hostneverdie

weltrade

siamfocus

ตอนที่ 105 (บทความ) _ หางเสียง

หางเสียง
21 / 01 / 2558

     เมื่อก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเชื่อเลยว่า หางเสียง มันจะมีประโยชน์ หรือมีผลกระทบต่อความรู้สึกอะไรมากนัก จนเมื่อผมมาเจอกับตัวเองนี่แหละครับ มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่า หางเสียง มันสำคัญขนาดไหน

     ในกรณีที่เป็นเพื่อนกัน ผมเชื่อว่าแทบทุกคนเวลาคุยกับเพื่อนไม่มีหางเสียงหรอกครับ เพราะมันไม่มีความจำเป็น แล้วในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณดันไปพูดมีหางเสียงกับเพื่อนล่ะก็นะ ความรู้สึกมันจะเหมือน เฮ้ย ทำไมมันพูดเหมือนแค่คนที่รู้จักกันวะ ทำไมมันฟังดูห่างเหินจังวะ

     สำหรับคนในครอบครัว เวลาพูดกับพ่อแม่ พี่น้อง บางพื้นฐานก็พูดกันมีหางเสียง บางพื้นฐานก็ไม่มีหางเสียง แต่ผมเชื่อว่าส่วนมากจะเป็นอย่างหลังซะมากกว่า เพราะการพูดไม่มีหางเสียงสำหรับคนในครอบครัว ไม่ใช่ไม่ให้เกียรติกันนะ แต่ว่ามันคือ ความผูกพันที่ลึกซึ้งมากแล้ว จนหางเสียงไม่มีความจำเป็น (ยกเว้น 3 คำ สวัสดี ขอโทษ ขอบคุณ อันนี้เป็นสัญชาตญาณของคน ที่ควรมีหางเสียงโดยไม่ต้องมีใครสอน)

     กับญาติผู้ใหญ่ จริงๆควรพูดมีหางเสียง เพราะเขาไม่ใช่คนในครอบครัวโดยตรง แต่เป็นคนที่เราควรให้ความเคารพ การพูดมีหางเสียงด้วยจะทำให้เราได้รับความเอ็นดูมากยิ่งขึ้น ในภายภาคหน้าหากมีเรื่องจำเป็นให้ญาติผู้ใหญ่ช่วยเหลือ การขอความช่วยเหลือก็จะง่ายขึ้นด้วย

     หรือเวลาคุยกับคนที่อายุมากกว่า ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใคร ทำหน้าที่อะไรอยู่ เราก็ควรพูดมีหางเสียง เพราะมันจะทำให้คนที่เราคุยด้วย เขารู้สึกดี และอยากคุยด้วย ไม่ว่าเขาจะมีหน้าที่การงานต่ำกว่าเรา แต่เขาอายุมากกว่าเรา เราก็ควรพูดมีหางเสียงเพื่อให้ความเคารพแก่เขา ไม่เช่นนั้นแล้ว เราอาจจะตกเป็นที่นินทาของคนอื่นได้ว่า เป็นเด็กที่พูดจาไม่ใช่เกียรติผู้ใหญ่

     เขียนถึงเรื่องอื่นมาหลายย่อหน้าแล้ว คราวนี้ได้เวลาเขียนถึงเรื่องของผมล่ะนะครับ ที่ผมต้องลุกขึ้นมานั่งเขียนเรื่องหางเสียงนั้น มันก็เพราะว่า ผมรับเติมเงินโทรศัพท์ออนไลน์ด้วยเป็นธุรกิจเสริม แล้วคนที่มาเติมเงินมันก็มีหลากหลายอาชีพ และอายุ เวลาผมรับเติมเงินเสร็จ ลูกค้าจ่ายเงินให้ผม ผมก็ "ขอบคุณครับ" เป็นเรื่องธรรมดามากๆของคนที่เขาทำกัน

     แต่...มันมีคนอยู่แค่ไม่กี่คน ที่มาเติมเงินกับผมแล้วทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด นั่นก็เพราะว่า เขาพูดไม่มีหางเสียงเลยสักครั้ง ทั้งๆที่ผมก็เขาแค่ไม่กี่คนเนี่ย ก็ไม่ได้สนิทอะไรกันเลย เป็นแค่พ่อค้ากับลูกค้าธรรมดาๆ

     "เติมเงินหน่อย" "เบอร์นี้นะ" "หนึ่งร้อย" "ขอบคุณ" ขนาดพูดว่าขอบคุณยังไม่มีหางเสียงเลยครับ ผมนี่หงุดหงิดแทบทุกครั้งที่ต้องเติมเงินให้เขาเหล่านั้น (แค่ไม่กี่คน ใช้คำว่า เหล่านั้น กันเลยทีเดียวเชียว)

     แต่กับบางคนที่ทำหน้าที่ (ทำงาน) เดียวกันกับเขาเหล่านั้น เวลาเขามาเติมเงิน เขาจะพูดมีหางเสียงตลอดทุกครั้ง บรรยากาศในการเติมเงินเลยดูราบรื่น ยิ้มให้กันบ้าง คุยเรื่องอื่นนอกจากเรื่องเติมเงินบ้าง แบบนี้สิถึงค่อยน่าคุยด้วยหน่อย

     ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะครับว่า กับคนที่เขาพูดไม่มีหางเสียงเนี่ย เขาเป็นเฉพาะกับผม หรือเป็นกับทุกคนที่เขาพูดด้วย ในพื้นฐานการสื่อสารของเขาไม่ได้บรรจุหางเสียงไว้หรืออย่างไร เพราะขนาดไลน์มาเติมเงิน หางเสียงก็ยังไม่มีเลย ให้ดิ้นตายสิ (ที่เป็นเพื่อนในไลน์นี่ ไม่ใช่เป็นเพื่อนกันจริงๆนะ แค่แอดไว้สำหรับเติมเงินเฉยๆ)

     จริงๆเรื่องแค่ไม่มีหางเสียงแค่นี้ ผมก็ไม่น่าเอามาเป็นเรื่องเป็นราวเขียนเป็นบทความเลยเนอะ แต่ว่าด้วยความคิดที่ว่า ถ้ามีคนที่ชอบพูดไม่มีหางเสียงมาอ่านเจอ เขาอาจจะคิดใหม่ ทำใหม่ เริ่มพูดมีหางเสียงก็ได้ (จริงๆหงุดหงิดเลยมาระบายอารมณ์ออกทางบทความ เหตุผลที่ว่ามาข้างต้น แถจนสีข้างเลือดไหลซิบๆเลย)

     หางเสียงง่ายๆ ครับ, ค่ะ, คะ สามคำง่ายๆสำหรับผู้ชายและผู้หญิง (ฮะ คงสำหรับทอมสินะ ส่วนกระเทยนี่ หางเสียงคงใช้กับผู้หญิงสินะ) ที่เวลาใช้พูดต่อท้ายคำ หรือประโยคต่างๆ ทำให้คำ หรือประโยคเหล่านั้นฟังลื่นหูมากขึ้น

