คิดต่าง
26 / 02 / 2558
"เออ...น้อง ไปๆ ไปกินข้าวกันได้ละ ใกล้เที่ยงแล้ว" หนุ่ย พนักงานบริษัทซึ่งทำงานที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งมานานกว่าพนักงานใหม่อย่างต้อม กำลังจะออกไปกินข้าวเที่ยงกับกลุ่มเพื่อน แต่เขาเห็นว่าพนักงานใหม่อย่างต้อมคงจะยังไม่คุ้นเคยกับใครในบริษัทนอกจากตัวเขาซึ่งเป็นที่เลี้ยง จึงได้เข้าไปชักชวนให้ไปกินข้าวด้วยกัน
"พี่ๆไปกันก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมรอเที่ยงก่อน" ต้อมดูเวลาที่จอคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ก่อนที่จะบอกปฏิเสธคำชวนของรุ่นพี่ที่บริษัทด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร
"เออๆ ก็ได้ ตามใจน้องก็แล้วกัน" หนุ่ยไม่ได้คิดอะไรมากมายกับคำปฏิเสธของพนักงานน้องใหม่ ก่อนที่จะเดินออกไปกินข้าวกับกลุ่มเพื่อน
ต้อม เป็นพนักงานใหม่ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพ เขาเป็นคนที่ใครๆต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า กวน(อวัยวะเบื้องล่าง)มากทีเดียว แต่ถึงแม้ว่าเขาจะกวน(อวัยวะเบื้องล่าง)มากแค่ไหน เขาก็เป็นคนที่มีเพื่อนที่คอยหวังดีอยู่เยอะมากๆคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะย้ายมาทำงานที่บริษัทแห่งใหม่นี้ เขาเคยทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวของระบบงานข้าราชการมาก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้เขาต้องจำใจลาออกแล้วหันมาทำงานที่บริษัทเอกชนแทน
"ผลงานใช้ได้เหมือนกันนี่หน่าเราน่ะ" หัวหน้าของต้อม ชื่นชมในผลงานที่ต้อมทำออกมาได้อย่างน่าพอใจเป็นชิ้นแรกกับบริษัทใหม่แห่งนี้
"จริงๆมันก็ยังไม่สมบูรณ์นะครับ ผมยังต้องเติมส่วนที่ขาดไปอีกหลายจุดเลย" ต้อมยิ้มหน้าบานกับคำชมของหัวหน้า แต่ก็ไม่วายติผลงานของตัวเอง
"โอย ไม่ต้องแล้ว แค่นี้ก็ส่งให้ลูกค้าได้แล้วล่ะ ไปๆ ไปพักเถอะ เดี๋ยวค่อยทำงานชิ้นต่อไป เดี๋ยวผมมีงานใหม่แล้วจะบอกนะ" หัวหน้าของต้อมพอใจในผลงานแล้ว พร้อมกับบอกให้ต้อมไปพักผ่อนเพื่อรองานชิ้นใหม่ต่อไป
"ไม่ได้นะครับหัวหน้า เดี๋ยวหัวหน้ารอผมสักสิบห้านาทีนะครับ เดี๋ยวผมจะส่งผลงานที่สมบูรณ์แล้วมาให้ครับ" ต้อมพูดจบ ยังไม่ทันที่หัวหน้าจะแย้งว่าไม่ต้องแล้ว ต้อมก็ออกจากห้องของหัวหน้า แล้วกลับไปปั่นงานต่อให้สมบูรณ์ทันที ปล่อยให้หัวหน้าสบถเบาๆพร้อมกับรอยยิ้มว่า "ไอ้นี่ กวน(อวัยวะเบื้องล่าง)จริงๆ"
"ต้อมพักอยู่ที่ไหนล่ะ" ออย สาวสวยประจำแผนกที่หนุ่มๆในบริษัทชอบแอบมอง เข้ามาถามพนักงานใหม่อย่างต้อมที่กำลังนั่งฟังเพลงอยู่เงียบๆหลังจากที่ส่งงานให้หัวหน้าเรียบร้อยแล้ว
"ผมพักอยู่ที่เคหะเนินสูงน่ะครับ" ต้อมมีอาการเขินอายเล็กน้อย ที่สาวสวยประจำแผนกเข้ามาคุยด้วย
"เอ้า โลกกลมจริงๆ อยู่ที่เดียวกันเลย แบบนี้พี่ก็สบายล่ะ มีเพื่อนร่วมทางแล้ว" ออยถึงกับตกใจ ไม่คิดว่าต้อมจะพักอยู่ที่เคหะเดียวกัน แต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกสบายใจด้วยเช่นกัน ที่ได้รู้ว่าจะมีเพื่อนร่วมทางในการเดินทางไป และกลับระหว่างบ้านกับที่ทำงาน
"แหะๆ ครับ" ต้อมไม่พูดอะไรมาก เนื่องจากทั้งเขิน ทั้งงง ที่อยู่ๆพี่สาวคนสวยก็มาคุยด้วย แถมยังจะได้ร่วมเดินทางไปกลับระหว่างบ้านกับที่ทำงานกับพี่สาวคนสวยทุกวันอีกด้วย
เลิกงานเย็นวันนี้ ต้อมเดินไปขึ้นรถเมล์พร้อมกับพี่ออยทันที จนคนในบริษัทที่เห็นทั้งคู่เดินไปด้วยกัน พากันซุบซิบด้วยความสงสัย
"พี่ว่า..พี่ทำให้เธอต้องลำบากนะเนี่ยต้อม ดูสิเมื่อกี้มีแต่คนมองแล้วก็ซุบซิบกัน พี่ว่าเธอต้องโดนนินทาว่าหัวสูง กล้าจีบนางฟ้าอย่างพี่แน่ๆเลย" ออยรู้สึกไม่สบายใจ ที่ทำให้พนักงานใหม่แกะกล่องอย่างต้อมต้องโดนซุบซิบนินทา แต่ก็ไม่วายชมตัวเองซะสวยเลยว่าเป็นนางฟ้า
"ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ออย ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยของพี่ มันสำคัญกว่าคำนินทาของคนอื่นครับ" ต้อมพูดกับพี่ออยด้วยรอยยิ้ม ซึ่งคำพูดของต้อมทำเอาออยถึงกับอึ้งอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าคนที่พึ่งรู้จักกันไม่ถึงหนึ่งวันจะมีความคิดที่หวงตัวเองมากขนาดนี้ จนออยเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ต้อมคิดจะจีบตัวเองจริงๆหรือเปล่า
ระหว่างที่ทั้งคู่นั่งรถเมล์ที่มีผู้โดยสารเต็มคันรถไปด้วย คุยกันอย่างถูกคอไปด้วย รถเมล์ก็มาจอดที่ป้ายรถเมล์ แล้วอยู่ๆต้อมก็ลุกพรวดขึ้นไปซะเฉยๆ ทำเอาออยงงเลยทีเดียว
"เป็นอะไรต้อม ลุกทำไม" ออยทำหน้าสงสัย แต่ต้อมก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา ได้แต่ยิ้มให้ แล้วต้อมก็หันไปมองที่ทางประตูรถเมล์ซึ่งกำลังเปิดรับผู้โดยสารให้ขึ้นมาบนรถ ทันทีที่เห็นผู้โดยสารที่เป็นทั้งเด็ก สตรี และคนชรา ออยก็เข้าใจได้ทันทีเลยว่าต้อมลุกทำไม
"คราวหน้าไม่ต้องลุกก็ได้นะต้อม คิดดูสิจริงๆก็ไม่มีใครเค้าลุกให้กันหรอก ยืนนานๆมันเมื้อย ปล่อยให้ผู้หญิงยืนบ้างก็ได้" ออยบอกกับต้อม หลังจากที่ทั้งคู่ลงจากรถเมล์ แล้วต้อมเดินมาส่งออยถึงที่หน้าบ้านแล้ว
"ถ้าพี่ออยขึ้นรถเมล์ไป แล้วที่นั่งเต็ม พี่ออยอยากให้มีคนลุกให้พี่ออยนั่งบ้างรึเปล่าล่ะครับ (ต้อมเงียบ แล้วมองหน้าพี่ออย) นั่นล่ะครับ คือคำตอบที่ทำไมผมถึงลุกให้ผู้หญิง หรือคนอื่นๆนั่งครับ" ต้อมพูดจบพร้อมรอยยิ้ม แล้วก็เดินกลับบ้านของตัวเองทันที ปล่อยให้ออยอ้าปากค้าง รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าสั่งสอนจนหน้าชายังไงยังงั้น ก่อนที่จะสบถเบาๆว่า "ไอ้นี่ กวน(อวัยวะเบื้องล่าง)จริงๆ"
เช้าวันต่อมา ต้อมเดินไปรับพี่ออยที่หน้าบ้าน แต่พี่ออยกลับทำตัวเอ้อระเหยเหมือนกับว่า ตั้งใจจะไปเข้างานสาย จนต้อมทนไม่ไหวต้องเข้าไปลากตัวพี่ออยให้รีบออกจากบ้าน
"จะรีบอะไรนักหนาเนี่ยต้อม" ออยพูดด้วยน้ำเสียงที่มีอารมณ์โมโหใส่ต้อม
"ถ้าไม่รีบ เดี๋ยวก็ไปสายหรอกครับพี่" ต้อมตอบกลับ พร้อมกับรีบเดินไปที่ป้ายรถเมล์
"โอย สายนิดๆหน่อยๆ อย่าซีเรียสน่า คนอื่นเค้าก็เข้าสายกันเยอะแยะ" ออยรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทางที่เร่งรีบของต้อมอย่างมาก
"ก็คิดกันซะแบบนี้ไง ความเป็นระเบียบมันเลยไม่มีกัน เราชอบชื่นชมชาติอื่นๆว่าเป็นระเบียบ ตรงต่อเวลากัน แต่เราก็แค่ชื่นชมไม่ได้ทำตาม แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับ"ต้อมยังคงเดินอย่างเร่งรีบ แต่เพราะด้วยคำพูดที่เหมือนตบหน้าออยอีกครั้ง ทำให้ออยก็เร่งฝีเท้าด้วยอีกคน
"โอ้ วันนี้ออยมาเช้าแฮะ เป็นไปได้ยังไงเนี่ย เดี๋ยวฝนจะตกมั้ยล่ะเนี่ย" หนุ่ยทักทายออยที่มาถึงที่ทำงานเช้าผิดปกติ เพราะปกติแล้วออยจะค่อนข้างเข้างานสาย อาจจะสายประมาณ 5-10 นาที ก็แล้วแต่อารมณ์ของเธอ
"จะมีอะไรซะอีกล่ะ ก็เจ้าต้อมน่ะสิ ลากให้มาทำงานเช้าเนี่ย แต่ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปหนุ่ยคอยดูออยนะ ออยจะมาเช้าทุกวันเลย" หลังจากที่โดนต้อมพูดเหมือนตบหน้าเมื่อเช้านี้ ทำให้ออยจะปรับปรุงตัวเอง ให้เหมือนที่ตัวเองเคยชื่นชมคนที่ประเทศญี่ปุ่น ว่าเค้ามีระเบียบและความรับผิดชอบดีมากๆนั่นเอง
"ปะ ต้อม ไปกินข้าวกัน ใกล้เที่ยงละ" หนุ่ยมาชวนต้อมออกไปกินข้าวเหมือนวันแรก
"มันแค่ใกล้เที่ยงนะครับพี่หนุ่ย มันยังไม่เที่ยงเลย กฎระเบียบของเราบอกว่า เวลาพักเที่ยงคือ เที่ยงตรง ถึง บ่ายโมงตรงนะครับ พี่รออีกนิดให้ตรงตามกฏระเบียบจะดีกว่ามั้ยครับ" ต้อมพูดจบก็มองหน้าพี่หนุ่ย
"เออๆ ก็ได้ รอเที่ยงตรง" หนุ่ยเหมือนโดนมนต์สะกดไม่โต้เถียงอะไรต้อมเลยสักคำ แถมยังทำตามอีกต่างหาก ส่วนคนอื่นๆที่เห็นหนุ่ยโดนพูดใส่ขนาดนั้น ก็ยอมรอเที่ยงด้วยอีกเหมือนกัน
เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว ที่ต้อมเข้ามาทำงานที่บริษัทแห่งนี้ ต้อมปรับตัวเข้ากับทุกคนในแผนกได้ดีมาก จนหัวหน้าแผนกได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น สาวสวยประจำแผนกมาทำงานแบบไม่สายเลยตลอดสัปดาห์ กลุ่มสามหนุ่มสามมุมที่มีหนุ่ยเป็นแกนนำก็พักเที่ยงตรงเวลามากขึ้น ไหนจะงานที่ลูกน้องเอามาส่งมันดูสมบูรณ์กว่าทุกๆทีที่ผ่านมาอีก จนหัวหน้าเกิดความสงสัยอย่างมากว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็คิดว่าดีแล้วล่ะ เลยไม่ได้เข้าไปสอบถามลูกน้องของตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น
"คนนั้นใครเหรอครับพี่หนุ่ย" ต้อมถามพี่หนุ่ย ถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งตัวไม่เหมือนใครในบริษัท แต่เธอก็เดินไปเดินมาในบริษัทได้ โดยไม่มีใครว่าอะไร
"อ่อ น้องเบล แผนกจัดซื้อน่ะ น้องแกไม่ค่อยใส่ชุดฟอร์มของบริษัทหรอก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน พี่ไม่สนิท" หนุ่ยบอกกับต้อม ด้วยสีหน้าสงสัย
"แน่ะๆ อะไรเบลๆ ได้ยินนะ" ออยเข้ามาร่วมแจม หลังจากที่ได้ยินสองหนุ่มคุยกัน หนุ่ยอธิบายให้ออยฟังว่าต้อมแค่สงสัยว่าคนๆนั้นเป็นใครแค่นั้นเอง
"ต้อม พี่สนิทกับเบลอยู่นะ อยากคุยด้วยเหรอ" ออยเสนอตัวเข้าช่วยเหลือ
"ครับ ผมแค่รู้สึกว่าเค้ามีอะไรน่าสนใจนิดหน่อยน่ะครับ" ต้อมตอบกับพี่ออย แต่สายตาจ้องเขม็งไปที่เบล โดยที่เบลนั้นไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกจ้องอยู่
หลังจากถึงเวลาพักเที่ยง คนที่กินข้าวเสร็จแล้วต่างก็กลับเข้ามาพักผ่อนในบริษัท บ้างก็เล่นอินเตอร์เน็ต บ้างก็เล่นเกม บ้างก็งีบหลับ เป็นแบบนี้อยู่เป็นประจำ จนในวันนี้ที่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น
'กลิ่นหมูปิ้งแน่ๆ ของใครกันล่ะเนี่ย' หลังจากที่ต้อมออกไปกินข้าวเสร็จ แล้วกลับเข้ามาในบริษัท ต้อมก็ได้กลิ่นที่ไม่ควรได้กลิ่นในนี้ ต้อมคิดในใจสงสัยว่าใครกันนะที่กินหมูปิ้งในบริษัท
"พี่ศักดิ์ใช่มั้ยครับ ที่กินหมูปิ้งที่โต๊ะทำงานเมื่อกี้นี้" ต้อมเดินตามหาที่มาของกลิ่นแถวๆที่โต๊ะทำงานแล้ว แต่ก็ไม่เจอ เขาเลยเข้ามาที่ห้องครัวของบริษัท แล้วก็ได้เจอกับพี่ศักดิ์ที่กำลังล้างมืออยู่พอดี
"ใช่ ทำไมเหรอ" พี่ศักดิ์ล้างมือจนเสร็จ แล้วก็หันมาคุยกับต้อม
"คือ..ผมว่าพี่ศักดิ์ไม่ควรกินอาหารที่มีกลิ่นแรงในบริษัทนะครับ เพราะมันจะรบกวนคนอื่นนะครับ" ต้อมพูดไปยิ้มไป แต่ในใจนั้นกลัวพี่ศักดิ์มาก เพราะพี่ศักดิ์ดูน่ากลัวกว่าทุกๆคนในบริษัทที่เขารู้จัก
"ก็ได้ พอดีวันนี้พี่ซื้อหมูปิ้งตอนเช้า กะว่าจะกินระหว่างทางที่เดินมาทำงาน แต่บังเอิญเจอร้านข้าวแกงทำอาหารถูกใจก็เลยแวะกิน หมูปิ้งก็เลยเอามากินตอนเที่ยง แล้วพี่ขี้เกียจออกไปกินข้างนอก ก็เลยกินมันที่โต๊ะไปด้วย เล่นอินเตอร์เน็ตไปด้วย โทษทีละกัน" พี่ศักดิ์ทำหน้าไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ไม่ได้จะหาเรื่องอะไรต้อม
"ขอบคุณ แล้วก็ขอโทษพี่ศักดิ์ด้วยนะครับ ที่ผมทำแบบนี้" ต้อมยิ้มสู้พี่ศักดิ์ จนพี่ศักดิ์ยิ้มตอบ แล้วเดินมาตบไหล่ต้อมเบาๆ "ไม่เป็นไร" แล้วก็เดินออกจากห้องครัวไป
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ รวมเป็นสองสัปดาห์แล้วที่ต้อมเข้ามาทำงานที่บริษัทแห่งนี้ ต้อมได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับคนในบริษัทหลายคนทีเดียว แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะยอมรับ และเปลี่ยนแปลงตามที่ต้อมได้ทำเป็นตัวอย่าง และบอกกล่าว
"ต้อม แกไปทำอะไรให้พี่ศักดิ์ไม่พอใจรึเปล่า ทำไมพี่ศักดิ์เค้าดูเหมือนไม่ค่อยชอบหน้าแกเลย" หนุ่ยถามด้วยความสงสัย
"วันนั้นพี่จำได้มั้ย วันที่มีกลิ่นหมูปิ้งในบริษัทตอนพักเที่ยงน่ะ ผมรู้ว่าพี่ศักดิ์เป็นคนกินหมูปิ้งในบริษัท ผมก็เลยไปพูดอะไรกับเค้านิดหน่อยน่ะครับ" ต้อมก้มหน้าก้มตา ทำหน้าเศร้า
"ซวยละต้อมเอ้ย ดันไปมีเรื่องกับขาใหญ่" หนุ่ยเครียดแทนต้อม
"เฮ้ยๆ นั่นน้องเบลใช่รึเปล่าน่ะ โห ใส่ชุดฟอร์มบริษัทแล้วน่ามองดีเนอะ" ยังไม่ทันที่ต้อมกับหนุ่ยจะหายเครียดเรื่องพี่ศักดิ์ อยู่ๆเอกก็สะกิดให้ทั้งสองคนดูน้องเบลในชุดฟอร์มของบริษัท
"เออเนอะ น่ามองจริงๆด้วย ดูดีกว่าตอนใส่ชุดนอกมาทำงานอีก ว่าแต่ต้อมทำยังไงน่ะ" หนุ่ยเสริมคำพูดของเอก แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าต้อมไปพูดอะไรให้น้องเบล ทำไมน้องเบลถึงยอมใส่ชุดฟอร์มบริษัทได้
"ผมได้คุยกับน้องเค้านิดหน่อยครับ น้องเค้าบ่นๆว่ามีแต่คนชอบจับผิดเค้า ผมก็เลยบอกน้องเค้าไปแค่ว่า ถ้าไม่อยากถูกจับผิด อย่าคิดนอกใจฟอร์ม แค่นั่นแหละครับ" ต้อมตอบคำถามพี่หนุ่ย
"ทั้งบริษัท ทั้งพนักงานดีขึ้นมากเลย ขอบใจเธอมากนะต้อม ที่เธอใช้ความซื่อตรงของเธอเปลี่ยนแปลงความคิด และจิตสำนึกของพนักงานในบริษัทได้หลายคนจนมันกลายเป็นตัวอย่างที่ดีให้คนอื่นๆได้เห็น และทำตาม แต่...ผมก็มีข่าวร้ายบอกกับคุณเหมือนกัน" หัวหน้าของต้อมเรียกต้อมเข้าไปคุย หลังจากที่เขาทดลองงานครบสามเดือนตามข้อตกลงแล้ว เขารู้ตัวดีว่าผลงานของเขาออกมาดี แต่เขาก็ใช้เวลาทำงานแต่ละชิ้นนานเกินไป หลายๆครั้งที่เขาส่งงานไม่ทันจนโดนตำหนิ และเมื่อหัวหน้าพูดเกริ่นมาแบบนี้ ทำให้เขารู้ได้เลยว่า เขาไม่ผ่านการทดลองงานแน่นอน เขาพยายามฝืนยิ้ม แล้วก็ตั้งใจฟังหัวหน้าให้จบ
"เราคงจะได้เจอกันอีกแค่สองวันนะ" หัวหน้าทำหน้าเศร้า พูดด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกเสียดาย ต้อมเองก็เศร้าไม่แพ้กัน
"เพราะว่าตอนนี้ทางสาขาเชียงใหม่คนไม่พอ เค้าเลยขอยืมคนที่สาขานี้ไปก่อน ถ้าเค้าได้คนใหม่เมื่อไหร่ เค้าก็จะส่งตัวเธอกลับมานะ" หัวหน้าพูดจบก็ทำหน้าสะใจมาก ที่หลอกลูกน้องตัวเองได้สำเร็จ ตอนนี้ต้อมได้แต่อ้าปากค้าง ไม่คิดว่าหัวหน้าจะหลอกกันได้ลงคอ
"ไปอยู่ที่สาขาเชียงใหม่น่ะ ก็ไปเปลี่ยนแปลงพนักงานทางโน้นบ้างนะ บริษัทเราจะได้ดูดีขึ้นในสายตาคนนอก ผมได้ยินหัวหน้าทางโน้นบ่นมาเหมือนกันว่าพนักงานดื้อกันพอตัวเลยล่ะ" หลังจากที่หัวหน้าแกล้งหลอกต้อมได้สำเร็จ ก็ฝากถึงภาระกิจลับที่อยากให้ต้อมช่วยไปเปลี่ยนแปลงความคิด และจิตสำนึกของพนักงานที่สาขาเชียงใหม่ด้วย
"ครับ" ต้อมรับปากว่าจะทำงานหลัก และภารกิจลับให้ลุล่วงตามที่หัวหน้าได้มอบหมายอย่างมั่นใจ
ในวันที่ต้อมต้องขึ้นเครื่องที่ดอนเมืองก็มีสองคู่รักไปส่ง นั่นก็คือ หนุ่ยกับออย และเอกกับน้องเบล คู่ของหนุ่ยกับออยสามารถปิ๊งรักกันได้ก็เพราะว่า ออยมาทำงานเช้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หนุ่ยก็มาทำงานแล้วพอดี ทำให้ทั้งสองคนมีโอกาสได้พูดคุยกันก่อนทำงานมากขึ้น ยิ่งช่วงเวลาเช้าๆ สมองปลอดโปร่ง บรรยากาศก็กำลังดี ความรู้สึกของทั้งสองคนก็เลยยิ่งเพิ่มพูนได้ง่าย บวกกับที่ทั้งสองคนเป็นพี่เลี้ยงให้กับต้อมด้วย ก็เลยยิ่งทำให้ทั้งคู่สนิทติดกันเป็นปาท่องโก๋เลยทีเดียว
ทางด้านเอกกับน้องเบล หากน้องเบลไม่ใส่ชุดฟอร์มบริษัท เอกก็คงจะไม่ได้เห็นความงดงามในตัวของน้องเบลแน่นอน ต้องขอบคุณต้อมที่ทำให้น้องเบลใส่ชุดฟอร์มบริษัทได้สำเร็จ
"ไม่น่าเชื่อนะครับ ว่าผมจะสร้างคู่รักขึ้นมาในบริษัทได้ถึงสองคู่รวดแบบนี้" ต้อมพูดไปก็มองหน้าทั้ง 4 คนด้วยรอยยิ้มไปด้วย
"แต่เอาจริงๆนะครับ จริงๆผมก็เล็งทั้งพี่ออย ทั้งน้องเบลไว้แหละ แต่บังเอิญผมยังไม่ได้ลงมือน่ะ ไว้ถ้าผมกลับมาจากเชียงใหม่เมื่อไหร่ พี่หนุ่ยกับพี่เอกก็ระวังแฟนพี่ไว้ให้ดีนะครับ" ต้อมพูดจบก็หัวเราะ แล้วก็หันหลังวิ่งหนีพี่หนุ่ยกับพี่เอกที่กำลังไล่เตะก้นเขาอยู่ จนเข้าประตูไปขึ้นเครื่อง
"ต้อมไม่ทำแบบนั้นหรอก คนซื่อตรง รักความถูกต้อง แล้วก็มีจิตสำนึกที่ดีแบบต้อม ไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน" ออยพูดกับน้องเบล ที่กำลังยืนขำที่พี่หนุ่ยกับพี่เอกไล่เตะก้นต้อมไปจนถึงทางเข้าประตูไปขึ้นเครื่อง
ตอนที่ 108 (บทความ) _ กฎ(หมาย)เยอะ...แล้วไงล่ะ ?
