ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตอนที่ 111 (บทความ) _ ทริปน้ำตกทีลอซู

ทริปน้ำตกทีลอซู
04 / 04 / 2558

     ห่างหายไปนานมากกับการเขียนบทความ ยิ่งเรื่องสั้นยิ่งนานเลย พล๊อตเรื่องในหัวน่ะมีนะครับ แต่ติดที่งานเยอะเกินคาด (ขี้เกียจก็บอกมาเหอะ...เฮ้ย เสียงใครวะ) ครั้งนี้เบียดเบียนเวลาทำงานมาเขียนบทความแบบยาวๆ ที่จะเป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับทริปที่พึ่งได้ไปเที่ยวมาให้อ่านกันครับ จะเป็นบทความที่เล่าเรื่องด้วยภาพเลยก็ว่าได้ (อาจจะเป็นบทความที่มีรูปภาพประกอบเยอะที่สุด) เพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำตา เอ้ย เสียเวลา งั้นผมขอเริ่มเลยนะครับ (ทริป 29-31 มีนาคม 2558, สวัสดิการของบริษัท, บริษัทนำเที่ยว..ทัวร์สีรุ้ง)

     ก่อนที่จะถึงวันเดินทางไปเที่ยว มันก็ต้องมีกำหนดการออกมาให้เตรียมตัวกันก่อน ซึ่งกำหนดการเดินทางของผมคือ 07.30 น. เจอกันที่สนามบินดอนเมืองครับ ผมกับแฟนก็ตกลงกันว่า ตื่นสัก 06.00 น. ออกเดินทาง 07.00 น.ละกัน คืนนั้นก็ตั้งปลุกนาฬิกา (จริงๆมือถือ นาฬิกาไม่ได้ปลุก) ไว้ที่ 06.00 น. ผมสะดุ้งตื่นกี่โมงไม่รู้ครับ ผมรู้แต่ว่าฝนตกหนักมาก ผมรีบวิ่งออกไปที่ระเบียงหลังห้องเพื่อเก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้เข้ามาในห้อง เสร็จแล้ว..มือถือก็ดังขึ้น ผมหยิบมาดูเวลา โอ้ว หกโมงตรงเป๊ะ มึงเข้าใจเลือกเวลาตกเนอะ ถ้าตอนนั้นมีปืนกลว่าจะยิงขึ้นฟ้าใส่เทวดาแม่งเลย

     ตกก็ปล่อยมันตกไป เหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมง เดี๋ยวมันคงหยุดแหละ (คิดในแง่ดีไว้ก่อน) แต่ว่าพออาบน้ำ แต่งตัว เก็บของเสร็จแล้ว เหลือบดูเวลาที่นาฬิกา (นาฬิกาจริงๆนะ ไม่ใช่มือถือ) แม่งเอ้ย จะเจ็ดโมงอยู่ละ มันยังตกอยู่ ทำไงๆๆๆ สุดท้ายต้องขอบคุณเทคโนโลยีครับ ที่สร้างมือถือ กับ แอปฯต่างๆไว้ให้ใช้งานได้สะดวกสบาย ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นเยอะ ผมก็โหลดแอปฯเรียกแท็กซี่เล้ย ครั้งแรกตื่นเต้นมาก ไม่รู้ว่ามันจะเสียวมากมั้ย...ไม่ใช่ละ ก็ปรากฎว่า เรียกแท็กซี่ไม่ถึง 10 นาที ก็ได้แท็กซี่มารับที่หอพัก แล้วออกเดินทางไปสนามบินดอนเมืองทันที

     ระหว่างทางฝนเริ่มซาแล้ว แต่สิ่งที่เจอคือ น้ำท่วมซะอย่างงั้น เพราะฝนมันตกหนักมาก ท่วมซะมิดหัวเลย...นั่นแหละๆ หัวแม่ตีนนั่นแหละ ระหว่างทึ่ลุยน้ำท่วมอยู่นั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น สายจากทัวร์สีรุ้งครับ เขาโทรตามได้ตรงเวลานัดมากๆ 07.30 น.เป๊ะเลย  สุดท้ายถึงสนามบินประมาณ 07.45 น.เลยเวลานัดนิดหน่อย แต่อืม...ไฟท์บิน 09.40 น.แน่ะ รอกันนานนิดนึง

     เรื่องราวของการเดินทางที่สนามบินยังไม่จบครับ เพราะเครื่องดีเลย์แกล้งกันซะอย่างงั้น ผมจำไม่ได้แล้วว่าดีเลย์ขนาดไหน แต่ยังไงสุดท้ายก็ต้องได้เดินทางอยู่ดีแหละ เจ้าหน้าที่เรียกผู้โดยสารเตรียมตัวไปขึ้นเครื่องครับ โดยจะต้องอาศัยรถบัส (มั้ง) ไปอีกต่อหนึ่ง แต่แบบว่าอืม จะเรียกให้ขึ้นไปอยู่บนรถทำไมตั้งเกือบ 10 นาทีก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจจริงๆ

