hostneverdie

weltrade

siamfocus

ตอนที่ 125 (บทความ) _ และนั่นเป็นฉัน ที่คิดถึงเธอ

และนั่นเป็นฉัน ที่คิดถึงเธอ
17 ก.พ. 2559

     **และนั่นเป็นฉัน ที่คิดถึงเธอ ก็มีแต่ฉัน ที่นอนละเมอ พี่ดุ่ย พี่เด๋อ ไม่คิดถึงเธอ ป้าหน่อย ป้าแนน ก็ไม่คิดถึงเธอ ... เริ่มต้นมาก็เป็นเนื้อเพลงกันเลยทีเดียว สำหรับเนื้อเพลงข้างต้นคือ เพลง ละเมอ โอ้ I Miss U ของ The Jukks นะครับ (ลองหาฟังดูนะครับ) ครั้งแรกที่ผมได้ยินเพลงนี้คือ ในภาพยนตร์เรื่อง ส.ค.ส. สวีทตี้ ที่มี แดน วรเวช, ยิปซี คีรติ, เป้ อารักษ์, แพตตี้ อังศุมาลิน ฯลฯ เป็นนักแสดงนำครับ ยังมีนักแสดงชื่อดังอีกหลายคนร่วมแสดงนะครับ แต่ไม่ขอเขียนถึงล่ะ เพราะเดี๋ยวมันจะยาวครับ

     เอาเป็นว่าชื่อบทความนี้ ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาในบทความก็แล้วกันนะครับ เอ๊ะ เดี๋ยวๆ เกี่ยวนิดหนึ่งก็ได้ครับ ตรงประโยคที่ว่า นั่นเป็นฉัน อะ...จะเกี่ยวยังไง ไปติดตามอ่านต่อกันได้เลยครับ

     หลายๆครั้งที่ได้อ่านบทความ หรือเรื่องสั้นของคนอื่น (แน่ะๆ รู้แล้วใช่มั้ยล่ะ ว่าผมจะเขียนไปในทิศทางไหน) ผมว่าเขาเหล่านั้นเขียนได้สนุก น่าอ่าน น่าติดตามมากเลย พอรู้สึกแบบนั้น ก็เลยอยากเก่งแบบเขาบ้าง แน่นอนว่าอารมณ์อิจฉา อยากเก่งเข้าครอบงำทันที ยิ่งถ้าไปเจอบทความที่มีคนแสดงความคิดเห็นว่า สนุก เขียนได้ดี โห..ยิ่งอยางเก่งแบบเขาเลย (เก่งแบบคนเขียนน่ะ เขียนเก่งจริงๆ อ่านเพลิน อ่านสนุกมาก)

     แต่ก็นั่นแหละ เราเก่งแบบเขาไม่ได้หรอก ต่อให้ฝึกยังไง ก็เชื่อว่าเก่งแบบเขาไม่ได้หรอก เพราะด้วยมุมมอง และการใช้ชีวิตที่ค่อนข้างจะต่างกัน เราก้าวไปจุดนั้นไม่ได้หรอก (แอบเศร้าใจ ร้องไห้แปป)

     เอาเหอะ ถึงจะเก่งแบบเขาไม่ได้ แต่เราก็กระจอกตามแบบของเราได้ล่ะน่า (ปลอบใจตัวเอง ) คล้ายๆไม่หล่อ แต่จนเว้ยใช่มั้ยเนี่ย ฮ่าๆๆ

     เคยมาลองคิดๆดูนะครับ ว่าทำยังไงเราถึงจะเขียนบทความได้น่าอ่านแบบคนดังๆ พอลองคิดๆไป ก็ได้คำตอบอยู่ 2 ข้อครับ ที่ทำให้เราเขียนบทความแบบเขาไม่ได้ นั่นก็คือ...

     หนึ่ง จิตวิญญาณนักเขียน ผมว่าคนที่เขียนบทความได้น่าติดตาม หรือเขียนเรื่องสั้นได้น่าอ่าน พวกเขามีจิตวิญญาณนักเขียนอยู่ในตัวนะครับ จิตวิญญาณนักเขียนที่ว่าก็จะประกอบไปด้วย การรักการเขียน การรักการอ่าน และการรักการค้นหาข้อมูลข้อเท็จจริง แน่นอนว่าก่อนที่จะเขียนอะไรสักอย่างออกมาให้คนอ่านได้อ่านนั้น ต้องเริ่มจากการอ่านก่อน ซึ่งในส่วนของการอ่านนี้ ผมไม่ค่อยมีเท่าไหร่ หรือถ้าจะมี ก็จะหนักไปทางอ่านการ์ตูนซะมากกว่า ไม่ค่อยได้อ่านอะไรที่เป็นตัวหนังสือยาวๆ หรืออ่านพวกวิชาการสักเท่าไหร่

