มนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบให้อยู่ในห้องแอร์
17 มิ.ย. 2559
บทความนี้ ผมไม่ได้คิด และเขียนเองนะครับ
ผมเอาบทสัมภาษณ์ของอาจารย์ท่านหนึ่งมานำเสนอนะครับ
ซึ่งบทความนี้ ผมอ่านแล้ว ผมชอบมากๆ เลยขอนำมาเสนอให้ทุกคนได้อ่านกันครับ
(บทความนี้ผมหามาจากไหน ผมจำไม่ได้แล้วครับ เพราะผมคัดลอกเก็บไว้ในเครื่องเป็นปีๆแล้วครับ แล้วบังเอิญวันนี้มาเปิดเจอเข้า ก็เลยเอามานำเสนอนี่แหละครับ)
บทสัมภาษณ์ : อาจารย์จุลพร นันทพานิช - เดินหารากเหง้า สถาปัตยกรรมสีเขียว
โดย สุวัฒน์ อัศวไชยชาญ - นิตยสาร สารคดี
จุลพร นันทพานิช…เกือบจะเรียนไม่จบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และเกือบจะตายด้วยไข้มาลาเรีย
แต่วันนี้เขาเป็นอาจารย์พิเศษของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และได้รับการคัดเลือกให้เป็นอาจารย์ดีเด่นจากการสอนวิชาประยุกต์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นให้แก่นักศึกษาระดับปริญญาตรี ด้วยกระบวนการสอนและถ่ายทอดประสบการณ์อย่างคนรู้จริง จนผลงานของนักศึกษาโดดเด่นสร้างชื่อเสียงให้แก่คณะในระดับประเทศ
สารคดี…ชวนคุณผู้อ่านค้นหาความหมาย “ลึกๆ” ของความ “เขียว” ในสถาปัตยกรรมแห่งชีวิตของชายผู้นี้
----------------------------------
Q1 : จริงๆ แล้วสถาปัตยกรรมมีผลต่อมนุษย์อย่างไรบ้าง ?
การออกแบบสถาปัตยกรรมใดๆ มีผลต่อจิตใจของมนุษย์ทั้งสิ้น เมื่อมนุษย์เข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน สภาพแวดล้อมนั้นก็จะส่งผลต่อความคิดจิตใจของมนุษย์ทันที สถาปัตยกรรมที่ไม่ดีทำให้คนป่วยได้ แต่การออกแบบที่ดีจะทำให้คนไม่ป่วย เรียกว่า "จิตวิทยาสภาพแวดล้อม"
แต่สถาปนิกบ้านเรายังไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้ ทั้งที่เป็นประเด็นสำคัญมาก ทุกวันนี้ผมคิดว่าเราอยู่ในสถาปัตยกรรมที่ทำให้คนอ่อนแอลง สังเกตเวลาผมพาลูกศิษย์ไปเดินขึ้นเขา ลูกศิษย์ไม่เคยเดินขึ้นเขาตามผมทัน ทั้งที่ผมอายุมากกว่าพ่อของเขาแล้ว แสดงว่าเด็กรุ่นใหม่ไม่แข็งแรง อาจเพราะโตมากับร้านสะดวกซื้อ กินแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
ผมคิดว่าเราต้องตั้งข้อสังเกตแล้วว่าอะไรที่ทำให้คนรุ่นหลังอ่อนแอกว่าคนรุ่นก่อน ผมว่าเชื้อโรคก็ไม่ได้ต่างกัน แต่คนอ่อนแอลง เพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้อ่อนแอ ต้องกลับมาดูที่สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมเป็นตัวบ่งชี้ว่าคุณอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน มันทำให้คนเป็นอย่างไรก็ได้
----------------------------------
Q2 : แล้วอะไรในสถาปัตยกรรมปัจจุบันที่ทำให้คนอ่อนแอลง ?
1. “วัสดุ”
เรื่องการใช้วัสดุมาก่อนเลย วัสดุแต่ละชนิดมีผลต่อสุขภาพแตกต่างกัน
ยกตัวอย่างว่าทำไมเราใส่เสื้อผ้าโพลีเอสเตอร์แล้วเรานอนไม่สบาย เพราะมันเกิดไฟฟ้าสถิตเหนี่ยวนำที่ผิวหนัง แต่ถ้าเราใส่ผ้าฝ้าย เรานอนสบาย หรือถ้าเราไปนอนบนเตียงที่เป็นโพลีเอสเตอร์ มันก็นอนไม่สบาย ไม่ใช่เพราะว่าร้อนนะ แต่เพราะมีไฟฟ้าสถิตเหนี่ยวนำ
เดี๋ยวนี้เขาพบแล้วว่าคนที่เป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือด ส่วนใหญ่บ้านอยู่ใกล้สายไฟฟ้าแรงสูงที่ส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา ถ้าบ้านเราอยู่ใกล้สายไฟฟ้าแรงสูง แล้วหลังคาบ้านหรือเสาบ้านใช้เหล็กก่อสร้าง เหล็กก็จะเหนี่ยวนำคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามาใกล้ตัวเรา เบาะ ๆ ก็อาจอารมณ์ไม่ดี เข้าไปอยู่แล้วหงุดหงิด ถ้าหนักก็อาจเป็นมะเร็งในเม็ดเลือด เพราะระบบที่เล็กที่สุดคือเซลล์ในร่างกายเราถูกคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารบกวนจนรวนหมด
2. “ห้องแอร์ - การระบายอากาศ”
แล้วเราอยู่ในบ้านนอนห้องแอร์ทุกวัน วัสดุทุกอย่างในบ้านไม่ว่าจะเป็นเคสคอมพิวเตอร์ พลาสติก ไวนิล กระเบื้องยาง มันปล่อยสารเคมีออกมาในอากาศ สีที่ใช้ทาบ้านอาจมีโลหะหนักอย่างแคดเมียมหรือโคบอลต์สูง สถาปนิกไทยก็ไม่รู้ ถ้าคนขายสีบอกปลอดภัยก็เชื่อแล้วแต่ไม่เคยตรวจสอบอย่างละเอียด บ้านที่ดีก็ควรเป็นบ้านที่ไม่ใช้วัสดุสังเคราะห์
ถ้าบ้านออกแบบการระบายอากาศไม่ดี หรืออยู่ในห้องที่อากาศไม่ถ่ายเทอย่างห้องแอร์ อยู่ไปนาน ๆ ก็กลายเป็นมะเร็งปอดได้
ส่วนบ้านใครรวยปูหินแกรนิต นี่ยิ่งหนัก เพราะเขาพบว่าหินแกรนิตจะปล่อยเรดอน (radon – ก๊าซที่มีสารกัมมันตรังสี) ออกมา ความจริงวัตถุเกือบทุกอย่างปล่อยเรดอนมากน้อยต่างกัน แต่หินแกรนิตมีเรดอนสูง ต่างประเทศตื่นตัวเรื่องนี้มาก ยุโรปเขาห้ามใช้หินแกรนิตมาตกแต่งบ้านแล้ว
ตัวอย่างที่อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ในดินมีเรดอนสูงมาก จนชาวบ้านกลายเป็นโรคมะเร็งปอดสูงติดอันดับของประเทศ ชาวบ้านสร้างบ้านติดพื้นด้วย ทำให้สูดดมเรดอนง่าย ถ้าเป็นสมัยก่อนเราสร้างบ้านแบบยกพื้น โอกาสเป็นจะน้อยลง เพราะอากาศถ่ายเท
ใครรู้บ้างว่าเครื่องปรับอากาศของเราล้างแอร์กันครั้งสุดท้ายเมื่อไร มันมีเชื้อโรคอะไรต่าง ๆ อยู่ในนั้นเต็มไปหมด เราคิดแต่ว่าเปิดปุ๊บขอให้มีไอเย็นออกมา แล้วมีระบบให้อากาศใหม่เข้ามาในห้องหรือเปล่า ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มี เพราะมักใช้พฤติกรรมของคนตอนเปิดปิดประตูเอาอากาศใหม่เข้ามาแทน แต่ถ้าคิดถึงความปลอดภัย...เราต้องออกแบบให้มีระบบนำอากาศใหม่เข้ามาไว้ก่อน ปัญหาคือ เห็นว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก ก็เลยไม่มีใครทำกัน
ตึกอาคารทุกวันนี้ติดแอร์หมด คนก็ต้องทำงานอยู่ในสถาปัตยกรรมแบบนี้ เราคิดแต่อยู่ในห้องแอร์ แล้วใช้แอร์แบบประหยัดพลังงานที่สุด มันเป็นระบบปิดแบบตู้เย็นไฮเทค แต่ภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์จะเป็นอย่างไร เราไม่ได้คิด มันมีโรคที่เกิดจากการอยู่ในอาคารติดแอร์ เรียกว่า SBS หรือ Sick Building Syndrome แล้ว
3. “เหงื่อ”
คิดดูว่าทำไมมนุษย์ต้องมีเหงื่อ
เหงื่อคือ การระบายความร้อน และขับยูริกออกมาจากร่างกาย ถ้าเราอยู่ในห้องแอร์ ไม่มีเหงื่อ ยูริกจะไปไหน ก็ลงไปที่ตับไต แล้วของเสียไม่ได้มียูริกอย่างเดียว มีอีกหลายอย่างที่ร่างกายต้องการขับออก สภาพปรกติทุกวันเราจึงต้องมีเหงื่อซึม ๆ แต่คนกลับไม่ชอบเหงื่อ หนีไปอยู่ในห้องแอร์เพราะรู้สึกสบาย แต่พิษไปลงที่ตับไต ทำให้อวัยวะ ๒ อย่างนี้ต้องทำงานหนัก
เราจะพบว่าคนเป็นโรคมะเร็งตับกันมากขึ้น แม้จะไม่ใช่คนที่กินเหล้า แล้วเรากินอาหารแบบฝรั่งที่มีแต่ไขมัน เหงื่อก็ไม่ออก นั่งอยู่ทั้งวัน เกิดปรากฏการณ์โรคช็อกโกแลตซีสต์กลายเป็นโรคประจำตัวของสาวออฟฟิศ
ผมเชื่อว่าร่างกายของเราคือ โฮโมเซเปียนส์ มันออกแบบมาให้อยู่กลางแจ้ง ไม่ได้ออกแบบมาให้นั่งอยู่ในออฟฟิซจนค่ำ มันเลยเกิดอาการป่วยที่ไม่รู้สาเหตุ เพราะเราบิดเบือนตัวเอง
สถาปนิกบ้านเรามัวแต่ติดกับการคิดเรื่องรูปทรงปรากฏของสถาปัตย์ แต่ไม่ได้มองเนื้อหาจริงๆ ว่าสถาปัตย์ทำงานอย่างไร มันมีทั้งเรื่องของจิตวิทยา และเทคนิค ทำอย่างไรให้คนอยู่แล้วสบายที่สุด จะเปิดช่องรับลม หรือรับแสงแดดอย่างไร ไม่ได้คิด คิดแต่ว่า...ติดแอร์แล้วปรับอุณหภูมิ ๒๕ องศาเซลเซียส อ้างว่าใช้แอร์ประหยัดไฟนะ
----------------------------------
Q3 : ทำไมสถาปนิกบ้านเราส่วนใหญ่คิดแต่เรื่องการออกแบบตึกให้สวยๆ ?
ผมเรียกว่าความเบาปัญญาของคนมีความรู้
สถาปนิกบ้านเราที่คิดฟอร์มเก๋ ๆ สวย ๆ ก็ลอกแบบมาจากฝรั่งที สิงคโปร์ที ดูจากคนอื่นมา แต่แก่นสารลึกๆไม่มี มันเริ่มจากการไม่อยากเป็นตัวเองก่อน เลยผลิตงานได้แค่นี้ คิดแต่เรื่องฟอร์มอย่างเดียว อยากจะเป็นเหมือนสถาปนิกดัง ๆ ในต่างประเทศให้ได้ ก็เลยคิดว่าทำอย่างไรให้ฟอร์มหวือหวาไว้ก่อน แต่สถาปนิกที่คิดหนทางอื่นก็มีไม่น้อยนะครับ ในอังกฤษเดี๋ยวนี้ ใครทำฟอร์มหวือหวา เขาไม่สนใจแล้ว เขาสนใจว่างานออกแบบนี้เว้นที่ว่างให้กบเขียดมันเดินผ่าน มีระเบียงให้สัตว์อยู่หรือเปล่า ใครคิดแบบนี้ คนอังกฤษจะทึ่งมาก น่าสนใจกว่า เขาหันไปเน้นเรื่องทางนิเวศวิทยาและสังคมกันแล้ว ไม่เห็นแก่นสารว่าต้องไปยึดถือเรื่องฟอร์ม
แต่สถาปนิกไทยบางคนตามไม่ทัน เพราะการเข้าถึงองค์ความรู้อาจมีอะไรบังตา อาจติดกับมายาคติบางอย่าง อาจจะตั้งแต่การแต่งตัวใส่สูทผูกเนกไท ทั้งที่อากาศบ้านเราร้อนมากแต่ทำไมชอบใส่สูทสีดำกัน
----------------------------------
Q4 : พอได้เป็นอาจารย์แล้วมีวิธีสอนลูกศิษย์อย่างไร ?