(ยืนอยู่แบบนี้เกือบ 10 นาทีแน่ะ)

     ผมพึ่งเคยขึ้นเครื่องบินแบบที่มีใบพัดใหญ่ๆ อยู่หน้าปีกแบบนี้เป็นครั้งแรก (เรียกใบพัดรึเปล่าวะ) พูดตรงๆเลยว่ากลัวใบพัดมันหลุดมากเลย เพราะสมัยเล่นเครื่องบินของเล่น มันหลุดง่าย และบ่อยมาก (มึงก็คิดได้เนอะ) เครื่องบินแบบนี้จะลำเล็กครับ ไม่แน่ใจว่าบรรทุกผู้โดยสารได้กี่คน แต่เบาะมันเริ่มนับที่เลข 30 เลยนะครับ แล้ว 1-29 มันหายไปไหนก็ไม่รู้ ให้เดานะครับ สงสัยจะอยู่อีกลำ พอว่างๆก็เอาเครื่องมาประกอบกัน เลขก็จะเรียงกันพอดี (ไอ้บ้า)


(ใบพัดใหญ่จริงๆเลย)

     บินอยู่บนฟ้าประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาทีครับ เครื่องก็ลงจอดที่สนามบินอินชอน ประเทศเกาหมีล่าย เฮ้ยๆ ผิดที่ ลงจอดที่สนามบินแม่สอด จังหวัดตาก สนามบินที่นั่นเป็นสนามบินเล็กๆครับ ณ ตอนนี้มีแค่สายการบินนกแอร์เท่านั้นที่ให้บริการอยู่ ในอนาคตถ้าจังหวัดตากเจริญมากยิ่งขึ้น สายการบินอื่นๆก็เพิ่มขึ้นล่ะครับ

     ถึงสนามบิน พวกผมนักท่องเที่ยวก็ต้องมีไกด์นำเที่ยวครับ ทริปนี้ได้ไกด์สาวสวยนำทัพครับ คณะทัวร์มีทั้งหมด 11 คน พอไกด์รวบรวมคณะทัวร์ได้ครบแล้ว ก็พาผมออกจากสนามบินมุ่งสู่รถตู้โดยสารไม่ประจำทางครับ โดยแบ่งเป็น 2 คัน วิ่งตามๆกันไป

     สถานที่แรกเลยที่ไกด์พาผมไปก็คือ ร้านอาหารสิครับ เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง (แล้วเท้าล่ะ? ... เฮ้ย มันเป็นสำนวนพูด อย่าขัดดิ) ร้านที่ไกด์พาไปก็คือ ร้านปลาสดเมืองฉอด พอไปถึงก็ลงรถไปนั่งกันพร้อมหน้าพร้อมตาที่โต๊ะอาหารที่เตรียมไว้พร้อมแล้ว อาหารก็ทะยอยมาลงๆๆ หลายอย่างนะครับ จำไม่ได้ว่าอะไรบ้าง แล้วก็มีปลาหรือเปล่า ก่อนที่จะเปิดฉากกระหน่ำอาหารที่อยู่ตรงหน้า ไกด์สาวก็ได้ตะโกนขึ้นว่า ช้างกูอยู่ไหน เฮ้ย ไม่ใช่ๆ ไกด์สาวก็ได้แนะนำตัวให้พวกเราได้รู้จัก โดยไกด์สาวมีชื่อว่า กวาง

     หลังจากไกด์กวางแนะนำตัวเสร็จ ก็บริการตักข้าวให้กับทุกคน แล้วก็ยังเดินบริการอยู่เป็นระยะๆ เรียกว่าบริการดีมากทีเดียว ไม่เหมือนไกด์ที่เคยเจอมา ส่วนมากจะส่งคณะทัวร์ที่โต๊ะเสร็จแล้ว ก็ตัวใครตัวมัน

     กินกันเสร็จแล้วก็ออกมาถ่ายรูปเล่นกันที่หน้าร้าน ร้านนี้่หลักกิโลใหญ่มาก (ไม่รู้มันไปฮิตมาจากไหนกัน มีกันแทบจะทุกที่ ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว) ผมก็ถ่ายรูปหลักกิโล แล้วก็ไปเจอต้นไม้จริงแต่ดอกปลอมเข้าให้ ผมนี่ยืนอึ้งเลยครับ ทางร้านเค้าเอาดอกปลอมมาเย็บติดกับใบไม้จริงๆ โห คิดได้ยังไงเนี่ย แล้วไกด์ก็ต้อนพวกผมขึ้นรถ เพื่อไปยังสถานที่ต่อไป



(หลักกิโลใหญ่จริงๆ)

(ชื่อร้านอาหาร ปลาสดเมืองฉอด)

(ไงล่ะ ดอกปลอม ใบจริง อึ้งกันไปเลย)

