ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตอนที่ 102 (บทความ) _ บทแรกของปี 2558

บทแรกของปี 2558
09 / 01 / 2558

     หากจะขอกล่าวคำว่า สวัสดีปีใหม่ ในวันนี้ก็คงไม่สายเกินไปใช่มั้ยครับ เพราะเราพึ่งจะมาเจอกันครั้งแรกของปี 58 นี้ กล่าวสวัสดีปีใหม่เสร็จก็ต้องอวยพรกันสักหน่อย เอาสั้นๆละกันเนอะ "ขอให้ปีนี้พบเจอแต่สิ่งที่ดีๆ เจริญๆขึ้นไปนะครับ" (สั้นจริงๆ)

     บทความแรกของปีนี้ ขอเล่าถึงประสบการณ์ของตัวผมเองก็แล้วกันนะครับ หลังจากที่ได้หยุดยาวกลับบ้านช่วงปีใหม่ไปเต็มๆ 9 วันรวด เรื่องเล่าเยอะแยะไปหมด แต่ก็คงจะหยิบเอาเรื่องที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟังละกันนะครับ

     เริ่มจากคืนวันเดินทางกันเลยครับ วันนั้นเป็นคืนวันที่ 26 ธ.ค. ครับ ผมได้ตั๋วเดินทางเวลา 20.30 น. (จองตั๋วไว้นานโข ตั้งแต่เดือนมีนาคม) พอถึงเวลาขึ้นรถ ผมก็ยื่นตั๋วให้พนักงานบริการบนรถทัวร์ พนักงานรับตั๋วไปแล้วทำหน้า งงๆ ปนตกใจ (ชิบหายละ กูขึ้นผิดคันรึเปล่า จะหน้าแหกมั้ยล่ะเนี่ย) แล้วความวุ่นวายก็เกิดขึ้น พนักงานบอกให้ผมรอแปปนึง ก่อนที่จะลงรถไปคุยกับคนจัดคิวรถ "พี่ 10A รถคันนี้มันไม่มีนะ ตั๋วใบนี้ออกมาได้ยังไง" (เอ้า เวรละกู จะได้กลับบ้านมั้ยล่ะเนี่ย) พนักงานคุยปรึกษากับคนจัดคิวรถอยู่สักพัก ก็มาแจ้งกับผมว่า "12A ไม่มีคนจอง พี่ไปนั่งตรงนั่นนะคะ" ผมก็ตกลง ยังดีกว่าไม่ได้กลับบ้าน

     เข้าไปนั่ง จัดท่านั่ง คาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย ส่งไลน์คุยกับแฟน กับเพื่อน เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง ประมาณ 5 นาทีก็เลิกไลน์ กำลังจะปรับเอนเบาะให้พอดี พนักงานคนเดิมก็โผล่มาอีกครั้ง "พี่คะ ขอย้ายอีกทีได้มั้ยคะ พอดีน้องเค้า (สาวน้อยหน้าตาอ้อนๆจะมาขอนั่งแทน) จะขอแลกที่นั่งค่ะ" ผมก็เอาวะ ไหนๆก็ลูกเมียน้อยแล้วนี่ นั่งไหนก็ได้ (ยกเว้นในส้วม) แล้วผมก็ย้ายตัวเองจาก 12A (เบาะเดี่ยวชั้นล่าง) ขึ้นไปนั่ง 6A (เบาะเดี่ยวชั้นบน ลืมบอกไป รถทัวร์คันใหญ่มี 2 ชั้น) ทีนี้นั่งยาวเลยครับ ไม่ย้ายแล้ว

     เวลาเกือบแปดโมงเช้า รถก็วิ่งถึงจุดหมายปลายทางสถานีขนส่งจังหวัดเชียงราย (ใช้เวลาไม่ถึง 12 ชั่วโมง ถือว่าเร็วเกินคาด) พอลงรถปุ๊ป โอ้โห หนาวจับใจเลยทีเดียว รีบขนกระเป๋าวิ่งหาแดดเลยครับ ถึงจะเป็นคนเหนือ แต่มาทำงานอยู่กรุงเทพซะเกือบ 10 ปี ร่างกายมันก็ปรับตัวชินกับอากาศที่กรุงเทพไปเยอะแล้ว พอมาเจอความหนาวที่เชียงรายบอกได้เลยว่า...สั่นๆๆ