กฎ(หมาย)เยอะ...แล้วไงล่ะ ?
23 / 02 / 2558
กฎ(หมาย)มันจะมีปะโยชน์อันใดเล่า หากคนเราไม่มีจิตสำนึกที่ดี บางคนนอกจากจะไม่มีจิตสำนึกที่ดีแล้ว ยังท้าทายกฎ(หมาย)อีกด้วย
การมีกฎถือว่าเป็นเรื่องที่ดีนะครับ เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้คนมีความเป็นระเบียบมากขึ้น แต่ผมว่าเหนือสิ่งอื่นใด การที่สอนให้คนรู้จักมีจิตสำนึกที่ดี มีความรับผิดชอบที่ดี มันน่าจะดีกว่าที่มีกฎออกมามากมายเพื่อให้คนกลัว ยิ่งบางคนนะ ยิ่งเจอกฎยิ่งชอบ เพราะมันท้าทายดี ลองแหกกฎดูดีกว่า ถ้าแหกได้นะ แหม..กูนี่โคตรเท่เลย (เชื่อสิ มันมีคนคิดแบบนี้จริงๆนะ)
ยังไม่ต้องไปพูดถึงกฎหมายบ้านเมืองกันหรอกนะครับ เอาแค่กฎในที่ทำงานนี่ก็พอก่อน แทบจะทุกแห่งต้องมีกฎที่ว่า ห้ามมาสาย ถ้ามาสายจะต้องโดนลงโทษอย่างนั้น อย่างนี้ก็ว่ากันไป ถ้าสอนให้ทุกคนมีความรับผิดชอบนะ กฎห้ามมาสายไม่ต้องมีก็ได้ แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะคนทุกคนมีความขี้เกียจอยู่ในตัว (ผมก็คนหนึ่งล่ะ) บางคนมีฝากตอกบัตร หรือถ้าไม่มีตอกบัตร แต่เป็นระบบสแกนนิ้ว ก็มาสายแต่ไปขอให้ฝ่ายบุคคลช่วยแก้เวลาเข้างานให้หน่อย (อาศัยความสนิทในทางที่ไม่ดี) กลัวกฎกันจะตายห่า แต่ก็ยังกล้าทำผิดกฎ บางคนมาสายแม่งมัน 30 วันครบเดือนกันไปเลย แต่ใบแจ้งเวลาออกมา โห ไม่มีมาสายเลยสักวัน เพราะไปขอให้ฝ่ายบุคคลช่วยแก้เวลาให้ กฎจะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่มีจิตสำนึกที่ดี
บางที่มีกฎให้พนักงานใส่ชุดฟอร์มของบริษัทมาทำงาน มันก็ยังมีพวกที่ชอบแหกกฎ ไม่ใส่ครับ กูไม่ใส่ใครจะทำไม แต่พอโดนเรียกไปตักเตือน เสือกมาบ่นว่า "จะอะไรกับกูนักหนา จับผิดกูจัง" เออ...เขาไม่ได้จับผิดมึงหรอกนะ แต่มึงน่ะทำตัวเด่นเอง ถ้ามึงจะมีจิตสำนึกที่ดี คนเขาใส่ชุดพนักงานกันหมดก็ไม่เห็นตาย มึงก็ใส่มาบ้างดิ มึงก็คงไม่โดนจับผิดอะไรหรอก
เวลาพักเที่ยงอีก ทางบริษัทเขาก็บอกแล้วว่า เวลาพักคือ 12.00-13.00 น. ไอ้พวกที่มักง่ายก็ชอบแหกกฎออกไปกินก่อน พอกินเสร็จก็เข้ามามีเวลาพักเต็มๆเกือบหนึ่งชั่วโมง พอโดนเรียกไปตักเตือนก็บ่นอีก "ออกก่อนแค่ห้านาทีสิบนาทีทำเป็นบ่น นิดๆหน่อยๆก็ไม่ได้" เอ้า ก็มึงทำตัวเองทั้งนั้น คนอื่นเขายังออกเที่ยงตรงได้เลย ก็ไม่เห็นว่าเขาจะอดกินข้าว มีบางคนแหกกฎแบบออกไปกินข้าวทีหลัง แล้วก็เข้ามาทีหลัง (ออก 12.45 น. กลับเข้ามา 13.45 น.) พอโดนเรียกไปตักเตือนก็บ่น "เวลาพักหนึ่งชั่วโมงเท่ากัน กูออกช้า กูก็ต้องเข้ามาช้าสิ อะไรวะ เอาเปรียบกันชิบหาย จะให้กูออก 12.45 น. แล้วเข้า 13.00 น.รึไง แบบนั้นก็กูได้พักแค่ 15 นาทีสิ" เออ...เดี๋ยวนะ ตอน 12.00 น. เขาออกไปกินข้าว มึงพักผ่อน พอ 12.45 น. เขากลับเข้ามาพักผ่อนกันหมดแล้ว มึงถึงออกไปกินข้าว แล้ว 13.00 น. เขาเริ่มทำงานกัน มึงก็ยังกินข้าว พักผ่อนอยู่ข้างนอก เอาง่ายๆว่า เขากินข้าวรวมพักผ่อน คือ 12.00 - 13.00 น. เท่ากับ 1 ชั่วโมงถ้วน แต่มึงล่ะ พักผ่อนไปก่อนแล้ว 45 นาทีถึงจะออกไปกินข้าว พอกินเสร็จพักผ่อนเสร็จกลับเข้ามา 13.45 น. รวมแล้วมึงใช้เวลากินข้าวรวมพักผ่อน คือ 12.45 - 13.45 น. บวกกับ 45 นาที เท่ากับ 1.45 ชั่วโมง บริษัทเอาเปรียบมึงจังเนอะ เดี๋ยวกูฟ้องกรมแรงงานให้
อีกสักข้อละกัน บางที่จะมีกฎห้ามกินอาหารที่โต๊ะทำงาน แต่ขนม หรือผลไม้กินได้ ที่เขาห้ามเพราะอะไร เพราะกลิ่นมันแรงรบกวนคนอื่น ถ้าคนที่มีจิตสำนึกที่ดี เขาก็ไม่กินกันหรอก ไม่กินเพราะ เขาเกรงใจคนอื่นนะ ไม่ใช่ไม่กินเพราะ กลัวกฎ เขาจะออกไปกินข้างนอก ในที่ที่บริษัทจัดสถานที่ไว้ให้ แต่บางคนก็ยังมักง่าย กินไปด้วย เล่นคอมไปด้วย กลิ่นงี้ตลบอบอวล พอโดนเรียกไปตักเตือนก็บ่นอีกละ "กลิ่นแรงตรงไหน กูกินจนหมด กูว่ากลิ่นก็แทบจะไม่มีนะ" เออ...ก็มึงแดกอยู่กับปาก มึงก็คุ้นกลิ่นดิวะ ลองกูแดกบ้างมั้ยล่ะ กูก็จะบอกว่า กูไม่เห็นมันจะมีกลิ่นเลย
นี่แค่กฎของบริษัทเล็กๆแห่งหนึ่งนะครับ มันยังมีปัญหาขนาดนี้เลย แล้วกฏหมายของบ้านเมืองมันจะวุ่นวายขนาดไหน ก็ลองดูข่าวในทุกๆวันก็แล้วกันนะครับ
ข่าวลักเล็กขโมยน้อย ข่าวขโมยใหญ่ๆ กฎหมายทำอะไรได้ครับ จับ ปรับ ลงโทษ ติดคุก ถามว่าคนทำผิดกลัวกฎหมายมั้ย คำตอบคือ กลัว แต่ก็ยังกล้าขโมยอยู่ดี ไหนๆคนร้ายมันก็กล้าละ แล้วมันก็เยอะขึ้นทุกวันๆ งั้นแก้กฎหมาย เพิ่มโทษมันซะเลย ปรับเยอะๆ ติดคุกนานๆ ถามว่าคนคิดจะขโมยของกลัวมากขึ้นมั้ย คำตอบคือ กลัวมากขึ้น แต่แล้วไงล่ะครับ ถ้าคนมันจะขโมย มันก็ขโมยอยู่ดี ของหายไปแล้วก็ค่อยมาตามจับ ใครเดือดร้อนล่ะครับ เจ้าทุกข์ เจ้าของทรัพย์ครับที่เดือดร้อน จับคนร้ายได้ คนร้ายติดคุก เจ้าทุกข์สะใจ ณ เวลานั้น แต่ก่อนหน้านั้นทุกข์ใจจะเป็นจะตาย ของสำคัญหายไป ชีวิตช่วงนั้นไม่ดีเลย ... แก้ที่จิตสำนึกดีมั้ยครับ ให้คนได้รู้ว่าการขโมยของ มันทำให้คนที่โดนขโมยเดือดร้อน เราไม่ควรจะทำ ลองคิดดูว่าถ้าเราโดนใครขโมยไปบ้าง เราจะทุกข์ใจขนาดไหน อะไรแบบนี้เนี่ย (พูดง่าย ทำยาก แต่ก็ต้องพูด)
ข่าวข่มขืนอีก ข่มขืนฆ่า ข่มขืนไม่ฆ่า(กะเอาไว้ขู่ ข่มขืนอีกเรื่อยๆ) กฎหมายเรียกร้องกันจะเป็นจะตายว่า 'ข่มขืน = ประหารชีวิต' ครับผมเห็นด้วย แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นที่เป็นปลายเหตุ ถามว่าคนที่คิดจะข่มขืนมันกลัวกฎหมายมั้ย คำตอบคือ กลัวชิบหายเลยครับ กลัวโดนจับประหารชีวิต แต่ถ้ามันหน้ามืดอยากระบายอารมณ์กับใครสักคนตอนนั้น ผมว่ามันก็ทำแหละ แล้วมันก็อาจจะทำแบบสุดๆไปเลยก็ได้ เพราะไหนๆมันก็จะโดนประหารชีวิตแล้ว มันก็อาจจะข่มขืนแบบทารุณที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ แล้วมันก็อาจจะฆ่าเหยื่อทิ้งอีกด้วย ... แก้ที่จิตสำนึกดีมั้ยครับ ให้คนได้รู้ว่า เพศตรงข้ามก็คนนะ มีพ่อมีแม่ มีคนที่รักเขา ห่วงเขา เราไม่ควรไปทำร้ายเขา เพราะถ้ามีคนมาทำร้ายคนที่เรารัก เราห่วงบ้างล่ะ เราจะเจ็บแค้นคนๆนั้นมากขนาดไหน (พูดง่าย ทำยาก แต่ก็ต้องพูด)
ข่าวอีกสาระพัดข่าว ที่เป็นเรื่องที่ไม่ดี ที่ต้องแก้กฎหมายเพื่อให้คนกลัว แก้แล้วก็แก้อีก กลัวแล้วก็กลัวอีก แต่มันก็ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ เกิดแทบทุกวัน เกิดเพิ่มมากขึ้นซะด้วยซ้ำไป ผมถึงบอกไงครับว่า 'กฎ(หมาย)เยอะ...แล้วไงล่ะ'
ถ้าสังคมสอนให้คนเป็นคนดี สอนให้คนมีจิตสำนึกที่ดีได้ ปัญหาก็จะน้อยลง กฎหมายก็แทบจะไม่มีความสำคัญอะไรเลยก็ได้ จริงมั้ยล่ะครับ แต่ก็นั่นแหละครับ พูดน่ะมันง่าย แต่ทำน่ะมันยากมากๆ
คุณเคยชื่นชมคนญี่ปุ่นบ้างรึเปล่า ว่าเขาเป็นคนที่มีระเบียบ มีจิตสำนึกที่ดี แต่...พอคุณชื่นชมแล้ว ทำไมคุณไม่เอามาใช้กับตัวเองบ้างล่ะ ชื่นชมแล้วก็ทำตามสิครับ ไม่ใช่ชื่นชมแล้วจบๆกันไป "กูแค่ชม กูแค่ชอบ แต่กูไม่ขอทำตามหรอก" แล้วคุณ(มึง)จะชมไปเพื่อ...???
