ ก็สนิทกันแหละ แล้วก็จะมีทั้งเรียนเก่ง และไม่เก่งปนๆกันไป โดยในกลุ่มหนูจะเรียนเก่งที่สุดค่ะ เรียกว่าเป็นหน้าเป็นตาของกลุ่มในเรื่องการเรียน และอันดับในการสอบเลยทีเดียว แต่ถึงแม้จะเป็นหน้าเป็นตาของกลุ่มในเรื่องการเรียน มันก็มีปัญหาได้ค่ะ

       "ไปเล่นกันเถอะ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับไปอ่านหนังสือ เพราะวันจันทร์มีสอบเก็บคะแนนนะ" นี่แหละค่ะ ปัญหาของคนที่เป็นหน้าเป็นตาของกลุ่มในเรื่องการเรียน คือแบบมันต้องเก่งไงคะ เข้าใจใช่มั้ยคะ บวกกับที่หนูมีนิสัยที่มีความรับผิดชอบที่โตเกินวัยด้วย มันก็เลยยิ่งต้องมีความรับผิดชอบค่ะ

       ยิ่งช่วงสอบกลางเทอม กับปลายเทอมนะคะ ยิ่งหนักเลยค่ะ หนูตั้งใจอ่านหนังสืออย่างกับเด็กมหาลัยเลยล่ะค่ะ หนูเคยได้ยินมาว่า เด็กมหาลัยอ่านหนังสือเยอะมาก นอนกันดึกๆ ก็ไม่รู้ว่าจริงมั้ยนะคะ แล้วจะว่าอ่านหนังสือจนเครียดมันก็เครียดนะคะ แต่มันจะเครียดยิ่งกว่า ถ้าหนูไม่อ่านหนังสือ แล้วทำข้อสอบไม่ได้ แล้วคะแนนตก เกรดตก โอย หนูยอมไม่ได้หรอกค่ะ

       "ไปเล่นแปปเดียวเองเบส ไม่ไปจริงๆเหรอ" เพื่อนอยากให้หนูไปเล่นด้วย เพราะถ้าไปไม่ครบ 6 คน มันก็ไม่สนุก

       "ไม่ล่ะ เดี๋ยวเอาไว้คราวหน้าละกันนะ ไปเล่นกันเถอะ" ถึงแม้หนูจะพูดเหมือนไม่สนใจเพื่อน ไม่รักเพื่อน แต่เพื่อนก็เข้าใจหนูนะคะ เพราะหนูก็มีแค่ช่วงสอบเท่านั้นแหละ ที่หนูค่อนข้างจริงจัง เพื่อนๆเลยดูออก เอ๊ะ หรือว่าเพื่อนยังเด็ก ก็เลยไม่สนใจกันแน่นะ เอ๊ะๆๆ

       กลับถึงบ้าน หนูก็โยนกระเป๋านักเรียนไว้บนเตียงนอนเลยค่ะ ไม่ใช่ว่าหนูไม่มีระเบียบนะคะ แต่พอดีมันหนักค่ะ ทุกเย็นวันศุกร์จะเป็นแบบนี้ประจำเลยค่ะ เพราะต้องแบกหนังสือทุกเล่มทุกวิชากลับมาบ้านค่ะ คือแบบหลังแทบหักเลยค่ะ

       เอาจริงๆหนูก็ไม่เข้าใจนะคะว่า ทำไมไม่ให้เอาหนังสือไว้ในลิ้นชักโต๊ะเรียน จะบอกว่ากลัวหายเหรอคะ เออ ใครมันจะขโมยไปคะ ในเมื่อหนังสือก็มีเหมือนกันทุกคน ขโมยไปก็เอาไปทำอะไรไม่ได้ด้วย นอกจากจะเอาไปเรียน นี่หนูไม่เข้าใจจริงๆนะคะ

       นี่ยังดีว่าโรงเรียนของหนูให้เอาไว้ในลิ้นชักได้ในวันจันทร์ ถึงวันพฤหัส แต่พอวันศุกร์ต้องขนกลับบ้านให้หมด  แต่เอ๊ะ หรือว่าโรงเรียนอื่นเขาเอาไว้ในลิ้นชักที่โต๊ะได้ ไม่เอากลับบ้านกัน มีแต่โรงเรียนหนูที่ให้เอากลับบ้านกันนะ เอ๊ะๆๆ

       "พรุ่งนี้พ่อมีธุระที่ชลบุรี ลูกจะไปเที่ยวทะเลมั้ย พ่อจะแวะไปส่งตอนเช้า แล้วตอนบ่ายๆก็จะแวะรับกลับบ้าน" โอ้โห ได้ยินคำว่าทะเลแล้วหูผึ่งเลยค่ะ คิดถึงบรรยากาศที่ชายหาด ลมแรงๆ เสียงคลื่นซ่าๆ แล้วก็โดดลงไปเล่นน้ำทะเลคลายร้อน แค่คิดก็ตื่นเต้นอยากไปมันซะตอนนี้เลยล่ะค่ะ

       "ไปไม่ได้ค่ะ พอดีวันจันทร์มีสอบเก็บคะแนนวิชาวิทยาศาสตร์ค่ะ" แต่หนูก็อดไปทะเลค่ะ เพราะมีการสอบเก็บคะแนนขวางอยู่ จนบางทีก็เบื่อตัวเอง ไม่น่ารีบมีความคิดโตเกินวัยเลย

       "เอ้า เหรอคะ ไม่เป็นไรนะ ไว้คราวหน้าละกัน เพราะช่วงนี้พ่อน่าจะต้องไปธุระที่ชลบุรีบ่อยอยู่เหมือนกัน" พ่อพูดคุยกับหนู และทุกคนในบ้านขณะที่ทานข้าวกันอยู่ ซึ่งพอพ่อพูดแบบนั้น มันก็ทำให้หนูรู้สึกดีขึ้นมามากทีเดียว ที่ยังมีโอกาสได้ไปทะเล

       "ถึงจะตั้งใจอ่านหนังสือยังไง ก็อย่าลืมซักถุงเท้านะ เดี๋ยวคืนนี้แม่จะแช่ไว้ให้ แล้วพรุ่งนี้น่าจะซักง่ายขึ้น" กำลังนึกถึงทะเลอยู่ดีๆ แม่เบรคความคิดซะอย่างงั้น รู้สึกเหมือนวิ่งอยู่บนชายหาด แล้วสะดุดกะละมังซักถุงเท้าเลยค่ะ

       พูดถึงถุงเท้า อันนี้หนูก็ไม่เห็นจะเข้าใจเลยค่ะ ทำไมต้องใส่ถุงเท้าสีขาวด้วย พวกคุณครูไม่รู้หรือไงว่า มันเปื้อนง่าย แล้วก็ซักยาก ทำไมไม่ให้ใส่ถุงเท้าสีดำ หรือสีน้ำตาลก็ได้ ไม่เข้าใจมากๆเลยค่ะ น่าเบื่อ เฮ้อ

       "ค่ะ แม่ ไม่ลืมหรอก แต่ก็อาจจะสะอาดน้อยหน่อยนะคะ พอดีหนูต้องรีบอ่านหนังสือค่ะ" จริงๆมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับต้องรีบอ่านหนังสือหรอกค่ะ มันเกี่ยวกับความขี้เกียจและความเบื่อที่ต้องใช้เวลาซักนานนี่แหละค่ะ

       ค่ำคืนวันศุกร์ผ่านไป โดยที่หนูไม่ได้อ่านหนังสือเลย เรียกได้ว่าเสียความตั้งใจในการอ่านหนังสือไปเพราะความง่วงซะอย่างงั้น ตอนแรกหลังจากทานข้าวเสร็จ ก็นั่งเล่นตุ๊กตาพักสมองอยู่แปปนึง แล้วก็ลุกไปอาบน้ำเพื่อความสบายตัว เพื่อให้สมองโล่งๆ แต่พอแต่งตัวเสร็จ หยิบหนังสือมาวางไว้บนเตียง แล้วก็ทิ้งตัวนอนคว่ำลงบนเตียงนอนตามหนังสือ แล้วก็วูบไปเฉยเลยค่ะ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พี่ชายมาเรียก ตอนเที่ยงคืนกว่าซะอย่างนั้น ก็ต้องนอนต่อล่ะค่ะ ไม่อ่านมันแล้ว

       "ซักดีๆสิลูก ค่อยๆหน่อยก็ได้ เลอะแข้งเลอะขาหมดแล้ว" คุณยายเดินมาที่หลังบ้าน ซึ่งเป็นที่ซักผ้าของบ้าน แล้วหนูก็กำลังซักถุงเท้าไปด้วย คิดอะไรเพลินๆไปด้วยค่ะ ทำให้ไม่มีสมาธิในการซักถุงเท้าสักเท่าไหร่ มันก็เลยเลอะเทอะไปหน่อย แต่มันก็ซักยากจริงๆนะคะ นี่ขนาดว่าแม่แช่ไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะเนี่ย

       "ค่ะ พอดีหนูคิดอะไรเพลินไปหน่อย เลยเลอะน่ะค่ะ แล้วนี่ตาไปไหนคะเนี่ย หนูยังไม่เห็นเลย" ปกติคุณตามักจะชอบเปิดทีวีเสียงดังอยู่ในบ้าน เพราะคุณตาหูไม่ค่อยดีแล้ว แต่วันนี้เงียบผิดปกติ จนต้องถามหาเลยทีเดียว

       "ไปเที่ยวทะเลกับพ่อหนูโน้นแหละ" โห คุณยายตอบแบบนี้ หนูแทบคลั่ง อยากไปทะเลนะเนี่ย หรือคุณยายจะแกล้งหนู

       หนูหันไปมองหน้าคุณยาย แล้วคุณยายก็ทำท่ามินิฮาร์ทให้ พร้อมกับยิ้มแบบกวนๆ โอย บ้านนี้มันจะอารมณ์ดี และบันเทิงอะไรขนาดนั้น

       หลังจากที่ทานข้าวเช้า และซักถุงเท้าเสร็จแล้ว ก็เป็นเวลาที่หนูจะได้อ่านหนังสือสักที หนูเข้าห้องนอน หยิบหนังสือวิทยาศาสตร์มาอ่านอย่างตั้งใจ หนูใช้เวลาอ่านหนังสือไปเรื่อยๆอย่างเงียบสงบ ได้ความรู้เพียบเลยค่ะ จนเรียกว่าพร้อมที่จะสอบเก็บคะแนน เพื่อเอาคะแนนเต็มแล้ว

       เที่ยงแล้ว ต้องหาอะไรทานแล้วล่ะ หนูอ่านหนังสือจบไปแล้ว 1 รอบ โดยตั้งใจว่าจะอ่านให้ครบ 4 รอบ ความรู้จะได้แน่นๆ พร้อมทำการสอบ แต่ก็ไม่หักโหมจนเกินไป ถึงเวลาพัก ก็ต้องพักนะ

       "ป่ะ พี่ เตี๋ยว" หนูคุยกับพี่สั้นๆง่ายๆ เป็นอันเข้าใจกัน หนูโชคดีมากที่มีพี่ชายที่แสนดี ไม่เคยทะเลาะกันเลย ตามใจหนูแทบทุกอย่าง แต่ก็มีแกล้งหนูอยู่บ้างแหละ จะให้ดีไปหมดมันก็คงเป็นไปไม่ได้หรอก แล้วการแกล้งกัน มันก็สนุก ทำให้เราสนิทกันด้วยค่ะ