     สมมุติเหตุการณ์การสนทนาที่ 'มีหางเสียง' ของผู้ชาย กับผู้หญิงที่ไม่รู้จักกัน หรือไม่ค่อยสนิทกันดู มาลองดูว่าผู้หญิงน่าจะคิดยังไงกับคนที่พูดมีหางเสียง...
     "สวัสดีครับ" (ผู้ชายพูดด้วย ยิ้มด้วย) เอ๊ะ เขาเป็นใคร มาทักทายเราทำไม แต่ก็ดูเป็นมิตรดีนะ
     "ชื่ออะไรครับ" ถามเราแบบนี้ แสดงว่าเขาคงอยากรู้จักเรา
     "ผมชื่อ ต้น นะครับ" อ่อ ชื่อต้น เขามาทักเราแบบนี้ แถมยังแนะนำตัวอีก หรือว่าเขาจะชอบเรา
     "กินข้าวรึยังครับ" เอ๊ะ หรือเขาจะอยากชวนเราไปกินข้าว ตอบว่ายังไม่ได้กินดีมั้ยนะ
     ก็ว่ากันไปนะครับ แล้วก็อาจจะคุยกันยาวๆ เรื่องอื่นๆต่อไปอีกก็ได้นะครับ

     สมมุติเหตุการณ์การสนทนาที่มี 'ไม่มีหางเสียง' ของผู้ชาย กับผู้หญิงที่ไม่รู้จักกัน หรือไม่ค่อยสนิทกันดู มาลองดูว่าผู้หญิงน่าจะคิดยังไงกับคนที่พูดมีหางเสียง...
     "สวัสดี" (ผู้ชายพูดด้วย ยิ้มด้วย) เอ๊ะ ไอ้นี่เป็นใคร เรารู้จักเหรอวะ
     "ชื่ออะไร" เอ้า อยู่ๆมาถามชื่อ อะไรของมันเนี่ย
     "ผมชื่อ ต้น นะ" ไม่ได้ถามเลย บอกกูทำไมเนี่ย
     "กินข้าวรึยัง" เอ้า เรื่องของกูู ยุ่งอะไรเนี่ย
     ก็ว่ากันไปนะครับ แต่ก็อาจจะคุยกันแค่สั้นๆแค่นั้น แล้วไม่ได้คุยกันอีกเลยก็ได้

     อย่าลืมนะครับว่า ที่ผมเขียนไปน่ะ มันเป็นเหตุการณ์ที่สมมุติขึ้นมา เพราะในความเป็นจริง หน้าตา ท่าทาง การแต่งตัว ฯลฯ มันก็มีผลต่อคนที่คุยด้วย (แต่มันก็อ้างอิงมาจากเรื่องจริงนิดนึงนะ)

     จะยังไงก็แล้วแต่ ผมเชื่อว่าการพูดมีหางเสียง มันมีพลังมากกว่าการพูดไม่มีหางเสียงนะครับ เพราะมันทำให้คนที่เราพูดด้วยรู้สึกดีกว่า ฉะนั้นแล้ว เวลาพูดกับใครก็อย่าลืมหางเสียงกันด้วยนะครับ/นะคะ

ตอนที่ 104 (บทความ) _ บ้าน วัด โรงเรียน

บ้าน วัด โรงเรียน
20 / 01 / 2558

     หัวข้อบทความครั้งนี้ทำให้คุณนึกถึงอะไรบ้าง แต่ละคนก็ต่างคิดกันไปต่างๆนาๆนะครับ แต่ความหมายที่ผมอยากจะสื่อจริงๆในครั้งนี้คือ อดีต

     อดีต ที่ว่าก็คือ ความสงบสุขจาก 3 สถานที่ที่ว่ามานั้นเองครับ เมื่อในอดีตเราจะออกจากบ้านไปไหนกันบ้าง ถ้าไม่ใช่วัด เพื่อไปทำบุญ ไหว้พระ หรือแม้กระทั่งไปเที่ยว พักผ่อนภายในวัด เพราะวัดนั้นร่มเย็น สงบ เหมาะแก่การพักจิตใจ พักร่างกาย แล้วอีกสถานที่หนึ่งก็คือ โรงเรียน เพื่อไปศึกษาหาความรู้ สร้างความสัมพันธ์กับเพื่อน ครู เพื่อให้สนิทกันมากยิ่งขึ้น แล้วที่สำคัญที่สุดก็คือ บ้าน (อันนี้คงไม่ต้องออกบ้าน เพื่อไปเข้าบ้านหรอกนะ) การอยู่บ้านพร้อมเพรียงกัน กินข้าวพร้อมกัน คุนกันในเกือบจะทุกเรื่อง สร้างความอบอุ่นให้กับคนในบ้าน ปัญหาครอบครัวก็จะเกิดน้อยลง หรือไม่เกิดเลย

     ผมเชื่อว่าแทบจะทุกคนอยากให้สังคมไทยน่าอยู่เหมือนในอดีต แต่มันคงไม่มีทางเป็นไปได้แล้วล่ะครับ (อาจจะยกเว้น ชุมชนที่อยู่ห่างไกลความเจริญทางวัตถุจริงๆ แล้วยังอาศัย บ้าน วัด โรงเรียนเป็น 3 เสาหลัก) เพราะสมัยนี้เสาหลักของสังคมยุคใหม่ มันไม่ใช่วัดที่สงบเงียบอีกแล้ว แต่มันกลายเป็นห้างสรรพสินค้าเข้ามาแทนที่แล้วล่ะครับ (ออกบ้านไปไหน ไปเดินห้างสิครับ สมัยนี้ใครเค้าไปอยู่ในวัดกันเป็นชั่วโมงๆกันล่ะ)

     พอห้างสรรพสินค้าเข้ามาแทนที่ความสำคัญของวัด ความสงบของจิตใจก็ลดน้อยลง การรู้จัก ผิดชอบ ชั่วดีก็ลดน้อยลงตามไปด้วย สังคมก็เลยแย่ลงเรื่อยๆ คนออกจากบ้านส่วนใหญ่ก็ไปแต่ห้างสรรพสินค้า (ผมก็ไป) หรือถ้าอยู่บ้านก็ต่างคนต่างอยู่ เล่นเกม เล่นแชท ดูทีวี ฟังเพลง อยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง ขนาดกินข้าวยังต่างคนต่างกิน ความห่างเหินเลยค่อยๆก่อตัวขึ้น จนสุดท้ายครอบครัวก็ไม่อบอุ่นในที่สุด

     ผมเคยไปทำงานที่แถบชานเมืองอยู่พักหนึ่ง ช่วงเวลานั้นผมมีความสุข และสงบในจิตใจมากเลย นั่นก็เพราะว่า แถวนั้นยังไม่มีห้างสรรพสินค้า มีแค่ร้านโชว์ห่วยอยู่ตามบ้านของชาวบ้าน ทุกครั้งที่ผมทำงานเสร็จก่อนจะถึงเวลาเย็น ผมจะต้องแวะไปที่วัด ไม่ได้ไปทำบุญ หรือไปคุยกับพระนะครับ แต่ไปแค่ไหว้พระ แล้วก็หามุมสงบๆ...นอนหลับครับ (เลวจริง เข้าวัดไปนอนหลับ) มันอาจจะฟังดูไม่ดีนะครับ แต่เชื่อมั้ยล่ะครับว่า จิตใจมันสงบมากเลย รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่คิดบวกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถ้าใครมีโอกาสก็ลองไปหาวัดที่สงบๆเข้าดูบ้างนะครับ แค่ไปไหว้พระ แล้วนั่งเฉยๆภายในบริเวณวัด คุณก็อาจจะกลายเป็นคนที่คิดบวกได้อย่างไม่น่าเชื่อ

