อิ่มสุข
(กรุณาเปิดระบบเสียง Soundtrack ภาษาเหนือ ก่อนทำการอ่าน หรือท่านอาจจะใช้วิธีอ่านซับไตเติ้ล ประกอบการอ่านในเนื้อหาเรื่องสั้นก็ได้ ในกรณีที่ท่าน ยังไม่ได้ติดตั้งระบบเสียง Soundtrack ภาษาเหนือ)
วันที่ 9 ธันวาคม 2548 (สมัยที่โทรศัพท์มือถือกำลังเริ่มพัฒนาเข้ามาแทนที่โทรศัพท์บ้าน)
"ตรู๊ดๆๆ ตรู๊ดๆๆ ตรู๊ดๆๆ ... " เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นอยู่เป็นเวลานานกว่า 20 วินาที ก่อนที่จะมีใครสักคนมายกหูโทรศัพท์ขึ้นรับสาย
"โหล..." เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นที่ปลายสาย เป็นเสียงที่เหมือนคนเดินมารับโทรศัพท์ด้วยความเร่งรีบ กลัวว่าต้นสายจะวางไปก่อน
"สุขสันต์วันเกิดนะครับยาย อยู่กับลูก กับหลานไปแห๋มเมินๆเลยเน้อ" (แห๋มเมินๆ = อีกนานๆ) ผมโทรไปอวยพรวันเกิดให้ยายครับ ชีวิตผมก่อนหน้าที่จะมีแฟน ผมก็มีผู้หญิงที่ผมรักมากๆอยู่สองคนก็คือ แม่ และยายนี่แหละครับ ตอนนี้ผมเข้ามาทำงานที่กรุงเทพ เลยไปเลี้ยงวันเกิดให้ยายแบบทุกปีเหมือนตอนที่อยู่เชียงใหม่ไม่ได้ ที่ทำได้ก็แค่โทรไปอวยพรนี่แหละครับ
"โค๊ะ...ก่อว่าไผ๋ อ้ายต้นกะ ขอบใจ๋จ้าดนักเน้ออ้าย แม่ก่อขอหื้อลูกมีความสุขนักๆเน้อครับ" (โห...ก็นึกว่าใคร พี่ต้นเหรอ ขอบใจมากๆนะ ยายก็ขอให้หลานมีความสุขมากๆนะครับ) เวลายายคุยกับผม ยายจะเรียกผมว่า อ้าย ซึ่งความหมายก็คือ พี่ แล้วผมก็เป็นพี่คนโตของหลานๆของยาย แล้วยายก็จะแทนตัวเองว่า แม่ เพราะยายเลี้ยงหลานๆมาแทบทุกคน เลยเปรียบเสมือนแม่อีกคนหนึ่งนั่นเอง ซึ่งผมเชื่อว่า คนต่างจังหวัดคงจะเป็นแบบนี้กันเยอะพอสมควรเลย
"ครับ แม่ยะหยังอยู่นั่น" (ยะหยังอยู่ = ทำอะไรอยู่) ผมขอบคุณที่ยายอวยพรกลับมา แล้วก็ถามว่ายายทำอะไรอยู่
"กิ๋นข้าวอยู่ครับ อ้ายกิ๋นละยัง" (กินข้าวอยู่ครับ พี่กินหรือยัง) ทุกครั้งที่ถามอะไรยายออกไป ยายก็มักจะถามคำถามที่ผมถามยาย ย้อนกลับมาเสมอ
"ยังเลย โทรหาแม่ก่อนเนี่ยกะ เดียวก้อยกิ๋น" (เดียวก้อยกิ๋น = เดี๋ยวค่อยกิน)
"มีอะหยังกิ๋นพ่องน่ะ ตี้นี้มีนักขนาดเลย น้องต่อ (หลานสาวยายชื่อ ต่อ) ไปซื้อมา บอกว่าฉลองวันเกิดหื้ออีแม่" (มีอะไรกินบ้างน่ะ ที่นี่มีเยอะมากเลย น้องต่อไปซื้อมา บอกว่าฉลองวันเกิดให้ยาย) เสียงยายฟังดูตื่นเต้นมาก ที่นานๆที หลานสาวจะซื้อของมาให้เลือกกินหลายอย่าง