สิ่งที่ผมออกแบบการสอนให้เด็กมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตอนนี้ คือสิ่งที่ผมอยากเรียนในสมัยก่อน ทุกวันนี้สังคมยอมรับแล้วว่าไม่ต้องออกแบบคอมเพล็กซ์ก็ได้ เพราะจบไปจะมีสักกี่คนได้ทำคอมเพล็กซ์จริงๆ วิชาชีพสถาปัตย์ถูกตีความไปกว้างขึ้น งานชุมชน งานเชิงนิเวศวิทยา งานเชิงวัฒนธรรม พอผมจับประเด็นได้ก็รู้ว่าจะสอนอย่างไร เพราะผมทำงานจริงมาตลอด
ผมจะพาเด็กไปเดินป่า ไปดอยลังกา แม่โถ แม่เงา พาไปดูบรรยากาศ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมาก เราจะอธิบายให้เขาฟัง เช่นเวลาเดินไปแล้วเราไปนั่งพักใต้ร่มไม้ ผมจะอธิบายว่าก่อนหน้านี้ร่มไม้ไม่ใช่สถาปัตยกรรม แต่พอคุณนั่งใต้ร่มไม้ ร่มไม้กลายเป็นสถาปัตยกรรมทันที เพราะมนุษย์กำหนดความหมายใหม่ของพื้นที่ใต้ร่มไม้ พรมแดนระหว่างเด็กกับธรรมชาติจะเริ่มละลายจากการใช้ชีวิตกลางแจ้ง เรื่องของภายในกับภายนอกหายไป ผมพยายามอธิบายให้เด็กเข้าใจ ให้เขาหลุดออกจากการแบ่งแยกว่าสถาปัตยกรรมต้องทำด้วยปูน ติดกระจก
ธรรมชาติเป็นสถาปัตยกรรม ถ้าเรากำหนดความหมายให้มัน และนี่เป็นสถาปัตยกรรมที่ยั่งยืน เพราะเราไม่ได้ไปเอาทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป ผมจะให้เด็กลงพื้นที่ ให้มีประสบการณ์จริง ๆ เด็กจะได้เห็นอะไรหลายอย่าง เห็นว่ากะเหรี่ยงอยู่อย่างไร และนำกลับมาสร้างงานด้วยตัวเขาเอง
พอผมเริ่มมีชื่อเสียง เคยมีคนถามลูกศิษย์ว่าเรียนกับอาจารย์จุลพรแล้วเคยเดินป่ากับอาจารย์หรือเปล่า ถ้าใครไม่ได้เดินดูเหมือนจะไม่ผ่านหลักสูตร
ผลจากการที่ผมได้มาสอนมันบังคับให้เราต้องเรียบเรียงและพัฒนาความคิดให้เป็นระบบ ได้พบกับความหลากหลายของความคิดคนที่จะต้องโต้ตอบกับเรา เด็ก ๑๐ คนก็ ๑๐ แบบ เพราะพื้นฐานแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่มาทำอะไรในเรื่องเดียวกัน ก็สนุก มันทำให้เราพัฒนาความคิดเรื่องนี้ได้เร็วขึ้น
----------------------------------
ฝากทิ้งท้าย
หลายคนอยากอยู่บ้านแบบในแมกกาซีน แต่บ้านแบบนั้นมันไม่มีชีวิตจริง ๆ และคุณไม่มีทางอยู่แบบนั้น หนังสือบ้านทำหน้าที่ขายฝันให้เราว่าสักวันหนึ่งเราจะมีบ้านแบบนั้น ถ้าเราเข้าใจปรัชญาแบบนี้ คนทั้งประเทศต้องกลับมามองตัวเอง เข้าใจว่าการอยู่แบบธรรมดา ๆ มีความงดงามทั้งสิ้น เรามีของดีของเราเอง แต่มักมองไม่เห็น ต้องรอฝรั่งมาบอก
เราขาดความเข้าใจตัวเอง ไม่มีภูมิเรื่องตัวเองพอ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อาหาร เราใส่แบบฝรั่ง กินแบบฝรั่งก็กลายเป็นมะเร็ง ที่อยู่อาศัยก็เหมือนกัน พอตอนนี้ฝรั่งกลับมาสนใจความเป็นตะวันออก เราก็ตามเขามา ทั้งที่รากเดิมของเราเป็นอยู่แล้ว
ทุกวันนี้เราพึ่งตัวเองไม่ได้ไปเรื่อย ๆ และมีคนจำนวนหนึ่งชอบให้เราพึ่งตัวเองไม่ได้ เพราะเขาจะได้ขายของ พวกอุตสาหกรรมชอบให้คนไม่ต้องพึ่งตนเอง เขาจะได้ขายของสำเร็จรูปให้เรากิน ทำเสื้อผ้าสำเร็จรูป บ้านสำเร็จรูป ระบบคิดแบบนี้สุดท้ายก็ต้องบริโภคเกินความจำเป็น ซึ่งมาจากรากคือเราปรับตัวเองให้เข้ากับธรรมชาติไม่ได้ ผมเชื่อว่าถ้าคนส่วนใหญ่พึ่งตนเองได้ เราจะพบกับหนทางแห่งความยั่งยืนจริง ๆ
ทำไมคนส่วนใหญ่ปรับตัวเองให้เข้ากับธรรมชาติไม่ได้ มันเริ่มจากมายาคติแท้ ๆ แล้วร่างกายเราวิวัฒน์ไปตาม มายาคติบอกว่าต้องอยู่แบบนี้ถึงจะมีรสนิยม พอลองอยู่ดู ร่างกายก็เสพความสบายแบบนั้นตามไปด้วย พอร่างกายวิวัฒน์ไป จะกลับไปอยู่อย่างไม่ปิดกั้นธรรมชาติก็กลายเป็นเรื่องลำบากลำบน แต่ความจริงเราฝึกร่างกายเราได้ ผมไปที่ไหน เดี๋ยวนี้ทุกคนนอนห้องแอร์กันหมดแล้ว หาคนไม่นอนห้องแอร์ยากมาก ไปถามรีสอร์ตทั่วประเทศ อยู่ริมทะเล หนาวจะตาย ยังต้องติดแอร์ ชุมพรหรือเชียงราย เหมือนกันหมด
อาหารก็เป็นการออกแบบให้เหมาะสมกับแต่ละท้องถิ่น แต่เราไม่กินอาหารที่ออกแบบมาสำหรับท้องถิ่นเรา ไปกินของอีกท้องถิ่นหนึ่ง ก็เกิดปัญหา เรื่องอาหารเป็นภูมิปัญญาที่สะสมกันมานาน ทำไมหน้าร้อนต้องกินนี่ ทำไมหน้าหนาวต้องกินนี่ หน้าฝนกินนี่ ธรรมชาติมันออกตามฤดูให้เรากิน ไม่มีนอกฤดู ถ้าเราเก็บตามฤดูกาลมากินเราก็สัมพันธ์กับธรรมชาติได้อย่างเหมาะสม
แม้แต่เรื่องความสะอาด เราก็ต้องสะอาดแบบฝรั่งที่สะอาดจนเกินไป ทำให้เราไม่มีภูมิต้านทาน ทุนนิยม อุตสาหกรรม ไม่ได้ทำให้เราผาสุกจริงๆ เพราะเขาจะไม่ลดการบริโภค มีแต่หาทางขยายผลผลิต
ถ้าเรากลับมาดูหน่วยเล็กๆ คือตัวเรา วิถีชีวิตเราว่าจะกินอย่างไร อยู่อย่างไร อย่างขี่จักรยาน บอกว่าฝนตกขี่ไม่ได้ ผมเอาเสื้อฝนคลุมก็ขี่ได้ ไม่เห็นมีปัญหา เรื่องไม่นอนห้องแอร์ทุกคนก็ทำได้ ปัญหาคืออยู่ที่จะทำหรือเปล่าเท่านั้นเอง
สิ่งที่ผมพูดมาจากความเข้าใจในธรรมชาติจริง ๆ และผมพูดอย่างไร ตัวผมเองก็ทำอย่างนั้น อยู่กลางแจ้ง ใช้แรงงาน ผมเป็นแบบนั้น และผมพิสูจน์แล้วว่า...มันดีต่อชีวิต
สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณบทสัมภาษณ์ดีๆนี้ด้วยนะครับ หากเจ้าของบทสัมภาษณ์มาเจอเข้า แล้วไม่พอใจในการนำมาเสนอเป็นบทความนี้ กรุณาติดต่อผมทางอีเมล์ เพื่อทำการลบออกได้เลยครับ
ขอบคุณครับ
ตอนที่ 129 (บทความ) _ ปฏิวัติตัวเอง สู้โรค NCDs
ปฏิวัติตัวเอง สู้โรค NCDs
24 พ.ค. 2559
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้มีโอกาสดูรายการปากโป้ง ทางช่อง 8 ครับ ซึ่งในรายการได้เชิญบุคคลที่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะป่วยเป็นโรค NCDs ได้ บุคคลที่ว่าคือ นายแพทย์บุญชัย อิศราพิสิษฐ์ (ค้นในกูเกิล ท่านดังไม่น้อยเลย) ท่านป่วยเป็นโรค NCDs แต่ท่านห่างไกลจากโรคนี้ได้สำเร็จ ด้วยการปฏิวัติตัวเองโดยไม่พึ่งยารักษาโรคครับ (ขนาดแพทย์ยังป่วย แล้วเราจะรออะไรล่ะ) แต่ก่อนที่จะไปดูว่าท่านป่วยเป็นอะไรบ้าง แล้วปฏิวัติตัวเองยังไง ผมขอเชิญทุกท่านไปพบกับโรค NCDs ก่อนละกันนะครับ
กลุ่มโรค NCDs (Non-Communicable diseases) หรือชื่อภาษาไทยว่า กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เป็นชื่อเรียก กลุ่มโรคที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค ไม่สามารถติดต่อผ่านการสัมผัส คลุกคลี หรือติดต่อผ่านตัวนำโรค(พาหะ) หรือสารคัดหลั่งต่างๆ หากแต่เกิดจากปัจจัยต่างๆภายในร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากไลฟ์สไตล์ วิธีการใช้ชีวิต ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงอย่างเหล้า บุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย อาหารหวานมันเค็มจัด และมีความเครียด (ข้อมูลเพิ่มเติม ที่นี่...คลิกเลย)
หลังจากที่รู้จักกลุ่มโรค NCDs คร่าวๆไปแล้ว ทีนี้มาดูว่า นายแพทย์ (ขอเรียกว่า อาจารย์ แทนนะครับ) ป่วยเป็นโรคอะไรบ้างกันครับ ซึ่งอาจารย์ป่วย 6 โรคดังนี้
1. เบาหวาน น้ำตาลสูงเกือบ 300 ซึ่งโดยปกติต้องไม่เกิน 100
2. ความดันโลหิตสูง
3. ไขมันในเลือดผิดปกติ มีโอกาสจะไปอุดตันหลอดเลือดได้
4. ตับอักเสบ มีไขมันไปแทรกในตับ ทำให้ตับมีการสลายเอนไซม์ออกมาเยอะแยะไปหมด
5. โรคอ้วน ด้วยน้ำหนักถึง 114 กิโลกรัม
6. เลือดข้นเกิน มีปริมาณเม็ดเลือดแดงมากเกินไป
อาจารย์ชี้แจงเพิ่มเติมว่า การทานยาในปัจจุบันสำหรับกลุ่มโรค NCDs นั้น ไม่มีทางรักษาหาย (จริงดิจารย์ ?) เราทานเพื่อบังคับไม่ให้โรคแสดงอาการเท่านั้น แต่โรคไม่ได้หายไป และต้องทานยาตลอดชีวิตอีกด้วย ในระยะยาวสุขภาพเรามีการขึ้นๆลงๆ หากทานยาไม่ครบ ไม่ตรงเวลา ก็มีโอกาสถึงขึ้นเป็นคนพิการได้เลยทีเดียว
กลุ่มโรค NCDs นี้ อาจารย์บอกว่ามันเป็นโรคชุด มาแบบเป็นแพคเกจ เวลาหายมันก็จะหายเป็นแพคเกจด้วยเหมือนกัน (คือ ดูแลตัวเองไม่ดี ก็มา 6 โรครวด พอดูแลตัวเองดีๆ มันก็หายไป 6 โรครวดเช่นกัน ไม่ได้ค่อยๆหายไปทีละโรคๆ) แต่ก็ต้องปฏิวัติตัวเองอย่างเคร่งครัด และถูกต้องด้วย
ซึ่งอาจารย์ก็ได้สรุปสิ่งที่ไม่ควรทำ และสิ่งที่ควรทำ ออกมาอย่างละ 5 ข้อ ให้เข้าใจง่ายๆ สำหรับคนที่อยากจะปฏิวัติตัวเองสู้โรค NCDs ดังนี้
สิ่งที่ไม่ควรทำ 5 ข้อ
1. จินตนาการเชิงลบ ต้องไม่คิดร้าย อิจฉาริษยา ไม่คิดกลัว ไม่คิดให้รู้สึกว่าชีวิตตกต่ำ (มันยากนะจารย์) เพราะความเครียดมีผลต่อจิตใจ แล้วจิตใจก็ส่งผลต่อร่างกาย ถ้าเมื่อไหร่เราคิดลบ ต้องรีบวางให้เร็ว
2. ห้ามอ้วน (ยากปะล่ะ อิอิ) พยายามทำให้น้ำหนักลดลง หรือให้คงที่ไม่สูงเกินค่าอ้วน
3. ห้ามรับประทานน้ำตาล เพราะน้ำตาลจะเป็นตัวเร่งให้เราป่วย น้ำตาลเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกาย แต่มันจะอันตรายถ้ารับประทานมากเกินไป เช่น ใน 1 ชั่วโมง ร่างกายควรมีน้ำตาลในเลือดประมาณครี่งช้อนชา แต่เราบริโภคน้ำอัดลมที่มีปริมาณน้ำตาล 8 ช้อนชา หรือชาเขียวที่มี 15 ช้อนชา ภายในเวลา 5 นาที (ยกซดพรวด หมดขวด) น้ำตาลเราก็สูงขึ้นทันที และเกิดการทำลายในร่างกายทันทีโดยที่ไม่รู้สึกเจ็บปวด และด้วยความหวานที่ได้รับ เรากลับรู้สึกสดชื่นแทน เราก็เลยติดนิสัยทานหวานกันเป็นประจำ จนมันค่อยๆสะสมจนอันตรายในระยะยาว ไม่ใช่แค่น้ำอัดลม หรือชาเขียวนะครับ เอาง่ายๆว่า พวกที่มีน้ำตาล ผลไม้รสหวานก็มีความเสี่ยงครับ