       "เย็นนี้พี่จะไปเล่นเกมบ้านผึ้ง ไปด้วยกันมั้ย ได้ยินว่าผึ้งมีตุ๊กตาตัวใหม่ด้วยนะ" ระหว่างที่ทานก๋วยเตี๋ยวกันอยู่ พี่ก็ชวนไปบ้านผึ้ง ซึ่งก็เป็นเพื่อนในกลุ่มของหนูนั่นแหละค่ะ โดยผึ้งก็มีพี่ชายค่ะ แล้วพี่ชายของหนู กับพี่ชายของผึ้ง ก็เป็นเพื่อนกันค่ะ พี่หนูก็เลยไปเล่นเกมที่บ้านผึ้งอยู่บ่อยๆ

       "ไปไม่ได้ ต้องอ่านหนังสือ เหลืออ่านตั้งสามรอบแน่ะ" หนูไปไม่ได้จริงๆ เพราะถ้าไปนะ รับรองว่ากลับมาอ่านหนังสือไม่ทันแน่ๆ เพราะพี่ไปเล่นเกมทีไร กลับมาเที่ยงคืนตลอดเลย เมื่อคืนก็กลับมาเที่ยงคืนกว่า จนมาปลุกหนูให้นอนดีๆนั่นแหละค่ะ

       หนูผ่านคืนวันเสาร์ และวันอาทิตย์มาพร้อมกับความรู้ที่เต็มเปี่ยม พร้อมทำการสอบเก็บคะแนนแล้ว ทุกคนดูตื่นเต้นกับการสอบเก็บคะแนนครั้งนี้ แต่หนูไม่ตื่นเต้นเลย เพราะหนูรู้ว่า หนูต้องตอบได้อยู่แล้ว เลยไม่มีอะไรต้องตื่นเต้น หรือกลัวเลย

       ถึงชั่วโมงเรียนของวิชาวิทยาศาสตร์ คุณครูก็เข้ามาสอนไปเรื่อยๆ จนทุกคนในห้องรู้สึกแปลกใจว่า ทำไมคุณครูยังไม่สอบเก็บคะแนน คุณครูสอนไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง หัวหน้าห้องอดทนไม่ไหว ยกมือถามคุณครู

       "ครูครับ วันนี้ครูจะสอบเก็บคะแนนไม่ใช่เหรอครับ"

       "เออใช่ ครูลืมไปเลย เอางี้ๆ เลื่อนไปสอบวันศุกร์แทนก็แล้วกัน คราวนี้ครูไม่ลืมแน่ๆ" คุณครูตกใจมากกับคำถามของหัวหน้าห้อง ที่ถามเรื่องสอบเก็บคะแนน

       หนูอยากจะบอกว่า คุณครูตกใจเรื่องสอบ แต่หนูเสียใจเรื่องที่ตั้งใจอ่านหนังสือจนไม่ได้เล่นโดดยาง จนไม่ได้ไปเล่นตุ๊กตาตัวใหม่ที่บ้านผึ้ง และที่เสียใจที่สุดคือ หนูอดไปเที่ยวทะเล อ๊ากกกกก คุณครูทำกับหนูแบบนี้ได้ยังไง ฮือๆๆๆ

       "เบส หนูเป็นอะไรลูก ใครทำอะไรหนู บอกครูสิ ครูจะได้จัดการนะคะ" พอหนูร้องไห้ออกมา คุณครูก็ตกใจมาก รีบเข้ามาปลอบหนู แล้วก็ถามว่าใครทำอะไรหนู แหม ก็คุณครูนั่นแหละค่ะ แต่หนูจะพูดยังไงดีล่ะ

       เฮ้อ เด็กก็คือเด็ก ก็ยังเด็กล่ะนะคะ ร้องไห้โชว์มันซะเลย แง๊


ต.ต้น

3 กุมภาพนธ์ 2564

ตอนที่ 170 (บทความ) _ รัฐประหารที่ฉุดรั้งประเทศ

 รัฐประหารที่ฉุดรั้งประเทศ

2 กุมภาพันธ์ 2564

       ถ้าถามว่า อะไรที่ฉุดรั้งประเทศให้พัฒนาช้า หรือหยุดพัฒนา คำตอบแรกๆก็น่าจะเป็น การโกงกินของนักการเมือง เพราะมันเห็นชัดเจนมากๆ เอาแต่โกง เอาแต่กินงบประมาณในการพัฒนาประเทศ แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปพัฒนาประเทศล่ะ จริงมั้ยครับ

       แต่มันก็ยังมีอีก 1 อย่างที่ฉุดรั้งประเทศไว้ นั่นก็คือ รัฐประหาร นั่นเอง

       ทำไมผมถึงมองว่า รัฐประหารนั้นฉุดรั้งประเทศน่ะเหรอ ตอบง่ายๆเลยว่า ทหารไม่มีหัวในการบริหารประเทศครับ เพราะเขาไม่ได้เรียนมาทางนี้ เขาเรียนการป้องกัน การปกป้องประเทศเน้อ จะมาเก่งบริหารได้ยังไง อย่างมากก็แค่กุมอำนาจ หาคนเก่งๆเข้ามาอยู่ในทีมบริหาร แล้วก็บอกว่า...ทำให้หน่อยสิ

       แล้วพอพวกทีมแนะนำอะไรไป ถ้าไม่ถูกใจ ไม่เข้าใจ ก็ไม่เอาอีก โว๊ะ แล้วมันจะพัฒนาประเทศได้ยังไงล่ะครับ 

       นอกจากจะบริหารไม่เก่งแล้ว ยังบ้าอำนาจไปอีก ไม่ถูกใจใคร จับมัน!!! เอ้าาาา จะย้อนยุคไปยุคไหนกันล่ะครับ ที่ไม่พอใจใครก็จับมัน ลงโทษมัน ให้มันคิดได้ว่า อย่ามาเถียงฉันนะ

       ประเทศที่เข้าพัฒนาแล้ว เขาไม่มีรัฐประหารกันแล้วครับ แต่ก็ต้องยอมรับว่า กว่าที่เขาจะมีประชาธิปไตยแบบที่เจริญแล้วได้ ก็ต้องผ่านการรัฐประหารนองเลือดมาไม่น้อยครับ ถึงจะตาสว่างกัน ส่วนประเทศไทยของเรา ก็อาจจะต้องตามรอยประเทศพวกนั้นก็ได้นะ ไม่อยากให้นองเลือดครับ แต่ก็อาจจะห้ามไม่ได้ 

       ถ้าไม่เจ็บ ก็ไม่รู้จักจำ ไม่มีบทเรียนครับ

       เอาล่ะครับ บทความนี้ไม่เขียนเยอะ มันเป็นเรื่องใกล้ตัว ที่ไกลตัวครับ เขียนเยอะเดี๋ยวผิด เพราะข้อมูลไม่แน่น ไม่ได้เรียนกฎหมาย เรียนการบริหาร หรือเรียนการปกครองมา แต่พวกทหารนะ เขาก็ไม่ได้เรียนมาหรอก แต่แม่ง ขึ้นบริหารประเทศ -ัสเอ้ย

       อ่อ อีกนิดนึง เพิ่งรู้ว่าเป็นทหาร แม่ง รวยชิบหาย ไม่รู้ว่ารวยได้ยังไง ส่งลูกไปเรียนทหารแม่งเลยดีมั้ย จะได้รวยๆ หึหึ


ขอบคุณครับ

ต.ต้น

ตอนที่ 169 (เรื่องสั้น) _ ศัตรูตัวฉกาจ

 ศัตรูตัวฉกาจ

26 มกราคม 2564

       โลกในปี ค.ศ. 2xxx

       "เฮ้ย จะรีบไปไหนวะดล" ชายคนหนึ่งทักผม ในขณะที่ผมกำลังเร่งรีบที่จะไปทำเรื่องสำคัญมาก เรื่องคอขาดบาดตายเลยเดียว

       ผมคิดในใจ 'ยังจะยิ้มทักทายกันอยู่อีก ไม่รู้เลยหรือไง ว่าศัตรูบุกมาถึงที่นี่แล้ว'

       "อ่อ มีธุระสำคัญน่ะ รีบไปก่อนนะ" ผมรีบตอบกลับไป แล้วก็เดินผ่านไปอย่างเร่งรีบ โดยไม่หยุดเดินให้เสียเวลา เขาก็ทำได้แค่ทำหน้างง เพราะไม่เข้าใจว่า ทำไมผมต้องรีบขนาดนั้นด้วย

       ผมรีบเดินด้วยความเร็วระดับที่ลงแข่งขันเดินเร็วได้เลยทีเดียว ผมพยายามไม่วิ่ง เพื่อไม่ให้ผู้คนในบริษัทแตกตื่นมากเกินไป จริงอยู่ว่าผมเพิ่งบ่นชายคนเมื่อกี้ไปว่า ไม่รู้เลยรึไงว่าศัตรูบุกมาถึงที่นี่แล้ว แต่ผมก็ลืมคิดไปว่า นี่มันภารกิจลับสุดยอด ที่มีผมคนเดียวเท่านั้นที่รู้ และจัดการได้

       ผมรีบเดินจนมาถึงหน้าประตู กับอาการเหนื่อย และหอบเล็กน้อย แล้วก็มีเหงือไหลซึมออกมาบ้าง แต่ก็ไม่มากจนผิดสังเกต ผมไม่รอช้ารีบเปิดประตูทันที สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าทำให้ผมถึงกับกลัว แล้วก็เหงื่อเริ่มออกมากกว่าตอนแรกทันที เพราะภาพที่ผมเห็นก็คือ...

       "ตึ๊ง ตึ่ง" เสียงเตือนจากแอปพลิเคชันหนึ่งดังขึ้นจากโทรศัพท์ของผมที่วางไว้บนโต๊ะทำงาน ปกติผมจะปิดเสียงเตือนไว้ทุกครั้งที่มาทำงาน แต่วันนี้ผมลืมปิด ก็เลยต้องมาปิดเอาตอนที่มันมีเสียงเตือนขึ้นมานี่แหละครับ

       "ประชุมบ่ายโมง ที่ห้องประชุม 201 นะทุกคน" ข้อความในแอปพลิเคชันที่เตือนเมื่อกี้ คือการนัดประชุมของแผนกที่ผมทำงานอยู่ครับ ซึ่งแผนกของผมมีอยู่ประมาณ 40 คน จึงต้องใช้ห้องประชุมที่ใหญ่เป็นพิเศษ และก็ไม่บ่อยครั้งหรอกครับ ที่จะเรียกประชุมทั้งแผนกแบบนี้ นี่แสดงว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆเลย

       "เฮ้ย ดล มึงว่าหัวหน้าเรียกประชุมใหญ่แบบนี้ มันน่าจะเป็นเรื่องอะไรวะ" เพื่อนที่นั่งโต๊ะทำงานติดกันกับผมถามขึ้น เพราะมันก็คงสงสัยเหมือนกันว่า เรื่องอะไรกันนะ ที่ทำให้ต้องประชุมใหญ่กันแบบนี้

       "เดายากว่ะ ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว หรือทั้งเรื่องนอกแผนกที่กระทบกับแผนกเรา ก็อาจจะเป็นไปได้ทั้งนั้น" ผมเองก็เดาไม่ออกเหมือนกันครับ เพราะทุกเรื่องที่ว่ามา มันก็มีโอกาสเป็นประเด็นในการประชุมครั้งนี้ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น...