23 / 02 / 2558
กฎ(หมาย)มันจะมีปะโยชน์อันใดเล่า หากคนเราไม่มีจิตสำนึกที่ดี บางคนนอกจากจะไม่มีจิตสำนึกที่ดีแล้ว ยังท้าทายกฎ(หมาย)อีกด้วย
การมีกฎถือว่าเป็นเรื่องที่ดีนะครับ เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้คนมีความเป็นระเบียบมากขึ้น แต่ผมว่าเหนือสิ่งอื่นใด การที่สอนให้คนรู้จักมีจิตสำนึกที่ดี มีความรับผิดชอบที่ดี มันน่าจะดีกว่าที่มีกฎออกมามากมายเพื่อให้คนกลัว ยิ่งบางคนนะ ยิ่งเจอกฎยิ่งชอบ เพราะมันท้าทายดี ลองแหกกฎดูดีกว่า ถ้าแหกได้นะ แหม..กูนี่โคตรเท่เลย (เชื่อสิ มันมีคนคิดแบบนี้จริงๆนะ)
ยังไม่ต้องไปพูดถึงกฎหมายบ้านเมืองกันหรอกนะครับ เอาแค่กฎในที่ทำงานนี่ก็พอก่อน แทบจะทุกแห่งต้องมีกฎที่ว่า ห้ามมาสาย ถ้ามาสายจะต้องโดนลงโทษอย่างนั้น อย่างนี้ก็ว่ากันไป ถ้าสอนให้ทุกคนมีความรับผิดชอบนะ กฎห้ามมาสายไม่ต้องมีก็ได้ แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะคนทุกคนมีความขี้เกียจอยู่ในตัว (ผมก็คนหนึ่งล่ะ) บางคนมีฝากตอกบัตร หรือถ้าไม่มีตอกบัตร แต่เป็นระบบสแกนนิ้ว ก็มาสายแต่ไปขอให้ฝ่ายบุคคลช่วยแก้เวลาเข้างานให้หน่อย (อาศัยความสนิทในทางที่ไม่ดี) กลัวกฎกันจะตายห่า แต่ก็ยังกล้าทำผิดกฎ บางคนมาสายแม่งมัน 30 วันครบเดือนกันไปเลย แต่ใบแจ้งเวลาออกมา โห ไม่มีมาสายเลยสักวัน เพราะไปขอให้ฝ่ายบุคคลช่วยแก้เวลาให้ กฎจะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่มีจิตสำนึกที่ดี
บางที่มีกฎให้พนักงานใส่ชุดฟอร์มของบริษัทมาทำงาน มันก็ยังมีพวกที่ชอบแหกกฎ ไม่ใส่ครับ กูไม่ใส่ใครจะทำไม แต่พอโดนเรียกไปตักเตือน เสือกมาบ่นว่า "จะอะไรกับกูนักหนา จับผิดกูจัง" เออ...เขาไม่ได้จับผิดมึงหรอกนะ แต่มึงน่ะทำตัวเด่นเอง ถ้ามึงจะมีจิตสำนึกที่ดี คนเขาใส่ชุดพนักงานกันหมดก็ไม่เห็นตาย มึงก็ใส่มาบ้างดิ มึงก็คงไม่โดนจับผิดอะไรหรอก
เวลาพักเที่ยงอีก ทางบริษัทเขาก็บอกแล้วว่า เวลาพักคือ 12.00-13.00 น. ไอ้พวกที่มักง่ายก็ชอบแหกกฎออกไปกินก่อน พอกินเสร็จก็เข้ามามีเวลาพักเต็มๆเกือบหนึ่งชั่วโมง พอโดนเรียกไปตักเตือนก็บ่นอีก "ออกก่อนแค่ห้านาทีสิบนาทีทำเป็นบ่น นิดๆหน่อยๆก็ไม่ได้" เอ้า ก็มึงทำตัวเองทั้งนั้น คนอื่นเขายังออกเที่ยงตรงได้เลย ก็ไม่เห็นว่าเขาจะอดกินข้าว มีบางคนแหกกฎแบบออกไปกินข้าวทีหลัง แล้วก็เข้ามาทีหลัง (ออก 12.45 น. กลับเข้ามา 13.45 น.) พอโดนเรียกไปตักเตือนก็บ่น "เวลาพักหนึ่งชั่วโมงเท่ากัน กูออกช้า กูก็ต้องเข้ามาช้าสิ อะไรวะ เอาเปรียบกันชิบหาย จะให้กูออก 12.45 น. แล้วเข้า 13.00 น.รึไง แบบนั้นก็กูได้พักแค่ 15 นาทีสิ" เออ...เดี๋ยวนะ ตอน 12.00 น. เขาออกไปกินข้าว มึงพักผ่อน พอ 12.45 น. เขากลับเข้ามาพักผ่อนกันหมดแล้ว มึงถึงออกไปกินข้าว แล้ว 13.00 น. เขาเริ่มทำงานกัน มึงก็ยังกินข้าว พักผ่อนอยู่ข้างนอก เอาง่ายๆว่า เขากินข้าวรวมพักผ่อน คือ 12.00 - 13.00 น. เท่ากับ 1 ชั่วโมงถ้วน แต่มึงล่ะ พักผ่อนไปก่อนแล้ว 45 นาทีถึงจะออกไปกินข้าว พอกินเสร็จพักผ่อนเสร็จกลับเข้ามา 13.45 น. รวมแล้วมึงใช้เวลากินข้าวรวมพักผ่อน คือ 12.45 - 13.45 น. บวกกับ 45 นาที เท่ากับ 1.45 ชั่วโมง บริษัทเอาเปรียบมึงจังเนอะ เดี๋ยวกูฟ้องกรมแรงงานให้
อีกสักข้อละกัน บางที่จะมีกฎห้ามกินอาหารที่โต๊ะทำงาน แต่ขนม หรือผลไม้กินได้ ที่เขาห้ามเพราะอะไร เพราะกลิ่นมันแรงรบกวนคนอื่น ถ้าคนที่มีจิตสำนึกที่ดี เขาก็ไม่กินกันหรอก ไม่กินเพราะ เขาเกรงใจคนอื่นนะ ไม่ใช่ไม่กินเพราะ กลัวกฎ เขาจะออกไปกินข้างนอก ในที่ที่บริษัทจัดสถานที่ไว้ให้ แต่บางคนก็ยังมักง่าย กินไปด้วย เล่นคอมไปด้วย กลิ่นงี้ตลบอบอวล พอโดนเรียกไปตักเตือนก็บ่นอีกละ "กลิ่นแรงตรงไหน กูกินจนหมด กูว่ากลิ่นก็แทบจะไม่มีนะ" เออ...ก็มึงแดกอยู่กับปาก มึงก็คุ้นกลิ่นดิวะ ลองกูแดกบ้างมั้ยล่ะ กูก็จะบอกว่า กูไม่เห็นมันจะมีกลิ่นเลย
นี่แค่กฎของบริษัทเล็กๆแห่งหนึ่งนะครับ มันยังมีปัญหาขนาดนี้เลย แล้วกฏหมายของบ้านเมืองมันจะวุ่นวายขนาดไหน ก็ลองดูข่าวในทุกๆวันก็แล้วกันนะครับ
ข่าวลักเล็กขโมยน้อย ข่าวขโมยใหญ่ๆ กฎหมายทำอะไรได้ครับ จับ ปรับ ลงโทษ ติดคุก ถามว่าคนทำผิดกลัวกฎหมายมั้ย คำตอบคือ กลัว แต่ก็ยังกล้าขโมยอยู่ดี ไหนๆคนร้ายมันก็กล้าละ แล้วมันก็เยอะขึ้นทุกวันๆ งั้นแก้กฎหมาย เพิ่มโทษมันซะเลย ปรับเยอะๆ ติดคุกนานๆ ถามว่าคนคิดจะขโมยของกลัวมากขึ้นมั้ย คำตอบคือ กลัวมากขึ้น แต่แล้วไงล่ะครับ ถ้าคนมันจะขโมย มันก็ขโมยอยู่ดี ของหายไปแล้วก็ค่อยมาตามจับ ใครเดือดร้อนล่ะครับ เจ้าทุกข์ เจ้าของทรัพย์ครับที่เดือดร้อน จับคนร้ายได้ คนร้ายติดคุก เจ้าทุกข์สะใจ ณ เวลานั้น แต่ก่อนหน้านั้นทุกข์ใจจะเป็นจะตาย ของสำคัญหายไป ชีวิตช่วงนั้นไม่ดีเลย ... แก้ที่จิตสำนึกดีมั้ยครับ ให้คนได้รู้ว่าการขโมยของ มันทำให้คนที่โดนขโมยเดือดร้อน เราไม่ควรจะทำ ลองคิดดูว่าถ้าเราโดนใครขโมยไปบ้าง เราจะทุกข์ใจขนาดไหน อะไรแบบนี้เนี่ย (พูดง่าย ทำยาก แต่ก็ต้องพูด)
ข่าวข่มขืนอีก ข่มขืนฆ่า ข่มขืนไม่ฆ่า(กะเอาไว้ขู่ ข่มขืนอีกเรื่อยๆ) กฎหมายเรียกร้องกันจะเป็นจะตายว่า 'ข่มขืน = ประหารชีวิต' ครับผมเห็นด้วย แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นที่เป็นปลายเหตุ ถามว่าคนที่คิดจะข่มขืนมันกลัวกฎหมายมั้ย คำตอบคือ กลัวชิบหายเลยครับ กลัวโดนจับประหารชีวิต แต่ถ้ามันหน้ามืดอยากระบายอารมณ์กับใครสักคนตอนนั้น ผมว่ามันก็ทำแหละ แล้วมันก็อาจจะทำแบบสุดๆไปเลยก็ได้ เพราะไหนๆมันก็จะโดนประหารชีวิตแล้ว มันก็อาจจะข่มขืนแบบทารุณที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ แล้วมันก็อาจจะฆ่าเหยื่อทิ้งอีกด้วย ... แก้ที่จิตสำนึกดีมั้ยครับ ให้คนได้รู้ว่า เพศตรงข้ามก็คนนะ มีพ่อมีแม่ มีคนที่รักเขา ห่วงเขา เราไม่ควรไปทำร้ายเขา เพราะถ้ามีคนมาทำร้ายคนที่เรารัก เราห่วงบ้างล่ะ เราจะเจ็บแค้นคนๆนั้นมากขนาดไหน (พูดง่าย ทำยาก แต่ก็ต้องพูด)
ข่าวอีกสาระพัดข่าว ที่เป็นเรื่องที่ไม่ดี ที่ต้องแก้กฎหมายเพื่อให้คนกลัว แก้แล้วก็แก้อีก กลัวแล้วก็กลัวอีก แต่มันก็ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ เกิดแทบทุกวัน เกิดเพิ่มมากขึ้นซะด้วยซ้ำไป ผมถึงบอกไงครับว่า 'กฎ(หมาย)เยอะ...แล้วไงล่ะ'
ถ้าสังคมสอนให้คนเป็นคนดี สอนให้คนมีจิตสำนึกที่ดีได้ ปัญหาก็จะน้อยลง กฎหมายก็แทบจะไม่มีความสำคัญอะไรเลยก็ได้ จริงมั้ยล่ะครับ แต่ก็นั่นแหละครับ พูดน่ะมันง่าย แต่ทำน่ะมันยากมากๆ
คุณเคยชื่นชมคนญี่ปุ่นบ้างรึเปล่า ว่าเขาเป็นคนที่มีระเบียบ มีจิตสำนึกที่ดี แต่...พอคุณชื่นชมแล้ว ทำไมคุณไม่เอามาใช้กับตัวเองบ้างล่ะ ชื่นชมแล้วก็ทำตามสิครับ ไม่ใช่ชื่นชมแล้วจบๆกันไป "กูแค่ชม กูแค่ชอบ แต่กูไม่ขอทำตามหรอก" แล้วคุณ(มึง)จะชมไปเพื่อ...???