     ข้ามไปหาเรื่องที่เชียงใหม่กันเลยก็แล้วกันนะครับ จริงๆบ้านผมอยู่เชียงใหม่นะครับ แต่ที่ต้องไปที่เชียงรายก่อนก็เพราะว่า ภรรยากับลูกชายอยู่ที่นั่นครับ ปีนี้หยุดยาว 9 วัน เลยพาเจ้าลูกชายไปเที่ยวหา ปู่ย่าที่เชียงใหม่ด้วย สิ่งที่กลัวเมื่อตอนเข้าไปที่บ้านก็คือ กลัวลูกชายจะไม่ให้ปู่ย่าเข้าใกล้ กลัวลูกชายจะไม่เล่นด้วย แต่ผิดคาด...เจ้าลูกชายสนิทกับปู่ย่าเร็วมาก เหมือนคนรู้จักกันมานานแล้ว (จะว่าสนิทก็ไม่เชิง ก็แค่ไม่งอแงเวลาปู่ย่าเข้าหาแค่นั่นแหละ)

     วันแรกในการเที่ยวเชียงใหม่ ได้น้องชายของผมเป็นคนขับรถพาไปเที่ยว (ผมขับไม่ได้แล้ว เพราะไม่ได้ขับมาร่วม 2 ปีแล้ว บวกกับไม่มีใบขับขี่อีก เลยไม่กล้าขับ) สตาร์ทออกบ้านมุ่งหน้าสู่สถานที่ท่องเที่ยว น้ำพุร้อนสันกำแพง ในความทรงจำของผมเมื่อวัยเด็ก ผมเคยไปเที่ยวมาแล้ว 1 ครั้ง ที่จำได้คือ เป็นสถานที่ไม่กว้างมาก พื้นยังเป็นดินอยู่เลย มีน้ำพุร้อนพวยพุ่งจากใต้ดินสูงมาก และกลิ่นกำมะถันแรงมาก แต่การไปรอบนี้มันเปลี่ยนไปมาก เขาปรับปรุงดีขึ้นมาก ทีทางเดินเป็นคอนกรีตเรียบร้อย พื้นดินก็ปลูกหญ้าสวยงาม บริเวณน้ำพุร้อนก็ไม่มีกลิ่นกำมะถันเลย (กลิ่นมันหายไปไหน ยังคาใจมาจนบัดนี้)

     ไปเทียวกัน 5 คน ผม ภรรยา ลูกชาย น้องชาย และน้องสาว ทีแรกคิดว่าคงไม่มีคนไปเที่ยวสักเท่าไหร่ เพราะระหว่างทางที่ขับรถไป รถโล่ง ถนนโล่งมาก นานๆทีจะเจอรถสักคัน (สบายกูล่ะ จะเดินเที่ยวให้สนุกเลย) แต่ที่ไหนได้ พอไปถึงน้ำพุร้อน โอ้โห คนอย่างเยอะเลย จะเยอะอะไรขนาดนั้น ที่นั่งแช่เท้าเพื่อสุขภาพมุมดีๆก็โดนจองไปซะหมด สุดท้ายเลยต้องเดินหามุมแช่เท้าที่คิดว่าดีที่สุดที่เหลืออยู่ จนได้มุมเหมาะจนได้ (ร่มครึ่ง แดดครึ่ง น้ำไม่ร้อนมาก กำลังอุ่นพอดี) พอลงนั่งแช่เท้าแค่นั้นแหละ ลูกชายระเบิดอารมณ์ทันที ไม่ใช่อารมณ์เสียนะครับ แต่เป็นอารมณ์ดี๊ดี เอาเท้าแช่น้ำ เตะน้ำเล่นสนุกจนผมล่ะเกรงใจคนแถวนั้นหมดเลย (เตะจนตะกอนลอย น้ำขุ่นเลย) ก็เด็กกับน้ำล่ะเนอะ มันเป็นของคู่กัน (ยกเว้นตอนอาบน้ำ ทำยังไงก็ไม่ยอมอาบ แปลกจริงๆ)

     หลังจากแช่เท้าได้สักพัก ก็ชวนกันไปดูน้ำพุร้อนกัน แน่นอนว่าลูกชายผมตื่นตาตื่นใจมาก ไม่ว่าจะเป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ได้รับน้ำมาจากน้ำพุ หรือน้ำพุร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน ลูกชายดูร่าเริงมากๆ วิ่งไปวิ่งมาดูนั่นดูนี่ ถามนั้นถามนี่ ด้วยวัยสามขวบแปดเดือน กำลังเป็นเจ้าหนูจำมัยเชียวล่ะ ถามไม่หยุดเลย น้ำมาจากไหน ไหลไปไหน ทำไมมันร้อน และทำไมมีไข่ต้มด้วย (ถามซ้ำๆ ตอบซ้ำๆ คาดว่าน่าจะเกิน 20 รอบ แต่ก็ต้องตอบ ก็ลูกอยากรู้นี่หน่า)