     การหาข้อมูลข้อเท็จจริงก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักของการเขียน ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว ผมจะไม่(ค่อย)หาข้อมูลอะไรสักเท่าไหร่ คือ แบบรับรู้อะไรมา ก็เขียนบทความเลย บางครั้งการไม่รู้จริง มันก็เขียนได้ไม่ลึกซึ้ง เขียนได้ไม่น่าติดตามนะครับ

     และแน่นอนว่า องค์ประกอบของจิตวิญญาณนักเขียน ผมก็มั่ว มโน ขึ้นมาล้วนๆเลย (นั่นไง กูว่าละ) แต่อย่างน้อยๆ มันก็น่าจะแถวๆนี้ล่ะน่า

     ต่อข้อสองละกัน มุมมองการใช้ชีวิต ผมว่าผมคิดบวกมากละนะ แต่พอไปเจอบทความดีๆ โอ้โห คนเขียนคิดบวกมากกว่าผมเยอะเลย (ทำไมวะ เค้าเอาสองล้านบวกสิบล้านเหรอ...ไปเล่นไกลๆไป) เหมือนว่าเขาจะเปิดใจกว้าง เขียนได้รู้สึกเป็นกลางน่าอ่าน น่าติดตามมากๆเลย ผมว่ามุมมองของเขาทำให้เขาเขียนบทความได้สนุกจริงๆ

     บางครั้งมุมมองการใช้ชีวิตก็อาจจะถูกบังคับด้วยสังคมที่เราเข้าไปอยู่ด้วยก็ได้ บางคนอยู่ในสังคมที่ดี มุมมองต่างๆก็ดีไปด้วยแหละ (ผมเชื่อแบบนั้นนะ) ลองคิดดูว่า ถ้าเราอยู่ในสังคมที่ชอบโกหกหลอกลวง มุมมองต่างๆของเราก็คงจะเจ้าเล่ห์ไปด้วยแน่ๆ

     ยังมีอีกหลายๆปัจจัยนะครับที่ทำให้ผมไม่สามารถก้าวไปถึงจุดนั้นได้ แต่จะคิดไปก็เหนื่อยเปล่า เพราะในเมื่อเราเป็นได้เท่านี้ ก็จงเป็นไปในแบบของเราต่อไปให้ดีที่สุด และในคำว่าดีที่สุดของเรานั้น ก็ไม่ควรจะทำอะไรไม่ดีให้ตัวเอง และคนอื่นเดือดร้อนด้วยนะ

     แล้ว...ในคำว่า เป็นตัวของเรา...เราเป็นยังไงล่ะเนี่ย (เอามือกุมขมับ ปวดหัวเลย)

     จบบทความดีกว่า บทความนี้ออกจะมึนๆ ออกแนวบ่นๆซะมากกว่าล่ะครับ ไม่มีสาระจริงๆเลย

ตอนที่ 124 (เรื่องสั้น) _ ลูกชิ้นปิ้ง

ลูกชิ้นปิ้ง
15 ก.พ. 2559

     "เอาสองไม้ครับ" ผมยืนอยู่หน้าร้านรถเข็นขายลูกชิ้นปิ้ง ขณะนี้เป็นเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ผู้คนพลุกพล่านเต็มลานหน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งนี้ ผมแวะมาซื้อของขวัญวันสำคัญให้ผู้หญิงคนหนึ่งครับ ซึ่งวันสำคัญที่ว่าก็คือ วันวาเลนไทน์นั่นเอง

     ผมมาถึงห้างแห่งนี้ตั้งแต่หกโมงสิบนาที ตอนนั้นผู้คนยังไม่มากเท่าตอนนี้ คงเป็นเพราะว่าผู้คนกำลังเดินทางกันอยู่ แต่ผมเดินทางสะดวกกว่าคนอื่นๆ ผมก็เลยมาถึงที่ห้างได้เร็วกว่าคนอื่น นั่นเพราะผมเดินมาครับ ตึกที่ผมทำงานอยู่นั้น อยู่ห่างจากห้างนี้ไม่ถึง 1 กิโลเมตร ผมเลยเลือกเดินมาครับ ถือเป็นการออกกำลังกายไปด้วยในตัว