ตอนที่ 107 (บทความ) _ ความรัก อืม...ก็แปลกดีนะ
ความรัก อืม...ก็แปลกดีนะ
11 / 02 / 2558
เหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา เมื่อใกล้วันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรักทีไร ผมก็ต้องมาเขียนเรื่องความรักให้ได้อ่านกัน ผมจำไม่ได้แล้วนะครับว่าผมเขียนเรื่องความรักไปแล้วก็รอบ แล้วรอบนี้เป็นรอบที่เท่าไหร่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้คือ ไม่ว่าจะเขียนเรื่องความรักมันสักกี่ครั้ง มันก็แทบจะไม่เหมือนกันเลย เพราะว่าความรักไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องเหมือนในข้อสอบ และความรักมันก็ออกแบบไม่ได้ด้วย
มีคู่รักอยู่หลายคู่ที่เลิกกันแล้ว เลิกกันอีก เลิกกันเป็นว่าเล่น ประมาณว่าบอกเลิกกันเดือนละครั้ง ทิ้งกันเดือนละหน แต่ก็อยู่กันนานซะอย่างงั้น เข้าทำนองรักๆ เลิกๆ เอ้า..พวกมึงนี่ทนดีจัง ผมเองก็ไม่เข้าใจหรอกนะครับว่า ความรักแบบนั้นมันอยู่กันได้ยังไง ทางฝ่ายหญิงก็บ่นฝ่ายชาย ไม่สนใจบ้างล่ะ ทำแต่งานบ้างล่ะ คุยกับผู้หญิงคนอื่นบ้างล่ะ (เจ้าชู้นั่นแหละ) คุยกับเราบอกงานยุ่งรีบวางสาย แต่พอคุยกับคนอื่นคุยได้ทั้งวันว่างยาว จับได้ว่ามีกิ๊กบ้างล่ะ ทะเลาะกันหลายที บ่นๆๆว่าเบื่ออยากเลิก ลงท้ายก็บอกเลิกแม่งเลย แต่ก็กลับไปคบกันต่อไป หือ...อะไรของพวกมึง
ทางฝ่ายชายเองก็บ่นฝ่ายหญิงเหมือนกัน งี่เง่า ขี้บ่น ขี้โวยวาย เอาแต่ใจ ชอบเช็คเรื่องส่วนตัว ชอบกวนเวลาทำงาน มโนเก่งว่าเราเจ้าชู้ นัดไม่ค่อยเป็นนัด แอะอะก็ชวนทะเลาะ เวลาทะเลาะก็ขุดเรื่องอดีตขึ้นมาพูด หนักข้อเข้าก็ท้าเลิก ร้องไห้ สุดท้ายก็เลิกแม่งเลย แต่สักพักแม่งก็กลับมาสวีตกันเหมือนเดิม โอยยย...กูล่ะงง
นี่ล่ะครับ หนึ่งตัวอย่างที่ความรักมันแปลกๆ จะว่าแปลกก็อาจจะไม่ใช่นะครับ เพราะที่เรารับรู้จากคู่รักคู่นี้มันคือ สิ่งที่มันไม่ดี ที่เขาทั้งสองคนรับไม่ค่อยได้ เอามาบ่นให้เราฟัง แต่สิ่งที่ดีๆล่ะ สิ่งที่คนทั้งคู่สามารถมีความสุขด้วยกันได้ล่ะ อันนั้นเราไม่รู้นี่ครับ แล้วมันก็อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่รักกันอยู่ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้ว่า (ผมก็ไม่รู้) ไม่แน่ว่าอนาคตข้างหน้าทั้งคู่อาจได้แต่งงานกัน แล้วก็มีลูกถึงสี่คนก็ได้...เนอะ
บางคู่รักกันปานจะกลืน เมื่อคืนยังไปฉลองวันเกิดอีกฝ่ายอยู่เลย เพื่อนๆเฮฮาปาร์ตี้ คู่รักก็สวีตกันจนน้ำตาลเรียกพี่ น้ำอ้อยเรียกพ่อ (ประมาณว่าถ้าไม่ติดเพื่อนอยู่ด้วย คงซั่มกันไปละ) เพื่อนๆถามเมื่อไหร่จะแต่งงาน คำตอบที่ได้คือ ไว้รอฟังๆ แต่เช้ามาอีกวันมันโพสลงเฟสบุ๊คว่า 'สวัสดีความโสด' เพื่อนๆงงเป็นไก่สร่างเมากันเลยทีเดียว (เมื่อคืนหนักไปหน่อย เปลี่ยนจากงงเป็นไก่ตาแตก เป็นสร่างเมาแทนละกัน) รีบสอบถามเจ้าของความโสดคนล่าสุดใหญ่เลยว่าเกิดอะไรขึ้น คำตอบที่ได้คือ "จริงๆมันเป็นปัญหาสะสมน่ะ กูกับแฟนห่างกันมาสักพักแล้ว เมื่อคืนแค่ฉลองวันเกิด พร้อมกับเลี้ยงส่งท้ายความรักที่เคยงดงามน่ะ" (คำพูดฟังดูดีทีเดียว) เพื่อนๆยังมิวายถาม "เมื่อคืนมึงจัดหนักส่งท้ายด้วยรึเปล่าล่ะ" ไอ้คนโสดหมาดๆก็ยังมิวายตอบกลับ "จัดยันสว่างคาตา กูยังไม่ได้นอนเลยเนี่ย ไม่รู้ว่า (ตรู๊ดดด ดูดเสียง) พังไปรึยัง กูกะว่าเอาให้แฟนใหม่มันอึ้งไปเลย ว่าทำไม (ตรู๊ดดด ดูดเสียง) ถึงเยินได้ขนาดนั้น...โห ไอ้สัส แฟนกูมันคงยอมให้เอาหรอก งานเลี้ยงเลิก มันก็ขอแยกกลับบ้านไปแล้ว" ผมก็นึกว่ามันแน่ ที่แท้มันนอนไม่หลับ คิดมาก ร้องไห้ทั้งคืนยันเช้าต่างหาก
แปลกดีมั้ยล่ะครับ ความรักที่ดูเหมือนจะดี รักกันจนแทบจะแหกตูดดม ใครๆต่างพากันอิจฉา แล้วอยู่ๆโป๊ะแตก ประกาศเลิกฟ้าแลบ ไม่สิๆ เลิกฟ้าผ่าดีกว่า เพราะฟ้าผ่ามันเจ็บปวดกว่าฟ้าแลบ เรื่องอะไรที่มันสะสมไว้จนทำให้คู่รักต้องเลิกกัน ไม่มีใครรู้คำตอบ เพราะมันเป็นเรื่องของคนสองคนที่เขามีปัญหากัน แต่สุดท้ายเขาทั้งสองคนก็เลิกกันสนิท เลิกถาวร ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปมีความรักครั้งใหม่ ไม่เหมือนคู่แรกที่บ่นโน้นนี่นั่น แล้วประกาศเลิกแล้ว เลิกอีก แต่สุดท้ายก็ยังกลับไปรักกันอยู่เหมือนเดิม
หรือว่า ภัยเงียบ มันจะรุนแรงกว่า ภัยไม่เงียบ ???
ยังครับ ยังมีอีก ไหนๆก็ไหนละ ขอยกมาอีกสัก 2 คู่ละกันครับ คู่นี้ตอนอยู่ด้วยกันรักกันปานจะกลืนอีกแหละ รักกันมากจนได้แต่งงานกัน แต่ว่าทั้งคู่ต่างก็เป็นคนเจ้าชู้ แต่ด้วยความรักอันหวานชื่น ณ ขณะนั้น ทำให้ทั้งคู่คิดว่า "หยุดตรงนี้ที่เธอ ไม่ไปไกลแล้วใจ จะหยุดทั้งใจไว้ที่เธอ" (เฮ้ยๆ ผมจะโดนค่ายเพลงฟ้องมั้ยเนี่ย เอาเพลงมาร้องเนี่ย) แต่พอนานวันไปความหวานเริ่มจืดจาง ความตื่นเต้นหายไป ความชินชาน่าเบื่อเริ่มเข้ามาแทนที่ ฝ่ายหญิงเห็นท่าไม่ดี ท้องมีลูกมันซะเลย กะว่าความตื่นเต้นใหม่นี้น่าจะช่วยให้ทั้งคู่รักกันเหมือนเดิม ใช่ครับ มันช่วยได้จริงๆ ทั้งคู่รักลูกมาก ย้ำนะครับว่า รักลูกมาก แต่ทั้งคู่กลับไม่ได้รักกันแล้ว อ้าวเฮ้ย พยานรักไม่ได้ช่วยอะไรเลยรึ
สุดท้ายทั้งคู่ก็เลิกกันจริงๆจังๆ ทั้งๆที่มีลูกด้วยกัน (สงสารลูกมันมาก) ผมไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมทั้งคู่เลิกกัน แต่ถ้าให้เดา ผมว่าความเจ้าชู้ของทั้งสองคนน่าจะมีส่วน แต่มันก็แค่เดานะครับ เพราะความจริงก็คงมีแค่คนสองคนที่รู้ อืม...ความรักนี่มันเข้าใจยากจริงๆเนอะ
มาถึงคู่สุดท้าย คู่นี้ก็แปลก ย้อนกลับไปสมัยที่ MSN นิยมกันทั่วบ้านทั่วเมือง การจีบกันผ่าน MSN เป็นที่นิยมมาก หลายๆคู่ได้สร้างครอบครัวเพราะ MSN นี่แหละ คู่นี้ก็เหมือนกัน จีบกันผ่าน MSN จนสนิทกัน นัดเจอกันบ้างถ้าว่างๆ นานวันเข้าก็กลายเป็นความรัก ทั้งคู่ศึกษากันผ่านทาง MSN ซะส่วนใหญ่ จนวันหนึ่งที่ความรักสุกงอม ทั้งคู่ก็แต่งงานกัน แล้วก็ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน อะๆ อย่าคิดว่าประเด็นที่ผมจะเขียนถึงคือ คนที่ศึกษากันผ่าน MSN แล้วมาอยู่ด้วยกันจริงๆ นิสัยจริงๆจะปรากฏ จนรับกันไม่ได้นะครับ เพราะพอทั้งคู่แต่งงานแล้วย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี รักกันมากกว่าเดิมซะอีก จนกระทั่งวันหนึ่ง...