"มีข้าวต้มกิ๋นนิ อย่างเดียวก่อปอละ แม่กิ๋นข้าวอิ่มละยังนั่น" (มีข้าวต้มกิน อย่างเดียวก็พอละ ยายกินข้าวอิ่มรึยัง) ผมตอบยายว่ามีอะไรกินบ้าง แล้วก็ถามยายกลับ เพราะไม่รู้ว่ายายกินข้าวอิ่มหรือยัง
"จะอิ่มละครับ ปี๋นี้อ้ายจะปิ๊กมาวันใด กิ๋นหมูกระทะกั๋นเหมือนกู้เตื้อน่ะเนอะ ง่ายดี รออ้ายปิ๊กมาก่อน ก้อยไปเซาะซื้อคัว" (จะอิ่มละครับ ปีนี้พี่จะกลับมาวันไหน กินหมูกระทะกันเหมือนทุกทีแหละเนอะ ง่ายดี รอพี่กลับมาก่อน ค่อยไปหาซื้อของ) ทุกปีที่ผมกลับไปเยี่ยมบ้านช่วงปีใหม่ ผมต้องไปกินเลี้ยงปีใหม่ที่บ้านยายเป็นประจำ แล้วเมนูยอดนิยมก็หนีไม่พ้นหมูกระทะนั่นเอง
"ปิ๊กซาวหกเมื่อคืน ไปถึงก่อเจ๊าซาวเจ็ดเมื่อเจ๊าแหละ" (กลับยี่สิบหกกลางคืน ไปถึงก็เช้ายี่สิบเจ็ดตอนเช้าแหละ) ผมบอกยายไป ว่าเดินทางกลับวันไหน
ผมคุยกับยายอีกสักพักก็วางสาย แล้วก็มานั่งคิดถึงอนาคตว่าปีใหม่เราจะไปไหน ทำอะไรบ้างดี เพราะปีหนึ่งก็ได้หยุดยาวกลับบ้านแค่ 2 ครั้งเอง คือ ช่วงสงกรานต์ และปีใหม่ กลับไปครั้งหนึ่งระยะเวลาแค่ไม่กี่วัน ต้องวางแผนดีๆ ใช้เวลาให้คุ้มค่า ขืนพลาดอะไรไป ต้องรอกลับบ้านครั้งหน้าเลยทีเดียว กว่าจะได้ทำสิ่งที่พลาดไป
ผมค่อนข้างจะสนิทกับยายมากกว่าพ่อและแม่ของผมเอง อาจจะเป็นเพราะว่า ยายตามใจล่ะมั้งครับ ไปบ้านยายทีไรก็ไปกิน ไปนอนเล่น ดูทีวี ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องกลัวโดนบ่น หรือโดนใช้งานอะไร ผมคิดว่าหลายๆคนก็น่าจะเป็นแบบผมนะครับ ที่จะสนิทกับ ปู่ย่า ตายาย มากกว่าพ่อแม่
วันที่ 26 ธันวาคม 2548
"ติดๆๆ โอ้ย...รถติด จะติดอะไรนักหนา จะไปทันรึเปล่าล่ะเนี่ย" ผมบ่นกับตัวเองบนรถแท็กซี่ที่กำลังเดินทางไปที่หมอชิต เพื่อขึ้นรถทัวร์กลับบ้านที่เชียงใหม่ ผมคิดว่าวันนี้หลายคนก็คงบ่นแบบผมนี่แหละครับ เพราะช่วงเวลาหลังเลิกงาน คือช่วงเวลาที่หลายๆคน เร่งรีบเดินทางไปขึ้นรถทัวร์ หรือเดินทางด้วยวิธีอื่นๆ เพื่อกลับบ้านในช่วงสิ้นปีแบบนี้
"ขึ้นรถละเน้อ เดียววันพูกไปถึงจะโทรหา เปิดโทรศัพท์ไว้นะ ห้ามปิด" (เดียววันพูก = เดี๋ยวพรุ่งนี้) ผมโทรคุยกับน้องชาย เพื่อบอกว่าขึ้นรถแล้วนะ แล้วพรุ่งนี้ไปถึงจะโทรหาให้มารับด้วย
วันที่ 27 ธันวาคม 2548