     สำหรับวันวาเลนไทน์ สิ่งที่ผู้คนชอบมอบให้แก่กันก็คงจะหนีไม่พ้น ดอกกุหลาบ หรือหมอนรูปหัวใจ หรือไม่ก็ตุ๊กตาที่ถือดอกไม้ กับหัวใจน่ารักๆล่ะครับ แน่นอนว่าผมก็ตามหาสิ่งเหล่านั้นอยู่เหมือนกัน ผมเคยคิดจะแหวกแนว หรืออินดี้ หาของอย่างอื่นให้คนที่ผมแอบชอบนะครับ แต่หลังจากที่ได้ลองสืบดูว่า ผู้หญิงที่ผมแอบชอบอยู่นั้นชอบอะไร สุดท้ายมันก็ไม่พ้นตุ๊กตาล่ะครับ

     ราคาของตุ๊กตาถือดอกไม้ หรือหัวใจในช่วงวันวาเลนไทน์นี่มันช่างน่าสะพรึงซะเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นตัวขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ หรือขนาดใหญ่เวอร์ๆ ราคาพุ่งจนน่ากลัวทุกขนาด จนอยากจะบอกกับผู้หญิงที่แอบชอบว่า "เธอๆ รอผ่านวันวาเลนไทน์ไปสัก 3 วันก่อนนะ เดี๋ยวซื้อของขวัญให้" มันก็ไม่ได้หรอกมั้งครับ

     "ยี่สิบบาทค่ะ" แม่ค้าลูกชิ้น ปิ้งลูกชิ้นจนเสร็จ ก็เอาใส่ถุง ราดน้ำจิ้มรสเด็ด ก่อนที่จะส่งถุงลูกชิ้นปิ้งให้ผม ลูกชิ้นร้อนๆ น้ำจิ้มรสเด็ด แค่คิดก็น้ำลายไหลแล้วครับ

     ผมเดินหาที่นั่งเพื่อกินลูกชิ้นทั้ง 2 ไม้ให้เสร็จ แล้วจะได้ไปเดินเลือกซื้อตุ๊กตาต่ออีกครั้ง

     ผมหยิบไม้ลูกชิ้นออกมาจากถุง 1 ไม้ ลูกชิ้นทั้ง 5 ลูก ชุ่มไปด้วยน้ำจิ้ม มันดูสวยงามมาก กลิ่นหอมของลูกชิ้น และน้ำจิ้มลอยแตะจมูกผม ทำเอาผมน้ำลายไหล กลืนน้ำลาย..อึก แล้วผมก็ตัดสินใจกินลูกชิ้นลูกแรกที่ปลายไม้ทันที

     "อืม...ร้อน อร่อย แซ่บจริงๆ" ถึงแม้ว่าลูกชิ้นจะร้อนไปสักหน่อย แต่ก็ยังพอกินได้ ความนุ่มของมันทำให้ผมมีความสุขในการเคี้ยว ความหอม และรสแซ่บของน้ำจิ้มทำให้ผมมีความสุขกับการใช้ลิ้นดันมันไปมาๆในปาก ก่อนที่จะกลืนลงไปอย่างมีความสุขจริงๆ

     หลังจากที่ผมมีความสุขกับลูกชิ้นลูกแรกไปแล้ว ผมก็จัดการลูกที่ 2 ตามมาติดๆ ระหว่างที่เคี้ยวลูกชิ้นลูกที่ 2 ไป สายตาก็มองผู้คนที่พลุกพล่านเต็มลานหน้าห้างแห่งนี้ไปด้วย

     'ดูนักเรียนคู่นั้นสิ น่าจะสักมอต้นได้ล่ะมั้งนั่น เด็กสมัยนี้มีแฟนกันเร็วจริงๆ' ผมเคี้ยวลูกชิ้นไป ก็มองเห็นเด็กนักเรียนสองคน นั่งกุมมือกัน คุยกันกระหนุงกระหนิงไป พาลให้นึกถึงสมัยตอนตัวเองเรียน ม.ต้น ตอนนั้นจำได้ว่าตัวเองไม่ได้สนใจเรื่องผู้หญิง หรือความรักเลย ตอนนั้นในหัวมีแต่...คิดว่าการเรียนใช่มั้ยล่ะครับ ผิดนะครับ ตอนนั้นผมสนใจแต่เกมครับ ว่างเป็นไม่ได้ หาเรื่องเล่นเกมตลอดเลย