ฝ่ายชายต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดระยะเวลาเพียง 4 เดือน ระหว่างที่ทั้งคู่ห่างกัน ก็โทรคุยกันทุกวัน แน่นอนว่า MSN ก็ยังคุยกันอยู่ ดูเหมือนว่าความรักจะยังเหมือนเดิม แต่...พอทั้งคู่กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งหลังจากที่ฝ่ายชายกลับมาจากที่ไปทำงานแล้ว อ้าวเฮ้ย กลายเป็นว่าฝ่ายหญิงเกิดรู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่ด้วยกัน เหมือนว่าอยู่ๆความรักที่มีต่อฝ่ายชายมันช็อตหมดไปดื้อๆ ทั้งคู่พยายามหาทางแก้ไข แต่สุดท้ายลงเอยด้วยการที่ฝ่ายชายต้องเดินจากไปซะอย่างงั้น เพราะอยู่กันไปความรักก็ไม่ก่อเกิดขึ้นมาอีกแล้ว ผมงี้มึนเลยครับ ผมคิดว่ากรณีแบบนี้มันคงเป็นหนึ่งในล้านเลยมั้ง ทีมันจะเกิดเรื่องแปลกๆแบบนี้ จนตอนนี้ฝ่ายหญิงที่เป็นเพื่อนผมมันก็ยังโสด ส่วนฝ่ายชายไม่รู้นะครับ ว่าเป็นยังไงบ้าง
เอาล่ะครับ เรื่องความรักแปลกๆมันก็แบบนี้ล่ะครับ เราไม่เข้าใจมันง่ายๆหรอก แต่ทั้งหมดที่เขียนมาเป็นเพียงความรักของคู่รักเท่านั้นนะครับ อย่าลืมว่าความรักมีหลายแบบ อย่าลืมใช้ความรักในแบบที่ถูกต้องด้วยนะครับ
ทิ้งท้ายบทความนี้ "ความรักไม่ใช่เรื่องของฉัน หรือเรื่องของเธอ แต่มันคือ เรื่องของเรา" นะครับ (ยืมคำคมของพี่อ้อยมาอีกแล้ว) ถ้าวันไหนทะเลาะกัน ให้ย้อนนึกถึงวันที่จีบกันใหม่ๆ วันที่รักกันดีมีความสุข (อย่าคิดถึงเรื่องเลวร้าย) ถ้านึกถึงแล้วรู้สึกว่ามันยังทำให้เราสามารถยิ้มได้ ก็อย่าทะเลาะกันต่อ อย่าเลิกกันเลย แต่ถ้านึกถึงแล้วรู้สึกเฉยๆ หรือไม่ได้รู้สึกว่ามันทำให้เราสามารถยิ้มได้ ก็ปล่อยมือเถอะครับ เพราะชีวิตเราไม่ได้แขวนไว้กับความรักแบบคู่รักมากขนาดนั้น
11 / 02 / 2558
เหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา เมื่อใกล้วันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรักทีไร ผมก็ต้องมาเขียนเรื่องความรักให้ได้อ่านกัน ผมจำไม่ได้แล้วนะครับว่าผมเขียนเรื่องความรักไปแล้วก็รอบ แล้วรอบนี้เป็นรอบที่เท่าไหร่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้คือ ไม่ว่าจะเขียนเรื่องความรักมันสักกี่ครั้ง มันก็แทบจะไม่เหมือนกันเลย เพราะว่าความรักไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องเหมือนในข้อสอบ และความรักมันก็ออกแบบไม่ได้ด้วย
มีคู่รักอยู่หลายคู่ที่เลิกกันแล้ว เลิกกันอีก เลิกกันเป็นว่าเล่น ประมาณว่าบอกเลิกกันเดือนละครั้ง ทิ้งกันเดือนละหน แต่ก็อยู่กันนานซะอย่างงั้น เข้าทำนองรักๆ เลิกๆ เอ้า..พวกมึงนี่ทนดีจัง ผมเองก็ไม่เข้าใจหรอกนะครับว่า ความรักแบบนั้นมันอยู่กันได้ยังไง ทางฝ่ายหญิงก็บ่นฝ่ายชาย ไม่สนใจบ้างล่ะ ทำแต่งานบ้างล่ะ คุยกับผู้หญิงคนอื่นบ้างล่ะ (เจ้าชู้นั่นแหละ) คุยกับเราบอกงานยุ่งรีบวางสาย แต่พอคุยกับคนอื่นคุยได้ทั้งวันว่างยาว จับได้ว่ามีกิ๊กบ้างล่ะ ทะเลาะกันหลายที บ่นๆๆว่าเบื่ออยากเลิก ลงท้ายก็บอกเลิกแม่งเลย แต่ก็กลับไปคบกันต่อไป หือ...อะไรของพวกมึง
ทางฝ่ายชายเองก็บ่นฝ่ายหญิงเหมือนกัน งี่เง่า ขี้บ่น ขี้โวยวาย เอาแต่ใจ ชอบเช็คเรื่องส่วนตัว ชอบกวนเวลาทำงาน มโนเก่งว่าเราเจ้าชู้ นัดไม่ค่อยเป็นนัด แอะอะก็ชวนทะเลาะ เวลาทะเลาะก็ขุดเรื่องอดีตขึ้นมาพูด หนักข้อเข้าก็ท้าเลิก ร้องไห้ สุดท้ายก็เลิกแม่งเลย แต่สักพักแม่งก็กลับมาสวีตกันเหมือนเดิม โอยยย...กูล่ะงง
นี่ล่ะครับ หนึ่งตัวอย่างที่ความรักมันแปลกๆ จะว่าแปลกก็อาจจะไม่ใช่นะครับ เพราะที่เรารับรู้จากคู่รักคู่นี้มันคือ สิ่งที่มันไม่ดี ที่เขาทั้งสองคนรับไม่ค่อยได้ เอามาบ่นให้เราฟัง แต่สิ่งที่ดีๆล่ะ สิ่งที่คนทั้งคู่สามารถมีความสุขด้วยกันได้ล่ะ อันนั้นเราไม่รู้นี่ครับ แล้วมันก็อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่รักกันอยู่ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้ว่า (ผมก็ไม่รู้) ไม่แน่ว่าอนาคตข้างหน้าทั้งคู่อาจได้แต่งงานกัน แล้วก็มีลูกถึงสี่คนก็ได้...เนอะ
บางคู่รักกันปานจะกลืน เมื่อคืนยังไปฉลองวันเกิดอีกฝ่ายอยู่เลย เพื่อนๆเฮฮาปาร์ตี้ คู่รักก็สวีตกันจนน้ำตาลเรียกพี่ น้ำอ้อยเรียกพ่อ (ประมาณว่าถ้าไม่ติดเพื่อนอยู่ด้วย คงซั่มกันไปละ) เพื่อนๆถามเมื่อไหร่จะแต่งงาน คำตอบที่ได้คือ ไว้รอฟังๆ แต่เช้ามาอีกวันมันโพสลงเฟสบุ๊คว่า 'สวัสดีความโสด' เพื่อนๆงงเป็นไก่สร่างเมากันเลยทีเดียว (เมื่อคืนหนักไปหน่อย เปลี่ยนจากงงเป็นไก่ตาแตก เป็นสร่างเมาแทนละกัน) รีบสอบถามเจ้าของความโสดคนล่าสุดใหญ่เลยว่าเกิดอะไรขึ้น คำตอบที่ได้คือ "จริงๆมันเป็นปัญหาสะสมน่ะ กูกับแฟนห่างกันมาสักพักแล้ว เมื่อคืนแค่ฉลองวันเกิด พร้อมกับเลี้ยงส่งท้ายความรักที่เคยงดงามน่ะ" (คำพูดฟังดูดีทีเดียว) เพื่อนๆยังมิวายถาม "เมื่อคืนมึงจัดหนักส่งท้ายด้วยรึเปล่าล่ะ" ไอ้คนโสดหมาดๆก็ยังมิวายตอบกลับ "จัดยันสว่างคาตา กูยังไม่ได้นอนเลยเนี่ย ไม่รู้ว่า (ตรู๊ดดด ดูดเสียง) พังไปรึยัง กูกะว่าเอาให้แฟนใหม่มันอึ้งไปเลย ว่าทำไม (ตรู๊ดดด ดูดเสียง) ถึงเยินได้ขนาดนั้น...โห ไอ้สัส แฟนกูมันคงยอมให้เอาหรอก งานเลี้ยงเลิก มันก็ขอแยกกลับบ้านไปแล้ว" ผมก็นึกว่ามันแน่ ที่แท้มันนอนไม่หลับ คิดมาก ร้องไห้ทั้งคืนยันเช้าต่างหาก
แปลกดีมั้ยล่ะครับ ความรักที่ดูเหมือนจะดี รักกันจนแทบจะแหกตูดดม ใครๆต่างพากันอิจฉา แล้วอยู่ๆโป๊ะแตก ประกาศเลิกฟ้าแลบ ไม่สิๆ เลิกฟ้าผ่าดีกว่า เพราะฟ้าผ่ามันเจ็บปวดกว่าฟ้าแลบ เรื่องอะไรที่มันสะสมไว้จนทำให้คู่รักต้องเลิกกัน ไม่มีใครรู้คำตอบ เพราะมันเป็นเรื่องของคนสองคนที่เขามีปัญหากัน แต่สุดท้ายเขาทั้งสองคนก็เลิกกันสนิท เลิกถาวร ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปมีความรักครั้งใหม่ ไม่เหมือนคู่แรกที่บ่นโน้นนี่นั่น แล้วประกาศเลิกแล้ว เลิกอีก แต่สุดท้ายก็ยังกลับไปรักกันอยู่เหมือนเดิม
หรือว่า ภัยเงียบ มันจะรุนแรงกว่า ภัยไม่เงียบ ???
ยังครับ ยังมีอีก ไหนๆก็ไหนละ ขอยกมาอีกสัก 2 คู่ละกันครับ คู่นี้ตอนอยู่ด้วยกันรักกันปานจะกลืนอีกแหละ รักกันมากจนได้แต่งงานกัน แต่ว่าทั้งคู่ต่างก็เป็นคนเจ้าชู้ แต่ด้วยความรักอันหวานชื่น ณ ขณะนั้น ทำให้ทั้งคู่คิดว่า "หยุดตรงนี้ที่เธอ ไม่ไปไกลแล้วใจ จะหยุดทั้งใจไว้ที่เธอ" (เฮ้ยๆ ผมจะโดนค่ายเพลงฟ้องมั้ยเนี่ย เอาเพลงมาร้องเนี่ย) แต่พอนานวันไปความหวานเริ่มจืดจาง ความตื่นเต้นหายไป ความชินชาน่าเบื่อเริ่มเข้ามาแทนที่ ฝ่ายหญิงเห็นท่าไม่ดี ท้องมีลูกมันซะเลย กะว่าความตื่นเต้นใหม่นี้น่าจะช่วยให้ทั้งคู่รักกันเหมือนเดิม ใช่ครับ มันช่วยได้จริงๆ ทั้งคู่รักลูกมาก ย้ำนะครับว่า รักลูกมาก แต่ทั้งคู่กลับไม่ได้รักกันแล้ว อ้าวเฮ้ย พยานรักไม่ได้ช่วยอะไรเลยรึ
สุดท้ายทั้งคู่ก็เลิกกันจริงๆจังๆ ทั้งๆที่มีลูกด้วยกัน (สงสารลูกมันมาก) ผมไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมทั้งคู่เลิกกัน แต่ถ้าให้เดา ผมว่าความเจ้าชู้ของทั้งสองคนน่าจะมีส่วน แต่มันก็แค่เดานะครับ เพราะความจริงก็คงมีแค่คนสองคนที่รู้ อืม...ความรักนี่มันเข้าใจยากจริงๆเนอะ
มาถึงคู่สุดท้าย คู่นี้ก็แปลก ย้อนกลับไปสมัยที่ MSN นิยมกันทั่วบ้านทั่วเมือง การจีบกันผ่าน MSN เป็นที่นิยมมาก หลายๆคู่ได้สร้างครอบครัวเพราะ MSN นี่แหละ คู่นี้ก็เหมือนกัน จีบกันผ่าน MSN จนสนิทกัน นัดเจอกันบ้างถ้าว่างๆ นานวันเข้าก็กลายเป็นความรัก ทั้งคู่ศึกษากันผ่านทาง MSN ซะส่วนใหญ่ จนวันหนึ่งที่ความรักสุกงอม ทั้งคู่ก็แต่งงานกัน แล้วก็ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน อะๆ อย่าคิดว่าประเด็นที่ผมจะเขียนถึงคือ คนที่ศึกษากันผ่าน MSN แล้วมาอยู่ด้วยกันจริงๆ นิสัยจริงๆจะปรากฏ จนรับกันไม่ได้นะครับ เพราะพอทั้งคู่แต่งงานแล้วย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี รักกันมากกว่าเดิมซะอีก จนกระทั่งวันหนึ่ง...