     จากน้ำพุร้อนก็ไปต่อที่เซ็นทรัล เฟสติวัล ลูกชายก็ยังคงอารมณ์ดี๊ดีเหมือนเดิม เพราะเจอสถานที่กว้าง มีไฟเยอะมาก (ลูกชายจะชอบดูไฟมาก โดยเฉพาะไฟเขียว ไฟแดงตามสี่แยก) แถมยังเย็นอีกต่างหาก เดินไปเดินมา บ้างก็วิ่งจนต้องตามไล่จับ ไม่งั้นหายแน่ๆ เรียกได้ว่า ซนมากเลยจะดีกว่า ตัวผมเองก็พึ่งเคยไปเซ็นทรัล เฟสติวัลครั้งแรกเหมือนกัน เพราะนานๆได้กลับบ้านสักที เลยพึ่งมีโอกาสไปได้เที่ยวนั่นแหละ ถือว่าห้างเซ็ลทรัล เฟสติวัลนี้ เป็นห้างที่ใหญ่ และเดินสนุกอยู่เหมือนกัน



     หลังจากเที่ยวมาเกือบทั้งวันแล้ว ประมาณบ่ายสามโมง ก็พาเจ้าลูกชายไปบ้านทวด ไปเที่ยวหาทวดสักหน่อย พอไปถึงบ้านทวด (บ้านทวดเป็นหอพัก) ก็นึกว่าลูกชายจะหมดฤทธิ์สลบซะอีก แต่ผิดคาด กลับเดินไปเดินมาประหนึ่งว่าที่นั่นคือ บ้านของตัวเองที่คุ้นเคย เรียกว่าเดินสำรวจแบบไม่กลัวใครเลย (คนในหอพักก็อยู่กันเยอะนะ) จนทวดอดสงสัยไม่ได้ว่า "มันกลัวใครบ้าง" เดินดูนั่นดูนี่ จับโน้นจับนี่ ซนมากๆ ไม่อยู่นิ่งเลย (สงสัยอารมณ์ค้างมาจากที่ไปเที่ยวมาเมื่อเช้า)

     ยังไม่พอ ตกเย็นยังพากันไปเที่ยว สวนราชพฤกษ์ อีก อยากจะบอกว่าข้างในจัด และตกแต่งได้สวยมากทีเดียว อากาศก็เย็นกำลังดี เดินเที่ยวเพลินเลยล่ะ ถ้า...เจ้าลูกชายไม่อารมณ์ดี๊ดีเกินไป เพราะต้องคอยตามจับตลอด วิ่งเล่นสนุกเค้าล่ะ เสี่ยงต่อการคลาดสายตามากเพราะ คนเยอะ แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไรหรอก ปล่อยให้วิ่งเล่นสนุกไปงั้นแหละ จะได้พัฒนาจินตนาการ



     วันต่อมาเป็นวันสุดท้ายของการไปเที่ยวเชียงใหม่ในรอบนั้น น้องชายผมไปทำงานแล้ว เลยทำให้ผมต้องขับมอเตอร์ไซค์เที่ยวกันเอง 3 คน พ่อ แม่ ลูก สถานที่ท่องเที่ยวก็คือ สวนสัตว์

     สวนสัตว์เชียงใหม่เดี๋ยวนี้กว้างมากๆ ถึงขนาดต้องมีรถนำเที่ยวกันแล้ว เพราะถ้าขืนให้เดินล่ะก็นะ ขาลากแน่ๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าใน 1 วัน จะดูสัตว์ได้เยอะขนาดไหน (ขนาดผมใช้บริการรถนำเที่ยว ยังดูได้ไม่ถึงครึ่งเลย) ไปถึงสวนสัตว์แล้ว สัตว์ชนิดแรกที่จะได้เจอก็คือ นกฟลามิงโก้ เพราะสวนสัตว์จัดไว้ให้เจอเป็นชนิดแรกตรงทางเข้าเลย ตอนแรกก็อุ้มลูกชายให้ดู สักพักดิ้นครับจะลงๆ พอปล่อยลงก็วิ่งไปยืนดูแบบไม่กระพริบตาใกล้ๆกรง แล้วก็จะมีคำถามตามมา (จำไม่ได้ว่าถามอะไร แต่ถามแน่ๆตามวัยอยากรู้อยากเห็น)