       เรื่องงาน ที่ตอนนี้งานของแต่ละคนค่อนข้างน้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่านั่งกันว่างๆนะครับ ก็คือ มีงานทำนั่นแหละ แต่ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน มันก็น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด หรือเป็นไปได้ว่า เขาจะลดจำนวนคนกันนะ ถ้าแบบนั้นก็น่ากลัวอยู่ไม่น้อยเลย

       เรื่องส่วนตัว สำหรับเรื่องนี้เคยมีประเด็นมาแล้ว เพราะบางคนทำงานไม่ทัน หรือทำงานผลงานไม่ดี เพราะมัวแต่สนใจเรื่องส่วนตัว เช่น คุยในแอปพลิเคชั่นแชท ดูหนัง หรือแม้กระทั่งไปจับกลุ่มคุยกันเป็นเวลานานๆ จนงานไม่คืบหน้า

       เรื่องนอกแผนกที่กระทบกับแผนกก็มีนะครับ แม้จะเป็นเรื่องไม่ใหญ่มาก แต่ก็กระทบกับผลงานของแผนก ซึงมันก็คือ คนของแผนกอื่นมาขอให้คนในแผนกผมบางคนช่วยทำงานให้หน่อยครับ ในตอนแรกก็ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ เพราะช่วยนิดเดียวก็เสร็จ แต่หลังๆมาเหมือนกลายเป็นว่า เรากลายเป็นลูกน้องของเขาไปซะอย่างนั้น ทำงานให้แผนกอื่นจนงานของแผนกตัวเองไม่ได้ทำเลยก็มีครับ

       "กูว่านะ เรื่องงานแน่นอน เพราะช่วงนี้งานน้อยลงเยอะเลย ระวังตัวกันไว้นะ" เพื่อนผมเดาว่าเรื่องงาน เพราะเรื่องนี้เด่นชัดที่สุดในตอนนี้แล้วครับ

       "ก็เป็นไปได้ แต่เราก็ยังมีงานทำกันอยู่ น่าจะหายห่วง แต่ไม่รู้คนอื่นเป็นยังไงกันบ้าง" ผมกับเพื่อนยังมีงานทำอยู่ในมือครับ ถึงมันจะน้อยลงก็เถอะ แต่ก็น่าจะปลอดภัย ไม่โดนเอาออกแน่ๆ...มั้งนะ

       ผมกับเพื่อนอีกหลายคนในแผนก จับกลุ่มคุยกันเรื่องที่จะต้องประชุมกันบ่ายนี้อยู่นาน จนหัวหน้าต้องเดินมาร่วมด้วย และพูดเพียงประโยคเดียว ถึงกับทำให้วงแตก ทุกคนต้องแยกย้ายกันเลยทีเดียวครับ โดยหัวหน้าพูดว่า...

       "เที่ยงกว่าแล้ว คุยอะไรกันอยู่ได้ ไปกินข้าว" เจอประโยคนี้เข้าไป ไม่วงแตกก็แปลกล่ะครับ เพราะยังไงก็ต้องรีบกินข้าวกัน ไม่งั้นประชุมบ่ายโมงไม่ทันกันแน่ๆ โดนหัวหน้าเล่นงานแน่ๆครับ

       "เอาล่ะนะทุกคน ที่เรียกประชุมแผนกกันวันนี้แบบครบทุกคน ก็เพราะมีเรื่องต้องชี้แจงกันนะ" หัวหน้ากล่าวทักทายทุกคนในห้องประชุม 201 ซึ่งอยู่บนชั้น 2 ของบริษัท ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายโมงตรงตามที่นัดหมายกันไว้ ทุกคนดูตั้งใจฟังกันอย่างมาก แต่ก็แฝงไว้ด้วยความกังวลว่าจะเป็นเรื่องงานหรือไม่

        "โดยเรื่องที่ว่าคือ เรื่องแมวที่บ้านผมคลอดลูก..แฮร่" หัวหน้าแผนกของผมค่อนข้างจะอารมณ์ดี และเป็นกันเองกับลูกน้องในแผนกมากครับ จึงไม่แปลกอะไรที่อยู่ๆจะเล่นมุกแก้เครียดขึ้นมาซะอย่างนั้น แต่ทุกคนก็ยังดูเครียดกันอยู่เหมือนเดิม เพราะกลัวเป็นการเล่นมุกให้สบายใจ แล้วตบซ้ำแบบเจ็บๆ

       "ดูเครียดๆกันนะทุกคน ไม่ต้องเครียดๆ ไม่ใช่เรื่องงาน และไม่ได้จะเอาใครออก สบายใจได้" หัวหน้าพูดประโยคนี้จบ บรรยากาศเปลี่ยนไป แทบจะเลี้ยงฉลองกันเลยทีเดียว เพราะทุกคนรู้สึกโล่งใจ เหมือนยกภูเขาออกจากอกนั่นแหละครับ

       "เรื่องที่ผมจะพูดวันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวกันนะ ถึงจะไม่ต้องเครียดเท่าเรื่องงาน แต่ก็มีผลต่อการทำงานอยู่เหมือนกันนะ" จบประโยคนี้ บรรยากาศกลับมาอึมครึมอีกครั้ง แต่ก็ยังดูสบายๆกว่าตอนที่หัวหน้ายังไม่บอกว่าจะไม่เอาใครออก แต่ผมก็ยังคิดไม่ออกว่า เรื่องส่วนตัวอะไร แล้วทำไมเรื่องส่วนตัวถึงต้องเรียกมาทุกคน เพราะเท่าที่สังเกตดูในแผนก ทุกคนแม้จะงานไม่เยอะ แต่ก็ไม่ได้คุยในแอปพลิเคชั่นแชท หรือดูหนังเลยนะ

       "ตกใจใช่มั้ยที่ผมบอกว่าเรื่องส่วนตัว แต่ไม่ต้องห่วง ถึงจะกระทบต่อการทำงาน แต่ก็กระทบต่อการทำงานภายนอกแผนกมากกว่างานในแผนก" จังหวะนี้หัวหน้ามีน้ำเสียงเข้ม และจริงจังมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาผมรู้สึกสะดุ้งเลยทีเดียว และผมก็เห็นว่า เพื่อนๆอีกหลายคนในห้องประชุมก็สะดุ้งเหมือนกัน

       "เอาล่ะ ผมจะเริ่มยังไงดี ผมรู้ว่าตอนนี้ในแผนกงานน้อยลงนะ ทำให้บางคนก็ว่างบ้างเป็นพักๆ แต่การจะเอางานนอกแผนกมาทำในเวลางานของแผนก มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ ผมพูดแบบนี้คงพอจะเข้าใจนะครับ" หัวหน้ายืนอยู่ตรงหน้าห้องประชุม พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมาก ทำเอาทุกคนเงียบกันหมดเลย รวมทั้งผมด้วยที่พูดไม่ออกเลย ไม่คิดว่าหัวหน้าจะรู้เรื่องที่ผมรับงานนอกเหมือนที่คนอื่นๆทำกัน

       "ดล นายเล่นเกม Big team รึเปล่า" เพื่อนสาวต่างแผนกมาทักทายผม ในขณะที่ผมกำลังเดินไปที่จอดรถของบริษัท เพื่อที่จะกลับบ้านในตอนเย็น

       "อ่อ เล่นสิ แต่เราอยู่ทีมของหัวหน้าแผนกแล้วนะ ทำได้แค่รับจ๊อบนะ สนใจมั้ย" ผมตอบคำถามของเธอ ทำให้เธอดูผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็สนใจในการรับจ๊อบของผมอยู่เหมือนกัน

       โดยเกมที่พูดถึงนี้ รูปแบบจะเป็นการสร้างทีมของเจ้าของทีม ในอาณาเขตที่อ้างอิงจากสถานที่จริงๆบนโลกใบนี้ แต่การจะสร้างอาณาเขตได้นั้น จะต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่นั้นก่อน ซึ่งหัวหน้าแผนกของผม ก็คือเจ้าของทีม ที่สร้างอาณาเขตโดยใช้อาคารบริษัทเป็นที่ตั้ง และดึงลูกน้องทั้งแผนกเข้าเป็นสมาชิกในทีมนั่นเอง โดยการจะเป็นเจ้าของทีมนั้น ต้องจ่ายแพงพอสมควรเลย ในแผนกจึงมีแค่หัวหน้าเท่านั้น ที่ยอมจ่ายเพื่อเกมนี้

       เริ่มแรกที่เล่นเกม เราก็จะเล่นเป็นตัวละครที่เล่นได้อิสระเหมือนเกมทั่วๆไป แต่ถ้าอยากได้ไอเทมดีๆ ได้คะแนนไปอัพเกรดเยอะๆ ก็ต้องหาทีมเข้าครับ และก็แน่นอนล่ะว่า มีคนบังคับเข้าทีมอยู่ในแผนกแบบนี้ มันจะไปเหลืออะไรล่ะครับ เสร็จหัวหน้าหมดทุกคน

       ตัวเกมนั้น หลังจากสร้างอาณาเขตเสร็จแล้ว ก็จะมีศัตรูบุกมาโจมตีเรื่อยๆในสถานที่จริงๆครับ ซึ่งศัตรูพวกนี้จะเป็นบอทของเกม โดยคนในทีมก็ต้องช่วยกันป้องกันอาณาเขต ด้วยการไปสู้รบกับศัตรูตามที่ๆศัตรูบุกมา เช่น ถ้ามาที่ด้านหน้าบริษัท ก็ต้องไปที่ด้านหน้าบริษัทเพื่อรับมือ หรือถ้ามาที่มุมใดมุมหนึ่งของบริษัท ก็ต้องไปรับมือถึงที่นั่นครับ มันป็นเกมเสมือนจริง ที่ต้องไปสู้รบ ไม่ใช่นั่งอยู่กับที่ก็สู้ได้นั่นเอง

       สำหรับคนที่กำจัดศัตรูที่มาโจมตีอาณาเขตได้ ก็จะได้ไอเทมแปลกๆ และคะแนนเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เล่นแบบไม่มีทีมครับ และถ้าใครไปรับจ๊อบป้องกันอาณาเขตให้ทีมอื่น ก็จะได้ไอเทมที่แปลกกว่าการป้องกันอาณาเขตของทีมตัวเอง และได้คะแนนเพิ่มเท่ากับตอนที่ป้องกันอาณาเขตของทีมตัวเองอีกด้วย หลายๆคนเลยรับจ๊อบป้องกันอาณาเขตให้ทีมอื่นด้วย และผมก็คือหนึ่งในนั้น ที่แอบรับจ๊อบ

       แต่การรับจ๊อบก็มีข้อเสียคือว่า ถ้าออกไปรับจ๊อบแล้ว จะต้องรอถึง 3 ชั่วโมง ถึงจะกลับเข้าอาณาเขตตัวทีมตัวเองได้ครับ ทำให้หลายๆครั้ง ไม่มีคนป้องกันอาณาเขต เพราะออกไปรับจ๊อบกันหมด เพื่อจะเอาไอเทมที่แปลกยิ่งขึ้น