     บทความนี้ผมก็แค่อยากให้สังคมไทยมีความสงบสุข รักกันมากขึ้นเท่านั้นเองครับ เลยไม่รู้จะเขียนอะไรต่อดี งั้บก็ขอจบดีกว่า

ตอนที่ 103 (เรื่องสั้น) _ บางทีเราอาจเรียนรู้คุณค่าไอแดด...เมื่อฝนมา

บางทีเราอาจเรียนรู้คุณค่าไอแดด...เมื่อฝนมา
13 / 01 / 2558

     "ลูกลองคิดตามที่พ่อบอกนะ แล้วลูกจะเปลี่ยนใจ ลูกลองคิดถึงน้องออย ลูกสาวป้าชุเจ้าของแผงขายปลา หรือเมย์ ลูกสาวร้านซ่อมรถรายใหญ่ของหมู่บ้าน หรือพี่ปาย สาวเจ้าเสน่ห์ของหมู่บ้านดูสิ ลูกคิดว่าลูกชอบมองพวกเธอทั้งสามคนรึเปล่า แล้วถ้าลูกมีโอกาส ลูกอยากจะได้ใครสักคนในสามคนนี้มาเป็นแฟนของลูกบ้างรึเปล่า" พ่อพูดกับลูกชายที่กำลังจะคิดสั้น หลังจากที่รีบออกจากที่ทำงานของตัวเอง เพื่อมาเกลี้ยกล่อมลูกชาย

     ลูกชายที่กำลังเครียด เศร้า เสียใจที่โดนแฟนทิ้งจนจะคิดสั้น ได้ฟังคำที่พ่อพูดแล้วก็หยุดนิ่งเหมือนกำลังใช้ความคิดอีกครั้ง ก่อนที่จะ...

     "ลูกจะจีบวิวจริงๆเหรอ" ผู้เป็นแม่ถามย้ำกับลูกชายอีกครั้ง หลังจากที่ลูกชายวัย 25 ปี ที่ค่อนข้างจะเปิดเผยทุกอย่างกับพ่อแม่ได้มาขอคำปรึกษา ว่าถ้าจะจีบสาวที่เขาชอบที่ชื่อ วิว สาววัยเดียวกันที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน ควรทำยังไง

     "ใช่ครับ ก็ผมชอบวิวนี่ครับแม่" ลูกชายยังคงยืนยันกับแม่ ว่าจะจีบสาวคนที่เขาชอบให้ได้

     "แต่วิวเค้าเป็นคนเจ้าชู้มากนะ ใครๆก็รู้กันหมด แล้วลูกก็ยัง..." แม่ยังพูดไม่ทันจบ ลูกชายก็พูดสวนขึ้นมาทันที

     "เอาน่าแม่ วิวเค้าอาจจะหยุดที่ผมก็ได้ ใครจะไปรู้" ลูกชายพยายามพูดให้แม่เห็นด้วย และยอมช่วยเหลือในการจีบสาวที่เขาชอบ

     "แล้วถ้าวิวเค้ายังไม่หยุดที่ลูกล่ะ ลูกจะทำยังไง" แม่ถามด้วยความเป็นห่วง กลัวลูกชายจะต้องเสียใจ

     "ไม่เป็นไรแม่ เดี๋ยวผมเผื่อใจไว้บ้างก็ได้ แม่จะได้สบายใจ" ลูกชายรู้ว่าแม่เป็นห่วง เลยพูดให้แม่ได้สบายใจขึ้นมาบ้าง

     "เฮ้อ ก็ได้ ตามใจลูก เดี๋ยวแม่จะช่วย แต่แม่ไม่รู้ว่าพ่อเค้าจะเห็นด้วยรึเปล่านะ" แม่ยอมช่วยลูกชายแล้ว แต่ก็กังวลว่าพ่อจะไม่ยอม

     "คนอื่นดีๆกว่านี้มีตั้งเยอะ ทำไมลูกไม่ไปสนใจ จะไปสนใจทำไมคนเจ้าชู้แบบนั้น แล้วเท่าที่พ่อดูนะ ลูกกับวิวก็ไม่น่าจะไปกันรอดด้วย มีความเสี่ยงสูงมากๆที่จะต้องอกหักเสียใจ" พ่อได้ฟังคำบอกเล่าจากแม่ ก็บ่นกับลูกชายที่นั่งอยู่ด้วยกัน 3 คนชุดใหญ่เลย

     "เอาน่าพ่อ ก็ผมชอบของผมเนอะ เดี๋ยวผมจะทำให้พ่อดู ว่าผมก็มีดีพอทำให้สาวเจ้าชู้อย่างวิว ต้องอยู่กับผมไปตลอด" ลูกชายบอกกับพ่ออย่างมั่นใจ เพื่อให้พ่อยอมเห็นด้วยกับความรักครั้งนี้

     "ก็ตามใจลูกก็แล้วกัน แต่พ่อขอบอกไว้อย่างนะ พ่อผ่านโลกมาก่อนลูก พ่อว่าพ่อดูออกจริงๆนะ ว่าลูกกับวิวน่ะ ไม่น่าไปกันรอดหรอก เผื่อใจไว้บ้างนะลูก" พ่อบอกกับลูกชายด้วยความเป็นห่วง เผื่อว่าลูกชายจะเปลี่ยนใจไม่สนใจจีบสาวที่เขาชอบ แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะลูกชายก็ยังคงยืนยันเดินหน้าจีบสาวที่เขาชอบต่อไป

     "ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอลูก คราวนี้เรื่องอะไรล่ะ" แม่ถามลูกชายที่ดูมีอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่กลับมาจากไปเที่ยวกับวิวแฟนสาว

     "เรื่องเดิมๆน่ะแม่ วันนี้ไปเที่ยวด้วยกันแท้ๆ แต่วิวก็ติดแชทตลอดเลย พอผมถามว่าคุยกับใครเหรอ เธอก็ตอบว่าคุยกับเพื่อน พอผมขอดูหน่อย เธอก็ไม่ให้ดู สุดท้ายก็ทะเลาะกัน เพราะผมคิดว่าเธอคงคุยกับผู้ชายอีกแล้วแน่ๆ" ลูกชายได้รับความช่วยเหลือจากแม่ จนสามารถที่จะจีบสาวที่เขาชอบได้สำเร็จ วิวสาวที่ใครๆก็รู้ว่าเจ้าชู้มากยอมตกลงเป็นแฟนกับเขามาได้ประมาณ 4 เดือนแล้ว แต่ปัญหาทะเลาะกันเริ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่เดือนที่ 5 เมื่อความหวานลดน้อยลง สาวเจ้าชู้อย่างวิวก็เริ่มมองหาผู้ชายคนใหม่คุย จนเป็นที่มาของการทะเลาะกัน

     นอกจากเรื่องความเจ้าชู้แล้ว อีกปัญหาหนึ่งที่ทำให้เขากับวิวต้องทะเลาะกันคือ ปัญหาเรื่องเงิน ที่ดูเหมือนว่าสาวเจ้าชู้อย่างวิวจะใช้เงินเก่ง อยากได้อะไรก็ซื้อโดยไม่คิดว่าจำเป็นหรือไม่ อยากกินอะไรเขาก็ต้องพาไปกิน เงินเดือนของเขาที่ได้มาก็เริ่มชักหน้าไม่ถึงหลัง ส่วนเงินเดือนของวิวนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะเขาไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการใช้จ่ายได้เลย