4. งด TRANS FAT หรือน้ำมันที่ผ่านการแปรรูปแล้ว (ผ่านความร้อนล่ะมั้ง ไม่แน่ใจนะครับ) .. ของทอด ของผัดที่ใช้น้ำมันผ่านการแปรรูปแล้วนั่นเอง ซึ่งไขมันที่ผ่านการแปรรูปแล้ว ร่างกายของเราจะไม่รู้จัก ทำให้ต้องมีการจัดการดูแล แล้วก็เป็นไขมันตกค้างในกระแสเลือด เสี่ยงโรคไขมันอุดตันได้ .. TRANS FAT อีกอย่างคือ น้ำตาลเทียม ซึ่งก็อันตรายไม่แพ้น้ำมันที่ผ่านการแปรรูปแล้ว (ข้อ TRAND FAT นี่ ผมไม่เข้าใจที่สุดละ ยังไงก็หาข้อมูลเพิ่มเติมดูนะครับ)
5. งดโปรตีนจากสัตว์ใหญ่ หรือเนื้อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนั่นเอง หมู วัว แกะ แพะ ฯลฯ ซึ่งเนื้อสัตว์พวกนี้ใช้เวลาย่อยในร่างกายเราถึง 3 วันเลย (จริงดิ ?) แต่ไม่ได้ห้ามกินนะครับ กินได้ แต่ในปริมาณที่พอเหมาะ แล้วหันไปกินพวกสัตว์น้ำแทน (เอ...แล้วไก่ กับเป็ด อยู่หมวดไหน กินได้มั้ยหว่า จารย์ไม่บอกเลย)
สิ่งที่ควรทำ 5 ข้อ
1. กินผัก โดยธรรมชาติมนุษย์เราเป็นสัตว์กินผัก (แต่หลังๆมาเริ่มโหด กินเนื้อด้วย) กินพวกผักกินใบจะดีที่สุด กินก้าน กินต้น ยังไม่ดีเท่ากินใบ ยิ่งกินสดยิ่งดี เคี้ยวให้ละเอียดด้วย กินกับน้ำพริก อร่อยสุดๆ
2. รับประทานข้าวกล้องจำนวนลดลงเมื่ออายุมากขึ้น (เดี๋ยวรับประทาน เดี๋ยวกิน ใช้ 2 คำสลับไปมา ดูอินเตอร์ เหมือนไทยคำ อังกฤษคำเลยเนาะ) เพราะคนเราจะเริ่มใช้พลังงานลดลงเมื่ออายุ 30 ขึ้นไป จากอายุ 30 ที่กินมื้อละ 2 ทัพพี พออายุ 40 ก็ลดลงเหลือมื้อละทัพพีครึ่ง พออายุ 50 ก็เหลือ 1 ทัพพี พออายุ 70 ก็ไม่ต้องกินละ เฮ้ย ไม่ใช่ ก็กินได้ แต่น้อยๆ แล้วไปเน้นกินผัก กินผลไม้ที่ไม่หวานทดแทน
3. ออกกำลังกาย วันละอย่างน้อย 30 นาที เป็นมาตรฐานสากลทั่วโลกเลย อย่างน้อย 30 นาที
4. นอนหลับอย่างน้อยวันละ 4 ชั่วโมง เวลาที่ดีที่สุดคือ สี่ทุ่ม ถึง ตีสอง .. คนอายุน้อยๆจะหลับได้นานกว่าคนอายุเยอะๆ เพราะร่างกายต้องซ่อมแซม และเจริญเติบโต สังเกตได้ว่า ยิ่งอายุเยอะ จะยิ่งตื่นเร็ว บางคนตื่นตี 2-3 อย่าตกใจ มันเป็นเพราะ ร่างกายเราซ่อมแซมเสร็จแล้ว มันก็ตื่น ไม่ต้องตกใจไปหาหมอ มันเป็นปกติของร่างกาย พอตื่นก็หลับต่อได้ (แต่ถ้ายังไม่แก่ แล้วตื่นกลางดึกบ่อยๆ อันนี้ก็หาหมอเถอะครับ) ส่วนเด็กๆนี่ ควรนอนเยอะๆ เพราะร่างกายต้องการการเจริญเติบโตในเวลานอนหลับอย่างมาก 8 ชั่วโมง นอนไปเลยเต็มที่
5. จินตนาการเชิงบวก คิดบวกให้มากๆ เราแข็งแรง เราไม่ป่วย คิดดีๆต่อคนอื่น แล้วมันจะส่งผลดีต่อจิตใจ แล้วจิตใจก็ทำให้ร่างกายสดชื่น มีแรง
อ่านกันจบแล้ว ก็ดูท่าทางจะยากใช่มั้ยล่ะครับ ผมบอกได้เลยว่า ผมอ่านแล้ว ผมยังมึนตึ๊บเลยครับ ว่าจะทำได้แบบอาจารย์ไหวเหรอ แต่เอาจริงๆแล้วก็ไม่ต้องทำแบบอาจารย์หมดหรอกครับ แค่เอาเป็นแนวคิด แนวทางก็พอแล้ว
อ่านแล้วก็ลองมาย้อนดูตัวเอง ว่าในตอนนี้เรามีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแบบไหน มองดูตัวเองว่า ส่วนไหนควรปรับเปลี่ยนเพื่อสู้กลุ่มโรค NCDs ส่วนไหนปรับได้ก็ปรับ ส่วนไหนปรับไม่ได้ก็ลดลงก็ยังดี น้ำอัดลมเคยกินบ่อยๆ ก็ลดลง เนื้อสัตว์ที่กินแทบทุกมื้อ ก็ลดลงหันไปกินผัก กินปลาแทน ข้าวที่กินเป็นข้าวขาว ก็ลองหาข้าวกล้องกิน มีอีกเยอะครับ ที่เราค่อยๆปรับเปลี่ยนเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเองได้ครับ
ผมเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากจะมีสุขภาพที่ดี ห่างไกลกลุ่มโรค NCDs นะครับ สู้ๆ
24 พ.ค. 2559
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้มีโอกาสดูรายการปากโป้ง ทางช่อง 8 ครับ ซึ่งในรายการได้เชิญบุคคลที่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะป่วยเป็นโรค NCDs ได้ บุคคลที่ว่าคือ นายแพทย์บุญชัย อิศราพิสิษฐ์ (ค้นในกูเกิล ท่านดังไม่น้อยเลย) ท่านป่วยเป็นโรค NCDs แต่ท่านห่างไกลจากโรคนี้ได้สำเร็จ ด้วยการปฏิวัติตัวเองโดยไม่พึ่งยารักษาโรคครับ (ขนาดแพทย์ยังป่วย แล้วเราจะรออะไรล่ะ) แต่ก่อนที่จะไปดูว่าท่านป่วยเป็นอะไรบ้าง แล้วปฏิวัติตัวเองยังไง ผมขอเชิญทุกท่านไปพบกับโรค NCDs ก่อนละกันนะครับ
กลุ่มโรค NCDs (Non-Communicable diseases) หรือชื่อภาษาไทยว่า กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เป็นชื่อเรียก กลุ่มโรคที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค ไม่สามารถติดต่อผ่านการสัมผัส คลุกคลี หรือติดต่อผ่านตัวนำโรค(พาหะ) หรือสารคัดหลั่งต่างๆ หากแต่เกิดจากปัจจัยต่างๆภายในร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากไลฟ์สไตล์ วิธีการใช้ชีวิต ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงอย่างเหล้า บุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย อาหารหวานมันเค็มจัด และมีความเครียด (ข้อมูลเพิ่มเติม ที่นี่...คลิกเลย)
หลังจากที่รู้จักกลุ่มโรค NCDs คร่าวๆไปแล้ว ทีนี้มาดูว่า นายแพทย์ (ขอเรียกว่า อาจารย์ แทนนะครับ) ป่วยเป็นโรคอะไรบ้างกันครับ ซึ่งอาจารย์ป่วย 6 โรคดังนี้
1. เบาหวาน น้ำตาลสูงเกือบ 300 ซึ่งโดยปกติต้องไม่เกิน 100
2. ความดันโลหิตสูง
3. ไขมันในเลือดผิดปกติ มีโอกาสจะไปอุดตันหลอดเลือดได้
4. ตับอักเสบ มีไขมันไปแทรกในตับ ทำให้ตับมีการสลายเอนไซม์ออกมาเยอะแยะไปหมด
5. โรคอ้วน ด้วยน้ำหนักถึง 114 กิโลกรัม
6. เลือดข้นเกิน มีปริมาณเม็ดเลือดแดงมากเกินไป
อาจารย์ชี้แจงเพิ่มเติมว่า การทานยาในปัจจุบันสำหรับกลุ่มโรค NCDs นั้น ไม่มีทางรักษาหาย (จริงดิจารย์ ?) เราทานเพื่อบังคับไม่ให้โรคแสดงอาการเท่านั้น แต่โรคไม่ได้หายไป และต้องทานยาตลอดชีวิตอีกด้วย ในระยะยาวสุขภาพเรามีการขึ้นๆลงๆ หากทานยาไม่ครบ ไม่ตรงเวลา ก็มีโอกาสถึงขึ้นเป็นคนพิการได้เลยทีเดียว
กลุ่มโรค NCDs นี้ อาจารย์บอกว่ามันเป็นโรคชุด มาแบบเป็นแพคเกจ เวลาหายมันก็จะหายเป็นแพคเกจด้วยเหมือนกัน (คือ ดูแลตัวเองไม่ดี ก็มา 6 โรครวด พอดูแลตัวเองดีๆ มันก็หายไป 6 โรครวดเช่นกัน ไม่ได้ค่อยๆหายไปทีละโรคๆ) แต่ก็ต้องปฏิวัติตัวเองอย่างเคร่งครัด และถูกต้องด้วย
ซึ่งอาจารย์ก็ได้สรุปสิ่งที่ไม่ควรทำ และสิ่งที่ควรทำ ออกมาอย่างละ 5 ข้อ ให้เข้าใจง่ายๆ สำหรับคนที่อยากจะปฏิวัติตัวเองสู้โรค NCDs ดังนี้
สิ่งที่ไม่ควรทำ 5 ข้อ
1. จินตนาการเชิงลบ ต้องไม่คิดร้าย อิจฉาริษยา ไม่คิดกลัว ไม่คิดให้รู้สึกว่าชีวิตตกต่ำ (มันยากนะจารย์) เพราะความเครียดมีผลต่อจิตใจ แล้วจิตใจก็ส่งผลต่อร่างกาย ถ้าเมื่อไหร่เราคิดลบ ต้องรีบวางให้เร็ว
2. ห้ามอ้วน (ยากปะล่ะ อิอิ) พยายามทำให้น้ำหนักลดลง หรือให้คงที่ไม่สูงเกินค่าอ้วน
3. ห้ามรับประทานน้ำตาล เพราะน้ำตาลจะเป็นตัวเร่งให้เราป่วย น้ำตาลเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกาย แต่มันจะอันตรายถ้ารับประทานมากเกินไป เช่น ใน 1 ชั่วโมง ร่างกายควรมีน้ำตาลในเลือดประมาณครี่งช้อนชา แต่เราบริโภคน้ำอัดลมที่มีปริมาณน้ำตาล 8 ช้อนชา หรือชาเขียวที่มี 15 ช้อนชา ภายในเวลา 5 นาที (ยกซดพรวด หมดขวด) น้ำตาลเราก็สูงขึ้นทันที และเกิดการทำลายในร่างกายทันทีโดยที่ไม่รู้สึกเจ็บปวด และด้วยความหวานที่ได้รับ เรากลับรู้สึกสดชื่นแทน เราก็เลยติดนิสัยทานหวานกันเป็นประจำ จนมันค่อยๆสะสมจนอันตรายในระยะยาว ไม่ใช่แค่น้ำอัดลม หรือชาเขียวนะครับ เอาง่ายๆว่า พวกที่มีน้ำตาล ผลไม้รสหวานก็มีความเสี่ยงครับ
4. งด TRANS FAT หรือน้ำมันที่ผ่านการแปรรูปแล้ว (ผ่านความร้อนล่ะมั้ง ไม่แน่ใจนะครับ) .. ของทอด ของผัดที่ใช้น้ำมันผ่านการแปรรูปแล้วนั่นเอง ซึ่งไขมันที่ผ่านการแปรรูปแล้ว ร่างกายของเราจะไม่รู้จัก ทำให้ต้องมีการจัดการดูแล แล้วก็เป็นไขมันตกค้างในกระแสเลือด เสี่ยงโรคไขมันอุดตันได้ .. TRANS FAT อีกอย่างคือ น้ำตาลเทียม ซึ่งก็อันตรายไม่แพ้น้ำมันที่ผ่านการแปรรูปแล้ว (ข้อ TRAND FAT นี่ ผมไม่เข้าใจที่สุดละ ยังไงก็หาข้อมูลเพิ่มเติมดูนะครับ)
5. งดโปรตีนจากสัตว์ใหญ่ หรือเนื้อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนั่นเอง หมู วัว แกะ แพะ ฯลฯ ซึ่งเนื้อสัตว์พวกนี้ใช้เวลาย่อยในร่างกายเราถึง 3 วันเลย (จริงดิ ?) แต่ไม่ได้ห้ามกินนะครับ กินได้ แต่ในปริมาณที่พอเหมาะ แล้วหันไปกินพวกสัตว์น้ำแทน (เอ...แล้วไก่ กับเป็ด อยู่หมวดไหน กินได้มั้ยหว่า จารย์ไม่บอกเลย)
สิ่งที่ควรทำ 5 ข้อ
1. กินผัก โดยธรรมชาติมนุษย์เราเป็นสัตว์กินผัก (แต่หลังๆมาเริ่มโหด กินเนื้อด้วย) กินพวกผักกินใบจะดีที่สุด กินก้าน กินต้น ยังไม่ดีเท่ากินใบ ยิ่งกินสดยิ่งดี เคี้ยวให้ละเอียดด้วย กินกับน้ำพริก อร่อยสุดๆ
2. รับประทานข้าวกล้องจำนวนลดลงเมื่ออายุมากขึ้น (เดี๋ยวรับประทาน เดี๋ยวกิน ใช้ 2 คำสลับไปมา ดูอินเตอร์ เหมือนไทยคำ อังกฤษคำเลยเนาะ) เพราะคนเราจะเริ่มใช้พลังงานลดลงเมื่ออายุ 30 ขึ้นไป จากอายุ 30 ที่กินมื้อละ 2 ทัพพี พออายุ 40 ก็ลดลงเหลือมื้อละทัพพีครึ่ง พออายุ 50 ก็เหลือ 1 ทัพพี พออายุ 70 ก็ไม่ต้องกินละ เฮ้ย ไม่ใช่ ก็กินได้ แต่น้อยๆ แล้วไปเน้นกินผัก กินผลไม้ที่ไม่หวานทดแทน
3. ออกกำลังกาย วันละอย่างน้อย 30 นาที เป็นมาตรฐานสากลทั่วโลกเลย อย่างน้อย 30 นาที
4. นอนหลับอย่างน้อยวันละ 4 ชั่วโมง เวลาที่ดีที่สุดคือ สี่ทุ่ม ถึง ตีสอง .. คนอายุน้อยๆจะหลับได้นานกว่าคนอายุเยอะๆ เพราะร่างกายต้องซ่อมแซม และเจริญเติบโต สังเกตได้ว่า ยิ่งอายุเยอะ จะยิ่งตื่นเร็ว บางคนตื่นตี 2-3 อย่าตกใจ มันเป็นเพราะ ร่างกายเราซ่อมแซมเสร็จแล้ว มันก็ตื่น ไม่ต้องตกใจไปหาหมอ มันเป็นปกติของร่างกาย พอตื่นก็หลับต่อได้ (แต่ถ้ายังไม่แก่ แล้วตื่นกลางดึกบ่อยๆ อันนี้ก็หาหมอเถอะครับ) ส่วนเด็กๆนี่ ควรนอนเยอะๆ เพราะร่างกายต้องการการเจริญเติบโตในเวลานอนหลับอย่างมาก 8 ชั่วโมง นอนไปเลยเต็มที่