ฝ่ายชายต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดระยะเวลาเพียง 4 เดือน ระหว่างที่ทั้งคู่ห่างกัน ก็โทรคุยกันทุกวัน แน่นอนว่า MSN ก็ยังคุยกันอยู่ ดูเหมือนว่าความรักจะยังเหมือนเดิม แต่...พอทั้งคู่กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งหลังจากที่ฝ่ายชายกลับมาจากที่ไปทำงานแล้ว อ้าวเฮ้ย กลายเป็นว่าฝ่ายหญิงเกิดรู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่ด้วยกัน เหมือนว่าอยู่ๆความรักที่มีต่อฝ่ายชายมันช็อตหมดไปดื้อๆ ทั้งคู่พยายามหาทางแก้ไข แต่สุดท้ายลงเอยด้วยการที่ฝ่ายชายต้องเดินจากไปซะอย่างงั้น เพราะอยู่กันไปความรักก็ไม่ก่อเกิดขึ้นมาอีกแล้ว ผมงี้มึนเลยครับ ผมคิดว่ากรณีแบบนี้มันคงเป็นหนึ่งในล้านเลยมั้ง ทีมันจะเกิดเรื่องแปลกๆแบบนี้ จนตอนนี้ฝ่ายหญิงที่เป็นเพื่อนผมมันก็ยังโสด ส่วนฝ่ายชายไม่รู้นะครับ ว่าเป็นยังไงบ้าง
เอาล่ะครับ เรื่องความรักแปลกๆมันก็แบบนี้ล่ะครับ เราไม่เข้าใจมันง่ายๆหรอก แต่ทั้งหมดที่เขียนมาเป็นเพียงความรักของคู่รักเท่านั้นนะครับ อย่าลืมว่าความรักมีหลายแบบ อย่าลืมใช้ความรักในแบบที่ถูกต้องด้วยนะครับ
ทิ้งท้ายบทความนี้ "ความรักไม่ใช่เรื่องของฉัน หรือเรื่องของเธอ แต่มันคือ เรื่องของเรา" นะครับ (ยืมคำคมของพี่อ้อยมาอีกแล้ว) ถ้าวันไหนทะเลาะกัน ให้ย้อนนึกถึงวันที่จีบกันใหม่ๆ วันที่รักกันดีมีความสุข (อย่าคิดถึงเรื่องเลวร้าย) ถ้านึกถึงแล้วรู้สึกว่ามันยังทำให้เราสามารถยิ้มได้ ก็อย่าทะเลาะกันต่อ อย่าเลิกกันเลย แต่ถ้านึกถึงแล้วรู้สึกเฉยๆ หรือไม่ได้รู้สึกว่ามันทำให้เราสามารถยิ้มได้ ก็ปล่อยมือเถอะครับ เพราะชีวิตเราไม่ได้แขวนไว้กับความรักแบบคู่รักมากขนาดนั้น
ตอนที่ 106 (บทความ) _ บุญ
บุญ
06 / 02 / 2558
ตัวผมเองไม่ค่อยมีความเชื่อเรื่องบุญนะครับ แต่ก็ไม่เคยลบหลู่ แล้วก็ยังทำบุญทำทานอยู่เป็นประจำเหมือนคนอื่นๆ ถ้าถามว่าไม่เชื่อเรื่องบุญ แล้วเชื่อเรื่องบาปกรรมรึเปล่า อันนี้ผมเชื่อครับ ผมเลยพยายามไม่ทำอะไรที่มันไม่ดี ที่มันจะกลายเป็นกรรมย้อนมาทำร้าย จนทำให้ผมลำบากในการใช้ชีวิตครับ
ทำไมผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องบุญน่ะเหรอครับ อืม...จะเรียกว่าไม่เชื่อก็คงไม่ถูกซะทีเดียวนะครับ ผมแค่เชื่อว่า ชาตินี้ทำบุญให้ตาย บุญก็ไม่เพิ่มขึ้นต่างหากครับ แล้วผมก็ไม่รู้ว่า ทำบุญชาตินี้จะทำให้ชาติหน้าสบายด้วยบุญชาตินี้ได้ยังไง ได้จริงๆเหรอ มีคนเคยพิสูจน์แล้วงั้นเหรอ ผมว่าก็คงไม่มีอีกแหละ (หรือคนพวกนั่นจะคือ ซอมบี้ ผีดิบ ตายแล้วฟื้น)
การทำบุญมันไม่ได้บุญเพิ่มหรอกครับ แต่สิ่งที่ได้เพิ่มมันคือ ความดีที่ปรากฏต่อตัวเอง และคนที่รู้จักเรามากกว่าครับ มันเลยทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น การช่วยเหลือคนที่เดือนร้อนด้วยแรงกาย แรงเงิน เหมือนจะได้บุญเพิ่ม แต่มันไม่ได้หรอกครับ สิ่งที่ได้คือ คนที่ได้รับการช่วยเหลือจากเรา เขาซึ้งน้ำใจเรา และคนที่ได้รู้ว่าเราเข้าไปช่วยเหลือ เขาก็พลอยเห็นเราเป็นคนดีไปด้วยต่างหาก อนาคตในภายภาคหน้าหากเราเดือดร้อน คนพวกนั้นนั่นแหละครับ จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเราบ้าง หรือถ้าเราไม่ได้เดือดร้อน แต่ความดีของเราก็จะไม่ทำให้เราเดือดร้อนจากการกระทำของเราเอง เห็นมั้ยล่ะครับ บุญไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ความดีต่างหากที่เพิ่มขึ้น
หรือการทำบุญด้วยเงินที่วัด บริจาคสิ่งของให้วัด บุญก็ไม่เพิ่มนะครับ แต่เป็นความดีในสายตาของพระ และคนอื่นๆที่เขารับรู้ต่างหากครับที่เพิ่มขึ้นมา แล้วความดีเหล่านั้นแหละครับ จะทำให้ชีวิตของเราไม่มีอุปสรรคมากมายนักในอนาคต (คิดเอาเองนะครับ ว่าผมหมายถึงยังไง ผมเชื่อว่าทุกคนคิดได้)
คำว่า บุญ น่าจะเป็นกุศโลบายที่ผู้ถือศีลกำหนดขึ้นมานะครับ (ผมไม่สู้กับกูเกิลนะครับ เพราะอันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว) เพื่อให้คนเรารู้จักทำความดีมากกว่าทำความชั่ว (ผมเชื่อแบบนั้น) เพราะถ้าไม่มีการกำหนดคำว่า บุญ ขึ้นมาล่ะก็นะ คนเราก็จะทำแต่ความชั่ว ไม่กลับบาปกรรม แล้วก็จะไม่ทำบุญ ทำความดีกัน สังคมโลกก็จะวุ่นวายจนกู่ไม่กลับ (เพ้อมากไปรึเปล่านะเรา)
ทีนี้มามองว่า ถ้าผมไม่เชื่อเรื่องที่ว่า ทำบุญยังไงบุญก็ไม่เพิ่มขึ้น แล้วผมเชื่อเรื่องบุญยังไงกันแน่...
ผมเชื่อว่าทุกคนเกิดมาจะมีบุญ และความดีติดตัวกันมาอยู่แล้วครับ แล้วในระหว่างที่ใช้ชีวิตไปวันๆเนี่ย ทำบุญบ้าง ทำดีบ้าง บุญจะอยู่เท่าเดิมครับ แต่ความดีจะเพิ่มขึ้น ตรงกันข้ามถ้าเราทำบาปบ้าง ทำชั่วบ้าง บุญก็จะอยู่เท่าเดิมอีกนั่นแหละ แต่ความดีนี่สิมันจะลดลง แล้วถ้าความดีลดลงมากๆ ทีนี้ล่ะยุ่งเลย ไหนจะมีบาปที่เพิ่มขึ้นมากอีก งานนี้ใช้ชีวิตลำบากแน่ๆ
ทำไมผมเชื่อว่าทุกคนเกิดมามีบุญติดตัวมาอยู่แล้วน่ะเหรอ ก็เพราะว่าบุญน่าจะผูกติดมากับดวงครับ ใครดวงดี ก็แสดงว่าบุญได้มาเยอะ ใครดวงซวย ก็แสดงว่าบุญได้มาน้อย ทีนี้ลองให้คนดวงซวยทำบุญแบบตูมๆๆ เยอะๆ บ่อยๆดูสิครับ ผมบอกแล้วว่าบุญมันไม่เพิ่มขึ้นหรอก บุญมันอยู่เท่าเดิม คนดวงซวยมันก็จะยังซวยอยู่เหมือนเดิมแหละครับ ตรงกันข้าม คนดวงดีมันอยู่เฉยๆ บุญก็ไม่ทำ บาปก็ทำบ้างนิดๆหน่อยๆ อยู่ๆถูกหวยก็มี ได้งานดีๆ ได้เลื่อนตำแหน่งก็มี ได้บ้านใหม่ รถใหม่ หรือเรื่องดีๆไหลเข้ามาเพียบซะอย่างงั้น
แต่ผมก็ไม่ได้อยากให้ทุกคนหยุดทำบุญกันนะครับ เพราะอย่างที่ผมบอกไปแล้วว่า ทำบุญน่ะ ไม่ได้บุญเพิ่มหรอก แต่จะได้ความดีเพิ่มต่างหาก เพราะฉะนั้นแล้ว ทำบุญกันต่อไปครับ เพื่อความดีในชาตินี้ จะทำให้เราสบายมันในชาตินี้แหละ (แม้ว่าดวงมันซวย บุญติดตัวมามันจะน้อยกว่าคนอื่นเขาก็เถอะ)
เขียนเรื่องความเชื่อเรื่องบุญของตัวเองมาแบบยาวๆ งงๆพอสมควรแล้ว ทีนี้เข้าประเด็นเรื่องบุญที่ทำให้ผมต้องลุกมานั่งเขียนบทความนี้กันดีกว่า
เรื่องมันมีอยู่ว่า ช่วงนี้มีวัดอยู่วัดหนึ่งที่กำลังเป็นกระแสร้อนแรงทีเดียวในการสนทนากัน ว่าทำไมสอนเรื่องบุญแปลกๆ ถ้าอยากได้บุญเยอะๆก็ต้องบริจาคเงินเยอะๆ ไหนจะเรื่องธุดงค์ในเมืองจนรถติดหนักอีก เขียนถึงตรงนี้หลายคนคงร้องอ๋อกันแล้วนะครับ ว่าวัดไหน แต่ผมไม่เขียนชื่อวัดหรอกนะครับ ผมกลัวพลังของวัดจะเล่นงานผม (พลังกฏหมายน่ะ วัดนี้คนดังเยอะ เงินเยอะ หัวหมอจะตาย มันเสี่ยงเกินไปที่จะเขียนชื่อวัดลงไป เพราะแค่นี้ผมก็กลัวแล้วนะเนี่ย)
น้องสาวผมเล่าให้ฟังว่า เพื่อนของน้องสาวเปิดร้านถ่ายเอกสาร แล้ววันหนึ่งลุงที่รู้จักกันเนี่ย เขาเอาโฉนดที่ดินไปถ่ายเอกสาร ด้วยความที่รู้จักกัน เพราะอยู่หมู่บ้านเดียวกัน เพื่อนของน้องสาวก็เกิดความสงสัยเลยถามไปว่า ลุงจะถ่ายโฉนดไปทำอะไร คำตอบที่ได้นั้น ทำให้เพื่อนน้องสาว น้องสาวผม แล้วก็ผมซึ่งฟังต่อมาอีกทีต้องสตันไป 2 วินาที เพราะคำตอบที่ได้คือ วัดบอกว่าลุงเป็นเทวดาตกสวรรค์ ต้องทำบุญด้วยเงินจำนวนนี้ๆๆๆ (เท่าไหร่ไม่รู้ จำไม่ได้) เพื่อเอาไปสร้างบันไดกลับขึ้นไปบนสวรรค์ ลุงเลยต้องเอาที่ดินมาปล่อยขาย เพื่อหาเงินไปทำบุญสร้างบันได...สตันมั้ยครับ
ยังมีอีกหลายๆอย่างนะครับ ที่วัดนี้เน้นทำบุญด้วยเงิน (เน้นทำบุญด้วยการทำสมาธิก็มี แต่มันไม่ดัง) ผมเคยเห็นตารางเครื่องประดับของเทพด้วยนะครับ (ไม่แน่ใจว่าของวัดนี้รึเปล่า แต่น่าจะใช่แหละ เพราะคนที่เอามาให้ดูเลื่อมใสวัดนี้อยู่) ยิ่งทำบุญด้วยเงินมากเท่าไหร่ ยิ่งได้เครื่องประดับยศสูง โอ้ว...แม่เจ้า จะเอาเครื่องประดับมาวางบนหัวเตียง แล้วชีวิตจะดีขึ้นรึไง
