ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตอนที่ 108 (บทความ) _ กฎ(หมาย)เยอะ...แล้วไงล่ะ ?

กฎ(หมาย)เยอะ...แล้วไงล่ะ ?
23 / 02 / 2558

     กฎ(หมาย)มันจะมีปะโยชน์อันใดเล่า หากคนเราไม่มีจิตสำนึกที่ดี บางคนนอกจากจะไม่มีจิตสำนึกที่ดีแล้ว ยังท้าทายกฎ(หมาย)อีกด้วย

     การมีกฎถือว่าเป็นเรื่องที่ดีนะครับ เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้คนมีความเป็นระเบียบมากขึ้น แต่ผมว่าเหนือสิ่งอื่นใด การที่สอนให้คนรู้จักมีจิตสำนึกที่ดี มีความรับผิดชอบที่ดี มันน่าจะดีกว่าที่มีกฎออกมามากมายเพื่อให้คนกลัว ยิ่งบางคนนะ ยิ่งเจอกฎยิ่งชอบ เพราะมันท้าทายดี ลองแหกกฎดูดีกว่า ถ้าแหกได้นะ แหม..กูนี่โคตรเท่เลย (เชื่อสิ มันมีคนคิดแบบนี้จริงๆนะ)

     ยังไม่ต้องไปพูดถึงกฎหมายบ้านเมืองกันหรอกนะครับ เอาแค่กฎในที่ทำงานนี่ก็พอก่อน แทบจะทุกแห่งต้องมีกฎที่ว่า ห้ามมาสาย ถ้ามาสายจะต้องโดนลงโทษอย่างนั้น อย่างนี้ก็ว่ากันไป ถ้าสอนให้ทุกคนมีความรับผิดชอบนะ กฎห้ามมาสายไม่ต้องมีก็ได้ แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะคนทุกคนมีความขี้เกียจอยู่ในตัว (ผมก็คนหนึ่งล่ะ) บางคนมีฝากตอกบัตร หรือถ้าไม่มีตอกบัตร แต่เป็นระบบสแกนนิ้ว ก็มาสายแต่ไปขอให้ฝ่ายบุคคลช่วยแก้เวลาเข้างานให้หน่อย (อาศัยความสนิทในทางที่ไม่ดี) กลัวกฎกันจะตายห่า แต่ก็ยังกล้าทำผิดกฎ บางคนมาสายแม่งมัน 30 วันครบเดือนกันไปเลย แต่ใบแจ้งเวลาออกมา โห ไม่มีมาสายเลยสักวัน เพราะไปขอให้ฝ่ายบุคคลช่วยแก้เวลาให้ กฎจะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่มีจิตสำนึกที่ดี

     บางที่มีกฎให้พนักงานใส่ชุดฟอร์มของบริษัทมาทำงาน มันก็ยังมีพวกที่ชอบแหกกฎ ไม่ใส่ครับ กูไม่ใส่ใครจะทำไม แต่พอโดนเรียกไปตักเตือน เสือกมาบ่นว่า "จะอะไรกับกูนักหนา จับผิดกูจัง" เออ...เขาไม่ได้จับผิดมึงหรอกนะ แต่มึงน่ะทำตัวเด่นเอง ถ้ามึงจะมีจิตสำนึกที่ดี คนเขาใส่ชุดพนักงานกันหมดก็ไม่เห็นตาย มึงก็ใส่มาบ้างดิ มึงก็คงไม่โดนจับผิดอะไรหรอก