5. จินตนาการเชิงบวก คิดบวกให้มากๆ เราแข็งแรง เราไม่ป่วย คิดดีๆต่อคนอื่น แล้วมันจะส่งผลดีต่อจิตใจ แล้วจิตใจก็ทำให้ร่างกายสดชื่น มีแรง
อ่านกันจบแล้ว ก็ดูท่าทางจะยากใช่มั้ยล่ะครับ ผมบอกได้เลยว่า ผมอ่านแล้ว ผมยังมึนตึ๊บเลยครับ ว่าจะทำได้แบบอาจารย์ไหวเหรอ แต่เอาจริงๆแล้วก็ไม่ต้องทำแบบอาจารย์หมดหรอกครับ แค่เอาเป็นแนวคิด แนวทางก็พอแล้ว
อ่านแล้วก็ลองมาย้อนดูตัวเอง ว่าในตอนนี้เรามีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแบบไหน มองดูตัวเองว่า ส่วนไหนควรปรับเปลี่ยนเพื่อสู้กลุ่มโรค NCDs ส่วนไหนปรับได้ก็ปรับ ส่วนไหนปรับไม่ได้ก็ลดลงก็ยังดี น้ำอัดลมเคยกินบ่อยๆ ก็ลดลง เนื้อสัตว์ที่กินแทบทุกมื้อ ก็ลดลงหันไปกินผัก กินปลาแทน ข้าวที่กินเป็นข้าวขาว ก็ลองหาข้าวกล้องกิน มีอีกเยอะครับ ที่เราค่อยๆปรับเปลี่ยนเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเองได้ครับ
ผมเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากจะมีสุขภาพที่ดี ห่างไกลกลุ่มโรค NCDs นะครับ สู้ๆ
ตอนที่ 128 (บทความ) _ เกาะสีชัง
เกาะสีชัง
30 มี.ค. 2559
จากที่ผมได้ไปเที่ยวเกาะสีชังมาแล้ว 2 ครั้ง ทำให้ผมเริ่มจะชอบเกาะแห่งนี้ซะแล้วสิครับ เกาะสีชังเป็นเกาะเล็กๆ มีชายหาดให้ลงเล่นน้ำอย่างสนุกสนานเพียง 1 หาดถ้วน แต่ด้วยความสงบที่ถูกใจผม ผมเลยเริ่มชอบเกาะนี้ซะแล้ว (รู้สึกเหมือนเขียนวนๆเนอะ)
ไหนๆก็เริ่มชอบแล้ว ก็เลยขอเขียนถึงสักหน่อยดีกว่า ในช่วงแรกก็จะเป็นข้อมูลที่หาจากในอินเตอร์เน็ตมาบอกกล่าวกันนะครับ แล้วในช่วงที่สองก็จะเป็นประสบการณ์ตรงจากผม ว่าทำไมผมเริ่มจะชอบที่นี่แล้ว
อำเภอเกาะสีชัง หรือ เกาะสีชัง ที่เรานิยมเรียกกันนั้น เป็นเกาะขนาดเล็ก มีเนื้อที่ประมาณ 7.9 ตารางกิโลเมตร มีจำนวนประชากรประมาณ 5,400 คน เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ในอ่าวไทย นอกชายฝั่งอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นอำเภอที่เล็กที่สุดในประเทศไทย (จะไม่เล็กได้ไง มีเนื้อที่แค่ 7.9 ตารางกิโลเมตรเอง)
เกาะสีชัง มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เกาะหนึ่งของประเทศไทย เนื่องจากเคยเป็นสถานที่เสด็จประพาส และเป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินของกรุงรัตนโกสินทร์ถึง 3 พระองค์ ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ประสูติพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (เจ้าฟ้าจุฑาธุชฯ) และสร้างพระจุฑาธุชราฐาน ณ เกาะแห่งนี้อีกด้วย ซึ่งทำให้เกาะสีชังเป็นเพียงเกาะเดียวในประเทศไทยที่มีพระราชวัง หรือเขตพระราชฐานตั้งอยู่ (เจ้าฟ้าจุฑาธุชฯ คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชชราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย) **ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ส่วนที่มาของชื่อ สีชัง ผมไม่ขอเขียนถึงนะครับ ให้ไปหาคำตอบกันเอาเองนะ เอาเป็นว่าข้อมูลสำคัญต่างๆที่น่าสนใจ (หรือผมสนใจกันแน่) ก็มีเพียงเท่านี้นะครับ ต่อไปผมจะเข้าสู่ประสบการณ์ของผมล่ะ
เกาะสีชัง เป็นเกาะเล็กๆ และด้วยความเล็กนี่แหละมันจึงสงบ ถนนบนเกาะมีเพียงแค่เส้นเดียว วิ่งวนรอบเกาะ รับรองเลยว่าคุณจะไม่มีวันหลงทางบนเกาะจนต้องนอนค้างคืนในป่าแน่นอน (จะละครไปหน่อยมั้ย) เพราะวิ่งๆไปมันก็จะโผล่ที่เดิมที่เคยผ่านมาแล้ว รถบนเกาะจะเป็นมอเตอร์ไซค์ซะส่วนใหญ่ เท่าที่ไปมา 2 ครั้ง ผมยังแทบไม่เห็นรถยนต์เลยครับ (ไปครั้งหน้า จะลองเช่าจักรยานปั่นดูบ้าง)
จริงๆเกาะแห่งนี้เป็นเกาะหินล่ะมั้งครับ เพราะมีหน้าผาสูงอยู่หลายจุดเลย ต้องบอกว่าเวลาเดินริมๆหน้าผาต้องระวังน่าดู เพราะถ้าพลาดตกหน้าผาล่ะก็นะ เป็นอาหารปลาแน่นอน หาดบนเกาะจริงๆที่ผมเห็น มีอยู่ 3 แห่ง แต่ 2 แห่งจะเป็นหาดเล็กๆ และมีหินปะปนอยู่มาก เลยไม่เหมาะที่จะลงเล่นสักเท่าไหร่ ส่วนหาดใหญ่ที่สุดของเกาะคือ หาดถ้ำพัง ถึงจะใหญ่ที่สุดของเกาะ แต่ก็ถือว่าเล็กนะ ถ้าเทียบกับหาดที่มีชื่อเสียงที่อื่นๆ
ที่พักที่ผมไปพักนั้นติดกับหาดถ้ำพังเลย บางวันลมก็เลยแร๊งแรง แรงจนเสื้อผ้าที่ตากไว้ ปลิวตกกระจายเลย แต่บางวันก็นะ เงียบกริบ ลมนิ่งสนิทเลย แปลกดีเหมือนกันนะลมทะเลเนี่ย นึกว่ามันจะมีพัดตลอดซะอีก (อาจจะเป็นเรื่องปกติก็ได้ แต่ผมไม่คุ้นไง นานๆไปเที่ยวสักที)
สำหรับการเดินทาง ถ้าใครอยากจะเดินทางชิลๆ ไม่เร่งรีบ ไม่นั่งเบียดๆในรถตู้ ผมแนะนำขึ้นรถทัวร์เลยครับ กินเวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมงยี่สิบนาที ถึง สามชั่วโมง แต่ขอบอกเลยว่า รถทัวร์โล่งครับ นั่งชิลๆมาก นั่งคนละเบาะ ยังเหลือที่นั่งอีกเพียบ (หรือผมไปวันธรรมดา มันเลยโล่งก็ไม่รู้นะ ฮ่าาาา)
ไปมาแล้ว 2 ครั้ง มันก็ต้องมีสิ่งที่ผมคาใจล่ะครับ สิ่งที่ผมคาใจก็คือ มันมีสิ่งก่อสร้างที่ถูกทิ้งร้างหลายแห่งเลยครับ อาคารบางหลังถูกทิ้งทั้งๆที่อยู่ในช่วงกำลังก่อสร้าง บางหลังสร้างเสร็จแล้ว แต่ก็ไม่ได้ใช้งาน ถูกทิ้งร้างก็มี ผมไม่รู้สาเหตุจริงๆที่มันถูกหยุดการก่อสร้าง หรือถูกทิ้งร้างนะครับ แต่ถ้าะจะให้ผมเดานะ ผมคิดว่ามันน่าจะเกิดจากการเติบโตของการท่องเที่ยวในแหล่งอื่นๆ ทำให้เกาะสีชังที่กำลังพัฒนา ถูกมองข้ามไป คนเลยมาเที่ยวน้อยลง ทุกอย่างก็เลยเหมือนถูกหยุดไว้ครับ
แต่มันก็แค่เดานะครับ ซึ่งผมอาจจะเดาผิดทั้งหมดเลยก็ได้ เรื่องนี้ยังคงคาใจผมต่อไป แต่ถึงจะคาใจ ผมก็ยังจะไปเที่ยวอยู่ดีครับ แล้วสักวันหนึ่ง ผมก็อาจจะสอบถามจากคนบนเกาะดูก็ได้ ว่าทำไมสิ่งก่อสร้างหลายๆแห่ง มันถึงถูกหยุด และทิ้งร้าง
ก็คงจะเขียนถึงเกาะสีชังเพียงเท่านี้ก่อนนะครับ ถ้าใครชอบความสงบล่ะก็นะ ลองไปเที่ยวดูครับ เผื่อจะติดใจเหมือนผมก็ได้นะ
ปล. ข้าวผัดปูที่นี่ เนื้อปูเยอะครับ ต้องลอง ฮ่าๆๆ
30 มี.ค. 2559
จากที่ผมได้ไปเที่ยวเกาะสีชังมาแล้ว 2 ครั้ง ทำให้ผมเริ่มจะชอบเกาะแห่งนี้ซะแล้วสิครับ เกาะสีชังเป็นเกาะเล็กๆ มีชายหาดให้ลงเล่นน้ำอย่างสนุกสนานเพียง 1 หาดถ้วน แต่ด้วยความสงบที่ถูกใจผม ผมเลยเริ่มชอบเกาะนี้ซะแล้ว (รู้สึกเหมือนเขียนวนๆเนอะ)
ไหนๆก็เริ่มชอบแล้ว ก็เลยขอเขียนถึงสักหน่อยดีกว่า ในช่วงแรกก็จะเป็นข้อมูลที่หาจากในอินเตอร์เน็ตมาบอกกล่าวกันนะครับ แล้วในช่วงที่สองก็จะเป็นประสบการณ์ตรงจากผม ว่าทำไมผมเริ่มจะชอบที่นี่แล้ว
อำเภอเกาะสีชัง หรือ เกาะสีชัง ที่เรานิยมเรียกกันนั้น เป็นเกาะขนาดเล็ก มีเนื้อที่ประมาณ 7.9 ตารางกิโลเมตร มีจำนวนประชากรประมาณ 5,400 คน เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ในอ่าวไทย นอกชายฝั่งอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นอำเภอที่เล็กที่สุดในประเทศไทย (จะไม่เล็กได้ไง มีเนื้อที่แค่ 7.9 ตารางกิโลเมตรเอง)
เกาะสีชัง มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เกาะหนึ่งของประเทศไทย เนื่องจากเคยเป็นสถานที่เสด็จประพาส และเป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินของกรุงรัตนโกสินทร์ถึง 3 พระองค์ ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ประสูติพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (เจ้าฟ้าจุฑาธุชฯ) และสร้างพระจุฑาธุชราฐาน ณ เกาะแห่งนี้อีกด้วย ซึ่งทำให้เกาะสีชังเป็นเพียงเกาะเดียวในประเทศไทยที่มีพระราชวัง หรือเขตพระราชฐานตั้งอยู่ (เจ้าฟ้าจุฑาธุชฯ คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชชราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย) **ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ส่วนที่มาของชื่อ สีชัง ผมไม่ขอเขียนถึงนะครับ ให้ไปหาคำตอบกันเอาเองนะ เอาเป็นว่าข้อมูลสำคัญต่างๆที่น่าสนใจ (หรือผมสนใจกันแน่) ก็มีเพียงเท่านี้นะครับ ต่อไปผมจะเข้าสู่ประสบการณ์ของผมล่ะ
เกาะสีชัง เป็นเกาะเล็กๆ และด้วยความเล็กนี่แหละมันจึงสงบ ถนนบนเกาะมีเพียงแค่เส้นเดียว วิ่งวนรอบเกาะ รับรองเลยว่าคุณจะไม่มีวันหลงทางบนเกาะจนต้องนอนค้างคืนในป่าแน่นอน (จะละครไปหน่อยมั้ย) เพราะวิ่งๆไปมันก็จะโผล่ที่เดิมที่เคยผ่านมาแล้ว รถบนเกาะจะเป็นมอเตอร์ไซค์ซะส่วนใหญ่ เท่าที่ไปมา 2 ครั้ง ผมยังแทบไม่เห็นรถยนต์เลยครับ (ไปครั้งหน้า จะลองเช่าจักรยานปั่นดูบ้าง)
จริงๆเกาะแห่งนี้เป็นเกาะหินล่ะมั้งครับ เพราะมีหน้าผาสูงอยู่หลายจุดเลย ต้องบอกว่าเวลาเดินริมๆหน้าผาต้องระวังน่าดู เพราะถ้าพลาดตกหน้าผาล่ะก็นะ เป็นอาหารปลาแน่นอน หาดบนเกาะจริงๆที่ผมเห็น มีอยู่ 3 แห่ง แต่ 2 แห่งจะเป็นหาดเล็กๆ และมีหินปะปนอยู่มาก เลยไม่เหมาะที่จะลงเล่นสักเท่าไหร่ ส่วนหาดใหญ่ที่สุดของเกาะคือ หาดถ้ำพัง ถึงจะใหญ่ที่สุดของเกาะ แต่ก็ถือว่าเล็กนะ ถ้าเทียบกับหาดที่มีชื่อเสียงที่อื่นๆ
ที่พักที่ผมไปพักนั้นติดกับหาดถ้ำพังเลย บางวันลมก็เลยแร๊งแรง แรงจนเสื้อผ้าที่ตากไว้ ปลิวตกกระจายเลย แต่บางวันก็นะ เงียบกริบ ลมนิ่งสนิทเลย แปลกดีเหมือนกันนะลมทะเลเนี่ย นึกว่ามันจะมีพัดตลอดซะอีก (อาจจะเป็นเรื่องปกติก็ได้ แต่ผมไม่คุ้นไง นานๆไปเที่ยวสักที)