     สถานที่เที่ยวที่แรกของทริปนี้คือ อุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ (แอบเคืองเล็กน้อย ทำไมไม้มันต้องไปแตกตรง พาเจริญ ด้วย เห็นแล้วกลัวมันไม่เจริญซะจริงๆ)

(เข้าใจเลือกที่แตกจริงๆ)

     ข้อมูลเล็กๆน้อยๆของน้ำตกนี้คือ เป็นน้ำตกที่มีถึง 97 ชั้น แต่ละชั้นก็มีสายน้ำไหลผ่านลดลั่นกันลงมาอย่างสวยงาม แต่ผมและคนอื่นๆก็ไม่ได้ขึ้นไปข้างบนชั้นสูงๆหรอกนะครับ แค่ดูเอาบรรยากาศชั้นล่างพอแล้ว ถามว่าทำไมไม่ขึ้นไปข้างบนล่ะไหนๆก็มาแล้ว คำตอบก็คือ ทางขึ้นมันไม่ใช่บันไดสิครับ มันเป็นทางไหลเขาที่น่าหวาดเสียว เกิดพลาดขึ้นมา ตกเขาบาดเจ็บนะเออ ก่อนจะออกจากน้ำตกไปขึ้นรถตู้ โชคดีที่ได้เจอป้ายชื่อน้ำตกอีกป้ายให้ชื่นใจ ป้ายนี้ไม่มีรอยแตก เลยขอถ่ายรูปคู่ป้ายสักหน่อย


(บรรยากาศเล็กๆน้อยๆ ที่ชั้นล่างของน้ำตก ณ เวลาเที่ยงกว่าๆ)



(น้ำใสไหลเย็น เลยแอบถ่ายเด็กน้อยยืนหนาวสั่น)


(ขึ้นไปข้างบนของน้ำตกอีกนิดนึง ขึ้นได้แค่นี้แหละ ทางขึ้นมันยาก)

(ดูทางขึ้นสิ ไหลเขาดีๆนี่เอง แถมมีไม้ล้มขวางอีก ต้องลอดใต้ไป)

(เจอป้ายดีๆ ก็ต้องถ่ายรูปกันหน่อย)

     อุทยานแห่งนี้นอกจากจะมีน้ำตกแล้ว ยังมีลาบ ไก่ย่าง ส้มตำ เฮ้ย เดี๋ยวๆๆ จะเอาฮาไปไหน ยังมีลานออกกำลังกายอีกด้วย สถานที่กว้างพอสมควร วันที่ผมไปนั้นเป็นวันอาทิตย์พอดี เด็กๆมาเที่ยว มาเล่นน้ำกันเพียบเลย มีทั้งแบบมากันเอง แล้วก็มาเป็นครอบครัว

     เสร็จจากเยี่ยมชมความงามที่น้ำตกพาเจริญแล้ว ก็ออกเดินทางสู่อำเภออุ้มผางเพื่อไปสู่ที่พัก แต่ก่อนที่จะไปถึงอุ้มผางได้ ต้องผ่านอุปสรรคเล็กน้อยนั่นก็คือ โค้งทั้งหมด 1,219 โค้ง (ใครมันขยันนับจังวะ แล้วมันคิดอะไรอยู่มันถึงนับ แล้วมันเริ่มนับจากโค้งไหนโค้งแรก โค้งไหนโค้งสุดท้าย) ทั้งไกด์กวาง ทั้งคนขับรถตู้ สอบถามคณะทัวร์ว่า มีใครเมารถรึเปล่า คำตอบที่ได้คือ ไม่มีใครเมาสักคน (จริงๆคงมีคนเมาแหละ แต่กลัวเสียฟอร์มแน่ๆเลย) พอไม่มีคนเมารถ ก็เริ่มออกเดินทาง

     เส้นทางไปอุ้มผางก็ตามคาดล่ะครับ เป็นทางคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา โค้งซ้ายโค้งขวากันสนุกเลย ทางขึ้นเขายาว 3 กิโลเมตรบ้าง มีขึ้น 3 ก็ต้องมีลง 3 ตอนขึ้นไม่น่ากลัว แต่ตอนลงนี่สิน่ากลัว ทางลงเขา 3 กิโลเมตร กับทางคดเคี้ยว และผิวทางไม่ค่อยดี เป็นหลุมเป็นบ่อ เสียวกันเลยทีเดียว เรียกว่าถ้าเป็นคนไม่คุ้นทาง ได้เหยียบเบรคกันเหนื่อยเลยล่ะ ส่วนทางขึ้นเขาก็ใช่ว่าจะง่ายซะที่ไหน แน่นอนว่างผิวทางก็เป็นหลุมเป็นบ่อ แล้วแถมยังมีโค้งหักศอกอีกนะ บอกได้เลยว่ายากมาก ถ้าเป็นผมขับคงมีกลุ้มใจกันล่ะ