     "ใจเย็นๆนะลูก ลูกกับวิวคบกันมาก็หลายเดือนแล้ว แม่ว่าความตื่นเต้น ความหวานมันคงลดน้อยลงไปบ้างรึเปล่า ลูกลองคิดดูนะว่าวิวเค้าชอบอะไร ลูกลองหาซื้อไปให้เค้าดูสิ แล้วถ้ามีโอกาสดีๆก็ลองเปิดใจคุยกันดู จะได้ช่วยกันแก้ปัญหาระหว่างลูกกับวิวนะ เผื่ออะไรๆจะดีขึ้น" แม่ได้พยายามปลอบ และสอนลูกชายจากประสบการณ์ของตัวเองที่ได้รับจากการใช้ชีวิตคู่กับสามีมานาน

     "ก็ได้ครับแม่ ผมจะลองดู" ลูกชายรับฟังคำแนะนำจากแม่ เพื่อจะได้นำไปคิด และแก้ไขเรื่องต่างๆให้ดีขึ้น

     "อย่าฝืนเลยน่า มันไม่รอดหรอก เลิกมันซะตอนนี้ ลูกยังเจ็บไม่มากนะ พ่อว่าคนอื่นที่ดีๆกว่านี้ยังมีให้ลูกเลือกเป็นแฟนนะ" พ่อที่แอบฟังลูกชายคุยกับแม่ตั้งแต่ต้นจนจบอยู่หลังประตูห้องครัว เดินออกมาพูดกับลูกชายด้วยความหวังดีสไตล์ลูกผู้ชาย ซึ่งต่างจากแม่ที่พยายามให้แก้ไขปัญหาให้เข้าใจกัน

     "โห...พ่อ นี่ก็เพิ่งสี่ห้าเดือนเองนะ ใจเย็นๆสิ ผมว่าผมต้องทำได้สิ" ลูกชายยังคงไม่รับคำแนะนำจากพ่อ เพราะเขาเห็นด้วยกับคำแนะนำจากแม่

     "ก็ตามใจลูกละกัน นี่ถือว่าพ่อเตือนลูกเป็นครั้งที่สองแล้วนะ พ่อบอกลูกแล้วนะ ว่าพ่อผ่านโลกมาก่อน พ่อว่าพ่อดูออก" พ่อพูดจบก็เดินออกนอกบ้านไป โดยไม่ให้ลูกชายได้พูดอะไรสักคำ

     หลังจากที่เขาได้รับคำแนะนำจากแม่แล้ว เขาก็ได้ไปซื้อของที่วิวชอบไปให้ แต่เขาก็หารู้ไม่ว่า ที่วิวยอมคบกับเขาเป็นแฟนก็แค่เพื่อผลประโยชน์จากสิ่งของต่างๆที่เขาซื้อให้ และคบเพื่อความสนุกเท่านั้นเอง ไม่ได้จริงจังจริงใจอะไรเลย

     "ทำไมวิวทำแบบนี้ล่ะ วิวไม่รักอัชแล้วเหรอ" เขายืนคุยกับแฟนสาวเพื่อเคลียร์ปัญหาความรักที่ดูใกล้จะถึงทางตันเต็มที ในตอนที่ไปรับแฟนสาวกินข้าวมื้อเที่ยง

     "นี่อัชดูไม่ออกจริงๆเหรอ ว่าวิวคบกับอัชก็แค่...เพื่อผลประโยชน์ และสนุกไปวันๆ" วิวทำท่าทางไม่แยแสต่อคำพูดของเขา พร้อมกับบอกความจริงไปว่ายอมคบเป็นแฟนเพราะอะไร

     "ตลอดเวลาเกือบหกเดือนที่ผ่านมา อัชทำทุกอย่างเพื่อวิว ทั้งไปรับไปส่งที่ทำงาน พาไปเที่ยวก็หลายที่ ซื้อของให้ก็หลายอย่าง มันไม่ทำให้วิวรักอัชบ้างเลยงั้นเหรอ" เขาเริ่มเสียงสั่นเครือด้วยความเสียใจ

     "ก็ตามนั้น" วิวยังคงทำท่าทางไม่แยแสต่อคำพูดของเขา พร้อมกับทำหน้าเซ็งๆเหมือนทุกครั้งที่เธอเคยบอกเลิกแฟนคนก่อนๆ

     "ก็ได้ ในเมื่อวิวไม่รักอัชแล้ว อัชก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม อัชจะไปตายให้วิวรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตเลย" ตอนนี้เขาหน้ามืดไปหมดแล้วเพราะ ความรัก จากที่เขาเคยคิดไว้ว่า ถ้าโดนวิวทิ้งก็จะไม่เสียใจมากมาย แต่ตอนนี้เขากำลังพลาดอย่างแรง ความเครียด เศร้า เสียใจจากความรัก กำลังจะทำให้เขาคิดสั้น

     "ตามสบาย ฉันไม่ห้าม เพราะไม่รู้ว่าฉันจะห้ามไปทำไม" วิวทำท่าทางเฉยๆ ไม่ได้ตกใจอะไรกับคำพูดของเขาเลย พร้อมกับเปลี่ยนคำพูดในฐานะแฟนที่เรียกชื่อตัวเอง เป็นฐานะคนรู้จักเท่านั้น

     "พี่ศรีๆ แย่แล้ว ลูกชายพี่เจ้าอัช มันกำลังจะกระโดดตึกฆ่าตัวตายโน้นน่ะ พี่รีบไปห้ามมันเร็ว" แม่ค้าในตลาดของหมู่บ้านวิ่งหน้าตาตื่นมาเรียกแม่ของเขา เพื่อให้ไปช่วยห้ามลูกชายที่กำลังอยู่บนชั้น 5 ของอาคารพาณิชย์ใกล้ตลาด แล้วก็ทำท่าจะโดดๆอยู่หลายครั้ง

     "อัช!!!" แม่ของเขาตกใจสุดขีด ทิ้งจานข้าวมื้อเที่ยง แล้วรีบวิ่งไปที่อาคารพาณิชย์ที่ลูกชายอยู่อย่างไม่คิดชีวิต

     พอไปถึงอาคารพาณิชย์ แม่ของเขาก็เห็นลูกชายยืนอยู่บนชั้น 5 แล้วก็ได้รับคำชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ลูกชายของเธออยู่ที่ชั้น 5 มาแล้วประมาณ 20 นาที แล้วดูมีอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด พร้อมที่จะโดดตึกลงมาฆ่าตัวตาย แม้ว่าด้านล่างจะเตรียมเบาะลมรองรับไว้แล้ว แต่เพื่อความปลอดภัยถึงที่สุด ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ขอให้แม่ของเขา ขึ้นไปเกลี้ยกล่อมลูกชายให้เลิกล้มความคิดที่จะฆ่าตัวตายจะดีกว่า เพราะตอนนี้ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะพูดอะไร ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเลย เอาแต่เดินไปเดินมาเป็นที่น่าหวาดเสียว

     "ค่ะๆ ขึ้นทางไหน ด่วนเลยค่ะ ฉันเป็นห่วงลูก" แม่ของเขาสอบถามทางขึ้นไปหาลูกชายที่ชั้น 5 จากเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างมีสติ