สำหรับการเดินทาง ถ้าใครอยากจะเดินทางชิลๆ ไม่เร่งรีบ ไม่นั่งเบียดๆในรถตู้ ผมแนะนำขึ้นรถทัวร์เลยครับ กินเวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมงยี่สิบนาที ถึง สามชั่วโมง แต่ขอบอกเลยว่า รถทัวร์โล่งครับ นั่งชิลๆมาก นั่งคนละเบาะ ยังเหลือที่นั่งอีกเพียบ (หรือผมไปวันธรรมดา มันเลยโล่งก็ไม่รู้นะ ฮ่าาาา)
ไปมาแล้ว 2 ครั้ง มันก็ต้องมีสิ่งที่ผมคาใจล่ะครับ สิ่งที่ผมคาใจก็คือ มันมีสิ่งก่อสร้างที่ถูกทิ้งร้างหลายแห่งเลยครับ อาคารบางหลังถูกทิ้งทั้งๆที่อยู่ในช่วงกำลังก่อสร้าง บางหลังสร้างเสร็จแล้ว แต่ก็ไม่ได้ใช้งาน ถูกทิ้งร้างก็มี ผมไม่รู้สาเหตุจริงๆที่มันถูกหยุดการก่อสร้าง หรือถูกทิ้งร้างนะครับ แต่ถ้าะจะให้ผมเดานะ ผมคิดว่ามันน่าจะเกิดจากการเติบโตของการท่องเที่ยวในแหล่งอื่นๆ ทำให้เกาะสีชังที่กำลังพัฒนา ถูกมองข้ามไป คนเลยมาเที่ยวน้อยลง ทุกอย่างก็เลยเหมือนถูกหยุดไว้ครับ
แต่มันก็แค่เดานะครับ ซึ่งผมอาจจะเดาผิดทั้งหมดเลยก็ได้ เรื่องนี้ยังคงคาใจผมต่อไป แต่ถึงจะคาใจ ผมก็ยังจะไปเที่ยวอยู่ดีครับ แล้วสักวันหนึ่ง ผมก็อาจจะสอบถามจากคนบนเกาะดูก็ได้ ว่าทำไมสิ่งก่อสร้างหลายๆแห่ง มันถึงถูกหยุด และทิ้งร้าง
ก็คงจะเขียนถึงเกาะสีชังเพียงเท่านี้ก่อนนะครับ ถ้าใครชอบความสงบล่ะก็นะ ลองไปเที่ยวดูครับ เผื่อจะติดใจเหมือนผมก็ได้นะ
ปล. ข้าวผัดปูที่นี่ เนื้อปูเยอะครับ ต้องลอง ฮ่าๆๆ
ตอนที่ 127 (บทความ) _ ผีหรรษา (หาสาระไม่ได้)
ผีหรรษา (หาสาระไม่ได้)
11 มี.ค. 2559
ผีมีจริงรึเปล่า คำตอบอาจจะครึ่งๆ แต่ที่แน่ๆคือ ถ้าใครเจอผีก็มีกลัวกันล่ะ ส่วนหนึ่งอาจจะวิ่งป่าราบ ส่วนหนึ่งอาจจะกลัวจนสลบ แต่เชื่อสิว่าจะมีส่วนหนึ่ง..ขอหวย (นั่นไง เริ่มไร้สาระแล้ว มันจะมีเหรอ)
ส่วนมากผีจะมาให้หวยในฝัน แล้วประเด็นมันอยู่ที่ ผีเข้าฝันได้ยังไง, ผีให้วยทำไม ทำไมไม่หลอก ผีบางตัวให้ถูก แต่ส่วนมากให้ไม่ถูก, ผีรู้เลขหวยได้ยังไง หรือมันเป็นเซ้นส์ของคนชอบเล่นหวยกันแน่ และผีจะเสียใจมั้ยนะ ที่ตอนเป็นคนเล่นหวยไม่ถูก แต่ตอนเป็นผีดันให้หวยถูกซะงั้น
ผีเข้าฝันได้ยังไง นั่นน่ะสิ มันเข้าทางไหน ฝันมีประตู-หน้าต่างหรือไงกัน หรือผีมีพลังวิเศษ หายตัวแวบเข้าไปในฝันได้เลย หรือจะบอกว่าคนที่ฝันเห็นผีนั้น เป็นผีคนรู้จัก ผีเลยเข้าไปในฝันได้ อืม...เท่าที่รู้มา เห็นบอกว่าเป็นผีใครก็ไม่รู้ หรือฝันมีบลูทูธ ผีเลยเชื่อมต่อบลูทูธเข้าไป (ไปหมดละสมอง) แล้วตกลงว่าผีเข้าฝันได้ยังไง เป็นปริศนาพอๆกับ เดจาวู ใช่มั้ยเนี่ย
ผีให้หวยทำไม ทำไมผีไม่หลอก โดยปกติผีต้องหลอกให้คนกลัวสิใช่มั้ยครับ ? (ผีนี่ก็โรคจิตเนอะ ชอบหลอกคนให้กลัว แล้วมันได้อะไรว้าถ้าคนกลัว หรือมันแค่สะใจ) แต่พอเข้าฝัน เอ้า ดันใจดีแจกเลขหวยซะงั้น หรือเพราะเข้าไปในฝัน พลังในการหลอกหลอนก็เลยลดลง (ใช้พลังมุดเข้าฝันไปเยอะ พลังหลอกเลยลดลง .. นั่นไง มโนอีกละ)
แล้วผีที่ให้หวยถูก มันถูกได้ยังไง ผีเห็นอนาคตเหรอ หรือว่าผีมีสังคมกันนะ "งวดนี้ตากูถูก คนที่กูให้หวยไปต้องถูกงวดนี้ พวกมึงหลบไป นี่ตากู!!!" แล้วผีก็จับเลขที่ต้องการออกมาเลย (เลขท้าย 2 ตัว เลขที่ออก....00) "เฮ้ ถูกหวยแล้ว ผีแม่นจริงๆ" (มันใช่เหรอ) หรือผีเห็นอนาคตจริงๆ ผีมีพลังวิเศษเหาะได้ หายตัวได้ เดินทะลุกำแพงได้ แล้วยังมีตาทิพย์มองเห็นอนาคตได้อีก เห็นใบตรวจหวยงวดถัดไป "อืม งวดหน้าเลขนี้สินะ เอาไปบอกคนดีกว่า" (มโนล้ำเลิศจริงๆ) แต่คิดดูดีๆอีกที ถ้าให้หวยไม่ถูกก็...นั่นไง ผีหลอก แต่มันไม่ได้หลอกให้กลัว มันหลอกให้เสียตังค์ต่างหาก (ผีนี่ แผนร้ายกาจมาก แถมยังใจร้ายอีก ไม่บอกเลขที่ถูกให้)
อีกประเด็นคือ ผีที่เข้าฝันให้หวยเนี่ย ตอนเป็นคนเล่นหวยมั้ยนะ ถ้าเล่นจะถูกหวยมั้ย หรือถ้าไม่ถูก แต่ตอนตายเป็นผีดันให้เลขถูกจะเสียใจมั้ย อันนี้่น่าคิดจริงๆ จะติดต่อสัมภาษณ์ผีได้ที่ไหน ใครรู้บอกที (เอาไปออกรายการ นมอวดผี เอ้ย คนอวดผี)
แล้วทำไมต้องให้หวยในฝันล่ะ ออกมาให้กันตรงๆตอนตื่นไม่ได้เหรอ จะได้คุยกันรู้เรื่องไง ว่าเอาเลขมาจากไหน หือ...อะไรนะ เคยออกมาแล้ว แต่คนวิ่งหนีป่าราบตลอดเลย เลยต้องเข้าฝันแทน ... อ่อ แบบนี้นี่เอง (มโนเก่งจริงๆ)
ก็ไม่รู้ล่ะนะครับว่าผีจะให้หวยแม่นมั้ย แต่เอาเป็นว่า เล่นหวยกันแต่พองามก็พอนะครับ อย่าเกินกำลังตัวเอง เพราะเล่นเยอะก็เจ็บตัวเยอะ (รู้น่า ว่าไม่ค่อยจะถูกกันสักเท่าไหร่หรอก) งวดไหนเจอเลขผีบอก ก็เล่นเพิ่มคูณสองก็พอ อย่าหักโหมคูณสิบ เพราะเกิดเจอผีหลอกขึ้นมา แล้วจะเจ็บหนัก (หวังดีนะเนี่ย)
ผมว่าจริงๆแล้ว คนที่ถูกหวยเพราะ ผีบอกเนี่ย เขาดวงดีมากกว่านะ จริงจริ๊งงงงง ไม่เชื่อถามผีดูสิครับ
11 มี.ค. 2559
ผีมีจริงรึเปล่า คำตอบอาจจะครึ่งๆ แต่ที่แน่ๆคือ ถ้าใครเจอผีก็มีกลัวกันล่ะ ส่วนหนึ่งอาจจะวิ่งป่าราบ ส่วนหนึ่งอาจจะกลัวจนสลบ แต่เชื่อสิว่าจะมีส่วนหนึ่ง..ขอหวย (นั่นไง เริ่มไร้สาระแล้ว มันจะมีเหรอ)
ส่วนมากผีจะมาให้หวยในฝัน แล้วประเด็นมันอยู่ที่ ผีเข้าฝันได้ยังไง, ผีให้วยทำไม ทำไมไม่หลอก ผีบางตัวให้ถูก แต่ส่วนมากให้ไม่ถูก, ผีรู้เลขหวยได้ยังไง หรือมันเป็นเซ้นส์ของคนชอบเล่นหวยกันแน่ และผีจะเสียใจมั้ยนะ ที่ตอนเป็นคนเล่นหวยไม่ถูก แต่ตอนเป็นผีดันให้หวยถูกซะงั้น
ผีเข้าฝันได้ยังไง นั่นน่ะสิ มันเข้าทางไหน ฝันมีประตู-หน้าต่างหรือไงกัน หรือผีมีพลังวิเศษ หายตัวแวบเข้าไปในฝันได้เลย หรือจะบอกว่าคนที่ฝันเห็นผีนั้น เป็นผีคนรู้จัก ผีเลยเข้าไปในฝันได้ อืม...เท่าที่รู้มา เห็นบอกว่าเป็นผีใครก็ไม่รู้ หรือฝันมีบลูทูธ ผีเลยเชื่อมต่อบลูทูธเข้าไป (ไปหมดละสมอง) แล้วตกลงว่าผีเข้าฝันได้ยังไง เป็นปริศนาพอๆกับ เดจาวู ใช่มั้ยเนี่ย
ผีให้หวยทำไม ทำไมผีไม่หลอก โดยปกติผีต้องหลอกให้คนกลัวสิใช่มั้ยครับ ? (ผีนี่ก็โรคจิตเนอะ ชอบหลอกคนให้กลัว แล้วมันได้อะไรว้าถ้าคนกลัว หรือมันแค่สะใจ) แต่พอเข้าฝัน เอ้า ดันใจดีแจกเลขหวยซะงั้น หรือเพราะเข้าไปในฝัน พลังในการหลอกหลอนก็เลยลดลง (ใช้พลังมุดเข้าฝันไปเยอะ พลังหลอกเลยลดลง .. นั่นไง มโนอีกละ)
แล้วผีที่ให้หวยถูก มันถูกได้ยังไง ผีเห็นอนาคตเหรอ หรือว่าผีมีสังคมกันนะ "งวดนี้ตากูถูก คนที่กูให้หวยไปต้องถูกงวดนี้ พวกมึงหลบไป นี่ตากู!!!" แล้วผีก็จับเลขที่ต้องการออกมาเลย (เลขท้าย 2 ตัว เลขที่ออก....00) "เฮ้ ถูกหวยแล้ว ผีแม่นจริงๆ" (มันใช่เหรอ) หรือผีเห็นอนาคตจริงๆ ผีมีพลังวิเศษเหาะได้ หายตัวได้ เดินทะลุกำแพงได้ แล้วยังมีตาทิพย์มองเห็นอนาคตได้อีก เห็นใบตรวจหวยงวดถัดไป "อืม งวดหน้าเลขนี้สินะ เอาไปบอกคนดีกว่า" (มโนล้ำเลิศจริงๆ) แต่คิดดูดีๆอีกที ถ้าให้หวยไม่ถูกก็...นั่นไง ผีหลอก แต่มันไม่ได้หลอกให้กลัว มันหลอกให้เสียตังค์ต่างหาก (ผีนี่ แผนร้ายกาจมาก แถมยังใจร้ายอีก ไม่บอกเลขที่ถูกให้)
อีกประเด็นคือ ผีที่เข้าฝันให้หวยเนี่ย ตอนเป็นคนเล่นหวยมั้ยนะ ถ้าเล่นจะถูกหวยมั้ย หรือถ้าไม่ถูก แต่ตอนตายเป็นผีดันให้เลขถูกจะเสียใจมั้ย อันนี้่น่าคิดจริงๆ จะติดต่อสัมภาษณ์ผีได้ที่ไหน ใครรู้บอกที (เอาไปออกรายการ นมอวดผี เอ้ย คนอวดผี)
แล้วทำไมต้องให้หวยในฝันล่ะ ออกมาให้กันตรงๆตอนตื่นไม่ได้เหรอ จะได้คุยกันรู้เรื่องไง ว่าเอาเลขมาจากไหน หือ...อะไรนะ เคยออกมาแล้ว แต่คนวิ่งหนีป่าราบตลอดเลย เลยต้องเข้าฝันแทน ... อ่อ แบบนี้นี่เอง (มโนเก่งจริงๆ)
ก็ไม่รู้ล่ะนะครับว่าผีจะให้หวยแม่นมั้ย แต่เอาเป็นว่า เล่นหวยกันแต่พองามก็พอนะครับ อย่าเกินกำลังตัวเอง เพราะเล่นเยอะก็เจ็บตัวเยอะ (รู้น่า ว่าไม่ค่อยจะถูกกันสักเท่าไหร่หรอก) งวดไหนเจอเลขผีบอก ก็เล่นเพิ่มคูณสองก็พอ อย่าหักโหมคูณสิบ เพราะเกิดเจอผีหลอกขึ้นมา แล้วจะเจ็บหนัก (หวังดีนะเนี่ย)
ผมว่าจริงๆแล้ว คนที่ถูกหวยเพราะ ผีบอกเนี่ย เขาดวงดีมากกว่านะ จริงจริ๊งงงงง ไม่เชื่อถามผีดูสิครับ
ตอนที่ 126 (บทความ) _ ทริปลาวใต้
ทริปลาวใต้
3 มี.ค. 2559
นี่เป็นการเดินทางไปต่างประเทศเป็นประเทศที่ 2 ในชีวิตเลยนะครับเนี่ย ประเทศแรกที่เคยไปก็คือ พม่า (ไกลจริงๆ) ก็ข้ามตรงด่านแม่สายไปซื้อของนั่นแหละ เพราะฉะนั้นการไปลาว (ไกลอีกละ) ก็ถือว่าเป็นการเดินทางไปต่างประเทศเป็นประเทศที่ 2 ได้นะครับ
การไปเที่ยวลาวใต้ครั้งนี้ ก็ไปกับทริปของบริษัทอีกครั้งหนึ่ง โดยผมก็พกแฟนไปด้วยเหมือนเดิมครับ ส่วนจะไปเที่ยวที่ไหนของลาวใต้บ้าง เชิญอ่านต่อแบบยาวๆ พร้อมรูป(เกือบ)สวยๆได้เลยครับ
ณ คืนวันพฤหัสบดีที่ 17 ก.พ. 2559 เวลาประมาณ 19.00 น. ผมลงจากรถรับ-ส่ง ของบริษัทเพื่อเดินเท้ากลับที่พัก แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อผมลวงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายเพื่อจะหยิบกระเป๋าตังค์...เชี่ย ไม่มี ผมลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่ออฟฟิศ ทั้งๆที่ร้อยวันพันปีไม่เคยลืม ดันมาลืมเอาวันที่สำคัญมากๆ (ในกระเป๋าตังค์มีบัตรประชาชน แล้วไปเที่ยวต้องใช้บัตรประชาชน) ผมต้องรีบกลับไปเอากระเป๋าตังค์ที่ออฟฟิศทันที : รถเมล์ > รถไฟใต้ดิน > แอร์พอร์ต ลิงค์ > มอไซค์ > ออฟฟิศ > มอไซค์ > แอร์พอร์ต ลิงค์ > รถไฟใต้ดิน > รถเมล์ กว่าจะเสร็จ ปาเข้าไปสามทุ่มกว่า ดึกเลยครับ สำหรับคืนก่อนวันเดินทาง (เที่ยว 18-20 ก.พ.)