     วิ่งสู้โค้ง 1,219 โค้งไปได้ครึ่งทาง ก็ได้แวะพักยืดเส้นยืดสาย เข้าห้องน้ำกัน แน่นอนว่าที่แวะพักที่นั่นก็ต้องมี..หลักกิโลยักษ์อีกเช่นกัน (มันฮิตจริงๆวุ้ย) ที่แวะพักก็มีอาหารขาย มีของที่ระลึกขายด้วย บรรยากาศนี่สุดยอดมากครับ





(บรรยากาศที่พักริมทาง และหลักกิโลยักษ์ยอดฮิต)

     พักเสร็จก็เดินทางกันต่อ ลุยโค้งที่เหลืออีกครึ่งทาง จนไปถึงที่พักในที่สุด พอไปถึงที่พักมีฝนตกลงมาเล็กน้อย ทำให้อากาศดีมากๆ ไม่ร้อนเลย ที่พักของทริปนี้คือ ตู กะ สู รีสอร์ท (ไม่รู้ว่าเป็นรีสอร์ทรึเปล่า แต่เดาเอาว่าน่าจะใช่แหละ) ตูกะสู ถ้าเป็นคำพื้นเมือง แล้วแปลเป็นคำไทยก็คือ กูกับมึง เอ้ย คุณกับผม หรือ เธอกับฉัน แน่ๆเลย ที่พักของที่นี่จะมีบ้านเป็นหลังๆ บางหลังก็พักห้องเดี่ยวๆไปเลย บางหลังก็มี 2-3 ห้อง เวลาจะทำอะไรก็ต้องเบาๆหน่อย วันที่ผมไปพัก ผมได้พักบ้านที่มี 2 ห้อง เสียดายลืมถ่ายรูปในห้องมาให้ชมกัน




     หลังจากที่แยกย้ายกันเข้าห้องพักแล้ว เวลาประมาณหกโมงครึ่งก็ออกมากินข้าวกันที่ห้องอาหารของรีสอร์ท ห้องอาหารที่นี่เปิดโล่งรับลมธรรมชาติครับ พร้อมๆกับต้อนรับยุงด้วยเช่นกัน นั่งกินข้าวไป ปัดยุงไป แหม่...ได้บรรยากาศเหมือนอยู่บ้านนอกเลยครับ ข้าวมื้อแรกที่รีสอร์ทก็ต้องมี น้ำพริกหนุ่ม แคบหมู อยู่ในเมนูด้วยแน่นอน ส่วนเมนูอื่นๆผมจำไม่ได้แล้ว

     หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจอาหารเย็นแล้ว ก็แยกย้ายกันเข้าไปพักผ่อนห้องใครห้องมัน เพื่อเก็บแรงไว้ลุยล่องเรือยาง และเดินเท้าไปสู่น้ำตกทีลอซู แต่เออนะ คืนแรกนอนไม่ค่อยหลับซะงั้น ทั้งๆที่เป็นห้องแอร์ แต่มันดันร้อน คาดว่าคงเพราะ กางมุ้งกันยุงนอนแน่ๆเลย มันเลยร้อน (ตอนหลังได้คุยกับคนอื่นๆ เขาบอกว่าห้องเขาไม่มียุง ไม่มีมุ้ง เอ้าเวร ทำไมห้องกูมีทั้งยุง มีทั้งมุ้งล่ะวะ ดวงกูคงซวยสินะ)

     เช้าวันต่อมาก็ต้องเติมพลังกันก่อนเดินทางไปลุยน้ำ ลุยป่า ซึ่งเมนูมื้อเช้ามันช่างขัดใจผมมากเลย เมนูนั้นก็คือ ข้าวต้ม สำหรับคนอื่นอาจจะไม่เป็นไร แต่ผมเป็น ไม่ใช่ว่าไม่ชอบกิน หรือกลัวกินไม่อิ่มนะครับ แต่เป็นเพราะว่า ระบบขับถ่ายของผมมันต่อตรง กินอะไรที่เป็นน้ำๆนี่ แปปเดียวรู้เรื่องเลย ปวดฉี่ทันที แล้วก็จะปวดบ่อยมากด้วย แต่ก็เอาเถอะทำอะไรไม่ได้ ก็ใช้วิธีกินน้อยๆแทน กินข้าวเช้ากันเสร็จก็พร้อมลุยล่องเรือยางกันต่อไป

(รถก็เท่ เรือก็ใหญ่)