     ลูกชิ้นลูกที่ 3 และลูกที่ 4 หมดไปอย่างรวดเร็ว ก็มันอร่อย เลยหยุดไม่ได้ล่ะครับ มาถึงลูกที่ 5 ลูกสุดท้ายของไม้ ผมเอาฟันคาบลูกชิ้นลูกสุดท้ายไว้ แล้วเอามือดึงไม้ลูกชิ้นอย่างช้าๆ ให้ลูกชิ้นมาหยุดอยู่ที่ปลายไม้ ผมมองซ้ายมองขวา มีคนสนใจผมรึเปล่า 'อืม ไม่น่ามีใครสนใจเราหรอก' ผมเอาลูกชิ้นที่อยู่ปลายไม้เข้าปาก ดูดกินน้ำจิ้มจนหมด แล้วก็เอาลูกชิ้นออกมาจากปาก จิ้มลงไปในถึงลูกชิ้นอีกครั้ง เพื่อให้ลูกชิ้นชุ่มน้ำจิ้มอีกครั้ง ก่อนที่จะเอาลูกชิ้นขึ้นมาใส่ปากพร้อมน้ำจิ้มที่เยิ้มเลยทีเดียว 'แหม โคตรแซ่บเลย'

     ระหว่างที่ผมกำลังมีความสุขกับลูกชิ้นลูกสุดท้ายของไม้อยู่นั้น สายตาของผมก็ไปจ๊ะเอ๋กับผู้หญิงคนหนึ่งเข้าครับ ผมตกใจมาก เพราะเธอมองผมอยู่ แล้วเธอก็มีรอยยิ้มเล็กๆให้ผมด้วย สมองของผมพลันคิดเลยว่า 'เมื่อกี้เธอต้องเห็นเรากินลูกชิ้นแบบนั้นแน่ๆ เธอเลยอดที่จะยิ้มไม่ได้' ผมมองเธอ มองทางซ้าย มองทางขวา มองเธอ มองทางซ้าย มองทางขวา มองเธอ ผมมองอยู่แบบนี้หลายรอบ หรือพูดง่ายๆก็คือ สายตาเลิ่กลั่กนั่นแหละครับ ผมทำอะไรต่อไม่ถูกจริงๆครับ

     ผมไม่แน่ใจตัวเองว่าอาย เพราะถูกเธอมองเห็นผมกินลูกชิ้นแบบนั้น หรือผมเขิน เพราะรอยยิ้มเล็กๆนั่นกันแน่

     ผมตัดสินใจละสายตาจากเธอมองไปทางอื่น เพื่อให้ตัวเองสบายใจ แต่ก็ด้วยอะไรดลใจก็ไม่รู้ล่ะครับ ทำให้ผมต้องมองเธออีกครั้งเพื่อดูว่า เธอแต่งตัวยังไง มีลักษณะเด่นอะไรบ้าง ผมมองเธอแค่ไม่นานก็ได้คำตอบมาทั้งหมด ก่อนที่ผมจะมองไปทางอื่นอีกครั้ง แล้วพยายามไม่มองเธออีก

     'เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนกุด กระโปรงยีนส์ไม่สั้นมาก หน้าตาน่ามอง ผมยาวน่าจะถึงกลางหลัง ส่วนสูงเดาไม่ถูก รองเท้าลืมดู นั่งไขว่ห้างทำตัวสบายๆ และที่สำคัญที่สุดคือ รอยยิ้มมีเสน่ห์มากๆ' เฮ้ย นี่ผมเก็บรายละเอียดของเธอได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ผมตกใจตัวเองมาก ว่าทำไมสังเกตได้ขนาดนั้น ทั้งๆที่ผมมองเธอแค่ไม่นาน

     ตอนนี้ผมเหมือนคนโดนหมัดตรงชกเข้าหน้าครับ รู้สึกมึนๆ เบลอๆ คิดไม่ออกว่าจะทำอะไรต่อดี ก่อนที่สมองจะสั่งการให้เอามือหยิบไม้ลูกชิ้นอีกไม้ที่เหลือขึ้นมากิน ลูกแรกเข้าปากยังไม่เคี้ยว ลูกที่ 2 ตามมาทันที เริ่มเคี้ยว ลูกที่ 3 ตามมาติดๆ เริ่มเคี้ยวยากละ ลูกที่ 4 ยัดเพิ่มเข้าไปอีก ทีนี้เต็มปากเลยครับ เคี้ยวยากเลย แต่ก็อร่อยสุดๆเหมือนกัน ก่อนที่จะหยุดที่ลูกที่ 5 ลูกสุดท้าย

     หลังจากที่พยายามเคี้ยวลูกชิ้น 4 ลูกพร้อมกันจนหมดไปจากภายในปากอย่างเอร็ดอร่อยแซ่บถึงใจแล้ว ดูเหมือนว่าสติจะเริ่มกลับมาครับ ผมมองลูกชิ้นลูกสุดท้ายที่อยู่ตรงโคนไม้ ก่อนที่จะเงยหน้าหันไปหาผู้หญิงที่ยิ้มให้ผมเมื่อสักครู่นี้