ผ่านพ้นคืนวิกฤตไปได้ ก็มาถึงวันเดินทางกันต่อ กำหนดการเวลานัดหมายเจอกันที่สนามบินคือ 06.00 น.ครับ เครื่องจะขึ้นบินเวลา 07.25 น. ผมก็ต้องตื่นมาเตรียมตัวตั้งแต่ตีสี่ครึ่งเลยครับ เวลาประมาณตีห้ายี่สิบเตรียมตัวเสร็จก็จะเรียกแท็กซี่ด้วยแอปฯ แต่แอปฯที่เคยใช้ดันทรยศ ใช้งานไม่ได้ ผมก็เลยต้องลากกระเป๋าไปเรียกแท็กซี่ที่หน้าปากซอยแทน ดีนะที่ระยะทางจากหอไปหน้าปากซอยไม่ไกลมาก เลยทำเวลาได้อยู่
เวลาประมาณหกโมงนิดๆผมก็ถึงสนามบิน ในใจคิดว่า 'เราน่าจะมาถึงเร็วกว่าคนอื่นๆ' แต่ที่ไหนได้ ไปถึงเกือบสุดท้ายเลยครับ พอไปถึงกระเป๋าคนอื่นๆกองกันเพียบแล้ว นี่แสดงว่าทริปนี้ ลูกทัวร์มีความพร้อม และมีความตรงต่อเวลากันสูงมากๆครับ (ทริปก่อนๆ ลูกทัวร์จะมาช้ากว่านี้นะ นี่ถือว่าเร็วมากๆ)
โดยทริปนี้ หัวหน้าทัวร์ก็คือ ไกด์กวาง สาวน้อยผู้มากความสามารถคนเดิมนั่นเอง (ทริปก่อน คือ ทริปทีลอซู) เจอไกด์กวางเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ทำให้ร่วมทริปกันสนุกขึ้นครับ (ไกด์กวางบอกว่า ตื่นตั้งแต่ ตีสามแน่ะ ตื่นเช้ามากกกก)
โหลดกระเป๋าเรียบร้อย ก็เดินทางกันเลยครับ มุ่งหน้าสู่จังหวัดอุบลราชธานี โดยสายการบินนกแอร์ (นึกว่าจะโดนยกเลิกเที่ยวบินซะแล้ว)
ถึงสนามบินจังหวัดอุบลราชธานี ก็รอรับกระเป๋ากันครับ โดยที่ตัวอาคารผู้โดยสารของสนามบินก็ถือว่าไม่ใหญ่มากครับ เท่าที่สังเกตดูก็เหมือนจะมีสายพานโหลดกระเป๋าแค่ที่เดียวนี่แหละครับ (ใหญ่กว่าอาคารผู้โดยสารของจังหวัดตากอยู่พอสมควรเลย) แล้วก็เป็นจังหวะเหมาะอะไรก็ไม่ทราบครับ พอลงเครื่องมาก็มาเจอแขกระดับ VIP มาที่สนามบินพอดี (ไม่รู้ว่าใคร) ตำรวจเต็มสนามบินเลยครับ รถเยอะ รถติดในสนามบินเลย ทำเอารถบัสที่จะมารับทัวร์หาที่จอดแทบไม่ได้ครับ
แต่มันก็ไม่ยากเกินไปหรอกครับ สุดท้ายทัวร์ก็ได้ขึ้นรถบัสสมใจ เดินทางออกจากสนามบินมุ่งสู่ด่านพรมแดนช่องเม็ก (เม็กนะ ไม่ใช่แม็ก) ใช้เวลาเดินทางก็ประมาณ 1 ชั่วโมงครับ โดยเจ้าของรถบัส และเป็นพลขับ คือ พี่ประสาน (เอ้า รออะไร ปรบมือสิ แปะๆๆๆ)
พอถึงด่านพรมแดนช่องเม็ก แน่นอนว่าก็ต้องตรวจหนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ตนั่นเอง เข้าไปในตัวอาคารก็ถือว่าคนเยอะพอสมควรล่ะครับ ยืนต่อแถวรอตรวจพาสปอร์ตกัน ไม่รู้ว่าเขาตรวจ และเก็บข้อมูลอะไรบ้างนะครับ แต่ที่แน่ๆ มีถ่ายรูปด้วย
ผ่านด่านพรมแดนออกมา ก็เดินลอดอุโมงค์ข้ามประเทศกันเลยครับ เป็นอุโมงค์ทางเดินเล็กๆ และไม่ยาวมากครับ แต่ก็สะดวกสบายไม่ร้อนดีครับ
"สะบายดีประเทศลาว" หลังจากที่ลอดอุโมงค์มาโผล่ฝั่งลาวแล้ว ที่แรกที่ไกด์กวางพาไปก็คือ Duty Free นั่นเอง ไม่ได้มาไปซื้อของนะครับ แต่พาไปเข้าห้องน้ำ และทำเรื่องเข้าประเทศสาวต่างหาก โดยการเที่ยวลาวนั้น ไกด์กวางก็หาได้มีความรู้ ความสามารถเพียงพอ (อาจจะมีก็ได้ แต่ผมไม่รู้ไง) เพราะฉะนั้นทริปนี้จึงต้องการไกด์เจ้าถิ่นตัวจริงนำทัพ โดยไกด์เจ้าถิ่นนั่นเป็นไกด์ชาวสาวแน่นอนครับ เธอชื่อว่า...(ดนตรีเปิดตัวมา แถ่น แถ่น แทนแทนแทน แถ่น แท้นแท้น...) แน เอิ่น แน กะได้ (สำเนียงเหมือนในโฆษณาดาวคอฟฟี่ เอิ่น ดาว กะได้)
เสร็จสิ้นภารกิจทำเรื่องเข้าประเทศลาวเรียบร้อย (ไกด์แน เป็นคนเอาพาสปอร์ตไปจัดการให้หมดเลย ลูกทัวร์ไม่ต้องทำอะไรเลย นั่งรออย่างเดียว) ไกด์แน ก็ขึ้นรถบัสเดินทางไปกับเราด้วย (ลูกทัวร์ทั้งหมดมี 21 คน) โดยภาษาที่ไกด์แนใช้ก็เป็นภาษาลาวครับ แต่มันก็ฟังออกแหละ เพราะมันก็คล้ายๆภาษาไทย ฟังเพลินๆ แปลกๆไปอีกแบบ เรานั่งรถเข้าเมืองปากเซ สถานที่แรกที่ไปคือ ร้านอาหารสิครับ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราไปทานอาหารกลางวันกันที่ร้าน มะนีพอน เบเกรี่ (เขียนยังไงหว่าภาษาลาว ผมเขียนถูกรึเปล่าก็ไม่รู้)
เมนูอาหารของที่ลาวก็จะคล้ายๆของไทยนี่แหละครับ แต่ผมไม่ขอลงรายละเอียดเนอะ รูปก็ไม่ได้ถ่ายมาด้วยแหละ อ่อ ทุกร้าน ทุกมื้อ จะต้องมีส้มตำครับ เพราะเป็นอาหารจานหลักเลยก็ว่าได้ แซ่บกันทุกมื้อ
ทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องออกเดินทางกันต่อ โดยที่จริงๆแล้วโปรแกรมเดิมคือ ไปเที่ยวกันต่อเลย แต่ไกด์แนเห็นว่า ทัวร์นี้มีเด็กน้อยมาด้วย 3 คน แล้วเวลาก็เพิ่งจะบ่ายสอง ซึ่งแดดแรงมาก กลัวว่าเด็กน้อยจะไม่สบาย โปรแกรมเลยเปลี่ยนเป็นเข้าที่พักก่อน แล้วสี่โมงเย็นค่อยไปเที่ยวต่อ ไกด์แนจึงพาพวกเราไปส่งเข้าที่พักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารมากนัก โดยที่พักที่ให้พวกเราไปพักนั้นมีชื่อเสียงมาก ไกด์แนเล่าว่า เป็นวังเก่า แล้วนำมาทำเป็นโรงแรม โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หรือ พระเทพฯ ก็เคยเสด็จมาพักที่โรงแรมแห่งนี้ด้วยครับ ซึ่งที่นี่ก็คือ โรงแรมจำปาสัก พาเลส (โชคดีมาก ที่ได้พักห้องริมสุด บรรยากาศดี วิวสวยมากครับ)
ถึงเวลานัดหมาย ทุกคนเตรียมพร้อมก็ลุยเที่ยวสถานที่แรกของลาวกันเลย โดยที่แรกที่ไปคือ ปราสาทวัดพู ตามที่รู้มาคือ ที่นี่คือ จุดเริ่มต้นของอาณาจักรขอมโบราณ เป็นปราสาทขอมแห่งแรก (ข้อมูลจากบริษัททัวร์ครับ) พอไปถึงบริเวณของปราสาทแล้ว ก็ต้องนั่งรถกอล์ฟไปที่ปราสาทครับ (บริเวณปราสาทกว้างมาก กว้างสุดๆ เรียกว่าอาณาจักรก็ยังได้ เมื่อก่อนได้ยินว่าต้องเดินเข้าไป แต่เดี๋ยวนี้พัฒนาขึ้น มีรถกอล์ฟรับ-ส่ง)
นั่งรถกอล์ฟไปจนถึงทางเดินไปปราสาท ก็ต้องลงเดินต่อสิครับ เข้าใจเลยว่าทำไมไกด์แนถึงให้เข้าที่พักก่อน เพราะถ้ามาตอนบ่ายสอง คงร้อนสุดๆล่ะครับ พวกเราเดินเข้าไปตามทางที่ปูด้วยหิน สองข้างทางก็โล่งมาก ถ้ามีลมพัดคงดีกว่านี้ (นิ่งสนิท ไม่มีลมเลย) เดินไปตามทางเรื่อยๆก็ไปแวะไหว้พระครับ ผมจำไม่ได้แล้วว่า พระพุทธรูปที่ไหว้ มีชื่อเรียกว่าอะไร เสร็จแล้วก็ไต่เขาขึ้นไปข้างบนครับ (ไต่เขาเลยนะ เพราะขั้นบันไดใหญ่ และสูงมาก บางจุดแถมความชันให้อีกต่างหาก ขึ้นไปทรงตัวไม่ดี มีหงายหลังร่วงเอาได้ง่ายๆ) ขึ้นไปเรื่อยๆจนสุดครับ จนได้เจอปราสาท และอะไรอีกหลายๆอย่างข้างบนนั้น (ปล.มัวแต่วิ่งเล่น ลืมถ่ายหินบูชายันเลย พลาดอย่างแรง)
มีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกแปลกใจกับที่นี่นะครับ นั่นก็คือ ทำไมถึงมีการขายของขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดได้ ทั้งๆที่มันน่าจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เหรอ ข้างบนควรจะเงียบ และสงบมากกว่านี้
เย็นแล้ว ได้เวลากินข้าวแล้ว (กระแดะใช้คำว่า ทาน มาตั้งเยอะ ขอกลับมาใช้คำว่า กิน เหมือนเดิมดีกว่า) มื้อเย็นของวันแรก ได้ไปกินที่ริมแม่น้ำของ (ลาวเรียก แม่น้ำของ ส่วนไทยเรียก แม่น้ำโขง) เป็นร้านอาหารเรือนแพครับ บรรยากาศดีมาก อากาศปลอดโปร่ง รู้สึกโล่งสบายมากเลยครับ ซึ่งชื่อร้านก็คือ เรือนแพคำฟอง
จบวันแรกครับ กลับที่พักเพื่อพักผ่อน ห้องพักที่นี่ขัดใจแฟนผมมากครับ เพราะเป็นเตียงคู่ไม่ใช่เตียงเดี่ยว จะเอาโต๊ะตรงกลางออกก็ไม่ได้นะครับ เพราะต่อสายไฟไว้ ย้ายไม่ได้เลย สุดท้ายเลยต้องนอนคนละเตียงตามสภาพ ส่วนภายในห้องน้ำก็ทำไว้ลงตัวดีครับ มีหน้าต่างให้อาบน้ำโชว์ด้วย แหม...สยิวกิ้วกันเลยทีเดียว (ดีนะ ที่มองออกไปเจอแต่น้ำ ถ้าเจอตึก คงต้องหาอะไรมาปิดกันล่ะ)
เช้าวันที่ 2 ไกด์กวางจัดลำดับไว้ดังนี้ 6, 7 และ 8 : 6 คือ ตื่น, 7 คือ กินข้าว และ 8 คือออกเดินทาง แน่นอนว่ามันเช้าอยู่นะ แต่ทุกคนก็ผ่านไปได้ด้วยดี (แหม...อย่างกับการสอบ) อาหารเช้าก็กินกันที่ห้องอาหารของโรงแรมนั่นแหละครับ เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ อยากกินเท่าไหร่ ตักเต็มที่ หลังจากเติมพลังกันเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินทางกันต่อ
โปรแกรมวันที่ 2 มีเที่ยวน้ำตก 2 ที่ครับ ไปที่แรกกันก่อนเลย นั่งรถยาวๆเกือบ 1 ชั่วโมง (หรือเกิน 1 ชั่วโมงก็ไม่รู้ จำไม่ได้) พอไปถึงริมแม่น้ำของ ก็ต้องลงรถต่อเรือครับ เป็นเรือหางยาวลำใหญ่ แต่ทัวร์ก็ล้นล่ะครับ มีคนเสียสละนั่งตากแดด 2 คน นั่นก็คือ ไกด์สาวทั้งสองนั่นเอง นั่งเรือชิลๆ กินลมชมวิว ไม่นานก็มาจอดเทียบท่าขึ้นฝั่ง เพื่อไปนั่งรถ 5 แถว (เยอะกว่า 2 แถว และไม่ใช่ยันต์ 5 แถว) ไปที่น้ำตกกันต่อ
นั่งรถ 5 แถวกันแน่นคันรถอีกเช่นเคย (ดีนะที่นั่งกันครบ ไม่ต้องใช้ 2 คัน) เส้นทางก็เป็นถนนลูกรังดีๆนี่เอง เป็นหลุมเป็นบ่อแต่ไม่มากนัก ที่จะมากหน่อยก็คงเป็นฝุ่นล่ะครับ เพราะแน่นอนว่าถนนลูกรังเกิดมาพร้อมกับฝุ่น (เอ๊ะ หรือว่าฝุ่นเกิดมาพร้อมถนนลูกรัง) นั่งเบียดๆกันจนไปถึงน้ำตก ก็ต้องไปเสียปี้กันก่อน ถึงจะได้ไปดูน้ำตก (ปี้ ในภาษาลาวคือ ตั๋ว นะครับ ส่วนปี้ ในภาษาไทย ก็คือ...นั่นแหละ รู้ๆกันอยู่) ผ่านการเสียปี้เรียบร้อย ก็ไปลุยน้ำตกกันเลยครับ ซึ้งน้ำตกที่นี่คือ น้ำตกหลี่ผี
ตามที่ฟังไกด์แนเล่ามานะครับ หลี่ คือเครื่องมือจับปลาชนิดหนึ่ง สมัยก่อนก็จะใช้หลี่หาปลากันที่นี่ แล้วทีนี้ที่เหนือน้ำ มีการทำการเชือดกันในสงครามอินโดจีน แล้วเอาศพทิ้งลงน้ำ ศพก็ไหลๆๆมาเรื่อยๆ จนมาติดที่หลี่ครับ ทีนี้ศพในภาษาลาวเรียกว่า ผี รวมกันเลยเป็น หลี่ผี ด้วยประการเช่นนี้แล ประวัติจะเป็นยังไงไม่รู้ล่ะครับ แต่น้ำตกก็สวยน่าดูครับ
เขียนไปเขียนมา ก็เริ่มจะยาวแฮะ นี่ขนาดเน้นเอาแต่เนื้อๆ ไม่เอาน้ำมาเยอะแล้วนะครับเนี่ย สงสัยต้องเอาแต่เนื้อๆซะแล้วมั้ง
จบจากน้ำตกหลี่ผี ก็เดินทางต่ออีกนิดไปยังน้ำตกคอนพะเพ็ง ระหว่างที่เดินทางไปน้ำตกไกด์แนก็ได้เล่าประวัติของน้ำตกให้ฟัง แต่...ผมลืมแฮะ จำไม่ค่อยได้ จำได้นิดๆแค่ว่า มีต้นไม้ใหญ่อยู่กลางน้ำตก ซึ่งเป็นต้นไม้ที่นับถือกัน โดยเรียกต้นไม้นี้ว่า ต้นมณีโคตร แล้วต้นมณีโคตรก็ได้ล้มลงตามอายุขัย หลังจากที่ต้นมณีโคตรล้มแล้ว ก็ได้ทำการอัญเชิญขึ้นมาไว้บนฝั่ง เพื่อให้เป็นที่สักการะบูชาจนถึงทุกวันนี้ ผมจำได้แค่นี้แหละครับ
พูดถึงน้ำตกกันดีกว่า น้ำตกคอนพะเพ็ง หรือที่ได้รับฉายาว่า "ไนแองการาแห่งเอเชีย" สวยงามสมกับฉายาจริงๆครับ สายน้ำแรง และเยอะมากครับ เสียงดังน่าเกรงขาม น่าลงไปเล่น (ไม่ใช่ละ) ตัดน้ำออกไปลุยเนื้อ ดูรูปกันเลยละกันครับ (เล่าด้วยภาพ)
ออกจากน้ำตกคอนพะเพ็ง ก็กลับเข้าที่พักก่อนครับ แล้วพอหกโมงเย็นก็เดินออกจากที่พัก ไปร้านอาหารใกล้ๆ (เข้าใจเลือกร้านเนอะ ง่าย และสะดวกดี) กินข้าวกันเสร็จ ก็แยกย้ายกันพักผ่อนครับ
เช้าวันที่ 3 วันสุดท้ายในการท่องเที่ยวลาวใต้ เวลามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเป็น 6.30, 7.30 และ 8.30 สำหรับวันสุดท้ายนี้ก็จะไปเที่ยวอีก 2 ที่ครับ คือ น้ำตกตาดฟาน หรือน้ำตกคู่แฝด และน้ำตกผาส้วมเป็นที่สุดท้ายครับ แล้วก็เนื่องจากว่าบทความค่อนข้างจะยาวเกินไปแล้ว งั้นผมขอเล่าด้วยภาพเลยก็แล้วกันนะครับ เพราะเดี๋ยวท้ายบทความผมยังจะนินทา เอ้ย เขียนถึงไกด์สาวทั้ง 2 คนอีกสักนิดนึง กลัวมันจะยาวเกินไปครับ
จบทริป 3 วัน 2 คืน ณ ลาวใต้แล้วครับ ลาวใต้ยังไม่เจริญเท่าลาวเหนือ และลาวกลาง แต่สิ่งที่พวกเขามีคือ ธรรมชาติครับ ทริปนี้อาจจะหนักไปทางการเดินทาง แต่การได้ไปเยี่ยมชมน้ำตกแต่ละแห่ง ก็ถือว่า สวยคุ้มค่ามากครับ
เอาล่ะครับ มาเขียนถึงไกด์สาวทั้ง 2 คนกันดีกว่าครับ คงเขียนไม่มากครับ เพราะบทความยาวมากแล้ว ขอเขียนถึงไกด์เจ้าถิ่นก่อนละกันนะครับ...ไกด์แน
ไกด์แน เป็นสาวลาว เว้าลาวตลอดทริปครับ เป็นคนอารมณ์ดีมากๆ มีมุข 5 บาท 10 บาท เล่นกับลูกทัวร์ตลอด แล้วก็หัวเราะได้อารมณ์มากครับ (ทำเอาผมขำตามได้ล่ะ) ไกด์แนมีความสามารถพิเศษอยู่หนึ่งอย่างครับ คือ สามารถพูดจนลิงหลับได้ครับ (ไม่ใช่ละ) สามารถพูดได้น้ำไหลไฟดับ พูดเป็นต่อยหอยได้ครับ เพราะตลอดเวลาที่เดินทางบนรถบัส ไม่ว่าจะเดินทางระยะสั้น 10-20 นาที หรือเดินทางระยะไกล 40-60 นาที เธอพูดไม่หยุดเลยครับ เป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านการพูดแบบสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าประวัติความเป็นมาต่างๆ หรือพูดเล่น พูดมีสาระ ไม่มีสาระบ้าง เธอพูดไม่หยุดจริงๆครับ ไม่รู้ว่าเอาคำพูดมาจากไหนเยอะแยะ เธอหัวไว้มากๆ เจอเหตุการณ์เฉพาะหน้าอะไร เธอก็พูดไปได้เรื่อยๆ เหมือนน้ำไหลเลยครับ (คิดถึงพี่โน้ต อุดมได้เลยตครับ แบบนั้นเลย ไหลไปได้เรื่อยๆตามสถานการณ์ปัจจุบัน)
แต่ก็นั่นแหละครับ คือ ข้อดีของเธอ ทำให้คนที่ไปเที่ยวลาว ได้มีความรู้เพิ่มขึ้นเยอะเลยครับ ส่วนเสน่ห์ของเธอก็คือ ความเป็นกันเอง รอยยิ้ม และมุขเล็กๆน้อยๆ ที่มีเล่นกับลูกทัวร์แทบจะตลอดเวลาล่ะครับ รูปไกด์แนมีไม่มากครับ ดูเอาก็แล้วกันครับ
มาถึงไกด์สาวที่เจอกันเป็นรอบที่ 2 ครับ สำหรับไกด์คนนี้ก็ยังคงรักษามาตรฐานของตัวเองไว้ได้เป็นอย่างดีครับ เคยเป็นกันเองยังไง ก็ยังเป็นอย่างงั้น เคยบริการดียังไง ก็ยังบริการดีต่อเนื่อง ทริปนี้แม้ว่าเธอจะถูกลดบทบาทลงไปเป็นผู้ช่วยไกด์แน แต่ก็ยังทำหน้าที่ได้ดีไม่ขาดตกบกพร่องเลยครับ
สำหรับการเจอกันครั้งนี้กับ ไกด์กวง (ไกด์แน ออกเสียงสำเนียงเรียก กวาง เป็น กวง ซะงั้นแหละ) นอกจากที่ผมบอกไปข้างต้นแล้ว ยังมีสิ่งหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาครับ นั่นคือ เธอรักเด็ก หรือมีพลังงานอะไรบางอย่างในตัวที่ทำให้เด็กติดครับ ในทริปนี้มีเด็กสาวชื่อว่า ไข่เจียว (อายุ 6 ขวบ) ในการเที่ยว 2 วันแรก เธอไม่ได้เข้าไปเล่นกับไข่เจียวครับ ไข่เจียวก็ไม่สนใจเธอ แต่พอวันสุดท้าย มีจังหวะหนึ่งที่เธอไปถ่ายรูปเซลฟี่กับไข่เจียวครับ เท่านั้นแหละครับ ไข่เจียวติดหนึบเธอเลย ปกติไข่เจียวจะนั่งที่เบาะของตัวเองครับ แต่หลังจากเซลฟี่ด้วยกันแล้ว เธอมีพลังงานอะไรบางอย่างครับ ไข่เจียวไปนั่งกับเธอที่เบาะหน้าสุดตลอดทั้งวันเลย เออ...แปลกดีครับ สงสัยมีพลังงานรักเด็ก อิอิ
เอาเป็นว่า ไกด์กวาง ยังคงเป็นไกด์ที่ดีมากๆในความรู้สึกของลูกทัวร์อย่างผมก็แล้วกันนะครับ ถ้าใครได้มีโอกาสได้เจอเธอเป็นไกด์ ก็สบายใจได้เลยครับ ว่าคุณจะได้รับการดูแลที่ดีแน่นอนครับ [[ ส่วนใครที่อ่านบทความนี้แล้ว อยากลองเรียกใช้บริการของไกด์กวาง ติดต่อได้ที่เบอร์ 086-073-9254 (คุณกาญนา หรือกวาง) บอกว่ารู้จักเธอจากบล็อก นักเขียนอิสระ ต.ต้น ก็ได้ครับ เธอรู้ (ปล.งานเธอชุกมากมาย แพลนงานของเธอยาวเป็นเดือนๆ ถ้าสนใจใช้บริการ ควรติดต่อล่วงหน้าสักระยะนะครับ) ]]
3 มี.ค. 2559
นี่เป็นการเดินทางไปต่างประเทศเป็นประเทศที่ 2 ในชีวิตเลยนะครับเนี่ย ประเทศแรกที่เคยไปก็คือ พม่า (ไกลจริงๆ) ก็ข้ามตรงด่านแม่สายไปซื้อของนั่นแหละ เพราะฉะนั้นการไปลาว (ไกลอีกละ) ก็ถือว่าเป็นการเดินทางไปต่างประเทศเป็นประเทศที่ 2 ได้นะครับ
การไปเที่ยวลาวใต้ครั้งนี้ ก็ไปกับทริปของบริษัทอีกครั้งหนึ่ง โดยผมก็พกแฟนไปด้วยเหมือนเดิมครับ ส่วนจะไปเที่ยวที่ไหนของลาวใต้บ้าง เชิญอ่านต่อแบบยาวๆ พร้อมรูป(เกือบ)สวยๆได้เลยครับ
ณ คืนวันพฤหัสบดีที่ 17 ก.พ. 2559 เวลาประมาณ 19.00 น. ผมลงจากรถรับ-ส่ง ของบริษัทเพื่อเดินเท้ากลับที่พัก แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อผมลวงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายเพื่อจะหยิบกระเป๋าตังค์...เชี่ย ไม่มี ผมลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่ออฟฟิศ ทั้งๆที่ร้อยวันพันปีไม่เคยลืม ดันมาลืมเอาวันที่สำคัญมากๆ (ในกระเป๋าตังค์มีบัตรประชาชน แล้วไปเที่ยวต้องใช้บัตรประชาชน) ผมต้องรีบกลับไปเอากระเป๋าตังค์ที่ออฟฟิศทันที : รถเมล์ > รถไฟใต้ดิน > แอร์พอร์ต ลิงค์ > มอไซค์ > ออฟฟิศ > มอไซค์ > แอร์พอร์ต ลิงค์ > รถไฟใต้ดิน > รถเมล์ กว่าจะเสร็จ ปาเข้าไปสามทุ่มกว่า ดึกเลยครับ สำหรับคืนก่อนวันเดินทาง (เที่ยว 18-20 ก.พ.)