"ตื่นๆๆ ใกล้ถึงละ เดียวไปรอตี้เก่า หน้าป้าย" (เดียวไปรอตี้เก่า = เดี๋ยวไปรอที่เดิม) ผมเดินทางถึงเชียงใหม่ประมาณหกโมงเช้า อากาศที่เชียงใหม่หนาวกว่าที่กรุงเทพมาก กลับมาปีใหม่แต่ละที ปรับตัวแทบจะไม่ทัน
พอมาถึงเชียงใหม่ ผมก็ยืนรอน้องชายอยู่ที่หน้าป้ายสถานีขนส่ง โดยที่ต้องพยายามยืนตากแดดไปด้วย เพราะถ้าไม่โดนแดดเลย มันจะหนาวเอาเรื่องเลยทีเดียว ผมยืมรออยู่ประมาณ 15 นาที น้องชายก็ขับมอเตอร์ไซค์ฝ่าความหนาวตอนเช้ามารับผม
"ไปไหนก่อน บ้านกะว่าบ้านยาย" (บ้านกะว่าบ้านยาย = บ้านหรือว่าบ้านยาย) เป็นคำถามแรกที่น้องชายต้องถามผมแทบทุกครั้งที่ผมกลับมาที่เชียงใหม่
"ไปบ้านก่อนกะ บ้านยายก้อยไปบึ๊ดเมื่อแลงเอา ไปกิ๋นหมูกระทะลวดเดียวเลย" (ไปบ้านก่อนสิ บ้านยายค่อยไปตอนเย็น ไปกินหมูกระทะทีเดียวเลย) ผมขอเข้าบ้านก่อน เพื่อเอาของไปเก็บ และไปพักผ่อน เจอพ่อกับแม่ก่อน
ผมซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ที่น้องชายเป็นคนขับกลับบ้าน ซึ่งจริงๆแล้วรถมอเตอร์ไซค์คันที่ผมนั่งอยู่นี่ เป็นมอเตอร์ไซค์ของผมนั่นแหละครับ เพียงแต่ว่าพอผมต้องไปทำงานที่กรุงเทพ รถคันนี้ก็ตกเป็นของน้องชายโดยอัตโนมัติ เออ...จริงๆไม่ใช่อะไรหรอกครับ พอดีที่บ้านไม่มีเงินซื้อรถใหม่ เลยยกคันของผมให้น้องนั่นแหละ ง่าย และประหยัดงบ
"มีอะหยังกิ๋งพ่อง" (มีอะไรกินบ้าง) ผมกลับมาถึงบ้านก็ไหว้พ่อ ไหว้แม่ แล้วก็เข้าห้องของตัวเอง (ห้องนอนของผมกับน้องชาย) เก็บของ อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนที่จะลงไปที่ห้องครัว เพื่อหาข้าวเช้ากิน
"เจ๊านี้กิ๋นจิ้นหมูทอด กับของตะวาไปก่อน เดียวเมื่อตอนแป๋งขนมเส้นน้ำเงี้ยว" (เช้านี้กินเนื้อหมูทอด กับของเมื่อวานไปก่อน เดี๋ยวตอนเที่ยงทำขนมจีนน้ำเงี้ยว) พ่อตอบผม ในขณะที่กำลังอุ่นอาหารมื้อเย็นของเมื่อวานอยู่ที่เตาแก๊ส
ผมนั่งกินข้าวเช้าพร้อมพ่อ และน้องชาย บรรยากาศในวงอาหารเช้านี้ทำให้ผมคิดถึงอดีตเมื่อตอนอยู่บ้าน เรียนอยู่ที่เชียงใหม่ จริงๆบรรยากาศแบบนี้ก็เกิดขึ้นทุกครั้งที่ผมกลับมาบ้านแหละครับ แต่ทุกครั้งที่กินข้าวกันแบบนี้ มันก็อดคิดถึงไม่ได้จริงๆ
"แลงนี้ กิ๋นข้าวตี้ไหน บ้านกะว่าบ้านยาย" (เย็นนี้ กินข้าวที่ไหน บ้านหรือว่าบ้านยาย) พ่อผมถามขึ้น หลังจากที่กินข้าวเช้ากันเสร็จแล้ว