     หลังจากนั้นก็ใช้บริการรถนำเที่ยวไปส่งตามจุดต่างๆ โดยรถจะจอดรับ-ส่งทั้งหมด 8 จุด ผมลงแค่ 3 จุดเพราะ แต่ละจุดที่เดินดูสัตว์ใช้เวลานานพอสมควรเลย ขืนลงครบ 8 จุด คงมืดกันพอดี จุดแรกที่ผมลงดูก็คือ เสือครับ เสืออะไรบ้างก็ไม่รู้ จำไม่ได้ แต่ลูกชายตื่นเต้นมากครับ จ้องตาไม่กระพริบเหมือนเดิม แล้วพอกระพริบตาได้ ก็ยิงคำถามต่างๆมากมาย ถามมา ตอบไป สนุกกันเลยทีเดียว



     จุดต่อไปคือ จุดของหมีโคอาล่า มาร์ท (เขย่าๆๆๆ จนกลายเป็นก้อนเดียว...ไม่ใช่ละ) หมีโคอาลาต่างหาก กะจะพาลูกไปดูมันขยับช้าๆ กินช้าๆ แต่สิ่งที่เจอคือ มันหลับ พอมันหลับแค่นั่นแหละ ลูกชายไม่มีอะไรจะถาม ย้ายจุดกันเลย

     จุดสุดท้ายของสวนสัตว์วันนั้นคือ นก และกวาง เข้าไปที่กรงนกก็ได้เจอนกหลากหลายมาก ไก่ป่าก็มี ไก่บ้านก็มี (เจ้าตัวที่มันขัน เอ้กอีเอ้กเอ้ก นั่นแหละ) ลูกชายตื่นตาตื่นใจมาก เพราะนกมีหลายตัว หลายสี ตัวเล็ก ตัวใหญ่ แถมแข่งกันร้องระงม ลูกชายจูงมือผมไปๆมาๆ พร้อมกับพูดคนเดียว และคำถามที่ถามผมมากมาย (ใครมีลูกวัยเจ้าหนูจำมั้ยนะ สนุกตอบคำถามเลยล่ะครับ)



     ข้ามไปที่กรงกวางกันบ้าง (จะเรียกว่ากรงดีมั้ยล่ะเนี่ย เพราะมันเป็นพื้นที่โล่งกว้าง) ตรงนี้คือ การเรียนรู้ การแบ่งปันที่ดีทีสุดสำหรับลูกชายในวันนั้นเลยทีเดียว เพราะเป็นการเอาอาหารให้กวางกินกับมือ (อาหารให้กวางคือ ถั่วฝักยาว และผักกาด) ลูกชายดูสนุกมาก ไม่มีอาการกลัวเลย เป็นการปลูกฝังให้ลูกรักสัตว์ และรู้จักการแบ่งปัน (หวังว่าเจ้าลูกชายจะเรียนรู้ และจดจำ)



     คืนวันนั้นไปฉลองสิ้นปีกันที่บ้านทวด แน่นอนว่าเมนูคือ หมูกระทะ กินกันไม่กี่คนตามประสาญาติพี่น้อง กินเสร็จก็พาลูกชายออกไปดูโคมลอยที่หน้าบ้าน ลูกชายชอบมาก เพราะชอบไฟอยู่แล้วเป็นทุนเดิม โคมลอยเต็มฟ้าลูกชายสนุกมาก แต่ที่เล่นเอางงก็คือ อยู่ๆลูกชายก็บอกว่า "โคมมันดับ มันตกละ" เฮ้ย ลูกชายตาดีขนาดนั้นเลยเหรอ เพราะมันมีโคมที่ดับ และกำลังตกอยู่ไกลพอสมควรเลย ถ้าลูกชายไม่บอกด ผมก็ยังไม่เห็นเลยนะนั่น ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากทีเดียว (เดี๋ยวนะ ลูกชายตาดี หรือผมแก่แล้ว สายตาเริ่มไม่ดี อันไหนจะถูกต้อง)

     หลังจากนั้นผมก็พาลูกชายกลับบ้านที่เชียงรายในเช้าวันต่อมา แล้วเหตุการณ์ที่น่าสนใจในช่วงวันหยุดยาว 9 วันก็จบลงแต่เพียงเท่านี้

     วันที่ 4 ม.ค. ผมนั่งรถทัวร์กลับเข้ามาทำงานที่กรุงเทพ จากที่ใช้เวลาปกติ 12 ชั่วโมง มันกลายเป็น 14 ชั่วโมงแน่ะ แหม...รถจะเยอะ จะติดมากไปนะเนี่ย คราวหน้าขึ้นเครื่องเลยละกัน (ถ้ามีตังค์พอ)

ความคิดเห็น