     "อัช ลูกฟังแม่นะ ลูกอย่าทำแบบนี้เลยนะ มันไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก ลูกมีอะไรลองบอกแม่สิ เผื่อแม่จะช่วยได้" แม่ของเขาสอบถามถึงสาเหตุที่ทำให้ลูกชายของเธอขึ้นมาที่ชั้น 5 เพื่อที่จะคิดสั้นฆ่าตัวตาย

     "เรื่องเดิมๆน่ะแม่ แต่คราวนี้วิวเค้าทิ้งผมไปแล้ว เมื่อเค้าไม่เห็นค่าของผม ผมก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม สู้ตายๆไปจะดีกว่า วิวเค้าจะได้รู้สึกผิดไปตลอดชีวิต ที่เค้าทำให้ผมต้องฆ่าตัวตาย" เขาหน้ามืดจากความรัก ในหัวสมองของเขาตอนนี้มีเพียงแค่ ตัวเขา วิว แล้วก็ความตายเพื่อให้วิวรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต โดยเขาลืมไปเลยว่าคนที่คุยกับเขาตอนนี้คือ แม่ที่เป็นคนให้กำเนิด ให้ชีวิต และเลี้ยงดูเขามา

     "อ่อ แบบนี้เองเหรอลูก ลูกอย่าเสียใจมากขนาดนั้นเลยนะ ลูกยังมีแม่นะ ลูกยังมีพ่ออีก ลูกยังมีเพื่อนๆอีกตั้งหลายคนที่รักลูกนะ แค่ผู้หญิงไม่ดีคนเดียว ลืมๆมันไปเถอะลูก" หากคำพูดเหล่านี้ พูดกับคนที่ปกติทั่วๆไปก็คงพอจะได้ผล แต่ตอนนี้คำพูดเหล่านี้มันใช้กับลูกชายไม่ได้ผลเลย

     เขาได้ฟังที่แม่พูดแล้ว เขาก็คิด แต่ไม่ใช่คิดในทางที่ดี เขากลับคิดว่า...จะอยู่ให้พ่อแม่ลำบากทำไม ตายๆไปจะดีกว่า พ่อแม่จะได้สบายไม่ต้องมาคอยเป็นห่วงเรา ดูแลเรา พวกเพื่อนๆก็เหมือนกัน เราตายไปสักคน มันก็คงไม่เป็นไรหรอก เราตายไปสักเดือนพวกมันก็ลืมเราแล้ว สู้เราตายให้วิวรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตจะดีกว่า...เขาคิดวกไปวนมา เดินไปเดินมาโดยที่ไม่ได้พูดตอบโต้อะไรกับแม่เลย

     "ลูก ถ้าลูกตายไป แล้วใครจะดูแลพ่อกับแม่ตอนแก่ล่ะ ลูกไม่ห่วงพ่อกับแม่เหรอ" แม่ของเขาพยายามพูดให้ลูกชายได้คิด แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลเลย เพราะลูกชายของเธอยังคงเงียบ แล้วก็เดินไปเดินมา พร้อมกับชะโงกหน้าลงไปมองที่ด้านล่างของตึกเป็นระยะๆ

     ในสมองของเขาตอนนี้คิดวกไปวนมาแค่เรื่องที่ว่า...ถ้าเราตายไปใครจะเป็นยังไงบ้าง พ่อแม่ก็น่าจะอยู่ได้ สบายซะอีกไม่มีเราอยู่ เพื่อนๆเดี๋ยวมันก็ลืมเรา หัวหน้าก็คงหาคนมาแทนตำแหน่งเรา งานที่ทำค้างไว้ก็ให้คนอื่นสานต่อ เกมที่เล่นค้างไว้ก็ช่างมัน เงินที่ฝากไว้ก็ยกให้พ่อแม่ เอ๊ะ ถ้าเราตาย พ่อแม่ก็ได้ค่าประกันชีวิตของเราด้วยนี่หน่า ใช่ๆๆ ตายเพื่อพ่อแม่ พอเราตายพ่อแม่ก็ได้ตังค์ใช้ แต่คนที่ไม่ได้อะไรเลย แล้วก็ต้องรู้สึกผิดคือ วิว เธอต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตที่หลอกเรา ทำให้เราเสียใจ ทำให้เราต้องฆ่าตัวตาย เธอต้องไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต ถ้าเป็นไปได้ฉันจะไปเป็นผีหลอกเธอด้วย เอ๊ะ เราจะโดดลงไปท่าไหนดี เอาอะไรลงก่อนดี หัว ขา หรือแขน อืม ลงสวยๆให้พ่อแม่เก็บร่างไปง่ายๆจะดีกว่า งั้นลงขนานพื้นจะได้ศพสวยๆ มันจะเจ็บมั้ยนะ หรือมันจะไม่ทันเจ็บ...เขายังคงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอย่างไม่หยุด โดยที่คำพูดต่างๆของแม่ที่พยายามพูดกับเขา ไม่สามารถเข้าถึงสมองของเขาได้เลย

     เวลาผ่านไปอีกราว 10 นาที หลังจากที่แม่ของเขาขึ้นไปเกลี้ยกล่อม ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเลย เพราะไม่ว่าพูดอะไรออกไป เขาก็ยังคงมีความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ จนแม่เริ่มท้อใจ และร้องไห้ออกมา

     แต่แทนที่เขาเห็นน้ำตาของแม่แล้วจะใจอ่อน กลับกลายเป็นว่าเขาคิดอีกแบบ โดยเขาคิดว่า...แย่แล้ว แม่ร้องไห้แล้ว แบบนี้้ต้องรีบตาย เรื่องจะได้รีบๆจบ...มันช่างเป็นความคิดที่ไร้เหตุผลสิ้นดี แต่ก็เพราะด้วยความหน้ามืดจากความรัก ความเครียด เศร้า เสียใจ ความคิดของเขาในตอนนี้จึงได้ผิดเพี้ยนไปหมด

     "ลูกลองคิดตามที่พ่อบอกนะ แล้วลูกจะเปลี่ยนใจ ลูกลองคิดถึงน้องออย ลูกสาวป้าชุเจ้าของแผงขายปลา หรือเมย์ ลูกสาวร้านซ่อมรถรายใหญ่ของหมู่บ้าน หรือพี่ปาย สาวเจ้าเสน่ห์ของหมู่บ้านดูสิ ลูกคิดว่าลูกชอบมองพวกเธอทั้งสามคนรึเปล่า แล้วถ้าลูกมีโอกาส ลูกอยากจะได้ใครสักคนในสามคนนี้มาเป็นแฟนของลูกบ้างรึเปล่า" พ่อพูดกับลูกชายที่กำลังจะคิดสั้น หลังจากที่รีบออกจากที่ทำงานของตัวเอง เพื่อมาเกลี้ยกล่อมลูกชายก่อนที่อะไรๆมันจะสายเกินไป

     เขาที่กำลังหน้ามืดจากความรัก เครียด เศร้า เสียใจที่โดนวิวทิ้งจนจะคิดสั้น พอได้ฟังคำที่พ่อพูดแล้วก็หยุดนิ่งเหมือนกำลังใช้ความคิดอีกครั้ง ก่อนที่จะ...