"แลงนี้ ไปกิ๋นบ้านยายก่อน นัดกั๋นแป๋งหมูกระทะละ ไว้วันพูกก้อยกิ๋นตี้บ้าน วันพูกขอลาบเน้อ ไปอยู่กรุงเทพมันบ่ามีหื้อกิ๋น" (เย็นนี้ ไปกินบ้านยายก่อน นัดกันทำหมูกระทะละ ไว้พรุ่งนี้ค่อยกินที่บ้าน พรุ่งนี้ขอลาบนะ ไปอยู่กรุงเทพมันไม่มีให้กิน) ผมบอกกับพ่อไปด้วย เก็บโต๊ะอาหารไปด้วย
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ผมก็พักผ่อนอยู่ที่บ้านทั้งวัน ส่วนมากก็จะอยู่ในห้องนอนกับน้องชาย เพราะในห้องนอน มีทุกอย่างครบ ทั้งทีวี หนังสือ เครื่องเล่นเกม รวมไปถึงคอมพิวเตอร์ เรียกได้ว่า อยู่ในห้องนอนก็เหมือนอยู่หอพักดีๆนี่เอง เพราะมีครบแทบจะทุกอย่างแล้ว จะขาดก็แค่ห้องน้ำ กับอาหาร ที่ต้องออกไปจัดการข้างนอกห้องนอน
บ่ายสามโมง ผมกับน้องชายก็ออกจากบ้านด้วยรถมอเตอร์ไซค์คันเก่งเพื่อไปบ้านยาย ระหว่างการเดินทางอากาศก็เริ่มเย็นลงแล้ว ถ้าอยู่ในบ้าน หรืออยู่นิ่งๆอาจจะไม่รู้สึก แต่พอขับมอเตอร์ไซค์เท่านั่นแหละครับ เย็นจนต้องใส่เสื้อกันหนาวกันเลยทีเดียว
"โห มาละฮั่น อ้ายต้นมาละ" (โห มาแล้วนั่น พี่ต้นมาละ) ยายบอกกับคนในบ้าน เมื่อเห็นผมกับน้องชายมาถึง
ผมไหว้ตากับยาย และคนในบ้าน ซึ่งก็คือ น้าสาว และน้าเขย ที่บ้านนี้จะเหลือเพียงลูกสาวคนเล็กของยาย ที่อยู่ดูแลยาย ส่วนลูกของยายอีกสองคน ก็อยู่ใกล้ๆบ้านยายนี่แหละครับ ซึ่งลูกของยายก็แม่ผมคนหนึ่งล่ะ ที่บ้านยังมีลูกสาวของน้าอยู่ด้วยอีกคน ทำให้บ้านยายอยู่กันทั้งหมด 5 คน
"เตรียมเต๋า เตรียมถ่าน เตรียมถาดไว้หื้อละ ตี้เหลือเป๋นหน้าตี้สูเขา ไปซื้อคัวมาแป๋งกิ๋น" (เตรียมเตา เตรียมถ่าน เตรียมถาดไว้ให้ละ ที่เหลือเป็นหน้าที่พวกเธอ ไปซื้อของมาทำกิน) น้าสาว บอกกับผมและน้องชาย ว่าเตรียมของไว้ให้หมดแล้ว ขาดแค่ของกิน ให้ไปซื้อกันเอาเอง
"ปะ อั้นก่อไปกาดละกะ วันนี้สีท่าคนจะแป๋งหมูกระทะกิ๋นกั๋นนัก ไปจ๊าเดียวบ่ามีอะหยังมาแป๋งกิ๋น" (ปะ งั้นก็ไปตลอดแล้วสิ วันนี้ท่าทางคนจะทำหมูกระทะกินกันเยอะ ไปช้าเดี๋ยวไม่มีอะไรมาทำกิน) ผมชวนน้องชาย และหลานสาวไปตลาด เพื่อไปหาซื้อของมาทำหมูกระทะ
หลังจากที่ได้ของมาครบตามความต้องการ ก็จัดการช่วยกันเตรียมของ จนถึงเวลาหกโมงเย็น ก็เริ่มทำหมูกระทะกินกัน เพราะถ้าช้ากว่านี้ กลัวว่าอากาศจะเย็นจนเกินไป เดี๋ยวหมูกระทะไม่อร่อย พวกเรานั่งกินกันไป คุยกันไป มีความสุขตามประสา ตายาย และหลานๆ กินกันจนอิ่มก็แยกย้ายไปนั่งย่อยกันคนละมุม เล่นคอมฯบ้าง ดูทีวีบ้าง แต่บรรยากาศก็ยังคงอบอุ่น