     คณะทัวร์ต้องนั่งรถ 4x4=16 (ถรุยส์ แค่นี้ก็เล่น) รถโฟร์วิลนั่นเอง เพื่อไปยังจุดลงเรือยาง ทีแรกก็คิดว่าต้องไกลมากแน่ๆ ที่ไหนได้นั่งไม่ถึง 5 นาทีถึงซะงั้น (พึ่งรู้ว่ารีสอร์ทอยู่ใกล้น้ำมาก) พอไปถึงสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ สวมเสื้อชูชีพ เพราะหากตกเรือขึ้นมา เอ๊ะ หรือตกลงไป...ช่างเหอะๆ จะได้ไม่จมน้ำในทันใด น่าเสียดายเล็กน้อยที่ทริปรอบนี้เป็นช่วงหน้าแล้ง ทำให้ไม่ค่อยมีน้ำแรงๆให้ตื่นเต้น ซึ่งก่อนจะออกจากที่พัก ไกด์กวางได้มอบถุงยังชีพ เอ้ย ถุงกันน้ำให้กับทุกคนไว้ใส่ของกันเปียก แต่ก็นะ ตลอดเส้นทางล่องเรือยาง ตัวแห้งสนิทเลยครับพี่น้อง ถุงกันน้ำขลังจริงๆ ถือไว้ไม่เปียกน้ำ (รีบหาเช่าบูชานะครับ ใกล้สงกรานต์แล้ว...ไม่ใช่พระ) ดูรูปภาพพร้อมคำบรรยายด้านล่างได้เลยครับ


(รถโฟร์วิล 2 คัน ที่ใช้ในการเดินทาง)


(บรรยากาศดีทีเดียว)

(นานๆจะเจอน้ำแรงๆ)

(เข้าป่าที่อุดมสมบูรณ์)



(จะล้มวันไหนก็ไม่รู้ รู้แต่น่าเสียดายมาก ถ้ามันล้มแล้ว)



     ล่องเรือมาได้เกือบๆครึ่งทางก็มาเจอกับน้ำตก ทีลอจอ หรือน้ำตกสายฝน ซึ่งจะเป็นน้ำตกที่อยู่ตรงหน้าผาหิน มีต้นไม้ขึ้นปกคลุม แล้วจะมีน้ำไหลตกลงมาเป็นทางตลอดเวลาเหมือนสายฝน บางทีถ้าแดดส่องถึงตรงน้ำตก ก็จะเกิดเป็นรุ้งกินน้ำให้ได้เห็นกันด้วย ต้องบอกว่าน้ำตกนี้ถูกใจผมมากครับ เพราะมันสวยจริงๆ แม้ว่ามันจะไม่ยิ่งใหญ่ น้ำไม่แรงเหมือนน้ำตกทั่วๆไป เล่นน้ำตกเหมือนที่อื่นก็ไม่ได้ด้วย แต่มันดูแล้วให้ความสดชื่น และรู้สึกผ่อนคลาย มีอิสระอย่างบอกไม่ถูกจริงๆครับ










(น้ำตกทีลอจอ สวยถูกใจผมมาก)

(ดูดีๆ จะเห็นสายรุ้ง)

     ครึ่งทางของการล่องเรือยาง คณะทัวร์ก็ได้แวะพักยืดเส้นยืดสายกันที่ บ่อน้ำร้อน (ถ้าเป็นช่วงน้ำเยอะๆ คงจะเปียกปอนกัน การลงแช่น้ำอุ่นๆคงผ่อนคลายดีทีเดียว) บ่อน้ำร้อนที่นี่เป็นบ่อเล็กๆ เป็นธารน้ำร้อนธรรมชาติ (ไม่มีกลิ่นไข่เน่า หรือกินกำมะถันเลย) ที่ไหลออกมาจากไหนก็ไม่รู้ แต่เดาว่ามาจากใต้ดินแหละ เพราะมันมาจากบนฟ้าไม่ได้แน่นอน (อยากรู้หาข้อมูลเองนะครับ) คณะทัวร์แวะที่นี่ก็ได้เจอกับชาวต่างชาติคนหนึ่ง คนที่ขายของอยู่ที่บ่อน้ำร้อนบอกว่า เค้าขับรถมอไซค์มา แล้วก็มาขอพักค้างแรมที่นั่น ผมก็ได้เห็นทั้งมอไซค์ แล้วก็เต้นท์ของเค้าด้วย ผมว่ามันเท่มากๆเลยล่ะ อยากทำบ้างแต่คงได้แค่คิด คณะทัวร์ลงเล่นน้ำร้อนสักพักก็กลับไปล่องเรือยางต่อ อ่อ ชาวต่างชาติชมไกด์กวางด้วยว่า Beautiful เรียกเสียงฮือฮาจากทุกคนได้ดีทีเดียว



 


(ของปิ้งร้อนๆ เอาไว้คลายหนาวจากการล่องเรือยาง)



(บ่อไม่ใหญ่มาก ลงได้ไม่กี่คน)

(ธารน้ำร้อนมันไหลออกมาจากช่องนี้แหละ)

(จังหวะเรียกเสียงฮือฮา ชาวต่างชาติชมไกด์กวางว่า Beautiful )