     "อ้าว หาย" ผมหันไปมองเธอ แต่ไม่เจอเธอแล้ว ผมถึงกับพูดออกมาเสียงดังเลยทีเดียว ผมทำหน้าสงสัยว่าเธอหายไปไหน ผมลองมองหาเธอแถวๆนั้น แต่ก็ไม่เจอเธอเลย ผมมาลองคิดๆดู แล้วผมจะสนใจเธอทำไมกันนะ พอผมคิดได้แบบนั้น ผมก็จัดการลูกชิ้นลูกสุดท้ายทันที ด้วยวิธีการกินปกติไม่กินแบบไม้แรก

     ยอมรับเลยว่า ระหว่างที่เคี้ยวลูกชิ้นลูกสุดท้ายอยู่ สายตาก็ยังคงพยายามมองหาเธอคนนั้นไปด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่เจอ พอผมจัดการกับลูกชิ้นทั้ง 2 ไม้เรียบร้อยแล้ว ผมก็ลุกจากที่ผมนั่งอยู่ เพื่อไปเดินหาซื้อตุ๊กตาเป้าหมายของขวัญวันวาเลนไทน์ต่อ

     "ช่วงวันวาเลนไทน์ก็แบบนี้แหละค่ะ ราคามันจะสูงไปสักหน่อย" เจ้าของร้านตุ๊กตาร้านหนึ่งที่ผมเข้าไปเลือกซื้อตุ๊กตาบอกกับผม ซึ่งผมก็ขอตัวเดินออกไปดูตุ๊กตาที่ร้านอื่นๆก่อน

     หลังจากที่เดินดูจนคิดว่าทั่วแล้ว ผมคิดว่าราคาถูกๆก็คงไม่มีหรอก เพราะมันเป็นช่วงวันวาเลนไทน์ ราคาก็จะสูงๆกันประมาณนี้แทบทุกร้าน ผมเลยตัดสินใจไปเลือกซื้อตุ๊กตาที่ร้าน...ที่เจ้าของร้านสวยที่สุด

     "ตกลงเอาตัวนี้นะคะ ไม่เพิ่มอีก 250 เอาตัวใหญ่ไปเลยล่ะคะ" เจ้าของร้านคนสวยถามผม หลังจากที่ผมเลือกซื้อตุ๊กตาขนาดกลาง

     "ตัวใหญ่เดินทางลำบาก ขอกลางๆแบบนี้ดีกว่าครับ อุ้มไปให้ง่ายกว่าเยอะครับ" ผมก็อธิบายให้เจ้าของร้านเข้าใจ ว่าทำไมผมถึงเลือกแค่ตุ๊กตาขนาดกลาง

     "อุ้มตุ๊กตาไปให้ผู้หญิงแล้ว ก็ขอให้ได้อุ้มผู้หญิงแทนตุ๊กตาบ้างนะคะ" หลังจากที่ผมตัดสินใจซื้อตุ๊กตาที่ร้าน และจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เจ้าของร้านก็มีอวยพรให้ผมแบบทะลึ่งๆเล็กน้อย

     "แหม เล่นขี้นะครับเนี่ย" ผมแซวเจ้าของร้านกลับไปบ้าง

     "เหอะ ขี้เล่นมากกว่ามั้งคะ" เจ้าของร้านอารมณ์ดี แก้มุขผมกลับมา ทั้งผม และเจ้าของร้านต่างก็ยิ้มให้กันอย่างมีความสุข ก่อนที่ผมจะเดินออกจากร้านมาครับ

     ผมนั้นมีความสุข เพราะได้ของขวัญวันวาเลนไทน์ตามที่ต้องการแล้ว ตุ๊กตาถือหัวใจน่ารักมากเลยทีเดียว เธอคนนั้นต้องชอบแน่ๆ

     ส่วนแม่ค้าน่ะเหรอ ผมคิดว่าที่เขามีความสุขก็คงเพราะ ช่วงนี้ขายดีมากแน่ๆเลย ผมเข้าไปในร้าน เห็นมีผู้คนหลากหลายวัยมาเลือกซื้อของขวัญวันวาเลนไทน์กันเต็มร้านเลย

     หลังจากที่ได้ตุ๊กตามาแล้ว แทนที่ผมจะกลับบ้านเลย สมองของผมกลับบอกว่า ให้ลองเดินตามหาผู้หญิงที่ยิ้มมีเสน่ห์คนนั้นดูสิ เผื่อจะเจอก็ได้นะ ตอนนี้ผมกำลังสับสนกับความคิดของตัวเองมากว่าจะเอายังไงดี จะตามหาเธอคนนั้น หรือจะกลับบ้านดี ถ้าจะเดินตามหาเธอคนนั้น ถ้าเจอเธอแล้วจะทำยังไงต่อล่ะ แต่ถ้ากลับบ้านเลย ผมจะรู้สึกวุ่นวายใจ คาใจรึเปล่า ว่าทำไมไม่ลองเดินหาดูสักหน่อย