ผ่านพ้นคืนวิกฤตไปได้ ก็มาถึงวันเดินทางกันต่อ กำหนดการเวลานัดหมายเจอกันที่สนามบินคือ 06.00 น.ครับ เครื่องจะขึ้นบินเวลา 07.25 น. ผมก็ต้องตื่นมาเตรียมตัวตั้งแต่ตีสี่ครึ่งเลยครับ เวลาประมาณตีห้ายี่สิบเตรียมตัวเสร็จก็จะเรียกแท็กซี่ด้วยแอปฯ แต่แอปฯที่เคยใช้ดันทรยศ ใช้งานไม่ได้ ผมก็เลยต้องลากกระเป๋าไปเรียกแท็กซี่ที่หน้าปากซอยแทน ดีนะที่ระยะทางจากหอไปหน้าปากซอยไม่ไกลมาก เลยทำเวลาได้อยู่
เวลาประมาณหกโมงนิดๆผมก็ถึงสนามบิน ในใจคิดว่า 'เราน่าจะมาถึงเร็วกว่าคนอื่นๆ' แต่ที่ไหนได้ ไปถึงเกือบสุดท้ายเลยครับ พอไปถึงกระเป๋าคนอื่นๆกองกันเพียบแล้ว นี่แสดงว่าทริปนี้ ลูกทัวร์มีความพร้อม และมีความตรงต่อเวลากันสูงมากๆครับ (ทริปก่อนๆ ลูกทัวร์จะมาช้ากว่านี้นะ นี่ถือว่าเร็วมากๆ)
โดยทริปนี้ หัวหน้าทัวร์ก็คือ ไกด์กวาง สาวน้อยผู้มากความสามารถคนเดิมนั่นเอง (ทริปก่อน คือ ทริปทีลอซู) เจอไกด์กวางเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ทำให้ร่วมทริปกันสนุกขึ้นครับ (ไกด์กวางบอกว่า ตื่นตั้งแต่ ตีสามแน่ะ ตื่นเช้ามากกกก)
(ไกด์กวางเตรียมพร้อม)
โหลดกระเป๋าเรียบร้อย ก็เดินทางกันเลยครับ มุ่งหน้าสู่จังหวัดอุบลราชธานี โดยสายการบินนกแอร์ (นึกว่าจะโดนยกเลิกเที่ยวบินซะแล้ว)
ถึงสนามบินจังหวัดอุบลราชธานี ก็รอรับกระเป๋ากันครับ โดยที่ตัวอาคารผู้โดยสารของสนามบินก็ถือว่าไม่ใหญ่มากครับ เท่าที่สังเกตดูก็เหมือนจะมีสายพานโหลดกระเป๋าแค่ที่เดียวนี่แหละครับ (ใหญ่กว่าอาคารผู้โดยสารของจังหวัดตากอยู่พอสมควรเลย) แล้วก็เป็นจังหวะเหมาะอะไรก็ไม่ทราบครับ พอลงเครื่องมาก็มาเจอแขกระดับ VIP มาที่สนามบินพอดี (ไม่รู้ว่าใคร) ตำรวจเต็มสนามบินเลยครับ รถเยอะ รถติดในสนามบินเลย ทำเอารถบัสที่จะมารับทัวร์หาที่จอดแทบไม่ได้ครับ
(คนเยอะเหมือนกันนะเนี่ย)
(ด้านหน้าของอาคารผู้โดยสาร)
แต่มันก็ไม่ยากเกินไปหรอกครับ สุดท้ายทัวร์ก็ได้ขึ้นรถบัสสมใจ เดินทางออกจากสนามบินมุ่งสู่ด่านพรมแดนช่องเม็ก (เม็กนะ ไม่ใช่แม็ก) ใช้เวลาเดินทางก็ประมาณ 1 ชั่วโมงครับ โดยเจ้าของรถบัส และเป็นพลขับ คือ พี่ประสาน (เอ้า รออะไร ปรบมือสิ แปะๆๆๆ)
(เสื้อแดงเลยครับ พี่ประสาน)
พอถึงด่านพรมแดนช่องเม็ก แน่นอนว่าก็ต้องตรวจหนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ตนั่นเอง เข้าไปในตัวอาคารก็ถือว่าคนเยอะพอสมควรล่ะครับ ยืนต่อแถวรอตรวจพาสปอร์ตกัน ไม่รู้ว่าเขาตรวจ และเก็บข้อมูลอะไรบ้างนะครับ แต่ที่แน่ๆ มีถ่ายรูปด้วย
(ทางเข้าอาคารเพื่อไปตรวจพาสปอร์ต)
ผ่านด่านพรมแดนออกมา ก็เดินลอดอุโมงค์ข้ามประเทศกันเลยครับ เป็นอุโมงค์ทางเดินเล็กๆ และไม่ยาวมากครับ แต่ก็สะดวกสบายไม่ร้อนดีครับ
(สุดเขตประเทศไทยแล้วจ้าาาาา)
(บันไดลงอุโมงค์)
(ทางเดินในอุโมงค์ ถือว่าเดินได้สบายๆเลยทีเดียว)
(ทางออกประเทศไทยไปสู่ ประเทศลาว)
"สะบายดีประเทศลาว" หลังจากที่ลอดอุโมงค์มาโผล่ฝั่งลาวแล้ว ที่แรกที่ไกด์กวางพาไปก็คือ Duty Free นั่นเอง ไม่ได้มาไปซื้อของนะครับ แต่พาไปเข้าห้องน้ำ และทำเรื่องเข้าประเทศสาวต่างหาก โดยการเที่ยวลาวนั้น ไกด์กวางก็หาได้มีความรู้ ความสามารถเพียงพอ (อาจจะมีก็ได้ แต่ผมไม่รู้ไง) เพราะฉะนั้นทริปนี้จึงต้องการไกด์เจ้าถิ่นตัวจริงนำทัพ โดยไกด์เจ้าถิ่นนั่นเป็นไกด์ชาวสาวแน่นอนครับ เธอชื่อว่า...(ดนตรีเปิดตัวมา แถ่น แถ่น แทนแทนแทน แถ่น แท้นแท้น...) แน เอิ่น แน กะได้ (สำเนียงเหมือนในโฆษณาดาวคอฟฟี่ เอิ่น ดาว กะได้)
(Duty Free สถานที่แรกที่ต้องเจอ)
(ไกด์แน ไกด์สาวชาวลาวผู้อารมณ์ดี๊ดี)
(ยานพาหนะที่ใช้เดินทางในทริปครั้งนี้)
เสร็จสิ้นภารกิจทำเรื่องเข้าประเทศลาวเรียบร้อย (ไกด์แน เป็นคนเอาพาสปอร์ตไปจัดการให้หมดเลย ลูกทัวร์ไม่ต้องทำอะไรเลย นั่งรออย่างเดียว) ไกด์แน ก็ขึ้นรถบัสเดินทางไปกับเราด้วย (ลูกทัวร์ทั้งหมดมี 21 คน) โดยภาษาที่ไกด์แนใช้ก็เป็นภาษาลาวครับ แต่มันก็ฟังออกแหละ เพราะมันก็คล้ายๆภาษาไทย ฟังเพลินๆ แปลกๆไปอีกแบบ เรานั่งรถเข้าเมืองปากเซ สถานที่แรกที่ไปคือ ร้านอาหารสิครับ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราไปทานอาหารกลางวันกันที่ร้าน มะนีพอน เบเกรี่ (เขียนยังไงหว่าภาษาลาว ผมเขียนถูกรึเปล่าก็ไม่รู้)
(แวะเติมพลังมื้อเที่ยง มื้อแรกในประเทศลาว อาหารที่มีก็คล้ายๆบ้านเรานั่นแหละครับ)
เมนูอาหารของที่ลาวก็จะคล้ายๆของไทยนี่แหละครับ แต่ผมไม่ขอลงรายละเอียดเนอะ รูปก็ไม่ได้ถ่ายมาด้วยแหละ อ่อ ทุกร้าน ทุกมื้อ จะต้องมีส้มตำครับ เพราะเป็นอาหารจานหลักเลยก็ว่าได้ แซ่บกันทุกมื้อ
ทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องออกเดินทางกันต่อ โดยที่จริงๆแล้วโปรแกรมเดิมคือ ไปเที่ยวกันต่อเลย แต่ไกด์แนเห็นว่า ทัวร์นี้มีเด็กน้อยมาด้วย 3 คน แล้วเวลาก็เพิ่งจะบ่ายสอง ซึ่งแดดแรงมาก กลัวว่าเด็กน้อยจะไม่สบาย โปรแกรมเลยเปลี่ยนเป็นเข้าที่พักก่อน แล้วสี่โมงเย็นค่อยไปเที่ยวต่อ ไกด์แนจึงพาพวกเราไปส่งเข้าที่พักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารมากนัก โดยที่พักที่ให้พวกเราไปพักนั้นมีชื่อเสียงมาก ไกด์แนเล่าว่า เป็นวังเก่า แล้วนำมาทำเป็นโรงแรม โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หรือ พระเทพฯ ก็เคยเสด็จมาพักที่โรงแรมแห่งนี้ด้วยครับ ซึ่งที่นี่ก็คือ โรงแรมจำปาสัก พาเลส (โชคดีมาก ที่ได้พักห้องริมสุด บรรยากาศดี วิวสวยมากครับ)
(ทางเข้าตัวโรงแรมจำปาสัก)
(แวะเคาเตอร์ รับกุญแจห้อง)
(ได้ห้องริมสุดครับ ห้อง 334)
(เตียงคู่ ขยับติดกันก็ไม่ได้ ขัดใจแฟนผมสุดๆ ฮ่าๆๆ)
(อยู่ห้องริม มันสว่างดีแบบนี้นี่เอง)
(ภายในบริเวณห้องน้ำครับ กว้างขวางดีมาก)
(แบ่งโซนอาบน้ำชัดเจน)
(มองจากหน้าต่างในห้องอาบน้ำ)
(ระเบียงทางเดินในอาคาร)
(มองดูอีกฝั่งของอาคาร)
(ก้มมองข้างล่าง ก็มีโต๊ะกินข้าวบรรยากาศดีๆให้ไปนั่งกัน)
(มองจากระเบียงหน้าห้องครับ วิวสวยเชียว)
ถึงเวลานัดหมาย ทุกคนเตรียมพร้อมก็ลุยเที่ยวสถานที่แรกของลาวกันเลย โดยที่แรกที่ไปคือ ปราสาทวัดพู ตามที่รู้มาคือ ที่นี่คือ จุดเริ่มต้นของอาณาจักรขอมโบราณ เป็นปราสาทขอมแห่งแรก (ข้อมูลจากบริษัททัวร์ครับ) พอไปถึงบริเวณของปราสาทแล้ว ก็ต้องนั่งรถกอล์ฟไปที่ปราสาทครับ (บริเวณปราสาทกว้างมาก กว้างสุดๆ เรียกว่าอาณาจักรก็ยังได้ เมื่อก่อนได้ยินว่าต้องเดินเข้าไป แต่เดี๋ยวนี้พัฒนาขึ้น มีรถกอล์ฟรับ-ส่ง)
(นั่งรถกอล์ฟเสีย เพื่อรอรถกอล์ฟที่วิ่งได้มารับไปเที่ยว)
(หนทางยาวไกลยิ่งนัก มิน่าล่ะ ถึงต้องมีรถรับ-ส่ง)
นั่งรถกอล์ฟไปจนถึงทางเดินไปปราสาท ก็ต้องลงเดินต่อสิครับ เข้าใจเลยว่าทำไมไกด์แนถึงให้เข้าที่พักก่อน เพราะถ้ามาตอนบ่ายสอง คงร้อนสุดๆล่ะครับ พวกเราเดินเข้าไปตามทางที่ปูด้วยหิน สองข้างทางก็โล่งมาก ถ้ามีลมพัดคงดีกว่านี้ (นิ่งสนิท ไม่มีลมเลย) เดินไปตามทางเรื่อยๆก็ไปแวะไหว้พระครับ ผมจำไม่ได้แล้วว่า พระพุทธรูปที่ไหว้ มีชื่อเรียกว่าอะไร เสร็จแล้วก็ไต่เขาขึ้นไปข้างบนครับ (ไต่เขาเลยนะ เพราะขั้นบันไดใหญ่ และสูงมาก บางจุดแถมความชันให้อีกต่างหาก ขึ้นไปทรงตัวไม่ดี มีหงายหลังร่วงเอาได้ง่ายๆ) ขึ้นไปเรื่อยๆจนสุดครับ จนได้เจอปราสาท และอะไรอีกหลายๆอย่างข้างบนนั้น (ปล.มัวแต่วิ่งเล่น ลืมถ่ายหินบูชายันเลย พลาดอย่างแรง)
(ลงรถกอล์ฟก็เจอทางเดินเลยครับ ทางเดินตรงมากกกกก)
(ทางเดินเป็นหินซะด้วย)
(ปราสาทเก่าแก่)
(โน้นนน ต้องเดินไปอีกพอสมควรเลย)
(แวะกราบไหว้บูชาพระพุทธรูปเพื่อความสบายใจ)
(สูงไม่ว่า แต่บันไดโหดมาก)
(ทางเดินก็โหดใช่ย่อย แต่ก็เลือกเดินเหยียบสนุกดีครับ)
(สักหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าไม่ได้ไปจริงๆ)
(ทางขึ้นมันเป็น...ศิลปะมาก)
(ขึ้นไปอีกๆๆ บันไดก็โหดแท้)
(มองลงมาข้างล่างซะบ้าง โห...น่ากลัวนะเนี่ย ถ้าล่มลงไป มีเจ็บหนัก)
(ถึงจุดบนสุดแล้ว เจอปราสาทเก่าแก่อีกแห่ง)
(ขึ้นมาถึงจุดบนสุด ก็ต้องไหว้พระสิครับ)
(อะไรก็ไม่รู้)
(ใต้ภูเขาหิน มีสิ่งน่าสนใจ)
(ไหว้พระกันต่อ)
(ไม่รู้ว่ามีความหมายว่าอย่างไรเหมือนกันครับ)
(ขึ้นมาถ่ายจากมุมสูงของภูเขา)
(ไหว้พระๆ เพื่อความเป็นสิริมงคล)
(ณ ยอดบนสุด มองลงไปข้างล่าง กว้าง และสวยงามมากครับ จุดที่เราขึ้นรถกอล์ฟก็โน้นเลยครับ หลังบ่อน้ำใหญ่โน้นเลยครับ ไกลลิบๆ)
เย็นแล้ว ได้เวลากินข้าวแล้ว (กระแดะใช้คำว่า ทาน มาตั้งเยอะ ขอกลับมาใช้คำว่า กิน เหมือนเดิมดีกว่า) มื้อเย็นของวันแรก ได้ไปกินที่ริมแม่น้ำของ (ลาวเรียก แม่น้ำของ ส่วนไทยเรียก แม่น้ำโขง) เป็นร้านอาหารเรือนแพครับ บรรยากาศดีมาก อากาศปลอดโปร่ง รู้สึกโล่งสบายมากเลยครับ ซึ่งชื่อร้านก็คือ เรือนแพคำฟอง
(ร้านอาหาร เรือนแพคำฟอง)
(ทำเลร้านแจ่มมาก)
(พระอาทิตย์จะตกแล้ววววว)
(สะพานข้ามไปยังแพ)
(จองโต๊ะไว้ได้มุมดีทีเดียว)
(พอมืดแล้ว ก็มีเวทีร้องเพลงด้วย)
(อีกมุมของร้านอาหาร)
(หน้าตาในห้องน้ำ ไม่มีผ้าม่านนะเออ)
(มองออกไปทางขวา เจอสะพาน)
(มองออกไปทางซ้าย เจอที่โล่ง)
เช้าวันที่ 2 ไกด์กวางจัดลำดับไว้ดังนี้ 6, 7 และ 8 : 6 คือ ตื่น, 7 คือ กินข้าว และ 8 คือออกเดินทาง แน่นอนว่ามันเช้าอยู่นะ แต่ทุกคนก็ผ่านไปได้ด้วยดี (แหม...อย่างกับการสอบ) อาหารเช้าก็กินกันที่ห้องอาหารของโรงแรมนั่นแหละครับ เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ อยากกินเท่าไหร่ ตักเต็มที่ หลังจากเติมพลังกันเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินทางกันต่อ
โปรแกรมวันที่ 2 มีเที่ยวน้ำตก 2 ที่ครับ ไปที่แรกกันก่อนเลย นั่งรถยาวๆเกือบ 1 ชั่วโมง (หรือเกิน 1 ชั่วโมงก็ไม่รู้ จำไม่ได้) พอไปถึงริมแม่น้ำของ ก็ต้องลงรถต่อเรือครับ เป็นเรือหางยาวลำใหญ่ แต่ทัวร์ก็ล้นล่ะครับ มีคนเสียสละนั่งตากแดด 2 คน นั่นก็คือ ไกด์สาวทั้งสองนั่นเอง นั่งเรือชิลๆ กินลมชมวิว ไม่นานก็มาจอดเทียบท่าขึ้นฝั่ง เพื่อไปนั่งรถ 5 แถว (เยอะกว่า 2 แถว และไม่ใช่ยันต์ 5 แถว) ไปที่น้ำตกกันต่อ
นั่งรถ 5 แถวกันแน่นคันรถอีกเช่นเคย (ดีนะที่นั่งกันครบ ไม่ต้องใช้ 2 คัน) เส้นทางก็เป็นถนนลูกรังดีๆนี่เอง เป็นหลุมเป็นบ่อแต่ไม่มากนัก ที่จะมากหน่อยก็คงเป็นฝุ่นล่ะครับ เพราะแน่นอนว่าถนนลูกรังเกิดมาพร้อมกับฝุ่น (เอ๊ะ หรือว่าฝุ่นเกิดมาพร้อมถนนลูกรัง) นั่งเบียดๆกันจนไปถึงน้ำตก ก็ต้องไปเสียปี้กันก่อน ถึงจะได้ไปดูน้ำตก (ปี้ ในภาษาลาวคือ ตั๋ว นะครับ ส่วนปี้ ในภาษาไทย ก็คือ...นั่นแหละ รู้ๆกันอยู่) ผ่านการเสียปี้เรียบร้อย ก็ไปลุยน้ำตกกันเลยครับ ซึ้งน้ำตกที่นี่คือ น้ำตกหลี่ผี
ตามที่ฟังไกด์แนเล่ามานะครับ หลี่ คือเครื่องมือจับปลาชนิดหนึ่ง สมัยก่อนก็จะใช้หลี่หาปลากันที่นี่ แล้วทีนี้ที่เหนือน้ำ มีการทำการเชือดกันในสงครามอินโดจีน แล้วเอาศพทิ้งลงน้ำ ศพก็ไหลๆๆมาเรื่อยๆ จนมาติดที่หลี่ครับ ทีนี้ศพในภาษาลาวเรียกว่า ผี รวมกันเลยเป็น หลี่ผี ด้วยประการเช่นนี้แล ประวัติจะเป็นยังไงไม่รู้ล่ะครับ แต่น้ำตกก็สวยน่าดูครับ