     อีกครึ่งทางที่ล่องเรือยางต้องขอบอกว่า เมื่อยก้น ปวดก้นมาก เพราะนั่งนิ่งๆนานเกินไป แถมไม่พอยังง่วงอีกต่างหาก ก็ทำไงได่ล่ะครับ มันไม่มีอะไรตื่นเต้นเลยนี่ครับ แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าน้ำเยอะๆ จากง่วงคงกลายเป็นเสียวแทนแน่ๆ รวยระยะเวลาในการล่องเรือยางก็ประมาณสองชั่วโมงกว่าๆเกือบสามกันเลยทีเดียว คณะทัวร์ก็ได้ขึ้นฝั่งที่หน่วยพิทักษ์ป่าผาเลือดเพื่อต่อรถโฟร์วิวไปยังน้ำตกทีลอซูเป้าหมายต่อไป


(ต้นไม้ต้นใหญ่ๆเยอะมาก)



(ขึ้นฝั่งแล้วที่นี่)

     อาการง่วงต่างๆหายไปจนหมดสิ้น เมื่อต้องเดินทางด้วยรถโฟร์วิลไปที่น้ำตกทีลอซู เพราะเส้นทางมันโหดมาก ถึงบางจุดจะมีการลาดยาง หรือทำถนนคอนกรีตแล้ว แต่ผมก็ไม่ขอเรียกมันว่าถนนหรอกนะครับ ผมขอเรียกมันว่า ทาง ก็พอ ก็มันไม่ใช่ถนนดีๆเลยสักนิด มันพังหมดแล้ว แถมส่วนใหญ่กว่า 90% มันเป็นถนนลูกรัง เป็นดินเป็นหิน เป็นหลุมเป็นบ่อเกือบจะตลอดเส้นทาง ขึ้นเขา ลงเขา โค้งหักศอก มีครบหมด ถ้าใครไม่ชินทางอาจจะมีถอดใจกันได้ง่ายๆ แล้วขอบอกว่าเส้นทางนี้น่าจะมีแค่รถโฟร์วิลเท่านั้นที่ผ่านไปได้ แล้วสภาพรถถ้าคิดที่ 100% คือพร้อมลุย ผมว่าต้อง 150% โน้นแหละ ถึงจะลุยเส้นทางนี้ได้ เพราะมันโหดจริงๆ (เคยขึ้นดอยไปสร้างโรงเรียนให้ชุมชนในป่า มันยังไม่โหดขนาดนี้เลย แล้วผมเชื่อว่า มันต้องมีทางที่โหดกว่าที่นี่อีกแน่ๆ)

     ไปถึงสวนรุกขชาติน้ำตกทีลอซู สิ่งแรกที่ต้องทำคือ เติมพลังครับ ทางรีสอร์ทได้ทำห่อข้าวมาให้ครับ เพราะที่สวนรุกขชาติไม่มีร้านอาหารขาย แต่มีร้านขายของชำอยู่นะครับ สามารถซื้อน้ำ ขนม มาม่ากินได้ นั่งกินข้าวเที่ยงกันไป ชมบรรยากาศที่สวนรุกขชาติไปด้วย รู้สึกผ่อนคลายหายเหนื่อยเลยทีเดียวครับ หลังจากที่เติมพลังกันเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางกันล่ะครับ (จริงๆอยากนอนสักงีบ เพราะบรรยากาศน่านอนมาก) คณะทัวร์ต้องเดินเข้าป่าเพื่อไปที่น้ำตกทีลอซูครับ ผมไม่รู้นะว่าเดินไปไกลแค่ไหน รู้แต่ว่ามันเดินนานมากกว่าจะถึงน้ำตก ยังดีที่ทางเดินเป็นทางคอนกรีตแล้ว และสองข้างทางเป็นต้นไม้ร่มรื่น เลยเดินได้แบบสบายๆ ไม่เหนื่อยมาก

(นี่แหละครับ อาหารกลางวัน)

(ข้อมูลเล็กๆน้อยๆ ของน้ำตกทีลอซู)





(ทางเดินสะดวกสบาย สองข้างทางก็ป่าล้วนๆ)

(เจอชื่อต้นนี้เข้าไป ผมนี่อึ้งเลย..อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติม ก็หาเอานะครับ)

     ถึงที่หมาย น้ำตกทีลอซู ยิ่งใหญ่จริงๆครับ แต่ก็น่าเสียดายที่เป็นช่วงหน้าแล้ง น้ำเลยไม่มาก แต่ก็สวยงามชคุ้มค่ากับการเดินทางไปเยี่ยมชมครับ หลังจากถ่ายรูปกับน้ำตกกันเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาลงเล่นน้ำกันล่ะครับ น้ำเย็นมาก แต่ก็สะใจสำหรับคนที่ชอบเล่นน้ำตกกันล่ะครับ บรรยากาศโดยรวมดีมากๆครับ สดชื่น แล้วตอนที่ผมไปน่ะ มีเพียงแค่คณะทัวร์ของผมเท่านั้น เรียกว่า ยึดน้ำตกทีลอซูเล่นน้ำกันเลยทีเดียว ไกด์กวางแนะนำให้ขึ้นไปข้างบนของน้ำตก เพราะข้างบนก็มีน้ำตกที่สวยอยู่อีก ก็ขึ้นไปกันหลายคนอยู่นะครับ ผมก็ขึ้นไปบ้าง แต่ไม่สูงมาก แล้วก็หนีลงมาก่อนคนอื่น ต้องบอกว่าข้างบนที่ขึ้นไปมานั้นเป็นธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มากครับ สดชื่นมากๆ แม้ตอนขึ้น ตอนลง จะหวาดเสียวไปสักหน่อยก็เถอะ