     สุดท้ายแล้ว ความอยากรู้อยากเห็นก็ชนะครับ ผมลองพยายามเดินในห้างให้ทั่วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ได้เจอกับเธอคนนั้นอีกครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เจอ ผมใช้เวลาเดินตามหาเธอประมาณ 30 นาทีเลยทีเดียว เดินวนไปวนมา ไปซ้ายไปขวา ขึ้นบนลงล่าง จนรู้สึกเมื่อยขาอยากจะนั่งพักแล้ว

     "เอาสองไม้ครับ" ผมออกมาที่หน้าห้าง แล้วก็มาซื้อลูกชิ้นปิ้งกินอีก 2 ไม้ครับ เพราะว่าเหนื่อยจากการเดินตามหาเธอคนนั้น

     "เหลือห้าไม้เองหนุ่ม เหมาหมดเลยมั้ย ป้าจะได้เก็บร้านเลย" สิ่งที่ผมกลัวเกิดขึ้นจนได้ ผมเห็นแล้วล่ะว่าในถาดเหลือลูกชิ้นอยู่ 5 ไม้ ถ้าผมสั่งไป 2 ไม้ ก็จะเหลืออยู่ 3 ไม้ ผมคิดว่าเดี๋ยวป้าก็คงขายได้แหละ 3 ไม้เนี่ย แต่ก็ไม่คิดว่าป้าจะเสนอโปรโมชั่นเก็บร้านแรงขนาดนี้ ผมหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะบอกไปว่า...

     "สี่สิบได้รึเปล่าครับ ถ้าได้ ผมเอาหมดก็ได้ครับ" จริงๆก็อยากซื้อลูกชิ้นของป้า 50 บาทตามราคาปกตินะครับ แต่ผมนึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้ผมเหลือเงินติดตัวแค่ 40 บาท ก็เลยลองถามป้าดู เผื่อฟลุ๊คป้าจะยอม

     "เอาๆ ป้าอยากเก็บร้านแล้ว" ป้าใจดี ยอมรับข้อเสนอของผมจนได้ครับ ผมก็เลยได้ลูกชิ้นปิ้ง กับน้ำจิ้มรสเด็ดมา 5 ไม้ ในราคา 40 บาทเท่านั้น

     ผมกลับมานั่งกินลูกชิ้น 5 ไม้ตรงที่นั่งเดิม เผื่อว่าจะได้เจอกับเธอคนนั้นอีกครั้ง ผมกินไป ก็มองหาเธอไปด้วย มองแล้วก็มองอีก ก็ไม่เจอ สงสัยเธอคงกลับบ้านไปแล้ว แต่แล้วอยู่ๆก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าผม ผมแหงนหน้ามองดูว่าใคร ผมตกใจแทบจะสำลักลูกชิ้น เธอคือคนที่ให้ผมมาหาซื้อของขวัญวันวาเลนไทน์ให้นั่นเอง

     "เออ...มาได้ไงเนี่ยปาย" ผมทักทายน้องปาย ผู้หญิงคนที่ผมต้องมาหาซื้อตุ๊กตาให้ เธอยืนอยู่ตรงหน้าผมด้วยสภาพที่หัวฟูเหมือนเพิ่งผ่านสนามรบมาหมาดๆ ทำเอาผมตกใจแทบจะสำลักลูกชิ้นนั่นแหละครับ

     โดยน้องปาย คือน้องสาวที่ทำงานอยู่บริษัทเดียวกับผมครับ ผมกับน้องปายสนิทกันมาก จนหลายๆคนในบริษัทเข้าใจผิดบ่อยๆ คิดว่าผมกับน้องปายเป็นแฟนกันบ้างล่ะ เป็นกิ๊กกันบ้างล่ะ และสาเหตุที่ผมต้องมาหาซื้อของขวัญวันวาเลนไทน์ให้น้องปายก็เพราะว่า ผมสนใจในตัวเพื่อนของน้องปายที่ทำงานอยู่ที่บริษัทอื่นครับ

     "มาได้ไงไม่สำคัญหรอกพี่ แต่ที่แน่ๆ ลูกชิ้นในมือน่ะ ส่งมาแต่โดยดีซะเถอะ อย่าให้ต้องมีคนต้องเจ็บตัว" น้องปายนั่งลงข้างๆผม พร้อมกับคำขู่กรรโชกลูกชิ้นจากผม ซึ่งผมก็ต้องยอมให้แต่โดยดีไม่กล้าขัดขืน