       นอกจากตัวของคนเล่นจะได้ไอเทม และคะแนนแล้ว หากอาณาเขตได้รับการป้องกัน ก็จะได้คะแนนไว้อัพเครื่องมือป้องกันอัตโนมัติ หรือคะแนนปลดล็อคการตกแต่งอาณาเขตได้ แต่ถ้าป้องกันไม่ได้ ก็จะเสียคะแนนนั่นเอง ส่วนคนเล่นถ้าสู้แพ้ ก็จะไม่เสียอะไร แต่จะไม่ได้ของ แล้วก็โดนหัวหน้าบ่นแค่นั้นเองครับ

        เป้าหมายหลักของเกมนี้ก็เหมือนเกมทั่วไปครับ เพราะมีการจัดอันดับตัวละครที่เราเล่น และทีมนั่นเองครับ ยิ่งทีมไหนสมาชิกเยอะ สมาชิกเก่ง ก็จะยิ่งได้เปรียบ ทำให้หัวหน้าผมจับลูกน้องเข้าทีมทั้งแผนกนี่แหละครับ

       เกมนี้ก็ไม่ได้สนุกอะไรมากมายนะครับ แต่ก็แปลกที่คนเล่นเยอะมาก คงเป็นเพราะมันใช้สถานที่จริงเล่น แล้วต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาล่ะมั้ง ว่าศัตรูจะมาทางไหน เพราะถ้าไม่ตื่นตัวไว้ตลอด มีหวังอาณาเขตถูกโจมตีแน่นอนครับ

       หลังจากที่เพื่อนสาวสนใจจ้างผมรับจ๊อบ มีเหรอที่ผมจะไม่รับ เพราะถ้ายิ่งได้สู้เยอะ ก็จะได้ไอเทม ได้คะแนนเยอะไปด้วย ถึงแม้ว่ามันจะเสี่ยงที่ต้องออกจากอาณาเขตของทีม แล้วอาณาเขตของทีมโดนโจมตีก็เถอะ แต่มันก็น่าลอง อ่อ ลืมบอกไปว่า 1 คนสามารถเข้าได้ 1 ทีม และสามารถรับจ๊อบได้แค่ 1 ที่เท่านั้นครับ

       "ผมอยากจะให้ทุกคนลดการรับงานนอกลงบ้าง แล้วหันมาตั้งใจทำงานในแผนก เพราะแผนกเราเล่นเกมกันทั้งแผนก รับจ๊อบกันทั้งแผนก แล้วเดินไปเดินมาจนผู้บริหารเริ่มจะไม่พอใจแล้วนะ" พูดถึงตรงนี้ทุกคนก็โล่งใจ เพราะที่ว่ารับงานนอก ก็นึกว่างานจริงๆ แต่เป็นงานในเกมต่างหาก

       "ส่วนงานจริงๆน่ะ รับทำไปเถอะ ผมไม่ว่าหรอก เพราะผมรู้ว่าพวกคุณก็ว่างมากพอที่จะหารายได้เสริมแหละ ใช่มั้ย" หัวหน้าพูดไปยิ้มไป ก็เพราะหัวหน้าเป็นแบบนี้แหละครับ ลูกน้องในแผนกถึงได้รัก แล้วก็ให้ความเคารพอย่างมาก

       แต่ระหว่างที่หัวหน้ากำลังพูดเรื่องอื่นต่อไปนั้นเอง ก็มีสัญญาณเตือนขึ้นที่ตัวผม ซึ่งสัญญาณนี้ผมเท่านั้นจะได้รับรู้ ผมต้องลุกไปแล้ว แต่ผมจะทำยังไงดี ในเมื่อหัวหน้าเพิ่งพูดเรื่องรับงานนอกให้น้อยลงหน่อย เพราะไม่อยากให้คนในแผนกเดินไปเดินมาบ่อยเกินไป

        ผมก้มมองที่มือของตัวเอง ผมกำหมัดแล้ว ผมต้องลุกแล้ว ไม่งั้นศัตรูอาจจะทำลายอาณาเขตได้ ผมรวบรวมความกล้า ตัดสินใจลุกขึ้นช้าๆ แล้วก็ก้มหน้าก้มตาเดินออกประตูห้องประชุมมา โดยที่ไม่มองหัวหน้า และก็โชคดีมากที่หัวหน้าไม่ทักผมเลย

       ผมรีบเดินไปต่อทันที เพราะรู้ว่าศัตรูใกล้เข้ามาแล้ว จนมีคนทักผมว่า ผมจะรีบไปไหน แต่ผมก็ใม่ตอบ จนผมรีบเดินด้วยความเร็วระดับที่ลงแข่งขันเดินเร็วได้เลยทีเดียว ผมพยายามไม่วิ่ง เพื่อไม่ให้ผู้คนในบริษัทแตกตื่นมากเกินไป

       ผมรีบเดินจนมาถึงหน้าประตู กับอาการเหนื่อย และหอบเล็กน้อย แล้วก็มีเหงือไหลซึมออกมาบ้าง แต่ก็ไม่มากจนผิดสังเกต ผมไม่รอช้ารีบเปิดประตูทันที สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าทำให้ผมถึงกับกลัว แล้วก็เหงื่อเริ่มออกมากกว่าตอนแรกทันที เพราะภาพที่ผมเห็นก็คือ ห้องน้ำทั้ง 2 ห้องมีคนใช้อยู่

       ตอนนี้ศัตรูบุกหนักมาก ผมขนลุกไปหมดแล้ว อยากจะปล่อยมันซะตรงนี้เลย แต่ก็ทำไม่ได้ ผมต้องรีบเดินไปที่ห้องน้ำของชั้น 1 แทน แล้วก็ต้องลุ้นด้วยว่า มันจะว่างหรือไม่

       ผมรีบลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว แต่พอถึงพื้นชั้น 1 ผมต้องค่อยๆเดินแทน เพราะจากการที่รีบลงบันได ทำให้ศัตรูบุกประชิดยิ่งขึ้น ผมต้องสู้รบกับมันด้วยการเดินเบาๆช้าๆสักแปปหนึ่ง

       พอผมผลักดันศัตรูไปได้สำเร็จแล้ว คราวนี้ผมรีบเดินอีกครั้ง น่าแปลกใจมากที่เหงื่อผมออกเยอะมาก ทั้งๆที่แอร์ในบริษัทก็เย็นไม่น้อยเลย ผมรีบเดินไปที่ห้องน้ำของชั้น 1 โดยหวังว่าห้องน้ำที่ชั้น 1 ทั้ง 4 ห้องมันจะว่าง

       'ซวยแล้ว 4 ห้องก็ยังเต็มหมดอีก โอยยยย อะไรมันจะซวยขนาดนี้' ผมคิดในใจดังๆ หลังจากที่มาถึงห้องน้ำชั้น 1 แล้ว แต่มันก็ยังเต็มหมดเลย โดยความหวังเดียวของผมที่เหลือคือ ห้องน้ำชั้น 1 อีกฝั่งของตึก ผมไม่รอช้า คราวนี้ไม่เดินเร็วแล้วครับ วิ่งเหยาะๆแทนแล้วครับ ไม่งั้นผมอาจจะพ่ายแพ้ศัตรูก็ได้

        'โอ้ว สวรรค์ทรงโปรด ว่าง 1 ห้องพอดีเลยจากทั้งหมด 4 ห้อง' ผมถึงห้องน้ำอีกฝั่งของตึก และยังโชคดีที่ยังมีว่างอยู่ 1 ห้องพอดี ผมไม่รอช้ารีบเข้าไป ปิดประตู และถอดกางเกงในแทบไม่ทัน อ่อ ผมลืมบอกไปว่า ยุคนี้การแต่งตัวเปิดกว้างแล้วครับ ผู้ชายใส่กระโปรงเป็นแฟชั่นกันเลย บางคนก็ใส่บราด้วยนะครับ

       ผมไม่รอช้า ปล่อยศัตรูชุดใหญ่ออกไปแบบไม่มีกั๊กครับ "ตูมมมมมม" เพียงตูมเดียว อีก 3 ห้องที่เหลือ รีบล้างตูด หนีออกไปเลยครับ เอ๊ะ นี่ผมทำอะไรผิดรึเปล่า

       อ่านมาถึงตรงนี้ก็คงว่า เรื่องสั้นนี้มันเป็นอะไรกันสินะครับ ตกลงจะเล่าเรื่องอะไรกันแน่ เรื่องงาน เรื่องหัวหน้า เรื่องเกม หรือเรื่องศัตรูของผมกันแน่ เอาเป็นว่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้จะดีกว่าครับ เพราะผมยังต้องสู้กับศัตรูอีกพอสมควรเลย ไปล่ะครับ ฮึ๊บ!!!

ตอนที่ 168 (บทความ) _ สูตรคำนวณหวย มันใช้ได้จริงๆเหรอ ?

 สูตรคำนวณหวย มันใช้ได้จริงๆเหรอ ?

19 มกราคม 2564

       วันก่อนได้คุยกับน้าเรื่องหวย ก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย จนน้าบอกว่า เคยซื้อสูตรคำนวณหวยมาหลายหมื่น แต่ก็คุ้มนะ เพราะคำนวณแล้ว ก็ถูกหวยหลายงวด ได้ทุนคืน ได้กำไรด้วย ผมก็คิดในใจ 'หือ? มันคำนวณได้ด้วยเหรอ'

       ว่ากันด้วยความจริงที่เห็นๆกันอยู่ก็คือ หวยเนี่ย มันเป็นเรื่องของอนาคต มันมาจากการจับฉลาก แถมยังถ่ายทอดสดด้วย แล้วมันจะไปคำนวณได้ยังไงหว่า คิดแล้วก็ได้แต่สงสัย

       แต่น้าก็บอกนะว่า หลายคนซื้อไปแล้ว ก็ถูกกันจริงๆ ทั้งที่ทำงานของน้า ทั้งที่บ้านนอกโน้นเลย คำนวณแล้วถูกกันเป็นว่าเล่น 3-5 งวดติดๆกันเลย เฮ้อออ มันถูกได้ยังไงว้าาา งง จริงๆครับ

       ด้วยความสงสัยนี้ ก็เลยทำการค้นหาสูตรคำนวณหวยด้วยกูเกิลสิครับ เออเฮ้ย มีจริงๆด้วย หลายเว็บ หลายสำนักเลย แล้วก็ไม่ได้มีสูตรเดียวด้วยนะ มีสูตรเยอะมากให้เลือกใช้คำนวณกัน

       เอาจริงๆมันก็น่าลองนะ เพราะหวยก็อยู่กับประเทศไทยมาช้านาน เพียงแต่ว่า สมมุติมันมี 10 สูตร แล้วเราเลือกแค่สูตรเดียวเนี่ย มันจะถูกมั้ย? หรือคำนวณ 10 สูตร ก็ต้องซื้อเลขทั้ง 10 สูตร เอ้า งั้นมันก็หว่านเลยไป 10 เลขเลยสิ จริงอยู่ว่ามันมีโอกาสถูก 10 เลขจาก 99 เลข แต่มันก็ดูตลกๆนะ

       แต่เรื่องแบบนี้ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ล่ะเนาะครับ เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อในสายมู มากกว่าสายวิทย์

       เอาล่ะ กลับมาที่สูตรคำนวณหวยอีกสักรอบ ผมล่ะอยากรู้จริงๆเลยว่า คนที่คิดสูตรขึ้นมาเนี่ย เขามั่นใจได้ยังไงว่า สูตรของเขาเนี่ย จะถูกเลขหวยที่มันยังไม่ออก แถมมันยังคาดเดาไม่ได้ด้วยว่า จะสุ่มได้เลขอะไรในการออกรางวัล แล้วเขาก็ยังกล้าเอาสูตรมาขายเป็นราคาหลักพัน หลักหมื่นเลยอีกด้วย แปลกจริงๆเลย

       หรือว่าจริงๆแล้ว สูตรคำนวณหวย คือสูตรที่ทำนายอนาคตได้ !!!