     "มาๆ คลานมาหาย่าหน่อยสิ หลานอาย" แม่ของเขา ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นย่าไปแล้ว กำลังเล่นสนุกอยู่กับหลานสาวตัวน้อยวัย 8 เดือนที่กำลังเริ่มหัดคลาน ที่เกิดจากสาวเจ้าเสน่ห์ของหมู่บ้าน กับลูกชายของเธอ

     "วันนั้นนะ ถ้าไม่ได้พ่อล่ะ ผมคงตายไปแล้ว พ่อนี่สุดยอดจริงๆ ดีนะที่ผมเชื่อพ่อในวินาทีนั้น" เขานั่งคุยกับพ่อถึงเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของเขาในวันนั้นอีกครั้ง

     "ก็พ่อบอกแล้วไง ว่าพ่อผ่านโลกมาก่อนลูกนะ กว่าลูกจะฟังพ่อก็เกือบจะสายไปซะแล้ว" พ่อยิ้มให้กับลูกชาย แล้วก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้นอีกครั้ง

     เขาที่กำลังหน้ามืดจากความรัก เครียด เศร้า เสียใจที่โดนวิวทิ้งจนจะคิดสั้น พอได้ฟังคำที่พ่อพูดแล้วก็หยุดนิ่งเหมือนกำลังใช้ความคิดอีกครั้ง ก่อนที่จะ...

     "พ่อ...หมายความว่ายังไง" เขาถามพ่อด้วยความสงสัย ในตอนนี้สมองของเขา เริ่มมีภาพของ 3 สาวที่พ่อพูดถึงผุดขึ้นมา

     "ถ้าลูกยังคงมองสาวๆคนอื่นอยู่ แสดงว่าลูกยังคงมีความรักครั้งใหม่ได้ยังไงล่ะ น้องออย ก็อยู่ปีสี่ เรียนใกล้จบแล้ว การเรียนถือว่าดี สาขาที่เรียนก็กฏหมายเลยนะ หรือเมย์ ก็ดูท่าทางจะมีนิสัยที่เขากับลูกได้นะ แล้วก็เก่งบริหารซะด้วย เพราะดูจากที่เรียนจบมาแล้วช่วยพ่อที่ร้านซ่อมรถ ร้านมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเยอะเลย หรือจะเป็นพี่ปาย สาวที่ใครๆก็หมายปอง แต่เธอก็ยังไม่รับรักใครสักที เธอมีตำแหน่งงานที่ดี อนาคตน่าจะไปได้สวยเลยล่ะ" พ่อของเขาอธิบายจบ เรื่องไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น เมื่อเขากลับมามีสติอีกครั้ง ในสมองของเขาตอนนี้มีแต่พี่ปายเต็มไปหมด เพราะว่าก่อนหน้าที่เขาจะเดินหน้าจีบวิว ก็มีพี่ปายนี่แหละ ที่เคยมาให้ท่าเขา แต่เขาไม่สนใจ จนตอนนี้เขาโสดอีกครั้ง เขาเลยตั้งใจจะไปจีบพี่ปายเพื่อความรักครั้งใหม่ที่น่าจะสดใสมากกว่าครั้งเก่า และตอนนี้ความตาย กับอดีตแฟนสาวที่ชื่อ วิว ก็ได้หายไปจากสมองของเราเรียบร้อยแล้ว

     "ถ้าเชื่อพ่อตั้งแต่แรก ก็น่าจะดีเนอะ ผมจะได้ไม่ต้องมาเสียใจแล้วก็ทำเรื่องแบบนี้ แต่ก็นะ...ถ้าเชื่อพ่อแต่แรก พ่อก็ไม่ได้สอน แล้วก็แนะนำเรื่องดีๆให้ผมแบบตอนนี้หรอก" เขาพูดกับพ่อ ก่อนที่จะเข้าไปกอดแม่ ขอโทษแม่ ที่ทำให้แม่ต้องร้องไห้

     แล้วเหตุการณ์ในวันนั้นก็คลี่คลายไปได้ด้วยดี เขาเดินหน้าจีบพี่ปายโดยมีแม่เป็นที่ปรึกษาอีกครั้ง จนได้ลงเอยอย่างมีความสุขกับพี่ปาย มีหลานสาวตัวน้อยให้พ่อกับแม่ได้ชื่นใจ

ตอนที่ 102 (บทความ) _ บทแรกของปี 2558

บทแรกของปี 2558
09 / 01 / 2558

     หากจะขอกล่าวคำว่า สวัสดีปีใหม่ ในวันนี้ก็คงไม่สายเกินไปใช่มั้ยครับ เพราะเราพึ่งจะมาเจอกันครั้งแรกของปี 58 นี้ กล่าวสวัสดีปีใหม่เสร็จก็ต้องอวยพรกันสักหน่อย เอาสั้นๆละกันเนอะ "ขอให้ปีนี้พบเจอแต่สิ่งที่ดีๆ เจริญๆขึ้นไปนะครับ" (สั้นจริงๆ)

     บทความแรกของปีนี้ ขอเล่าถึงประสบการณ์ของตัวผมเองก็แล้วกันนะครับ หลังจากที่ได้หยุดยาวกลับบ้านช่วงปีใหม่ไปเต็มๆ 9 วันรวด เรื่องเล่าเยอะแยะไปหมด แต่ก็คงจะหยิบเอาเรื่องที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟังละกันนะครับ

     เริ่มจากคืนวันเดินทางกันเลยครับ วันนั้นเป็นคืนวันที่ 26 ธ.ค. ครับ ผมได้ตั๋วเดินทางเวลา 20.30 น. (จองตั๋วไว้นานโข ตั้งแต่เดือนมีนาคม) พอถึงเวลาขึ้นรถ ผมก็ยื่นตั๋วให้พนักงานบริการบนรถทัวร์ พนักงานรับตั๋วไปแล้วทำหน้า งงๆ ปนตกใจ (ชิบหายละ กูขึ้นผิดคันรึเปล่า จะหน้าแหกมั้ยล่ะเนี่ย) แล้วความวุ่นวายก็เกิดขึ้น พนักงานบอกให้ผมรอแปปนึง ก่อนที่จะลงรถไปคุยกับคนจัดคิวรถ "พี่ 10A รถคันนี้มันไม่มีนะ ตั๋วใบนี้ออกมาได้ยังไง" (เอ้า เวรละกู จะได้กลับบ้านมั้ยล่ะเนี่ย) พนักงานคุยปรึกษากับคนจัดคิวรถอยู่สักพัก ก็มาแจ้งกับผมว่า "12A ไม่มีคนจอง พี่ไปนั่งตรงนั่นนะคะ" ผมก็ตกลง ยังดีกว่าไม่ได้กลับบ้าน

     เข้าไปนั่ง จัดท่านั่ง คาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย ส่งไลน์คุยกับแฟน กับเพื่อน เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง ประมาณ 5 นาทีก็เลิกไลน์ กำลังจะปรับเอนเบาะให้พอดี พนักงานคนเดิมก็โผล่มาอีกครั้ง "พี่คะ ขอย้ายอีกทีได้มั้ยคะ พอดีน้องเค้า (สาวน้อยหน้าตาอ้อนๆจะมาขอนั่งแทน) จะขอแลกที่นั่งค่ะ" ผมก็เอาวะ ไหนๆก็ลูกเมียน้อยแล้วนี่ นั่งไหนก็ได้ (ยกเว้นในส้วม) แล้วผมก็ย้ายตัวเองจาก 12A (เบาะเดี่ยวชั้นล่าง) ขึ้นไปนั่ง 6A (เบาะเดี่ยวชั้นบน ลืมบอกไป รถทัวร์คันใหญ่มี 2 ชั้น) ทีนี้นั่งยาวเลยครับ ไม่ย้ายแล้ว