     "โห แซ่บดีเนอะ นี่พี่กะจะกินคนเดียวห้าไม้เลยเหรอ โหดจริงๆ" น้องปายเคี้ยวลูกชิ้นไป พูดไปอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนผมได้แต่นั่งอึ้ง 'อะไรของมันเนี่ย มาถึงก็กินเอาๆ ไม่สนใจดูตุ๊กตาที่ซื้อมาแล้ววางอยู่ข้างๆตัวนี่เลย'

     "เออ...ปาย นี่นะตุ๊กตาคิตตี้ถือหัวใจที่ให้ซื้อน่ะ" ผมตัดบทความอร่อยของน้องปายทันที ด้วยการส่งตุ๊กตาคิตตี้ให้ น้องปายหยุดกิน คว้าตุ๊กตาคิตตี้จากมือผมไป แล้วก็หันไปมองใครบางคนที่นั่งอยู่แถวๆนั้น

     ผู้หญิงเจ้าของยิ้มที่มีเสน่ห์คนนั้น นั่งอยู่แถวนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ครับ แล้วอยู่ๆเธอก็ลุกขึ้นเดินมาทางผม กับน้องปาย และทันทีที่ผู้หญิงเจ้าของยิ้มที่มีเสน่ห์มายืนอยู่ตรงหน้าผม น้องปายก็ส่งตุ๊กตาคิตตี้ให้ทันที

     "เอ้านี่ ไอ้ผึ้ง คิตตี้ถือหัวใจ พี่ตูนเค้าซื้อให้แกเนื่องในวันแห่งฟามรัก แหวะๆๆ" น้องผึ้ง รับตุ๊กตาคิตตี้จากมือน้องปายไป ก่อนที่จะมองผมพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆที่ทรงพลัง และมีเสน่ห์อีกครั้ง ผมใจเต้นแรง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่อ้าปากค้าง

     "ขอบคุณนะคะพี่ตูน เป็นการเริ่มต้นจีบผึ้งที่ดีนะคะ แต่มันจะดีกว่านี้นะ ถ้าพี่กล้าๆเอามาให้ผึ้งเองน่ะค่ะ" น้องผึ้งพูดจบ ก็ยังคงยิ้มเล็กๆเหมือนเดิม ทำเอาผมยิ้มตามไปได้เหมือนกัน

     "เออคือ จริงๆพี่ก็ตามหาผึ้งซะทั่วเลยนะ ตั้งแต่ที่พี่เห็นผึ้งครั้งแรกตอนทุ่มกว่าๆ แล้วผึ้งก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยน่ะ พอพี่หาซื้อตุ๊กตาคิตตี้ได้แล้ว พี่ก็อยากจะเอาให้ผึ้งเองกับมือโดยไม่ต้องผ่านปาย แต่ตามหายังไงก็ไม่เจอผึ้งเลยน่ะสิ" ผมอธิบายให้น้องผึ้งฟังถึงความพยายามของผม โดยน้องผึ้งก็ได้แต่ยิ้ม แล้วก็ยักคิ้วมองไปทางน้องปาย

     "ทั้งหมดนี่แผนของปายเหรอ ที่ให้ผึ้งโผล่มาให้พี่เห็น แล้วก็เอาผึ้งไปซ่อนเนี่ย" ผมหันขวับไปหาน้องปายที่กำลังเอาลูกชิ้นเข้าปายอย่างสบายอารมณ์

     "ป๊าวววว" น้องปายปฏิเสธเสียงสูงแบบนี้ ชัดเลยครับ ผมโดนสองสาวเล่นงานเข้าให้แล้ว

     น้องผึ้ง คือเพื่อนสนิทของน้องปายที่ทำงานอยู่บริษัทอื่นครับ ผมมีโอกาสได้เจอน้องผึ้งมาแล้ว 2 ครั้ง ตอนที่น้องปายขอให้ผมมาเป็นเพื่อนซื้อของที่ห้างแห่งนี้ แล้วผมก็บอกกับน้องปายว่า ผมอยากจะจีบน้องผึ้ง โดยผมก็สืบข้อมูลของชอบของน้องผึ้งจากน้องปายนี่แหละครับ จนถึงวันวาเลนไทน์ผมก็เลยอยากจะซื้อตุ๊กตาคิตตี้ฝากน้องปายไปให้น้องผึ้ง เพื่อเป็นการเริ่มต้นการจีบนั่นเอง

     "ปาย ลูกชิ้นเหลือกี่ไม้ ขอกินบ้าง" น้องผึ้งหันขวับไปหาน้องปาย จากรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ ตอนนี้หน้าตาจริงๆมาก น้ำเสียงก็เปลี่ยนไป จากอ่อนหวาน กลายเป็นดุดัน เหมือนจะทำสงครามกับน้องปายยังไงยังงั้น