       พอละ จบดีกว่า ยิ่งเขียนยิ่งงง ยิ่งไม่เข้าใจ

ขอบคุณครับ

ต.ต้น

ตอนที่ 167 (บทความ) _ ม.112 กฎหมาย ที่มากกว่ากฎหมาย

 ม.112 กฎหมาย ที่มากกว่ากฎหมาย

15 มกราคม 2564

       บทความนี้เป็นบทความที่ค่อนข้างเสี่ยงทีเดียวในการเขียน เพราะฉะนั้นต้องพยายามเขียนให้รอดปลอดภัยให้ดี ฮ่าๆๆๆ

       จั่วหัวบทความไว้ว่า "ม.112 กฎหมาย ที่มากกว่ากฎหมาย" ที่เขียนแบบนี้ก็อาจจะไม่ผิดสักเท่าไหร่ เพราะมันเหมือนข้อบังคับซะมากกว่า ว่าห้ามติเตียน ห้ามดูหมิ่น เกี่ยวกับ ... โดยเด็ดขาด มิเช่นนั้น ใครก็ได้ ย่อมมีสิทธิจะฟ้องร้องคนๆนั้นความผิดตามมาตรา 112 ได้เลย

       เรียกได้ว่า เป็น"กฎแห่งเทพเหนือเทพ"เลยทีเดียวก็ว่าได้ครับ เพราะเทพบางองค์ หรือแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังไม่มีกฎข้อไหนที่ทำร้ายผู้ที่ติเตียน หรือดูหมิ่นพระองค์ได้ขนาดนี้

       ด้วยความรุนแรงของบทลงโทษที่ใครก็มองว่า เฮ้ย มันเวอร์วังอลังการเกิ๊นนนน และที่สำคัญคือ ใครจะฟ้องร้องใครก็ได้ นี่แหละคือ ตัวปัญหาที่แท้จริงของ ม.112 นี้

       ตัวผมเองเพิ่งรู้จัก ม.112 ได้ไม่นาน ก็เลยไปค้นหาข้อมูลจากกูเกิลดูก็พบว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เนี่ย มันเกินความจำเป็นไปมากจริงๆครับ เพราะถ้าพูดกันตามตรงแล้ว กฎหมายดูหมิ่นควรจะให้ผู้ที่ถูกดูหมิ่นเป็นผู้ฟ้องร้องถึงจะถูกครับ ทำเช่นเดียวกับประชาชนทั่วๆไปก็ได้ ไม่ใช่ว่าเปิดช่องให้ใครก็ได้ สามารถฟ้องร้องได้ มันก็เลยเหมือนกฎหมายที่ค่อนข้างจะเปิดกว้างเกินไป

      หรือถ้าจะบีบให้แคบลงสักหน่อยก็ได้ เช่นว่า ผู้ที่จะฟ้องร้อง ม.112 ควรเป็นคนในสถาบันก็ได้ ไม่ใช่ว่า คนขายหมูปิ้ง จะฟ้องร้อง นายทหารว่า ผิด ม.112 นะ จับโลดเลยงี้ มันก็จะแปลกๆไปนะ ดีไม่ดี คนที่โดนดูหมิ่นยังไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ ว่าโดนดูหมิ่น จริงมั้ยครับ

       คนโดนดูหมิ่นควรรู้ตัวว่า โดนดูหมิ่นนะ แล้วถ้าเขาไม่พอใจ ก็ฟ้องร้องเอง หรือให้คนในสถาบันฟ้องร้องให้หน่อย แบบนี้สิ ค่อยดูสมเหตุสมผลหน่อย หรือถ้าเขาเฉยๆ ไม่เห็นว่าโดนดูหมิ่นเลย เขาก็เลือกที่จะไม่ฟ้องร้องก็ได้ ก็จบๆกันไป

       ผมอ่านเกี่ยวกับ ม.112 แล้ว ผมนึกถึงเรื่อง "พ่อแม่รังแกฉัน" ขึ้นมาเลยครับ เพราะพ่อแม่เอาแต่ชื่นชมลูกตลอดเวลา ไม่เคยด่าลูก ถึงลูกจะทำผิดก็แก้ให้เป็นถูกได้ซะอย่างงั้น

       เหมือนกับที่คนไทย พยายามเอาแต่ชื่นชม ... นั่นแหละครับ ติเตียนก็ไม่ได้ พูดถึงในด้านที่มันไม่ดีก็ไม่ได้ เน้นย้ำว่าต้องชื่นชมนะ ต้องสรรเสริญ ต้องทำอะไรก็ได้ ที่ทำให้ ... ดูดีอยู่ตลอดเวลา อะไรที่มันผิดๆ ก็ปล่อยผ่าน ปล่อยเบลอไป หรือถ้ามันผิดมากนัก ก็หาข้อแก้ต่างให้ซะเลย จากดำกลายเป็นขาวซะ จบนะ!!! มันเลยเหมือนว่า ประชาชนรังแกสถาบันอยู่รึเปล่าล่ะครับ

       การติเตียน การกล่าวหาในทางไม่ดี การดูหมิ่น เอาจริงๆมันก็ไม่ดีหรอก เพราะคนโดนพูดถึง มันจะเสียหาย แต่ในความไม่ดีนั้น หากมันมีความจริงอยู่ มันก็ทำให้คนที่โดนพูดถึง รู้ตัวถึงข้อเสียของตนไม่ใช่เหรอครับ แล้วหากว่าคนที่โดนพูดถึง ไม่พอใจ ก็ให้เขาฟ้องร้องเองสิครับ (วนกลับมาอีกละ ฮ่าๆๆ)

       ขอพูดถึงความไม่อินกับสถาบันของเด็กยุคใหม่กันสักหน่อยนะครับ ว่าทำไมพวกเขาถึงไม่อิน ไม่รักสถาบัน ไม่ชื่นชม แถมยังทำร้ายสถาบันอีกต่างหาก

       ตัวผมเองเป็นคนยุค 90 ที่เติบโตมากับข่าวในพระราชสำนักตอน 20.00 ที่ทางทีวีเปิดให้ชมทุกวัน ทุกช่อง ซึ่งยอมรับเลยว่า ข่าวนี้มาทีไร ปิดทุกที ฮ่าๆๆๆ (นั่นไง มองว่าผมไม่รักสถาบันแล้วล่ะสิ ใช่มั้ยล่ะ)

       นี่ผมแค่ยุค 90 นะ ลองนึกย้อนกลับไปอีกสิ ยุค 80, 70 หรือลึกไปถึง 60 ก็ได้เอ้า คนเหล่านั้นจะได้รับข่าวสารของสถาบันทางไหนบ้างล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ทางหน้าหนังสือพิมพ์ ทางวิทยุ หรือทางทีวี ซึ่งก็แน่นอนว่า มีแต่เรื่องดีๆของสถาบันแน่นอน คนเหล่านั้นถึงรัก และเทิดทูนสถาบันดั่งเทพพระเจ้า ใครก็ห้ามแตะต้องเด็ดขาด

       ย้อนมาที่ยุค 90 อย่างผม บางคนก็ยังอินกับสถาบัน แต่บางคนก็ไม่อินกับสถาบันแล้วล่ะครับ เพราะว่าปลายๆราชการของท่าน ผมก็แทบไม่ได้เห็นท่านทรงงานแล้ว เพราะท่านอายุมากแล้ว และทรงประชวรต้องรักษาพระวรกาย แน่นอนว่าสิ่งที่ยังเห็นของท่านคือ ผลงานเก่าๆนั่นเอง

       มาถึงยุคใหม่ ของเด็กรุ่นใหม่ เมื่อท่านทรงสวรรคตไปแล้ว เราก็มีท่านพระองค์ใหม่ขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่า เด็กยุคใหม่ ไม่อินแน่นอน เพราะผลงานไม่มี แถมยังมีโลกอินเตอร์เน็ตที่กว้างมากๆ มากพอที่จะขุดเรื่องที่ไม่ดีของท่านขึ้นมายำเละเทะ จนเด็กยุคใหม่รู้สึกว่า คนแบบนี้เหรอ ที่ควรเคารพ คำตอบก็คือ ไม่ล่ะ ไม่เอา

       แล้วยิ่งมาเจอข่าวของ ม.112 ที่สามารถทำร้ายใครก็ได้ที่ดูหมิ่นสถาบันเข้าไปอีก เด็กยุคใหม่ก็ยิ่งไม่ชอบสถาบันขึ้นไปอีก ทั้งๆที่ สถาบันอาจจะไม่รู้เรื่องเลยก็ได้ว่า มีคนโดนคดี ม.112 เป็นว่าเล่น

       เพราะฉะนั้นแล้ว การที่เด็กยุคใหม่ไม่อิน ไม่ชอบ ไม่เอา ก็ไม่แปลกล่ะครับ เพราะลืมตามาดูโลก ก็เจอแต่เรื่องแย่ๆของสถาบันนั่นเอง แล้วยิ่งมาเจอคนยุคเก่าที่รักสถาบันสุดหัวใจ ใครเห็นต่างไม่ได้ ต้องรักนะ ต้องปกป้องนะ เด็กๆมันก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ รักทำไม ปกป้องทำไม ทำแล้วได้อะไรกลับมาเหรอ คุณจะตอบคำถามเด็กยุคใหม่เหล่านั้นว่ายังไงล่ะครับ

       คนเราถ้าจะรัก จะปกป้องใครสักคน เราต้องได้รู้ ได้เห็นผลงานของคนๆนั้นก่อน แล้วเกิดความชื่นชอบ ชื่นชมก่อน จริงมั้ยครับ ยกตัวอย่างเช่น เราได้รู้จักศิลปินเกาหลีสักคน เขาร้องเพลงเพราะ เขาแสดงเก่ง เขาหน้าตาดี แล้วเราชื่นชอบ ชื่นชม เราก็พร้อมที่จะรัก และปกป้องใช่มั้ยล่ะครับ

       เช่นเดียวกับสถาบันนี่แหละครับ ถ้าเด็กไม่เห็นผลงานอะไร เขาก็ไม่รักหรอกครับ แต่ถ้าวันข้างหน้าสถาบันทำให้เห็นว่า สถาบันทำเรื่องดีๆ เช่นว่า ยกเลิก ม.112 เพื่อประชาชน เด็กๆเห็นว่าเออ สถาบันก็ดีนะ รับฟังเสียงประชาชน เขาก็อาจจะเปลี่ยนความคิด รักสถาบันขึ้นมาก็ได้ ใครจะไปรู้ จริงมั้ยครับ