เอาเถอะครับ ผมไม่ขอเขียนถึงวัดนี้มากนะครับ เพราะมันอันตรายเกินไป ผมอยากบอกสั้นๆว่า เข้าไปรับคำสอนของวัดนี้ แต่เอาเงินไปทำบุญที่วัดอื่น มันก็ถือว่าทำบุญเหมือนกันนะครับ เพราะการทำบุญมันไม่ได้จำกัดวัดนี่ครับ เว้นเสียแต่ว่า วัดนี้จะเห็นแก่ปัจจัยมากกว่าคำสอน (ไม่เคยมีใครเข้าวัดทำบุญแล้วจน เป็นหนี้เป็นสินนะครับ ไม่มีเคยมีใครเข้าวัดรับคำสอนแล้วไม่มีเพื่อน ญาติหนีห่างนะครับ)
ส่วนเรื่องบาปกรรมนั้นผมคงไม่เขียนถึงนะครับ เพราะบาปไม่มีผลกับบุญ มันไม่ได้ทำให้บุญลดลง แต่การทำบาปมันจะทำให้ความดีของเราลดลง แล้วชีวิตก็จะไม่ดีตามไปด้วยตามหลักของกรรมชั่ว หรือการกระทำชั่วนั่นแหละครับ (กรรมตามสนองมีจริง เห็นผลจริง)
06 / 02 / 2558
ตัวผมเองไม่ค่อยมีความเชื่อเรื่องบุญนะครับ แต่ก็ไม่เคยลบหลู่ แล้วก็ยังทำบุญทำทานอยู่เป็นประจำเหมือนคนอื่นๆ ถ้าถามว่าไม่เชื่อเรื่องบุญ แล้วเชื่อเรื่องบาปกรรมรึเปล่า อันนี้ผมเชื่อครับ ผมเลยพยายามไม่ทำอะไรที่มันไม่ดี ที่มันจะกลายเป็นกรรมย้อนมาทำร้าย จนทำให้ผมลำบากในการใช้ชีวิตครับ
ทำไมผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องบุญน่ะเหรอครับ อืม...จะเรียกว่าไม่เชื่อก็คงไม่ถูกซะทีเดียวนะครับ ผมแค่เชื่อว่า ชาตินี้ทำบุญให้ตาย บุญก็ไม่เพิ่มขึ้นต่างหากครับ แล้วผมก็ไม่รู้ว่า ทำบุญชาตินี้จะทำให้ชาติหน้าสบายด้วยบุญชาตินี้ได้ยังไง ได้จริงๆเหรอ มีคนเคยพิสูจน์แล้วงั้นเหรอ ผมว่าก็คงไม่มีอีกแหละ (หรือคนพวกนั่นจะคือ ซอมบี้ ผีดิบ ตายแล้วฟื้น)
การทำบุญมันไม่ได้บุญเพิ่มหรอกครับ แต่สิ่งที่ได้เพิ่มมันคือ ความดีที่ปรากฏต่อตัวเอง และคนที่รู้จักเรามากกว่าครับ มันเลยทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น การช่วยเหลือคนที่เดือนร้อนด้วยแรงกาย แรงเงิน เหมือนจะได้บุญเพิ่ม แต่มันไม่ได้หรอกครับ สิ่งที่ได้คือ คนที่ได้รับการช่วยเหลือจากเรา เขาซึ้งน้ำใจเรา และคนที่ได้รู้ว่าเราเข้าไปช่วยเหลือ เขาก็พลอยเห็นเราเป็นคนดีไปด้วยต่างหาก อนาคตในภายภาคหน้าหากเราเดือดร้อน คนพวกนั้นนั่นแหละครับ จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเราบ้าง หรือถ้าเราไม่ได้เดือดร้อน แต่ความดีของเราก็จะไม่ทำให้เราเดือดร้อนจากการกระทำของเราเอง เห็นมั้ยล่ะครับ บุญไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ความดีต่างหากที่เพิ่มขึ้น
หรือการทำบุญด้วยเงินที่วัด บริจาคสิ่งของให้วัด บุญก็ไม่เพิ่มนะครับ แต่เป็นความดีในสายตาของพระ และคนอื่นๆที่เขารับรู้ต่างหากครับที่เพิ่มขึ้นมา แล้วความดีเหล่านั้นแหละครับ จะทำให้ชีวิตของเราไม่มีอุปสรรคมากมายนักในอนาคต (คิดเอาเองนะครับ ว่าผมหมายถึงยังไง ผมเชื่อว่าทุกคนคิดได้)
คำว่า บุญ น่าจะเป็นกุศโลบายที่ผู้ถือศีลกำหนดขึ้นมานะครับ (ผมไม่สู้กับกูเกิลนะครับ เพราะอันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว) เพื่อให้คนเรารู้จักทำความดีมากกว่าทำความชั่ว (ผมเชื่อแบบนั้น) เพราะถ้าไม่มีการกำหนดคำว่า บุญ ขึ้นมาล่ะก็นะ คนเราก็จะทำแต่ความชั่ว ไม่กลับบาปกรรม แล้วก็จะไม่ทำบุญ ทำความดีกัน สังคมโลกก็จะวุ่นวายจนกู่ไม่กลับ (เพ้อมากไปรึเปล่านะเรา)
ทีนี้มามองว่า ถ้าผมไม่เชื่อเรื่องที่ว่า ทำบุญยังไงบุญก็ไม่เพิ่มขึ้น แล้วผมเชื่อเรื่องบุญยังไงกันแน่...
ผมเชื่อว่าทุกคนเกิดมาจะมีบุญ และความดีติดตัวกันมาอยู่แล้วครับ แล้วในระหว่างที่ใช้ชีวิตไปวันๆเนี่ย ทำบุญบ้าง ทำดีบ้าง บุญจะอยู่เท่าเดิมครับ แต่ความดีจะเพิ่มขึ้น ตรงกันข้ามถ้าเราทำบาปบ้าง ทำชั่วบ้าง บุญก็จะอยู่เท่าเดิมอีกนั่นแหละ แต่ความดีนี่สิมันจะลดลง แล้วถ้าความดีลดลงมากๆ ทีนี้ล่ะยุ่งเลย ไหนจะมีบาปที่เพิ่มขึ้นมากอีก งานนี้ใช้ชีวิตลำบากแน่ๆ
ทำไมผมเชื่อว่าทุกคนเกิดมามีบุญติดตัวมาอยู่แล้วน่ะเหรอ ก็เพราะว่าบุญน่าจะผูกติดมากับดวงครับ ใครดวงดี ก็แสดงว่าบุญได้มาเยอะ ใครดวงซวย ก็แสดงว่าบุญได้มาน้อย ทีนี้ลองให้คนดวงซวยทำบุญแบบตูมๆๆ เยอะๆ บ่อยๆดูสิครับ ผมบอกแล้วว่าบุญมันไม่เพิ่มขึ้นหรอก บุญมันอยู่เท่าเดิม คนดวงซวยมันก็จะยังซวยอยู่เหมือนเดิมแหละครับ ตรงกันข้าม คนดวงดีมันอยู่เฉยๆ บุญก็ไม่ทำ บาปก็ทำบ้างนิดๆหน่อยๆ อยู่ๆถูกหวยก็มี ได้งานดีๆ ได้เลื่อนตำแหน่งก็มี ได้บ้านใหม่ รถใหม่ หรือเรื่องดีๆไหลเข้ามาเพียบซะอย่างงั้น
แต่ผมก็ไม่ได้อยากให้ทุกคนหยุดทำบุญกันนะครับ เพราะอย่างที่ผมบอกไปแล้วว่า ทำบุญน่ะ ไม่ได้บุญเพิ่มหรอก แต่จะได้ความดีเพิ่มต่างหาก เพราะฉะนั้นแล้ว ทำบุญกันต่อไปครับ เพื่อความดีในชาตินี้ จะทำให้เราสบายมันในชาตินี้แหละ (แม้ว่าดวงมันซวย บุญติดตัวมามันจะน้อยกว่าคนอื่นเขาก็เถอะ)
เขียนเรื่องความเชื่อเรื่องบุญของตัวเองมาแบบยาวๆ งงๆพอสมควรแล้ว ทีนี้เข้าประเด็นเรื่องบุญที่ทำให้ผมต้องลุกมานั่งเขียนบทความนี้กันดีกว่า
เรื่องมันมีอยู่ว่า ช่วงนี้มีวัดอยู่วัดหนึ่งที่กำลังเป็นกระแสร้อนแรงทีเดียวในการสนทนากัน ว่าทำไมสอนเรื่องบุญแปลกๆ ถ้าอยากได้บุญเยอะๆก็ต้องบริจาคเงินเยอะๆ ไหนจะเรื่องธุดงค์ในเมืองจนรถติดหนักอีก เขียนถึงตรงนี้หลายคนคงร้องอ๋อกันแล้วนะครับ ว่าวัดไหน แต่ผมไม่เขียนชื่อวัดหรอกนะครับ ผมกลัวพลังของวัดจะเล่นงานผม (พลังกฏหมายน่ะ วัดนี้คนดังเยอะ เงินเยอะ หัวหมอจะตาย มันเสี่ยงเกินไปที่จะเขียนชื่อวัดลงไป เพราะแค่นี้ผมก็กลัวแล้วนะเนี่ย)
น้องสาวผมเล่าให้ฟังว่า เพื่อนของน้องสาวเปิดร้านถ่ายเอกสาร แล้ววันหนึ่งลุงที่รู้จักกันเนี่ย เขาเอาโฉนดที่ดินไปถ่ายเอกสาร ด้วยความที่รู้จักกัน เพราะอยู่หมู่บ้านเดียวกัน เพื่อนของน้องสาวก็เกิดความสงสัยเลยถามไปว่า ลุงจะถ่ายโฉนดไปทำอะไร คำตอบที่ได้นั้น ทำให้เพื่อนน้องสาว น้องสาวผม แล้วก็ผมซึ่งฟังต่อมาอีกทีต้องสตันไป 2 วินาที เพราะคำตอบที่ได้คือ วัดบอกว่าลุงเป็นเทวดาตกสวรรค์ ต้องทำบุญด้วยเงินจำนวนนี้ๆๆๆ (เท่าไหร่ไม่รู้ จำไม่ได้) เพื่อเอาไปสร้างบันไดกลับขึ้นไปบนสวรรค์ ลุงเลยต้องเอาที่ดินมาปล่อยขาย เพื่อหาเงินไปทำบุญสร้างบันได...สตันมั้ยครับ
ยังมีอีกหลายๆอย่างนะครับ ที่วัดนี้เน้นทำบุญด้วยเงิน (เน้นทำบุญด้วยการทำสมาธิก็มี แต่มันไม่ดัง) ผมเคยเห็นตารางเครื่องประดับของเทพด้วยนะครับ (ไม่แน่ใจว่าของวัดนี้รึเปล่า แต่น่าจะใช่แหละ เพราะคนที่เอามาให้ดูเลื่อมใสวัดนี้อยู่) ยิ่งทำบุญด้วยเงินมากเท่าไหร่ ยิ่งได้เครื่องประดับยศสูง โอ้ว...แม่เจ้า จะเอาเครื่องประดับมาวางบนหัวเตียง แล้วชีวิตจะดีขึ้นรึไง
เอาเถอะครับ ผมไม่ขอเขียนถึงวัดนี้มากนะครับ เพราะมันอันตรายเกินไป ผมอยากบอกสั้นๆว่า เข้าไปรับคำสอนของวัดนี้ แต่เอาเงินไปทำบุญที่วัดอื่น มันก็ถือว่าทำบุญเหมือนกันนะครับ เพราะการทำบุญมันไม่ได้จำกัดวัดนี่ครับ เว้นเสียแต่ว่า วัดนี้จะเห็นแก่ปัจจัยมากกว่าคำสอน (ไม่เคยมีใครเข้าวัดทำบุญแล้วจน เป็นหนี้เป็นสินนะครับ ไม่มีเคยมีใครเข้าวัดรับคำสอนแล้วไม่มีเพื่อน ญาติหนีห่างนะครับ)
ส่วนเรื่องบาปกรรมนั้นผมคงไม่เขียนถึงนะครับ เพราะบาปไม่มีผลกับบุญ มันไม่ได้ทำให้บุญลดลง แต่การทำบาปมันจะทำให้ความดีของเราลดลง แล้วชีวิตก็จะไม่ดีตามไปด้วยตามหลักของกรรมชั่ว หรือการกระทำชั่วนั่นแหละครับ (กรรมตามสนองมีจริง เห็นผลจริง)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)