     เวลาเกือบแปดโมงเช้า รถก็วิ่งถึงจุดหมายปลายทางสถานีขนส่งจังหวัดเชียงราย (ใช้เวลาไม่ถึง 12 ชั่วโมง ถือว่าเร็วเกินคาด) พอลงรถปุ๊ป โอ้โห หนาวจับใจเลยทีเดียว รีบขนกระเป๋าวิ่งหาแดดเลยครับ ถึงจะเป็นคนเหนือ แต่มาทำงานอยู่กรุงเทพซะเกือบ 10 ปี ร่างกายมันก็ปรับตัวชินกับอากาศที่กรุงเทพไปเยอะแล้ว พอมาเจอความหนาวที่เชียงรายบอกได้เลยว่า...สั่นๆๆ

     ข้ามไปหาเรื่องที่เชียงใหม่กันเลยก็แล้วกันนะครับ จริงๆบ้านผมอยู่เชียงใหม่นะครับ แต่ที่ต้องไปที่เชียงรายก่อนก็เพราะว่า ภรรยากับลูกชายอยู่ที่นั่นครับ ปีนี้หยุดยาว 9 วัน เลยพาเจ้าลูกชายไปเที่ยวหา ปู่ย่าที่เชียงใหม่ด้วย สิ่งที่กลัวเมื่อตอนเข้าไปที่บ้านก็คือ กลัวลูกชายจะไม่ให้ปู่ย่าเข้าใกล้ กลัวลูกชายจะไม่เล่นด้วย แต่ผิดคาด...เจ้าลูกชายสนิทกับปู่ย่าเร็วมาก เหมือนคนรู้จักกันมานานแล้ว (จะว่าสนิทก็ไม่เชิง ก็แค่ไม่งอแงเวลาปู่ย่าเข้าหาแค่นั่นแหละ)

     วันแรกในการเที่ยวเชียงใหม่ ได้น้องชายของผมเป็นคนขับรถพาไปเที่ยว (ผมขับไม่ได้แล้ว เพราะไม่ได้ขับมาร่วม 2 ปีแล้ว บวกกับไม่มีใบขับขี่อีก เลยไม่กล้าขับ) สตาร์ทออกบ้านมุ่งหน้าสู่สถานที่ท่องเที่ยว น้ำพุร้อนสันกำแพง ในความทรงจำของผมเมื่อวัยเด็ก ผมเคยไปเที่ยวมาแล้ว 1 ครั้ง ที่จำได้คือ เป็นสถานที่ไม่กว้างมาก พื้นยังเป็นดินอยู่เลย มีน้ำพุร้อนพวยพุ่งจากใต้ดินสูงมาก และกลิ่นกำมะถันแรงมาก แต่การไปรอบนี้มันเปลี่ยนไปมาก เขาปรับปรุงดีขึ้นมาก ทีทางเดินเป็นคอนกรีตเรียบร้อย พื้นดินก็ปลูกหญ้าสวยงาม บริเวณน้ำพุร้อนก็ไม่มีกลิ่นกำมะถันเลย (กลิ่นมันหายไปไหน ยังคาใจมาจนบัดนี้)

     ไปเทียวกัน 5 คน ผม ภรรยา ลูกชาย น้องชาย และน้องสาว ทีแรกคิดว่าคงไม่มีคนไปเที่ยวสักเท่าไหร่ เพราะระหว่างทางที่ขับรถไป รถโล่ง ถนนโล่งมาก นานๆทีจะเจอรถสักคัน (สบายกูล่ะ จะเดินเที่ยวให้สนุกเลย) แต่ที่ไหนได้ พอไปถึงน้ำพุร้อน โอ้โห คนอย่างเยอะเลย จะเยอะอะไรขนาดนั้น ที่นั่งแช่เท้าเพื่อสุขภาพมุมดีๆก็โดนจองไปซะหมด สุดท้ายเลยต้องเดินหามุมแช่เท้าที่คิดว่าดีที่สุดที่เหลืออยู่ จนได้มุมเหมาะจนได้ (ร่มครึ่ง แดดครึ่ง น้ำไม่ร้อนมาก กำลังอุ่นพอดี) พอลงนั่งแช่เท้าแค่นั้นแหละ ลูกชายระเบิดอารมณ์ทันที ไม่ใช่อารมณ์เสียนะครับ แต่เป็นอารมณ์ดี๊ดี เอาเท้าแช่น้ำ เตะน้ำเล่นสนุกจนผมล่ะเกรงใจคนแถวนั้นหมดเลย (เตะจนตะกอนลอย น้ำขุ่นเลย) ก็เด็กกับน้ำล่ะเนอะ มันเป็นของคู่กัน (ยกเว้นตอนอาบน้ำ ทำยังไงก็ไม่ยอมอาบ แปลกจริงๆ)

     หลังจากแช่เท้าได้สักพัก ก็ชวนกันไปดูน้ำพุร้อนกัน แน่นอนว่าลูกชายผมตื่นตาตื่นใจมาก ไม่ว่าจะเป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ได้รับน้ำมาจากน้ำพุ หรือน้ำพุร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน ลูกชายดูร่าเริงมากๆ วิ่งไปวิ่งมาดูนั่นดูนี่ ถามนั้นถามนี่ ด้วยวัยสามขวบแปดเดือน กำลังเป็นเจ้าหนูจำมัยเชียวล่ะ ถามไม่หยุดเลย น้ำมาจากไหน ไหลไปไหน ทำไมมันร้อน และทำไมมีไข่ต้มด้วย (ถามซ้ำๆ ตอบซ้ำๆ คาดว่าน่าจะเกิน 20 รอบ แต่ก็ต้องตอบ ก็ลูกอยากรู้นี่หน่า)



     จากน้ำพุร้อนก็ไปต่อที่เซ็นทรัล เฟสติวัล ลูกชายก็ยังคงอารมณ์ดี๊ดีเหมือนเดิม เพราะเจอสถานที่กว้าง มีไฟเยอะมาก (ลูกชายจะชอบดูไฟมาก โดยเฉพาะไฟเขียว ไฟแดงตามสี่แยก) แถมยังเย็นอีกต่างหาก เดินไปเดินมา บ้างก็วิ่งจนต้องตามไล่จับ ไม่งั้นหายแน่ๆ เรียกได้ว่า ซนมากเลยจะดีกว่า ตัวผมเองก็พึ่งเคยไปเซ็นทรัล เฟสติวัลครั้งแรกเหมือนกัน เพราะนานๆได้กลับบ้านสักที เลยพึ่งมีโอกาสไปได้เที่ยวนั่นแหละ ถือว่าห้างเซ็ลทรัล เฟสติวัลนี้ เป็นห้างที่ใหญ่ และเดินสนุกอยู่เหมือนกัน