(นี่แหละครับ ทีลอซู .. ถึงน้ำจะน้อยเกินไป แต่ก็ยิ่งใหญ่นะครับ)



(ผีเสื้อที่นี่ไม่กลัวคนครับ ผมเจอบินมาเกาะหลายตัวเลย)


(ฟินมั้ยล่ะ)

     เล่นน้ำกันเสร็จก็ต้องเดินกลับออกมาจากน้ำตกเพื่อไปขึ้นรถโฟร์วิลกลับที่พักกันล่ะครับ น่าแปลกนะครับ ไม่ว่าทางไหนที่ไหน เวลาใช้เส้นทางเดิมกลับมา มันจะรู้สึกว่าใกล้กว่าตอนไปตลอด ทั้งๆที่มันก็เป็นเส้นทางเดียวกันแท้ๆ ระหว่างทางที่เดินกลับออกมาจากน้ำตก ก็ได้เจอกลุ่มคนเดินสวนไปทางน้ำตก 3 กลุ่มครับ โชคดีมากๆที่เราไปที่น้ำตกมาแล้ว ไม่งั้นถ้ามีกลุ่มอื่นอยู่ที่น้ำตกด้วย อาจจะเล่นน้ำกันไม่สนุกก็ได้

     กลับออกมาขึ้นรถโฟร์วิลลุยทางมหาสนุกเพื่อกลับที่พักกันต่อ รอบนี้ฝ่ายสาวๆทนนั่งกระบะหลังกันไม่ไหวแล้ว หนีไปนั่งข้างหน้ากันหมด (คิดดูละกัน ว่าเส้นทางมันโหดขนาดไหน) ระหว่างทางที่กลับออกมาจากน้ำตก ก็มีเรื่องตื่นเต้นให้ได้ลุ้นกันด้วยนะครับสำหรับรถคันที่ผมนั่ง เพราะคนขับจอดรถแล้วลงมาบอกว่า สงสัยสายหม้อน้ำหลุด ความร้อนขึ้นพุ่งปรี๊ดเลย ต้องจอดซ่อมกันกลางทางกลางป่าเลย แล้วรถอีกคันที่นำหน้าไปก่อน ก็ไปไกลแล้วด้วย สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี เรียกว่า อนาคตมืดมนเลยทีเดียวครับ (ตอนนั้นกะกางเต็นท์นอนในป่าแล้ว) ยังดีที่คนขับซ่อมได้ เลยรอดออกมาจากป่าได้สำเร็จ (บอกแล้ว สภาพรถต้อง 150% โน้นแหละ ถึงจะลุยเส้นทางนี้ได้)

(เอาใจช่วยคนขับรถซ่อมสายหม้อน้ำ)

     เออ...เฮ้ย ทำไมมันเขียนยาวจังวะ งั้นที่เหลือเอาสั้นๆละกันนะ รู้นะว่าเริ่มขี้เกียจอ่านกันแล้ว มื้อเย็นที่รีสอร์ท ต่อจากน้ำพริกหนุ่มเมื่อวาน วันนี้ก็เลยเป็นน้ำพริกอ่อง แหม...ครบเลยน้ำพริกประจำภาคเหนือ คืนแรกกางมุ้งนอนเท่ากับร้อน คืนที่สองซัดเปิดแอร์ 22 องศา มุุ้งไม่กาง นอนห่มผ้าหนาวๆมันแม่งเลยครับพี่น้อง อ่อ น้ำที่รีสอร์ทเย็นมากครับ ทีแรกคิดว่าจะไม่อาบน้ำอุ่น แต่พอเจอน้ำเข้าไปแค่นั้นแหละ ถามหาน้ำอุ่นทันทีเลย คืนนั้นก็พักผ่อนกันแบบหนาวๆ เช้ามาก็เตรียมตัวเที่ยวระหว่างทางกลับจากอุ้มผางเข้าไปที่สนามบินครับ อยากจะบอกว่า อาหารมื้อเช้า ข้ามต้มอีกละ