(ต้องเดินทางด้วยเรือหางยาวลำใหญ่ครับ)
(เดินลงเรืออย่างเป็นระเบียบ เพราะถ้าไม่เป็นระเบียบ มีตกน้ำแน่นอน)
(แน่นลำเลย)
(สองสาวผู้เสียสละ)
(ทำเลนั่งดี ก็ชิลๆเชียวนะไกด์กวาง)
(ถึงฝั่งแล้ว เทียบเรือติดดินกันเลย)
(รถ 5 แถว ที่ต้องนั่งไปยังน้ำตก)
(ปี้กันเถอะ)
(225 กีบ = 1 บาท เอ้า คิดเลขสิครับ)
(มีอุโมงค์ต้นไม้ด้วยนะ)
(ณ มุมหนึ่งของน้ำตกหลี่ผี)
(น้ำไหลแรงมาก นี่ขนาดไม่ใช่ฤดูฝนนะเนี่ย)
(ไหลไปโน้นนนนน)
(อีกสักมุมละกัน ใครเห็น"หลี่"บ้างครับ อยู่ทางซ้ายของน้ำตก กลางๆรูป ไกลๆโน้นเลยครับ เป็นไม้ซ้อนๆกันอยู่โน้น ผมก็ลืมซูมหลี่มาให้ดูกันเนอะ พลาดจนได้)
(เขตอันตราย)
(ปิดท้ายที่ห้องน้ำสักหน่อย ดูราคาๆ ห้องน้ำไทยอายไปเลยครับ 10 บาทแน่ะ)
เขียนไปเขียนมา ก็เริ่มจะยาวแฮะ นี่ขนาดเน้นเอาแต่เนื้อๆ ไม่เอาน้ำมาเยอะแล้วนะครับเนี่ย สงสัยต้องเอาแต่เนื้อๆซะแล้วมั้ง
จบจากน้ำตกหลี่ผี ก็เดินทางต่ออีกนิดไปยังน้ำตกคอนพะเพ็ง ระหว่างที่เดินทางไปน้ำตกไกด์แนก็ได้เล่าประวัติของน้ำตกให้ฟัง แต่...ผมลืมแฮะ จำไม่ค่อยได้ จำได้นิดๆแค่ว่า มีต้นไม้ใหญ่อยู่กลางน้ำตก ซึ่งเป็นต้นไม้ที่นับถือกัน โดยเรียกต้นไม้นี้ว่า ต้นมณีโคตร แล้วต้นมณีโคตรก็ได้ล้มลงตามอายุขัย หลังจากที่ต้นมณีโคตรล้มแล้ว ก็ได้ทำการอัญเชิญขึ้นมาไว้บนฝั่ง เพื่อให้เป็นที่สักการะบูชาจนถึงทุกวันนี้ ผมจำได้แค่นี้แหละครับ
พูดถึงน้ำตกกันดีกว่า น้ำตกคอนพะเพ็ง หรือที่ได้รับฉายาว่า "ไนแองการาแห่งเอเชีย" สวยงามสมกับฉายาจริงๆครับ สายน้ำแรง และเยอะมากครับ เสียงดังน่าเกรงขาม น่าลงไปเล่น (ไม่ใช่ละ) ตัดน้ำออกไปลุยเนื้อ ดูรูปกันเลยละกันครับ (เล่าด้วยภาพ)
(แวะปี้กันอีกแล้วครับ ก่อนที่จะเข้าไปข้างใน)
(ยินดีต้อนรับ แจ้งราคา ที่เหลืออ่านเองนะครับ ฮ่าๆๆ)
(เอ้า คิดเลขอีกสักที)
(ต้นมณีโคตร ที่ถูกอัญเชิญขึ้นมาไว้บนฝั่งครับ)
(กราบไหว้ต้นมณีโคตร เพื่อความเป็นสิริมงคล)
(ต้องนั่งรถกอล์ฟไปยังมุมที่สวยที่สุดของน้ำตกครับ)
(ศาลารวมพล คนมาเที่ยวดูน้ำตก)
(ยิ่งใหญ่จริงๆครับ กว้างมาก ถ้าฤดูฝนน้ำน่าจะเยอะจนน่ากลัวแน่ๆเลย)
(ไหลไปๆๆ)
(จริงๆคนเยอะกว่านี้ครับ แต่ถ่ายไม่ทัน เลยได้มาเท่านี้)
(ออกจากศาลามาถ่ายมุมอื่นบ้าง)
(อีกสักมุมสำหรับความยิ่งใหญ่)
(นี่ขนาดอยู่ไกลนะเนี่ย ยังเห็นได้ชัดเจนเลย)
ออกจากน้ำตกคอนพะเพ็ง ก็กลับเข้าที่พักก่อนครับ แล้วพอหกโมงเย็นก็เดินออกจากที่พัก ไปร้านอาหารใกล้ๆ (เข้าใจเลือกร้านเนอะ ง่าย และสะดวกดี) กินข้าวกันเสร็จ ก็แยกย้ายกันพักผ่อนครับ
(กองทัพเดินเท้าออกจากโรงแรม ไปยังร้านอาหารครับ)
(ยามเย็น ที่โรงแรม)
(เดินกันข้างถนนนี่แหละ ถนนที่ลาวจะขับชิดขวานะครับ เพราะพวงมาลัยรถของที่ลาว อยู่ฝั่งขวา ใครขับรถมาเที่ยวลาว อย่าเผลอขับซ้ายล่ะ มีซวยแน่)
(ร้านอยู่ไม่ไกลครับ เดินไม่ถึง 5 นาที)
(ยามดึก ที่โรงแรม กล้องกากๆ แต่ก็ได้แสงที่สวยเนอะ)
เช้าวันที่ 3 วันสุดท้ายในการท่องเที่ยวลาวใต้ เวลามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเป็น 6.30, 7.30 และ 8.30 สำหรับวันสุดท้ายนี้ก็จะไปเที่ยวอีก 2 ที่ครับ คือ น้ำตกตาดฟาน หรือน้ำตกคู่แฝด และน้ำตกผาส้วมเป็นที่สุดท้ายครับ แล้วก็เนื่องจากว่าบทความค่อนข้างจะยาวเกินไปแล้ว งั้นผมขอเล่าด้วยภาพเลยก็แล้วกันนะครับ เพราะเดี๋ยวท้ายบทความผมยังจะนินทา เอ้ย เขียนถึงไกด์สาวทั้ง 2 คนอีกสักนิดนึง กลัวมันจะยาวเกินไปครับ
(ออกจากโรงแรมในวันสุดท้าย ก็ต้องแวะซื้อของฝากกันครับ แวะตลาดใหญ่เลยครับ)
(แต่มาเช้ากันไป ร้านยังเปิดไม่ครบ)
(จากตลาด ก็ไปที่น้ำตก ทางเข้าน้ำตกตาดฟาน)
(ทางเดินไปน้ำตก ร่มรื่นดีมากเลยครับ)
(ถึงน้ำตกแล้ว)
(มีน้ำตก 2 เส้น เป็นน้ำตกคู่แฝดจริงๆด้วย)
(จุดชมน้ำตกที่สร้างไว้ให้ แข็งแรกมากครับ)
(ออกจากน้ำตกตาดฟาน ก็ไปต่อที่น้ำผาส้วมครับ มีซุ้มเหมือนกัน แต่ถ้าเดินไม่ระวังมีเจ็บ ฮ่าๆๆ)
(ข้ามสะพานไม้ครับ ... เรารักธรรมชาติ)
(สะพานไม้อันมีชื่อเสียง)
(ลอดอุโมงค์ไม้ ที่สะพานไม้ ทางเดินก็เป็นไม้ และที่สำคัญ มันมีแกว่งด้วยเล็กน้อย ตื่นเต้นสำหรับคนกลัวความสูงล่ะครับ)
(ถึงแล้ว น้ำตกผาส้วม คนเยอะมากครับ แต่ผมไม่ได้ถ่ายบรรยากาศโดยรอบมาให้ชมกัน)
(อ่านป้ายดูสิครับ)
(ชมน้ำตกเสร็จ ก็แวะกินข้าวมื้อสุดท้ายที่ประเทศลาวกันที่ร้านอาหารบริเวณน้ำตกกันเลย)
(ไม้ล้วนๆ เป็นไม้แผ่นใหญ่แผ่นเดียวไม่มีการต่อด้วยนะครับ ทั้งโต๊ะ ทั้งพื้นที่นั่งอยู่ ไม้แผ่นใหญ่จริงๆครับ แล้วที่ชอบคือ นั่งแบบห้อยขา ไม่ต้องเปลืองเก้าอี้เลย)
(บรรยากาศภายในร้าน ... ที่เห็นผู้ชายนั่งอยู่ไกลๆนั่น เจ้าของร้าน และผู้บุกเบิกน้ำตกผาส้วมนี่แหละครับ)
(ดูพื้นครับๆ แผ่นไม้ใหญ่มากจริงๆ ... นั่นไกด์แนเดินไปที่เคาเตอร์ครับ)
(คุณวิมล ทำหนังสือขึ้นมาครับ หนังสือเล่มหนามาก เขียนได้ดีมากครับ หนังสือชื่อ "เขาว่าข้อยบ้า"... คุณวิมล คือคนไทยผู้บุกเบิกน้ำตกผาส้วมครับ)
(เดินเข้าสะพานไม้ เดินกลับสะพานเหล็กละกัน)
(ดูชัดๆ นั่นคือ สะพานไม้ที่ข้ามมาเมื่อกี้)
(แวะดู...จะว่าหมู่บ้านก็ไม่ใช่ จะเรียกอะไรก็ไม่ถูก เอาเป็นว่า แวะดูวิถีชีวิตชนเผ่าคนท้องถิ่นละกันครับ)
(ศาลากลาง หรือหอประชุม)
(ไม่รู้ว่าเผ่าอะไรบ้าง มัวแต่ถ่ายรูป)
(ไกด์แนเล่าว่า...ผมลืมไปแล้วครับ แต่ที่นี่ถือว่าสำคัญมากๆที่หนึ่งครับ)
(แวะเยี่ยมชมไปเรื่อยๆ)
(แวะเยี่ยมชมไปเรื่อยๆ)
(แวะเยี่ยมชมไปเรื่อยๆ)
(แวะเยี่ยมชมไปเรื่อยๆ)
(แวะเยี่ยมชมไปเรื่อยๆ แล้วก็มาจบที่คุณตาเล่นเครื่องดนตรีให้ฟังกันครับ)
(ทางเดินกลับไปขึ้นรถบัสครับ ธรรมชาติร่มรื่นดี)
(ออกจากน้ำตกผาส้วม ก็มาแวะที่ Duty Free เพื่อซื้อของกันครับ พอซื้อของกันเสร็จแล้ว ... ก็ลาแล้วประเทศลาว ลงอุโมงค์กลับฝั่งไทยครับ)
(ก่อนไปสนามบิน พี่ประสานแวะให้ซื้อหมูยอไปกินกันครับ ผมก็สอยมา 3 อัน)
(เอ้าๆ วางกระเป๋าให้เป็นระเบียบ จะได้เช็คอินง่ายๆ)
(เดินไปขึ้นเครื่องเพื่อกลับกรุงเทพ โดยสายการบิน นกแอร์)
จบทริป 3 วัน 2 คืน ณ ลาวใต้แล้วครับ ลาวใต้ยังไม่เจริญเท่าลาวเหนือ และลาวกลาง แต่สิ่งที่พวกเขามีคือ ธรรมชาติครับ ทริปนี้อาจจะหนักไปทางการเดินทาง แต่การได้ไปเยี่ยมชมน้ำตกแต่ละแห่ง ก็ถือว่า สวยคุ้มค่ามากครับ
เอาล่ะครับ มาเขียนถึงไกด์สาวทั้ง 2 คนกันดีกว่าครับ คงเขียนไม่มากครับ เพราะบทความยาวมากแล้ว ขอเขียนถึงไกด์เจ้าถิ่นก่อนละกันนะครับ...ไกด์แน
ไกด์แน เป็นสาวลาว เว้าลาวตลอดทริปครับ เป็นคนอารมณ์ดีมากๆ มีมุข 5 บาท 10 บาท เล่นกับลูกทัวร์ตลอด แล้วก็หัวเราะได้อารมณ์มากครับ (ทำเอาผมขำตามได้ล่ะ) ไกด์แนมีความสามารถพิเศษอยู่หนึ่งอย่างครับ คือ สามารถพูดจนลิงหลับได้ครับ (ไม่ใช่ละ) สามารถพูดได้น้ำไหลไฟดับ พูดเป็นต่อยหอยได้ครับ เพราะตลอดเวลาที่เดินทางบนรถบัส ไม่ว่าจะเดินทางระยะสั้น 10-20 นาที หรือเดินทางระยะไกล 40-60 นาที เธอพูดไม่หยุดเลยครับ เป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านการพูดแบบสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าประวัติความเป็นมาต่างๆ หรือพูดเล่น พูดมีสาระ ไม่มีสาระบ้าง เธอพูดไม่หยุดจริงๆครับ ไม่รู้ว่าเอาคำพูดมาจากไหนเยอะแยะ เธอหัวไว้มากๆ เจอเหตุการณ์เฉพาะหน้าอะไร เธอก็พูดไปได้เรื่อยๆ เหมือนน้ำไหลเลยครับ (คิดถึงพี่โน้ต อุดมได้เลยตครับ แบบนั้นเลย ไหลไปได้เรื่อยๆตามสถานการณ์ปัจจุบัน)
แต่ก็นั่นแหละครับ คือ ข้อดีของเธอ ทำให้คนที่ไปเที่ยวลาว ได้มีความรู้เพิ่มขึ้นเยอะเลยครับ ส่วนเสน่ห์ของเธอก็คือ ความเป็นกันเอง รอยยิ้ม และมุขเล็กๆน้อยๆ ที่มีเล่นกับลูกทัวร์แทบจะตลอดเวลาล่ะครับ รูปไกด์แนมีไม่มากครับ ดูเอาก็แล้วกันครับ
(จับไมค์ร่ายยาวๆ อยู่หน้ารถ ได้ความรู้จากเธอเพียบครับ)
(เดินปะปนไปกับลูกทัวร์ ดูไม่ออกเลยว่าเป็นไกด์ นึกว่าเที่ยวด้วยกัน ฮ่าๆๆ)
(นำขบวนขึ้นสู่ปราสาท ขนาดนุ่งผ้าซิ่นนะนั่น ยังขึ้นไปเร็วมาก)
(มีโดนแอบถ่าย ซึ่งเจ้าตัวก็ยังไม่รู้ตัวมาจนปัดนี้ ว่าโดนผมแอบถ่าย)
(เมื่อเธอเสียสละนั่งตากแดด นั่นจึงคือ อุปกรณ์บังแดดบนเรือ)
(ดูหน้ากันชัดๆ 2 ไกด์สาว ... ส่วนคนกลางขอไม่ออกสื่อ)
(ยืนให้ความรู้กับลูกทัวร์ใกล้ๆตลอด)
มาถึงไกด์สาวที่เจอกันเป็นรอบที่ 2 ครับ สำหรับไกด์คนนี้ก็ยังคงรักษามาตรฐานของตัวเองไว้ได้เป็นอย่างดีครับ เคยเป็นกันเองยังไง ก็ยังเป็นอย่างงั้น เคยบริการดียังไง ก็ยังบริการดีต่อเนื่อง ทริปนี้แม้ว่าเธอจะถูกลดบทบาทลงไปเป็นผู้ช่วยไกด์แน แต่ก็ยังทำหน้าที่ได้ดีไม่ขาดตกบกพร่องเลยครับ
สำหรับการเจอกันครั้งนี้กับ ไกด์กวง (ไกด์แน ออกเสียงสำเนียงเรียก กวาง เป็น กวง ซะงั้นแหละ) นอกจากที่ผมบอกไปข้างต้นแล้ว ยังมีสิ่งหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาครับ นั่นคือ เธอรักเด็ก หรือมีพลังงานอะไรบางอย่างในตัวที่ทำให้เด็กติดครับ ในทริปนี้มีเด็กสาวชื่อว่า ไข่เจียว (อายุ 6 ขวบ) ในการเที่ยว 2 วันแรก เธอไม่ได้เข้าไปเล่นกับไข่เจียวครับ ไข่เจียวก็ไม่สนใจเธอ แต่พอวันสุดท้าย มีจังหวะหนึ่งที่เธอไปถ่ายรูปเซลฟี่กับไข่เจียวครับ เท่านั้นแหละครับ ไข่เจียวติดหนึบเธอเลย ปกติไข่เจียวจะนั่งที่เบาะของตัวเองครับ แต่หลังจากเซลฟี่ด้วยกันแล้ว เธอมีพลังงานอะไรบางอย่างครับ ไข่เจียวไปนั่งกับเธอที่เบาะหน้าสุดตลอดทั้งวันเลย เออ...แปลกดีครับ สงสัยมีพลังงานรักเด็ก อิอิ
เอาเป็นว่า ไกด์กวาง ยังคงเป็นไกด์ที่ดีมากๆในความรู้สึกของลูกทัวร์อย่างผมก็แล้วกันนะครับ ถ้าใครได้มีโอกาสได้เจอเธอเป็นไกด์ ก็สบายใจได้เลยครับ ว่าคุณจะได้รับการดูแลที่ดีแน่นอนครับ [[ ส่วนใครที่อ่านบทความนี้แล้ว อยากลองเรียกใช้บริการของไกด์กวาง ติดต่อได้ที่เบอร์ 086-073-9254 (คุณกาญนา หรือกวาง) บอกว่ารู้จักเธอจากบล็อก นักเขียนอิสระ ต.ต้น ก็ได้ครับ เธอรู้ (ปล.งานเธอชุกมากมาย แพลนงานของเธอยาวเป็นเดือนๆ ถ้าสนใจใช้บริการ ควรติดต่อล่วงหน้าสักระยะนะครับ) ]]
(จับไมค์ร้องเพลง เฮ้ย ไม่ใช่ จับไมค์คุยกับลูกทัวร์เป็นประจำที่หน้ารถ)
(เสียสละนั่งตากแดด แต่เอ๊ะ ทำไมดูชิลๆ)
(ถ่ายรูปให้หน่อย แต่ก่อนจะถ่ายผม ผมถ่ายสวนไปก่อนเลย ฮ่าๆๆ)
(ไม่แน่ใจว่ารู้ตัวมั้ยว่าโดนผมถ่ายรูป แต่ที่แน่ๆ เฮ้ย ยิ้มถูกจังหวะจริงๆแฮะ)
(รูปนี้ตั้งใจให้ถ่าย แต่กล้องดันโฟกัสอะไรก็ไม่รู้ รูปเลยออกมาเบลอซะงั้น)
(นี่คือ เหตุการณ์ต้นเหตุ ที่ทำให้เด็กติด เอ้า เซลฟี่หน่อยยยย ฮ่าๆๆ)
(หลังจากนั้น เด็กไปนั่งข้างหน้ารถด้วยทั้งวันเลย เด็กติดจริงๆ)
เก็บตกเรื่องภาษา และราคาสินค้าในประเทศลาวกันสักหน่อย อ่านว่าอะไร และราคาเท่าไหร่ ไปหาคำตอบเอาเองนะครับ
(อ่านดูสิครับ)
(เมนูอาหารโดนใจ)
(แผงขายหวยของประเทศลาวครับ มีเยอะมากกกกก น่าจะเยอะกว่าไทยด้วยซ้ำไป)
(คือแบบ...จัดวางได้เทพมาก ยอมครับยอม)
(น้ำทิพย์ กี่บาทเอ่ย)
ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ _/\_
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)