       อย่าบังคับใครให้รักใครเลยครับ เพราะถ้ามีเด็กมาบังคับเราให้ชอบไอดอลเกาหลี เราจะรู้สึกยังไงล่ะ ลองคิดดูครับ เช่นเดียวกับเราบังคับเด็กให้รักสถาบันนั่นแหละ มันบังคับกันไม่ได้ ยิ่งบังคับ อาจจะยิ่งเกลียดก็ได้นะ

       ลองนึกย้อนกลับถึงความรู้สึกของตัวท่านเองดูครับ ว่า ม.112 มันเหมาะสมกับยุคสมัยนี้อยู่หรือไม่ หรือควรให้ลดทอนเหลือแค่กฎหมายหมิ่นประมาทแบบเดียวกับประชาชนทั่วไป เพื่อให้สถาบันดูดีขึ้น มากกว่าจะเป็นดั่งเทพเหนือเทพที่ใครก็ดูหมิ่นไม่ได้แบบเดิม


ขอบคุณครับ

ต.ต้น

ตอนที่ 166 (บทความ) _ เมื่อคนรัก 2 คน เกิดวันเดียวกัน เดือนเดียวกัน บันเทิงเลย

 เมื่อคนรัก 2 คน เกิดวันเดียวกัน เดือนเดียวกัน บันเทิงเลย

14 มกราคม 2564

       ความบังเอิญมันเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อผมดันมีคนรัก 2 คน ที่เกิดวันเดียวกัน เดือนเดียวกัน แต่คนละปี ยังดีที่ว่าทั้ง 2 คนยังสามารถคุยกันได้ ไม่ทะเลาะกัน

       บทความนี้ปล่อยออกมาให้อ่านในวันที่ 14 มกราคม ซึ่งเป็นวันเกิดของคนรักของผม ซึ่งวันนี้เนี่ย คนรักของผมเกิด 2 คนอย่างที่บอกไปข้างต้น มาไล่เรียงเหตุการณ์กันดีกว่าครับ ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมทั้ง 2 คนไม่ทะเลาะกัน แล้วทำไมทำไม๊ ผมดันมีคนรักเกิดวันเดียวกัน เดือนเดียวกันซะได้

       ย้อนกลับไปเมื่อปี 2548 ตอนนั้นผมเรียน ป.ตรี ที่จังหวัดเชียงรายครับ ซึ่งการไปเรียนที่นั่นผมต้องไปเช่าหอพักอยู่ครับ เพราะบ้านผมอยู่เชียงใหม่ จึงได้ไปเช่าห้องอยู่กับเพื่อนอีก 2 คน กลายเป็นว่าห้องที่เช่านั้นอยู่กัน 3 คน ดีว่าห้องใหญ่ครับ เลยยัดกันนอนได้

       หอพักที่ไปเช่าอยู่เป็นหอรวมครับ ในย่านนั้นเรียกหอแห่งนี้ว่า "หอแดง" ครับ เพราะหอนี้ใช้อิฐสีแดงในการก่อผนังนั่นเอง (ก่ออิฐแล้ว ไม่ฉาบปูน+ทาสี เพราะโชว์อิฐเลย)

       แล้วก็แน่นอนล่ะครับว่า หอรวมมันก็ต้องเจอสาวๆกันล่ะ ตอนนั้นผมอยู่ชั้นบนครับ (หอมี 2 ชั้น) สามารถมองลงมาดูสาวๆได้เพลินๆเลยครับ แล้วก็มีอยู่ห้องหนึ่งที่ชั้นล่างนั่น ที่เป็นสาวสวย ที่ทั้งผม และเพื่อนต่างสนใจ

       แต่ก็ได้แค่มองล่ะครับ เพราะพวกผมลงความเห็นกันว่า มันต่างกันเกินไป หน้าตาแบบเราไม่คู่ควรกับเขา พวกผมก็เลยปล่อยเขาไปครับ แล้วเขาก็มีแฟนไปในที่สุด (แล้วจะเล่าเพื่อ?)

       จากนั้นก็ตั้งใจเรียนกันไปเรื่อยๆครับ และด้วยความที่ชั้น 2 ก็มีสาวๆอยู่ด้วยเหมือนกัน พวกผมก็เลยเริ่มรู้จัก เริ่มสนิทกับสาวๆบนชั้น 2 หลายๆคน ตกเย็นมาก็เริ่มมีนัดกันทำอะไรกินที่พื้นที่โล่งของชั้น 2 ครับ (หอที่นี่จะมีที่โล่งนิดนึง เพราะหอเป็นรูปตัว L ทำให้ตรงฐานตัว L ต้องเป็นพื้นที่โล่ง)

       ด้วยความที่เริ่มสนิทกัน พวกผมต่างคนก็ต่างเริ่มจีบสาวในหอครับ ซึ่งเพื่อนผมทั้ง 2 คน ไม่ได้ใครเลย ส่วนตัวผมรึ ไม่ได้จีบนะ แต่ได้แฟนจากที่นี่แหละ (ห๊ะ ยังไง?)

       ผมไม่ได้จีบแฟนผมคนนี้จริงๆครับ แต่ด้วยความสนิทกันมากกว่า กลายเป็นเริ่มผูกพัน ค่อยๆพัฒนาจนเป็นแฟนกันเฉยเลย ถ้าถามว่าสนิทกันได้ยังไง ก็เพราะผมชอบช่วยเหลือคนอื่น (ขี้ข้าดีๆนี่เอง) เวลาทำอะไรกินกัน แล้วของขาย ผมก็อาสาไปตลาด ไปซื้อของให้ แล้วแฟนผมก็เป็นคนแบบเดียวกัน ก็เลยไปด้วยกันบ่อยๆ จนสนิทกันไปซะอย่างงั้น ก็เลยเป็นที่มาว่า ไม่ได้จีบ แต่ได้เป็นแฟน

       หลายคนไม่เชื่อ ว่าไม่ได้จีบจริงๆเหรออออ ผมตอบได้เลยว่า จริงๆครับ ผมไม่เคยซื้ออะไรให้เลยครับ ไม่เคยเอาใจเลย แต่พอนานวันเข้า ผูกพันกันมากขึ้น ก็รู้สึกว่าเราน่าจะเกินเพื่อนกันแล้วล่ะ ซึ่งผมกับแฟนไม่เคยขอกันเป็นแฟนนะครับ เรารับรู้กันเองครับ ว่าเราคือ แฟนกัน

       ก็หลังจากที่เป็นแฟนกันนั่นแหละครับ ผมถึงเริ่มเอาใจใส่ ซื้อของขวัญให้ ไปรับ-ไปส่งเรียน แล้วก็ทำต่างๆนาๆ ที่คนเป็นแฟนเขาทำกันนั่นแหละครับ และหนึ่งในเรื่องที่ต้องจำคือ วันเกิดใช่มั้ยล่ะครับ ซึ่งแฟนผมเกิดวันที่ 14 มกราคม ครับ

       ตอนที่ได้ยินตอนแรก อึ้งเลยครับ เฮ้ย 14 มกราคม วันเดียวกับวันเกิดน้องชายผมเลยนี่หว่า อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น แต่คิดอีกที ก็ดีนะ เกิดวันเดียวกัน เดือนเดียวกัน จะได้ไม่ต้องจำหลายวัน จริงมั้ยล่ะครับ แถมยังจำง่าย จำแม่นด้วย เพราะเป็นวันเกิดน้องชายตัวเอง ฮ่าๆๆ

       ก็นี่แหละครับ คนรักของผมเกิดวันเดียวกัน เดือนเดียวกัน แต่ไม่เคยทะเลาะกันเลย แปลกมั้ยล่ะครับ อิอิ (อย่าครับๆ อย่าขว้างรองเท้ามา ผมหลบไม่ทัน ฮ่าๆๆๆ)

       เชื่อว่ามีบางคนต้องคิดว่า 2 คนคือ แฟน กับ กิ๊ก แน่ๆเลย ใช่มั้ยครับ

       เอาล่ะครับ บทความนี้ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ครับ อย่าลืมวันเกิดของใครล่ะครับ ไม่งั้นมันจะเป็นเรื่องเอาได้นะครับ โดนเฉพาะวันเกิดแฟน ห้ามลืม เพราะมัน "อันตราย" ผมเตือนคุณแล้วนะ


ขอบคุณครับ

ต.ต้น


ตอนที่ 165 (บทความ) _ ไปร้านตัดผมในช่วงโควิด-19

 ไปร้านตัดผมในช่วงโควิด-19

13 มกราคม 2564

       ช่วงที่โควิด-19 ทำทุกอย่างสะดุดไปหมดแบบนี้ แต่ผมบนหัวมันไม่ได้หยุดยาวขึ้นด้วยน่ะสิ ก็เลยต้องรีบไปร้านตัดผมซะโดยด่วน ก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ไปกว่านี้ แล้วร้านตัดผมโดนปิด มันจะยิ่งแย่ขึ้นไปอีก

       ไปถึงร้านตัดผมก็ถือว่าโชคดีมาก เพราะที่ร้านไม่มีลูกค้าเลย (ร้านคงเป็นร้านเล็กๆด้วยแหละ) คนตัดผมถามเลย "ชื่ออะไร" ผมก็คิดในใจ 'ห๊ะ ถามชื่อทำไมหว่า' แล้วก็เดินไปหาคนตัดผม ผมเห็นสมุดจดรายชื่อลูกค้าวางอยู่ ก็เลยถึงบางอ้อเลยครับ

       ก็ถือว่าดีนะครับ เขามีทั้งชื่อคนมาตัดผม และเบอร์โทร เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะได้โทรแจ้งคนที่มาตัดผมในช่วงเวลานั้นเลย

       ตัดผมในช่วงโควิดแบบนี้ ก็ต้องใส่หน้ากากอนามัยป้องกันด้วยใช่มั้ยล่ะครับ ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่า แล้วช่วงที่สายคล้องหูอยู่เนี่ย เขาจะตัดยังไงน้อ น่าจะต้องดึงไปดึงมาแน่ๆเลย แล้วก็ตามนั้นครับ พอถึงช่วงที่ต้องตัดใกล้ๆหู เขาก็ดึงๆๆจริงๆด้วย มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือเรื่องยากอะไรนะครับ แต่แค่เขาก็ปรับตัวได้ดีทีเดียว ไม่ต้องถอดหน้ากากอนามัยตอนตัดผม

       ตัดไปเรื่อยๆสักพัก เขาก็เล่าว่า มีลูกค้าบางคนไม่ยอมใส่หน้ากาก โดยให้เหตุผลว่า "เขาไม่เป็นโควิดหรอก ไม่ได้ไปไหนเลย ไม่ต้องกลัว" คนตัดผมบ่นต่อว่า "แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าไม่เป็นโควิด หรือถ้าไม่เป็นจริงๆ ก็น่าจะป้องกันตัวเองด้วยดีมั้ย" คนตัดผมยังคงบ่นไปเรื่อยๆ ผมก็ได้แต่นั่นสิครับๆๆ

       เขาบ่นต่ออีกว่า "ถึงแม้ว่าลูกค้าจะไม่เป็นโควิด แต่การรับผิดชอบต่อสังคมก็จำเป็นมากนะในช่วงนี้ ทำไมคนพวกนี้คิดไม่ได้กันเนาะ" ผมก็ตอบ "จริงครับ คนบางคนผมก็ไม่เข้าใจนะครับ ทำไมถึงไม่ห่วงตัวเอง ห่วงคนอื่นเลย แล้วถ้าพลาดติดโควิดขึ้นมา ก็จะมาโวยวายคนอื่นอีก" หลังจากนั้นก็คุยกันยาวครับ เรียกว่า ถ้าผม หรือคนตัดผมเป็นโควิดนี่ บันเทิงล่ะครับ คงเสี่ยงกันน่าดู พูดกันเยอะ ฮ่าาา

       ตัดเสร็จเรียบร้อย ก็แยกย้ายครับ ซึ่งผมก็มาคิดดูว่า เขาก็พยายามป้องกันตัวเองมากนะครับ ถึงเขาไม่ได้ไปไหนเลย ต้องเปิดร้านตัดผม แต่เขาก็เสี่ยงนะ เพราะไม่รู้ว่าลูกค้าที่มาตัดผมนั้น ไปที่ไหนมาบ้าง จะเอาโควิดมาติดเขารึเปล่า ชื่นชมในความเอาใจใส่ป้องกันโควิดของเขามากครับ

       สุดท้ายของบทความนี้ "ประชาชนป้องกันแทบแย่ แต่การ์ดแตกเพราะใครกันน้าาาาาา" หนีล่ะครับ แวบ!!!