     เวลาพักเที่ยงอีก ทางบริษัทเขาก็บอกแล้วว่า เวลาพักคือ 12.00-13.00 น. ไอ้พวกที่มักง่ายก็ชอบแหกกฎออกไปกินก่อน พอกินเสร็จก็เข้ามามีเวลาพักเต็มๆเกือบหนึ่งชั่วโมง พอโดนเรียกไปตักเตือนก็บ่นอีก "ออกก่อนแค่ห้านาทีสิบนาทีทำเป็นบ่น นิดๆหน่อยๆก็ไม่ได้" เอ้า ก็มึงทำตัวเองทั้งนั้น คนอื่นเขายังออกเที่ยงตรงได้เลย ก็ไม่เห็นว่าเขาจะอดกินข้าว มีบางคนแหกกฎแบบออกไปกินข้าวทีหลัง แล้วก็เข้ามาทีหลัง (ออก 12.45 น. กลับเข้ามา 13.45 น.) พอโดนเรียกไปตักเตือนก็บ่น "เวลาพักหนึ่งชั่วโมงเท่ากัน กูออกช้า กูก็ต้องเข้ามาช้าสิ อะไรวะ เอาเปรียบกันชิบหาย จะให้กูออก 12.45 น. แล้วเข้า 13.00 น.รึไง แบบนั้นก็กูได้พักแค่ 15 นาทีสิ" เออ...เดี๋ยวนะ ตอน 12.00 น. เขาออกไปกินข้าว มึงพักผ่อน พอ 12.45 น. เขากลับเข้ามาพักผ่อนกันหมดแล้ว มึงถึงออกไปกินข้าว แล้ว 13.00 น. เขาเริ่มทำงานกัน มึงก็ยังกินข้าว พักผ่อนอยู่ข้างนอก เอาง่ายๆว่า เขากินข้าวรวมพักผ่อน คือ 12.00 - 13.00 น. เท่ากับ 1 ชั่วโมงถ้วน แต่มึงล่ะ พักผ่อนไปก่อนแล้ว 45 นาทีถึงจะออกไปกินข้าว พอกินเสร็จพักผ่อนเสร็จกลับเข้ามา 13.45 น. รวมแล้วมึงใช้เวลากินข้าวรวมพักผ่อน คือ 12.45 - 13.45 น. บวกกับ 45 นาที เท่ากับ 1.45 ชั่วโมง บริษัทเอาเปรียบมึงจังเนอะ เดี๋ยวกูฟ้องกรมแรงงานให้

     อีกสักข้อละกัน บางที่จะมีกฎห้ามกินอาหารที่โต๊ะทำงาน แต่ขนม หรือผลไม้กินได้ ที่เขาห้ามเพราะอะไร เพราะกลิ่นมันแรงรบกวนคนอื่น ถ้าคนที่มีจิตสำนึกที่ดี เขาก็ไม่กินกันหรอก ไม่กินเพราะ เขาเกรงใจคนอื่นนะ ไม่ใช่ไม่กินเพราะ กลัวกฎ เขาจะออกไปกินข้างนอก ในที่ที่บริษัทจัดสถานที่ไว้ให้ แต่บางคนก็ยังมักง่าย กินไปด้วย เล่นคอมไปด้วย กลิ่นงี้ตลบอบอวล พอโดนเรียกไปตักเตือนก็บ่นอีกละ "กลิ่นแรงตรงไหน กูกินจนหมด กูว่ากลิ่นก็แทบจะไม่มีนะ" เออ...ก็มึงแดกอยู่กับปาก มึงก็คุ้นกลิ่นดิวะ ลองกูแดกบ้างมั้ยล่ะ กูก็จะบอกว่า กูไม่เห็นมันจะมีกลิ่นเลย

     นี่แค่กฎของบริษัทเล็กๆแห่งหนึ่งนะครับ มันยังมีปัญหาขนาดนี้เลย แล้วกฏหมายของบ้านเมืองมันจะวุ่นวายขนาดไหน ก็ลองดูข่าวในทุกๆวันก็แล้วกันนะครับ