     ออกจากรีสอร์ทก็ไปแวะซื้อของฝาก ของที่ระลึกที่ บ้านครูซัน ถามว่าครูซันคือใคร คำตอบที่ได้จากไกด์กวางคือ ครูธรรมดาๆนี่แหละ ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร เพียงแต่ครูมาเปิดร้านขายของที่ระลึกเท่านั้นเอง (ไอ้เราก็นึกว่าครูดัง คนแถวนั้นให้ความนับถือซะอีก)




     แล้วก็อย่างที่บอกนะครับ ระบบขับถ่ายผมมันต่อตรง เส้นทางจากบ้านครูซัน (ใกล้ๆรีสอร์ทนั่นแหละ ไม่น่าไกลเกิน 3 กิโล) ไปยังจุดพักครึ่งทางมันก็ไกลอยู่นะ ผมงี้ปวดฉี่จนกระเพาะปัสสวะแทบจะระเบิด ปวดขนาดที่ว่า ปวดลามมายันเอวเลยทีเดียว คือเกร็งไว้แบบสุดๆ น้ำตาจะไหลเลย (เพราะข้าวต้มตัวแสบเลย) โคตรทรมานเลยครับ แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้แบบลุ้นใจหายใจคว่ำ (ก็ทำไมเอ็งไม่แวะข้างทางล่ะ...ก็คนอื่นก็ปวดไง ถ้าแวะข้างทางคนอื่นก็ต้องรอนานขึ้นกว่าจะถึงจุดพัก กูเห็นใจคนอื่น เข้าใจ๋ ? ) จนผ่าน 1,219 โค้งเข้ามาในตัวเมืองได้สำเร็จ พอเข้ามาถึงก็แวะกินข้าวก่อนเลยครับ มื้อเที่ยงวันสุดท้ายที่ตาก เมนูคือ ขนมจีนครับ กินกันเสร็จก็ออกเดินทางไปแวะซื้อของกันที่ตลาดริมเมย ผมไม่ได้อะไรเลยซักอย่าง แต่ลูกชายได้เสื้อยืด 2 ตัวครับ แฟนผมซื้อให้ลูก

(หลังป้ายนี้ก็คือแม่น้ำ ข้ามแม่น้ำนี้ไปก็คือ ประเทศพม่า)


(พระองค์ใหญ่มาก)

(ฝั่งโน้นไง ประเทศพม่า)

     ออกจากตลาดก็ไปแวะไหว้พระที่วัดใกล้ๆครับ ไปแวะคลัง 9 (ท่าเรืออะไรสักอย่างนี่แหละ จำไม่ได้) ไปดูรถจักรยานมือสอง ของใช้มือสองจากญี่ปุ่น บางคนก็ได้ซื้อของมือสองติดไม้ติดมือมาด้วย ก่อนที่จะไปรอขึ้นเครื่องที่สนามบินแม่สอด ในกำหนดการคือ ไฟท์บิน 17.50 น. แต่นกแอร์เลื่อนเป็น 18.30 น. ยังๆยังไม่พอขอเลื่อนอีกเป็น 19.00 น. แหม่ เลื่อนซะสนุกเลยนะ แต่สุดท้ายก็กลับถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพครับ เป็นทริปที่ลุยได้มันส์มากๆ ต่างจากทริปที่ไปทะเลสิ้นเชิงเลยครับ ก็แน่นอนล่ะครับ แบบหนึ่งขึ้นดอย แบบหนึ่งลงน้ำ มันคงจะเหมือนกันยากครับ แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ มันได้พักผ่อนไงล่ะครับ

     ทิ้งท้ายถึงไกด์สาวที่ชื่อ กวาง ของทริปนี้กันสักหน่อย เธอเป็นไกด์ที่ใส่ใจลูกทัวร์มากที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา อย่างที่เคยบอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่า เวลาทานข้าวเธอก็จะมาบริการตักข้าว เติมน้ำ แทบจะตลอดเวลา ไม่เหมือนไกด์คนอื่นๆ เวลาถึงสถานที่เที่ยวแต่ละที่ เธอก็จะถ่ายรูปอย่างสนุกสนานกับลูกทัวร์ ไม่มีมาดนิ่งๆเหมือนไกด์คนอื่นๆ ความเป็นกันเองดีมาก การใช้คำพูดไม่เหมือนการบังคับ แต่เป็นการพูดแบบขอร้อง ขอความร่วมมือซะมากกว่า โดยรวมแล้วเธอเป็นไกด์ที่ดีมากคนหนึ่งเลยทีเดียว เป็นไกด์อิสระ รับงานทัวร์ทุกที่ แล้วแต่ใครจะจ้าง เรียกว่า หญิงแกร่งได้เลย (หรือเพราะว่าเธอนำทริปนี้คนเดียวก็ไม่รู้นะ เลยเป็นแบบนี้ ถ้าเธอนำทริปกับไกด์อีกคน อาจจะเป็นอีกแบบก็ได้...แอบนินทาๆ ฮ่าๆๆ)



(ไกด์กวาง สาวน้อยผู้มากความสามารถ)

ความคิดเห็น