"กั๊ดต๊องขนาด เมินๆได้กิ๋มอิ่มจ๋นกั๊ดต๊อง ลุกบ่าไหวละเนี้ย" (แน่นท้องมากๆ นานๆได้กินอิ่มจนแน่นท้อง ลุกไม่ไหวละเนี้ย) ผมนั่งอยู่ข้างเตาหมูกระทะ บอกกับทุกคนในบ้านว่าอิ่มจนลุกไปไหนไม่ได้ เพราะแน่นท้องมาก
ผมยังคงลุกไม่ไหว ต้องนั่งคุยกับคนในบ้านจนเกือบ 20 นาที ถึงจะลุกได้ พอลุกได้ก็เก็บเตา เก็บของ แล้วก็ชวนน้องชายไปถนนคนเดิน แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเชียงใหม่ ซึ่งผมกลับมาบ้านทุกครั้ง ผมก็ต้องไปทุกครั้ง แล้วทุกครั้งที่ไปเดิน ก็ไม่เคยได้อะไรกลับมาเลย อืม...ก็ไม่รู้จะไปทำไม แต่ก็ต้องไป
ถนนคนเดิน และครูบาศรีวิชัย คือสองสถานที่ ที่ผมต้องไปเมื่อกลับบ้านทุกครั้ง ถนนคนเดิน ไปเดินเที่ยว ส่วนครูบาศรีวิชัย ก็ต้องไปกราบไหว้ เพื่อเป็นศิริมงคลกับชีวิต
ลาบ ส้า ขนมจีนน้ำเงี้ยว แกงไก่ ยำหนัง เมนูหลักๆของผมที่เมื่อกลับมาบ้านเมื่อไหร่ ต้องหากินให้ครบ เพราะอยู่กรุงเทพหากินไม่ได้ หรือถ้าหาได้ ก็เดินทางลำบากเหลือเกินกว่าจะได้กิน
วันที่ 31 ธันวาคม 2548
"ปิ๊กละครับ สงกรานต์มาใหม่ ถ้าบ่าได้มา ก่อสิ้นปี๋ปู้นเน้อ" (กลับละครับ สงกรานต์มาใหม่ ถ้าไม่ได้มา ก็สิ้นปีนู้นเน้อ) เวลาประมาณสองทุ่มของวันสุดท้ายที่อยู่ที่เชียงใหม่ ผมยกมือไหว้ตากับยาย เพื่อจะต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพในวันพรุ่งนี้ ใจจริงอยากจะอยู่นับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ที่นี่กับตายายอยู่เหมือนกัน แต่มันก็ดึกเกินไปสำหรับผู้สูงอายุ ผมเลยลากลับไปนับถอยหลังที่บ้านแทน
"โจ้กดีเน้ออ้าย ไว้ปิ๊กมาแอ่วแห๋มใหม่ สงกรานต์มาบ่าได้ก่อบ่าเป๋นหยัง มาก้าปีใหม่ก่อได้" (โชคดีนะพี่ ไว้กลับมาเที่ยวอีกครั้ง สงกรานต์มาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร มาเฉพาะปีใหม่ก็ได้) ยายอวยพรให้ผมโชคดี แล้วก็เอามือมาลูบหัวผม ทำเอาผมมีความสุขมากๆอีกปีหนึ่ง
"ละอ้ายจะปิ๊กมาอยู่เจียงใหม่เมื่อใด บ่ากึ๊ดถึงบ้านกะ" (แล้วพี่จะกลับมาอยู่เชียงใหม่เมื่อไหร่ ไม่คิดถึงบ้านเหรอ) ตาถามผม ในขณะที่ผมกำลังช่วยน้องชายถอยรถมอเตอร์ไซค์เพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน
"ยังบ่าฮู้เลยครับ บ้านน่ะกึ๊ดเติงหาอยู่ แต่รอแห๋มสักกำก่อน ปิ๊กมาแน่ๆ" (ยังไม่รู้เลยครับ บ้านน่ะคิดถึงหาอยู่ แต่รออีกสักพักก่อน กลับมาแน่ๆ) ผมตอบตา แล้วก็ขึ้นซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ที่น้องชายเป็นคนขับ
"ไปละคร้าบบบบ" ผมยกมือไหว้ ตากับยายอีกครั้ง แล้วก็ออกเดินทางเพื่อกลับบ้านทันที
วันที่ 1 มกราคม 2549
"ปิ๊กละครับ สงกรานต์มาใหม่ ถ้าบ่าได้มา ก็สิ้นปี๋ปู้นเน้อ" (กลับละครับ สงกรานต์มาใหม่ ถ้าไม่ได้มา ก็สิ้นปีนู้นเน้อ) ผมยกมือไหว้ พ่อกับแม่ก่อนที่จะออกจากบ้านเพื่อไปขึ้นรถทัวร์กลับกรุงเทพที่สถานีขนส่ง
"ปะ โจ้กดี หมั่นยะก๋านเน้อ จะไปขี้ค้าน" (ปะ โชคดี ขยันทำงานนะ อย่าไปขี้เกียจ) พ่ออวยพรผม แต่ก็ยังมีแอบสั่งสอนเล็กน้อย แล้วก็เดินมาตบไหล่ผมเบาๆ
"คร้าบบบบบ..." ผมก็ตอบรับลากเสียงยาว แล้วก็ออกเดินทางไปที่สถานีขนส่ง โดยน้องชายก็ยังคงเป็นคนขับรถมอเตอร์ไซค์ไปส่งเหมือนเดิม
หลังจากที่น้องชายพาผมฝ่าความหนาวด้วยรถมอเตอร์ไซค์มาถึงสถานีขนส่งแล้ว ผมก็บอกกับน้องชายว่า "หนาวแต๊หนาวว่า ไปละๆ แล้วเจอกั๋นใหม่" (หนาวจริงหนาวจัง ไปละๆ แล้วเจอกันใหม่) ก่อนที่จะเดินไปขึ้นรถทัวร์ที่จอดรออยู่ที่สถานีขนส่ง โดยที่น้องชายผมไม่พูดอะไรตอบกลับมา ได้แต่ยกนิ้วโป้งให้
เวลา 07.30 น. ในขณะที่รถทัวร์กำลังเคลื่อนออกจากสถานีขนส่งอย่างช้าๆ ทันใดนั่นเอง น้ำตาแห่งความสุข ความคิดถึงก็เริ่มจะไหล ผมเอามือปาดน้ำตา และพยายามไม่ให้มันไหล แต่ดูเหมือนว่ามันจะหยุดยากเหลือเกิน "สุขใดเล่า จะเท่าบ้านเรา" มันคงเป็นแบบนี้สินะครับ
5 วันที่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน มีค่ามากมายสำหรับคนที่ทำงานไกลบ้าน มันเป็น 5 วันที่อิ่มท้อง อิ่มใจ เพิ่มพลังให้มีแรงกาย แรงใจสู้งานต่อไป เพื่อคนที่หวังในตัวเรา และรอเรากลับไปหา
วันที่ 9 ธันวาคม 2549
"ตรู๊ดๆๆ ... " เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นเป็นเวลาเพียง 5 วินาที ก่อนที่จะมีใครสักคนมายกหูโทรศัพท์ขึ้นรับสาย
"โหล..." เสียงของยายดังขึ้นที่ปลายสาย เป็นเสียงที่เหมือนคนที่กำลังมีความสุขอยู่มากๆ ผมเดาว่าต้องมีใครสักคนพึ่งโทรมาอวยพรวันเกิดให้ยายอย่างแน่นอน แล้วยังไม่ทันที่ยายจะลุกออกไปห่างจากโทรศัพท์ ผมก็โทรเข้าไปซะก่อน
"สุขสันต์วันเกิดนะครับยาย..."
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น