     ข่าวลักเล็กขโมยน้อย ข่าวขโมยใหญ่ๆ กฎหมายทำอะไรได้ครับ จับ ปรับ ลงโทษ ติดคุก ถามว่าคนทำผิดกลัวกฎหมายมั้ย คำตอบคือ กลัว แต่ก็ยังกล้าขโมยอยู่ดี ไหนๆคนร้ายมันก็กล้าละ แล้วมันก็เยอะขึ้นทุกวันๆ งั้นแก้กฎหมาย เพิ่มโทษมันซะเลย ปรับเยอะๆ ติดคุกนานๆ ถามว่าคนคิดจะขโมยของกลัวมากขึ้นมั้ย คำตอบคือ กลัวมากขึ้น แต่แล้วไงล่ะครับ ถ้าคนมันจะขโมย มันก็ขโมยอยู่ดี ของหายไปแล้วก็ค่อยมาตามจับ ใครเดือดร้อนล่ะครับ เจ้าทุกข์ เจ้าของทรัพย์ครับที่เดือดร้อน จับคนร้ายได้ คนร้ายติดคุก เจ้าทุกข์สะใจ ณ เวลานั้น แต่ก่อนหน้านั้นทุกข์ใจจะเป็นจะตาย ของสำคัญหายไป ชีวิตช่วงนั้นไม่ดีเลย ... แก้ที่จิตสำนึกดีมั้ยครับ ให้คนได้รู้ว่าการขโมยของ มันทำให้คนที่โดนขโมยเดือดร้อน เราไม่ควรจะทำ ลองคิดดูว่าถ้าเราโดนใครขโมยไปบ้าง เราจะทุกข์ใจขนาดไหน อะไรแบบนี้เนี่ย (พูดง่าย ทำยาก แต่ก็ต้องพูด)

     ข่าวข่มขืนอีก ข่มขืนฆ่า ข่มขืนไม่ฆ่า(กะเอาไว้ขู่ ข่มขืนอีกเรื่อยๆ) กฎหมายเรียกร้องกันจะเป็นจะตายว่า 'ข่มขืน = ประหารชีวิต' ครับผมเห็นด้วย แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นที่เป็นปลายเหตุ ถามว่าคนที่คิดจะข่มขืนมันกลัวกฎหมายมั้ย คำตอบคือ กลัวชิบหายเลยครับ กลัวโดนจับประหารชีวิต แต่ถ้ามันหน้ามืดอยากระบายอารมณ์กับใครสักคนตอนนั้น ผมว่ามันก็ทำแหละ แล้วมันก็อาจจะทำแบบสุดๆไปเลยก็ได้ เพราะไหนๆมันก็จะโดนประหารชีวิตแล้ว มันก็อาจจะข่มขืนแบบทารุณที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ แล้วมันก็อาจจะฆ่าเหยื่อทิ้งอีกด้วย ... แก้ที่จิตสำนึกดีมั้ยครับ ให้คนได้รู้ว่า เพศตรงข้ามก็คนนะ มีพ่อมีแม่ มีคนที่รักเขา ห่วงเขา เราไม่ควรไปทำร้ายเขา เพราะถ้ามีคนมาทำร้ายคนที่เรารัก เราห่วงบ้างล่ะ เราจะเจ็บแค้นคนๆนั้นมากขนาดไหน (พูดง่าย ทำยาก แต่ก็ต้องพูด)

     ข่าวอีกสาระพัดข่าว ที่เป็นเรื่องที่ไม่ดี ที่ต้องแก้กฎหมายเพื่อให้คนกลัว แก้แล้วก็แก้อีก กลัวแล้วก็กลัวอีก แต่มันก็ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ เกิดแทบทุกวัน เกิดเพิ่มมากขึ้นซะด้วยซ้ำไป ผมถึงบอกไงครับว่า 'กฎ(หมาย)เยอะ...แล้วไงล่ะ'

     ถ้าสังคมสอนให้คนเป็นคนดี สอนให้คนมีจิตสำนึกที่ดีได้ ปัญหาก็จะน้อยลง กฎหมายก็แทบจะไม่มีความสำคัญอะไรเลยก็ได้ จริงมั้ยล่ะครับ แต่ก็นั่นแหละครับ พูดน่ะมันง่าย แต่ทำน่ะมันยากมากๆ

     คุณเคยชื่นชมคนญี่ปุ่นบ้างรึเปล่า ว่าเขาเป็นคนที่มีระเบียบ มีจิตสำนึกที่ดี แต่...พอคุณชื่นชมแล้ว ทำไมคุณไม่เอามาใช้กับตัวเองบ้างล่ะ ชื่นชมแล้วก็ทำตามสิครับ ไม่ใช่ชื่นชมแล้วจบๆกันไป "กูแค่ชม กูแค่ชอบ แต่กูไม่ขอทำตามหรอก" แล้วคุณ(มึง)จะชมไปเพื่อ...???

ความคิดเห็น