ขอบคุณครับ

ต.ต้น

ตอนที่ 164 (บทความ) _ แมวตบนิ้ว เลือดสาดเลย

แมวตบนิ้ว เลือดสาดเลย

12 มกราคม 2564

        เมื่อวันก่อน ผมเอาอาหารให้แมวตรงหน้าประตูบ้าน ซึ่งตอนนั้นมีแค่แม่แมวอยู่ตัวเดียว ผมก็เทอาหารให้ปกติแหละ แต่แม่แมวยังไม่กินนะ มันมาคลอเคลียผมก่อน ผมก็เกาๆๆมันแหละ มันกำลังท้องด้วย น่าจะฟินน่าดู

       เกาแม่แมวได้สักพัก ลูกแมววิ่งมาเว้ย ไม่รู้โผล่มาจากไหน อยู่ก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า มันก็มองๆ ว่าแม่มันทำอะไร แล้วผมทำอะไรอยู่

       ทีนี้มันคงอยากเล่นบ้าง เล่นตามประสาความอยากรู้อยากเห็นของแมวเด็ก มันก็ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ๆผมนะ แต่เข้ามาแบบระวังตัว ค่อยๆอ้อมไปด้านหลัง ผมก็มองตาม มันก็แทบจะเดินวนรอบตัวผมแหละ ซึ่งตอนนั้นผมนั่งเกาแม่แมวอยู่

       แล้วพอมันเข้ามาในระยะที่ผมเอื้อมถึง ผมก็จะเอามือไปจับ มันก็หนีซะงั้น น่าจะยังกลัวแน่ๆ แต่มันก็หนีไม่ไกลนะ เพราะคงอยากรู้อยากเห็นจริงๆแหละ มันก็ค่อยๆเข้ามาอีก คราวนี้ผมยื่นมือให้มันดมก่อน มันก็ค่อยๆเข้ามาดมๆๆ แล้วผมก็ตบหัวมันไปเบาๆ 1 ที ฮ่าๆๆ

       มันถอยไปหนึ่งก้าว แล้วจะสู้เว้ย จะเอาตีนตบ แหมมมม ไอ้ตัวเล็ก ฮ่าๆๆ แต่สุดท้าย ผมก็เอามันมาเกาจนได้ เกาหัว เกาคาง เกาตัว แต่ด้วยความที่มันเด็กแหละครับ เหมือนจะยังไม่รู้จักความฟิน เกาได้แปปเดียว มันก็ดิ้นๆ จะเอาตีนตบมือผม

       ทีนี้เหตุการณ์เลือดสาดเกิดขึ้นตรงที่ว่า พอลูกแมวกล้าเล่นกับผมแล้ว มันก็เข้ามาใกล้แม่แมว แล้วแม่แมวเป็นอะไรไม่รู้ครับ ทั้งตบ ทั้งกัดลูกแมวทุกครั้งที่ลูกแมวเข้าใกล้เลยครับ ลูกแมวมันก็หนีออกไป

       พอมันหนีออกไป ผมก็เอื้อมมือตามไปเกาหัวลูกแมวต่อ แล้วทันใดนั้นเอง เปรี้ยง!!! แม่แมวจะตบหัวลูกแมว แต่นิ้วผมขวางอยู่ เลือดสาดเลยยยยย เล็บคมมากกกกกก เลือดไหลไม่เยอะ แต่ไหลเร็วมาก ผมตบหัวแม่แมวไป 1 ที แล้วก็รีบลุกไปล้างทำความสะอาดแผลเลยครับ

       เพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าแม่แมวตบลูกแมวกางเล็บด้วย นึกว่าจะเก็บเล็บซะอีก ตอนเลือดออกก็ตกใจนะครับ เฮ้ย นี่มึงตีกันจริงจังเลยเหรอวะ แต่ก็ดีที่แผลเล็กครับ มันตบทีเดียว ไม่ได้ข่วน ไม่งั้นจากโดนตบ จะเป็นโดนเตะเลย ฮ่าๆๆ


ขอบคุณครับ

ต.ต้น

ตอนที่ 163 (บทความ) _ ประสบการณ์พอร์ตหุ้นทองแตก เจ็บมิใช่น้อย

 ประสบการณ์พอร์ตหุ้นทองแตก เจ็บมิใช่น้อย

11 มกราคม 2564

       เจ็บตัวเพราะเงินหายไป ไม่เท่าเจ็บใจที่มันทำพอร์ตแตก แล้ววกกลับมาเยาะเย้ยครับ ฮ่าๆๆ

       เริ่มเรื่องราวของการเล่นหุ้นทอง มีคนชวนเล่นครับ เพราะมันเล่นได้ตลอดเวลาทั้งวันเลย ดูแนวโน้มของกราฟ แล้วก็เดาว่า ราคามันจะขึ้น หรือราคามันจะลง แล้วก็เทรดเลยครับ ถ้าเดาถูก ก็ได้ตังค์ แต่ถ้าเดาผิด ก็เสียตังค์แค่นั้นเองครับ (การพนันแบบถูกกฎหมายนี่เองงงงงง)

       ตอนแรกที่ลงทุนไป ก็เล่นแบบกล้าๆกลัวๆล่ะครับ กลัวจะเสียทุนไป แต่เล่นไปเรื่อยๆ เริ่มมีประสบการณ์ เริ่มมีความกล้ามากยิ่งขึ้น จนในที่สุดก็ทำเงินได้ถึง 200 ดอลล่าใน 2 วัน แต่พอร์ตก็แตกกระจายกลายเป็นฝุ่นภายในวันเดียว เงิน 400 ดอลล่า(รวมทุน) หายไปในพริบตาเช่นกัน

       ขอเริ่มเล่าตั้งแต่เริ่มต้นเลยนะครับ ผมเข้าเล่นหุ้นราคาทอง (XAUUSD) ที่เว็บแห่งหนึ่ง ซึ่งตอนแรกก็เล่นแบบลองเชิงด้วยการเล่นบัญชี Micro ซึ่งลงทุนเพียงแค่ 5 ดอลล่าเท่านั้น (ตอนนั้น 1 ดอลล่า/32 บาท = 160 บาท)

       ก็เล่นๆ ฝึกๆไปครับ แต่ด้วยความที่ว่า ราคาที่เล่นมันงงๆ (ซึ่งยอมรับว่า ตอนนี้ก็ยังงงครับ อธิบายไม่ถูก ฮ่าๆๆ) ก็ทำได้แค่ ฝึกอ่านกราฟ ฝึกคาดคะเนความเป็นไปได้ของราคาทองล่ะครับ จนในที่สุดพอร์ต 5 ดอลล่านี้ก็แตกกระจายไปครับ

       พอมีประสบการณ์ ก็คิดว่า เออ เราน่าจะไหวแหละ ตั้งใจจะเล่นแบบระมัดระวัง ก็เปิดบัญชี Premium ต่อ ซึ่งเงินลงทุนคือ 200 ดอลล่า (ตอนนั้น 1 ดอลล่า/32 บาท = 6,400 บาท) และการเทรดก็เข้าใจง่ายกว่าแบบ Micro ครับ

       บัญชีนี้เล่นแบบระมัดระวังมากครับ ได้กำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง วนๆกันอยู่แบบนั้นสักระยะ จนไปเจอข้อมูลความต่างของ สเปรด (ศัพท์ของการเทรด) ซึ่งสเปรดของบัญชี Premium อยู่ที่ [ลอยตัวตั้งแต่ 1.9] ส่วนบัญชี Pro อยู่ที่ [ลอยตัวตั้งแต่ 0.5] ทำให้มองเห็นความง่ายในการเทรดของบัญชี Pro ครับ จึงย้ายไปเล่นที่บัญชี Pro แทน

       จริงๆแล้วบัญชี Pro ต้องเปิดบัญชีที่ 500 ดอลล่า แต่ผมลองโอนเงินจากบัญชี Premium ที่มีอยู่ 220 ดอลล่า (ได้กำไรมา 20 ดอลล่า) ไปใส่ มันก็ได้เฉยเลย ก็งงๆนะครับ แต่ก็ดี (ผมไม่ได้โกงนะ แค่ลองดู แต่มันได้เฉยเลย) ผมก็เลยลองเล่นบัญชี Pro ตั้งแต่นั้น และค่า สเปรด ก็มีผลจริงๆ เห็นได้ชัดเจนมากด้วย เล่นง่ายกว่าบัญชี Premium เยอะเลยครับ

       พอได้เล่นบัญชี Pro และด้วยความง่ายของ สเปรด จากที่เล่นครั้งละ 0.01 เพื่อความปลอดภัย แต่ก็จะได้เงินน้อยหน่อย ก็ขยับแบบใจกล้าหน้าด้านเล่น 0.10 ไปเลยครับ ได้เงินเร็ว แรงทะลุนรก แต่ก็โคตรอันตราย โคตรเสี่ยงครับ เพราะถ้าพลาดนี่ ถึงขั้นพอร์ตแตกได้เลยครับ

       และด้วยความง่ายนี่แหละครับ ถึงเป็นที่มาของหายนะพอร์ตแตกในที่สุด กำไร 200 + ทุนอีก 220 ดอลล่าหายไปในพริบตา

       รูปแรก คือ การเริ่มลองเล่นทีละ 0.10 ครับ ค่อยๆสร้างความมั่นใจให้ตัวเองครับ (ดูจากกรอบเส้นประสีแดงนะครับ จะเป็นการเล่น 0.10)

       สังเกตข้อแตกต่างระหว่างเล่น 0.01 กับ 0.10 นะครับ

       (บรรทัดที่ 5) buy 0.01 เริ่มที่ 1874.620 จบที่ 1875.620 ต่างกัน 1.00 แต่ได้เงิน 1.0 ดอลล่า