     หลังจากเที่ยวมาเกือบทั้งวันแล้ว ประมาณบ่ายสามโมง ก็พาเจ้าลูกชายไปบ้านทวด ไปเที่ยวหาทวดสักหน่อย พอไปถึงบ้านทวด (บ้านทวดเป็นหอพัก) ก็นึกว่าลูกชายจะหมดฤทธิ์สลบซะอีก แต่ผิดคาด กลับเดินไปเดินมาประหนึ่งว่าที่นั่นคือ บ้านของตัวเองที่คุ้นเคย เรียกว่าเดินสำรวจแบบไม่กลัวใครเลย (คนในหอพักก็อยู่กันเยอะนะ) จนทวดอดสงสัยไม่ได้ว่า "มันกลัวใครบ้าง" เดินดูนั่นดูนี่ จับโน้นจับนี่ ซนมากๆ ไม่อยู่นิ่งเลย (สงสัยอารมณ์ค้างมาจากที่ไปเที่ยวมาเมื่อเช้า)

     ยังไม่พอ ตกเย็นยังพากันไปเที่ยว สวนราชพฤกษ์ อีก อยากจะบอกว่าข้างในจัด และตกแต่งได้สวยมากทีเดียว อากาศก็เย็นกำลังดี เดินเที่ยวเพลินเลยล่ะ ถ้า...เจ้าลูกชายไม่อารมณ์ดี๊ดีเกินไป เพราะต้องคอยตามจับตลอด วิ่งเล่นสนุกเค้าล่ะ เสี่ยงต่อการคลาดสายตามากเพราะ คนเยอะ แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไรหรอก ปล่อยให้วิ่งเล่นสนุกไปงั้นแหละ จะได้พัฒนาจินตนาการ



     วันต่อมาเป็นวันสุดท้ายของการไปเที่ยวเชียงใหม่ในรอบนั้น น้องชายผมไปทำงานแล้ว เลยทำให้ผมต้องขับมอเตอร์ไซค์เที่ยวกันเอง 3 คน พ่อ แม่ ลูก สถานที่ท่องเที่ยวก็คือ สวนสัตว์

     สวนสัตว์เชียงใหม่เดี๋ยวนี้กว้างมากๆ ถึงขนาดต้องมีรถนำเที่ยวกันแล้ว เพราะถ้าขืนให้เดินล่ะก็นะ ขาลากแน่ๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าใน 1 วัน จะดูสัตว์ได้เยอะขนาดไหน (ขนาดผมใช้บริการรถนำเที่ยว ยังดูได้ไม่ถึงครึ่งเลย) ไปถึงสวนสัตว์แล้ว สัตว์ชนิดแรกที่จะได้เจอก็คือ นกฟลามิงโก้ เพราะสวนสัตว์จัดไว้ให้เจอเป็นชนิดแรกตรงทางเข้าเลย ตอนแรกก็อุ้มลูกชายให้ดู สักพักดิ้นครับจะลงๆ พอปล่อยลงก็วิ่งไปยืนดูแบบไม่กระพริบตาใกล้ๆกรง แล้วก็จะมีคำถามตามมา (จำไม่ได้ว่าถามอะไร แต่ถามแน่ๆตามวัยอยากรู้อยากเห็น)



     หลังจากนั้นก็ใช้บริการรถนำเที่ยวไปส่งตามจุดต่างๆ โดยรถจะจอดรับ-ส่งทั้งหมด 8 จุด ผมลงแค่ 3 จุดเพราะ แต่ละจุดที่เดินดูสัตว์ใช้เวลานานพอสมควรเลย ขืนลงครบ 8 จุด คงมืดกันพอดี จุดแรกที่ผมลงดูก็คือ เสือครับ เสืออะไรบ้างก็ไม่รู้ จำไม่ได้ แต่ลูกชายตื่นเต้นมากครับ จ้องตาไม่กระพริบเหมือนเดิม แล้วพอกระพริบตาได้ ก็ยิงคำถามต่างๆมากมาย ถามมา ตอบไป สนุกกันเลยทีเดียว



     จุดต่อไปคือ จุดของหมีโคอาล่า มาร์ท (เขย่าๆๆๆ จนกลายเป็นก้อนเดียว...ไม่ใช่ละ) หมีโคอาลาต่างหาก กะจะพาลูกไปดูมันขยับช้าๆ กินช้าๆ แต่สิ่งที่เจอคือ มันหลับ พอมันหลับแค่นั่นแหละ ลูกชายไม่มีอะไรจะถาม ย้ายจุดกันเลย

     จุดสุดท้ายของสวนสัตว์วันนั้นคือ นก และกวาง เข้าไปที่กรงนกก็ได้เจอนกหลากหลายมาก ไก่ป่าก็มี ไก่บ้านก็มี (เจ้าตัวที่มันขัน เอ้กอีเอ้กเอ้ก นั่นแหละ) ลูกชายตื่นตาตื่นใจมาก เพราะนกมีหลายตัว หลายสี ตัวเล็ก ตัวใหญ่ แถมแข่งกันร้องระงม ลูกชายจูงมือผมไปๆมาๆ พร้อมกับพูดคนเดียว และคำถามที่ถามผมมากมาย (ใครมีลูกวัยเจ้าหนูจำมั้ยนะ สนุกตอบคำถามเลยล่ะครับ)



     ข้ามไปที่กรงกวางกันบ้าง (จะเรียกว่ากรงดีมั้ยล่ะเนี่ย เพราะมันเป็นพื้นที่โล่งกว้าง) ตรงนี้คือ การเรียนรู้ การแบ่งปันที่ดีทีสุดสำหรับลูกชายในวันนั้นเลยทีเดียว เพราะเป็นการเอาอาหารให้กวางกินกับมือ (อาหารให้กวางคือ ถั่วฝักยาว และผักกาด) ลูกชายดูสนุกมาก ไม่มีอาการกลัวเลย เป็นการปลูกฝังให้ลูกรักสัตว์ และรู้จักการแบ่งปัน (หวังว่าเจ้าลูกชายจะเรียนรู้ และจดจำ)



     คืนวันนั้นไปฉลองสิ้นปีกันที่บ้านทวด แน่นอนว่าเมนูคือ หมูกระทะ กินกันไม่กี่คนตามประสาญาติพี่น้อง กินเสร็จก็พาลูกชายออกไปดูโคมลอยที่หน้าบ้าน ลูกชายชอบมาก เพราะชอบไฟอยู่แล้วเป็นทุนเดิม โคมลอยเต็มฟ้าลูกชายสนุกมาก แต่ที่เล่นเอางงก็คือ อยู่ๆลูกชายก็บอกว่า "โคมมันดับ มันตกละ" เฮ้ย ลูกชายตาดีขนาดนั้นเลยเหรอ เพราะมันมีโคมที่ดับ และกำลังตกอยู่ไกลพอสมควรเลย ถ้าลูกชายไม่บอกด ผมก็ยังไม่เห็นเลยนะนั่น ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากทีเดียว (เดี๋ยวนะ ลูกชายตาดี หรือผมแก่แล้ว สายตาเริ่มไม่ดี อันไหนจะถูกต้อง)

     หลังจากนั้นผมก็พาลูกชายกลับบ้านที่เชียงรายในเช้าวันต่อมา แล้วเหตุการณ์ที่น่าสนใจในช่วงวันหยุดยาว 9 วันก็จบลงแต่เพียงเท่านี้

     วันที่ 4 ม.ค. ผมนั่งรถทัวร์กลับเข้ามาทำงานที่กรุงเทพ จากที่ใช้เวลาปกติ 12 ชั่วโมง มันกลายเป็น 14 ชั่วโมงแน่ะ แหม...รถจะเยอะ จะติดมากไปนะเนี่ย คราวหน้าขึ้นเครื่องเลยละกัน (ถ้ามีตังค์พอ)