       (บรรทัดที่ 3) buy 0.10 เริ่มที่ 1876.710 จบที่ 1877.710 ต่างกัน 1.00 แต่ได้เงิน 10.0 ดอลล่า

       จะเห็นว่า จบที่ค่าต่างกัน 1.00 เท่ากัน แต่ได้เงินต่างกันมาก นี่แหละครับ ผมเลยลองเสี่ยงเล่นแบบ 0.10 เพราะได้เงินเร็วกว่าครับ



       รูปที่ 2 จะเป็นการเล่นในวันที่ 29 ธันวาคม 2020 ซึ่งถ้าดูในกรอบสีแดงของ sell 0.10 และดูเวลา จะเห็นว่าผมใช้เวลาจาก 11:00 - 13:21 น. หรือไม่ถึง 3 ชั่วโมง ทำกำไรไปถึง 100 ดอลล่าเลยทีเดียว ตอนนั้นฟินมาก ใจกล้าสุดๆครับ 



       รูปที่ 3 คือหายนะที่แท้จริง เริ่มแรกให้ดูที่กรอบสีแดงของวันที่ 30 ธันวาคม 2020 ก่อนนะครับ วันนั้นแม้จะใช้เวลานาน แต่ก็ทำกำไรไปได้ถึง 110 ดอลล่าเลย บวกกำไร 2 วัน (29-30) ก็ปาเข้าไป 210 ดอลล่าแล้ว

       แต่ในความเก่งที่ทำกำไรแบบหนักๆ ก็มีความผิดพลาดที่ซ่อนอยู่ถึง 3 ครั้งด้วยกัน

       ดูในกรอบสีดำทั้ง 3 กรอบครับ นั่นแหละครับคือ ความผิดพลาดซึ่งนำมาซึ่งพอร์ตแตก ถ้าถามว่ามันแตกได้ยังไง เอียงหูมาครับ จะเล่าให้ฟังครับ

       ตอนนั้นเป็นช่วงวันที่ 30 ซึ่งกราฟมันก็ค่อยข้างพุ่งขึ้นแปลกๆ แต่ด้วยประสบการณ์ล่ะครับ มันขึ้นได้ เดี๋ยวมันก็ต้องลง ก็ทำการเล่น sell ไปครับ (ลืมบอก buy คือ กราฟขึ้น ส่วน sell คือ กราฟลง)

       แต่จนแล้วจนรอด มันก็ขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ยอมลงเลยครับ จนตลาดหุ้นปิดช่วงปีใหม่ 2021 ซึ่งตอนนั้นผมก็คิดว่า เปิดปีใหม่มา มันน่าจะลงล่ะมั้ง ก็ยังพอมีความหวัง เพราะมันขึ้นไปเวอร์มากๆ

       


       ปรากฏว่า.......เปิดตลาดวันที่ 4 มกราคม 2021 เพียงช่วง 5 นาทีแรกเท่านั้น กราฟพุ่งเป็นยานอวกาศจะไปดวงจันทร์เลยครับ (รูปด้านล่าง) ผมเปิดดูตอนหลังตลาดเปิด 10 นาที พอร์ตก็แตกไปเรียบร้อยแล้ว ยังไม่ได้ลุ้นอะไรเลยครับ (ดูเวลา 01:00:24 นั่นหมายความว่า พอร์ตผมแตกภายในเวลา 24 วินาทีครับ โหดมาก)

       สังเกตที่กรอบสีดำรูปข้างบนนะครับ พลาดเพียงแค่ 3 ครั้ง ก็ทำให้หมดตัวได้จริงๆครับ กำไรที่ทำมา 200 กว่าดอลล่า หายเกลี้ยง ไม่เพียงเท่านั้น ยังเอาทุนอีก 220 ดอลล่าหายไปอีกด้วยครับ



       แต่ตอนนี้ราคาทองร่วงลงมาแล้วครับ ลงมาต่ำกว่า 1850 ซะอีก เรียกได้ว่า ขึ้นไปให้พอร์ตผมแตก แล้วก็ลงมาเยาะเย้ยให้ช้ำใจเล่นจริงๆเลยครับ

       เกร็ดเล็กน้อยก่อนที่จะจบบทความนี้นะครับ สำหรับใครที่จะเล่นหุ้นทองนะครับ ให้ดูข่าวของค่าเงินดอลล่าควบคู่ไปด้วยก็จะดีมากครับ เพราะสาเหตุที่หุ้นทองพุ่งสูงขึ้นก็เพราะว่า ค่าเงินดอลล่าอ่อนตัวครับ คนเลยแห่ไปซื้อทองครับ แต่พอค่าเงินดอลล่าแข็งตัวขึ้น หุ้นทองก็ร่วงลงมาตามสภาพล่ะครับ แล้วช่วงต้นปีที่ผ่านมา ค่าเงินดอลล่ามันอ่อนนั้นเอง ทำให้ราคาทองพุ่งสูงขึ้น ซึ่งตอนนั้น ผมไม่รู้ ผมเลยพลาด แตกเลยยยยย

       เอาล่ะครับ บทความนี้ก็ต้องจบไว้แต่เพียงเท่านี้ล่ะครับ ผมเอาประสบการณ์เขียนให้อ่าน ก็เพื่อเตือนให้รู้ว่า มันไม่มีอะไรที่แน่นอนเสมอไปครับ แต่ถ้าใครอยากลองความตื่นเต้น ก็จิ้มที่รูปด้านล่างได้เลยครับ ศึกษาข้อมูล แล้วสมัครได้เลยครับ

       ย้ำเตือนครับว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน”


ขอบคุณครับ

ต.ต้น

ตอนที่ 162 (บทความ) _ อยากเล่นกับแมว แต่ไม่อยากเลี้ยงแมว

 อยากเล่นกับแมว แต่ไม่อยากเลี้ยงแมว

8 มกราคม 2564

       ณ ช่วงเวลาหนึ่งเมื่อหลายเดือนก่อน มีแมวจร 1 ตัวมาแอบนอนอยู่ที่บ้านเช่าของผมครับ ตอนแรกก็มองหน้ากัน แล้วมันก็วิ่งหนีครับ วิ่งแบบเร็วมากด้วย คงจะกลัวมากกกกก

       แต่พอมองหน้ากันบ่อยๆเข้า จากรีบวิ่งหนี ก็กลายเป็นลุกเดินหนี กลายเป็นนอนมองหน้าเฉยๆ แต่ถ้าผมทำท่าจะเดินเข้าไปหา ก็ยังลุกหนีนะครับ ยังไม่ยอมให้เข้าถึงตัวง่ายๆ

       นานวันเข้าๆ ทีนี้ไม่ลุกหนีละครับ ผมเดินเข้าไปหาใกล้ๆได้เลย แต่พอจะทำท่าจะจับ ก็ยังลุกหนีอยู่ดี บางครั้งมันนอนอยู่ตรงทางเดินไปหลังบ้าน ผมเดินผ่าน มันก็เฉยนะครับ นอนมองหน้าแต่ไม่ลุกหนี แต่พอผมทำท่าจะจับแค่นั้นแหละ ลุกพรวดหนีเลย ฮ่าๆๆ

       เป็นเวลาหลายเดือนอยู่นะครับ จากที่มันมานอนเล่นบริเวณบ้าน จนกลายมาเป็นนั่งเฝ้าประตูหน้าบ้าน ถามว่ามันมานั่งเฝ้าทำไมน่ะเหรอ หึหึ ก็มานั่งรอขออาหารกินไงครับ มันจะเอาผมเป็นทาสไง มันน่าจะสำรวจทั้งบ้าน ทั้งคนเรียบร้อยแล้วล่ะว่า มนุษย์คนนี้ไว้ใจได้ เพราะฉะนั้น ลุย!!!

       ผ่านไปอีกหลายเดือน จนมาถึง ณ ปัจจุบันนี้ มันอ้อนเป็นแล้วครับ หลังจากที่มานั่งรออาหารหน้าประตูบ้านจนผมใจอ่อน ยอมลงทุนซื้ออาหารแมวมาให้มันเลยทีเดียว เมื่อก่อนวิ่งหนี แต่ทุกวันนี้มาคลอเคลียให้เกาหัว เกาคาง เกาพุง แหมมมมม นังแมวมันร้าย!!!

       แล้วจากวันแรกที่เจอมันเพียงตัวเดียว ตอนนี้มันพาลูก พาสามีมาด้วยอีกต่างหาก รวมแล้ว 3 ตัวเข้าไปแล้วที่ผมต้องให้อาหาร และคอยเกาๆๆเพื่อความฟินของมัน และที่สำคัญ ตอนนี้มันท้องอีกแล้ว (คราวก่อนก็ท้อง แล้วก็คลอด แล้วก็พาลูกมาหาผมด้วยนี่แหละครับ)

       ดูมีความสุขดีนะครับ แต่ทีนี้ประเด็นมันอยู่ที่ ผมไม่อยากเลี้ยงสัตว์ครับ ไม่ใช่ว่าไม่รักสัตว์นะครับ แต่เพราะรักนี่แหละ เลยไม่อยากเลี้ยง เพราะตอนนี้ผมอยู่บ้านเช่าครับ ซึ่งมันมีโอกาสที่จะย้ายได้ตลอดเวลา และผมก็เป็นคนต่างจังหวัดด้วย แต่ตอนนี้ทำงานที่กรุงเทพ พอต้องกลับต่างจังหวัด สัตว์ที่เลี้ยงไว้ก็จะมีปัญหาครับ

       จริงๆมันก็มีทางออกใช่มั้ยครับ (ใช่สิ มีทางออก) แต่ก็ไม่อยากรบกวนฝากใครเลี้ยงน่ะครับ ก็เลยตัดปัญหาไม่เลี้ยงอะไรเลยจะดีกว่า

       ยังดีว่า ตอนนี้นะ แมวทั้ง 3 ตัว น่าจะแค่มาขออาหารกิน และมาเล่นด้วยเท่านั้น เพราะหลังจากที่กินอาหารเสร็จ เล่นกับผมเสร็จ มันก็หายไปนะครับ ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันหายไปไหน มันจะไปอยู่ที่บ้านของมันที่มีคนเลี้ยงจริงจังเลยมั้ย หรือจะไปแอบพักผ่อนตามแบบของแมวจรก็ไม่รู้ได้

       ที่ผมกลัวก็คือ กลัวมันจะย้ายมาอยู่กับผมนี่แหละ เพราะอย่างที่บอก ผมไม่อยากเลี้ยง แค่อยากเล่นด้วย และให้อาหารเป็นอาหารเสริมเพิ่มเติมเท่านั้น เฮ้อออ ก็ยังเดาไม่ออกนะครับว่า มันจะเอายังไง แต่ก็ขอให้มันไม่ย้ายมา จะดีที่สุด ขอแค่ให้มันมาเล่นด้วยก็พอละ

       แต่เอ๊ะ  มันก็อ้วนทุกตัวนะ มันน่าจะมีคนเลี้ยงจริงจังแหละ น่าจะสบายใจได้

     ปล. ลูกแมวมันซนจริงๆ จ้องจะวิ่งเข้าในบ้านตลอดเลย โดนแอบเข้าบ้านไป 2 ทีละ เล่นไล่จับกันสนุกเลย กว่าจะจับออกมาได้ ฮ่าๆๆ

ขอบคุณครับ

ต.ต้น