     "เหลือ 3 ไม้ แบ่งกันคนละไม้ ชนลูกชิ้นฉลองวันวาเลนไทน์กันเถอะ" น้องปาย ส่งลูกชิ้นให้ผม กับน้องผึ้งคนละ 1 ไม้ แล้วเรา 3 คนก็ชนลูกชิ้นกันเหมือนชนแก้ว แถมยังเสียดังไม่สนใจผู้คนรอบข้างกันเลยทีเดียว

     และแน่นอนว่า นับตั้งแต่วินาทีที่การชนลูกชิ้นเริ่มขึ้น การเริ่มทำคะแนนจีบน้องผึ้งของผมก็เริ่มต้นขึ้นด้วยเช่นกัน

ตอนที่ 123 (บทความ) _ ต่างด้าว vs ต่างชาติ

ต่างด้าว vs ต่างชาติ
11 ก.พ. 2559

     เห็นขึ้นว่า vs (versus) นี่ ไม่ใช่จะมาต่อสู้กันนะครับ แต่จะมาเขียนถึงคำพูดระหว่าง ต่างด้าว กับ ต่างชาตินะครับ

     คนพม่า ลาว กัมพูชา เราชอบเรียกพวกเขาว่า ต่างด้าว

     คนญี่ปุ่น จีน อังกฤษ ฯลฯ เราชอบเรียกพวกเขาว่า ต่างชาติ

     ต่างด้าว คือ คำที่ใช้เรียกคนที่อยู่ในประเทศใกล้กับเรา และมีฐานะทางสังคม การเงิน ความเจริญใกล้เคียงกับเรางั้นเหรอ...คำตอบคือ ไม่ใช่เลยครับ เพราะจริงๆแล้ว ต่างด้าว กับ ต่างชาติ มีความหมายเหมือนกัน แต่พวกเราติดปาก และคุ้นชินกับแรงงานบ้านใกล้เรือนเคียง ที่เราเรียกพวกเขาว่าต่างด้าวนั่นเอง

     ด้าว เป็นภาษาราชการด้วยซ้ำไปครับ ความหมายจาก 'ราชบัณฑิตยสถาน' คือ แดน ประเทศ เช่น คนต่างด้าว ก็คือ คนต่างแดน หรือคนต่างประเทศนั่นเอง และใน 'พระราชบัญญัติ การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑' ให้ความหมายของคำว่า “คนต่างด้าว” หมายความว่า บุคคลธรรมดาซึ่งไม่มีสัญชาติไทย


     แต่ก็อย่างที่บอกไปล่ะครับ เราคุ้นชินกับการเรียกแรงงานพม่า ลาว กัมพูชา ว่าคนต่างด้าว แล้วเรียกแรงงานคนต่างประเทศชาติอื่นเช่น ญี่ปุ่น จีน อังกฤษ ฯลฯ ว่าคนต่างชาติ คำว่าคนต่างด้าว มันก็เลยดูด้อยค่าไปอย่างห้ามไม่ได้ (เอ๊ะ หรือจะห้ามได้)

     แล้วคำว่า ต่างชาติ มาจากไหน ทำไมเราถึงใช้กันทั่วไป ผมคาดว่าน่าจะมาจากคำต่อท้ายที่ใช้กันอยู่ทั่วไปครับ ประเทศชาติ ธงชาติ เพลงชาติ เชื้อชาติ สัญชาติ เราเลยติดปากเรียกคนต่างประเทศที่เข้ามาในไทยว่า คนต่างชาติ นั่นเองครับ (น่าจะใช่นะ น่าจะแนวๆนี้แหละ)

     ไม่ว่าจะเป็นคนพม่า ลาว กัมพูชา ญี่ปุ่น จีน อังกฤษ ฯลฯ ถ้าเข้ามาในประเทศไทย ไม่ว่าจะมาเที่ยว หรือมาทำงาน จะถือว่าเป็นคนต่างด้าวหมดนะครับ หรืออธิบายให้เข้าใจง่ายๆคือ คนที่อยู่ต่างแดน ที่ไม่ใช่ประเทศที่ตัวเองถือสัญชาติอยู่น่ะ เป็นต่างด้าวหมดครับ .. เราไปเที่ยวต่างประเทศ ไม่ว่าประเทศไหน เราก็คือ คนต่างด้าว ของประเทศนั่นล่ะครับ

     แต่ก็นะ ด้วยความเคยชินทางสังคม และคำพูดที่ติดปาก ติดหูกันมายาวนาน ก็คงจะยากสักหน่อย ที่เราจะเรียกฝรั่งว่า...

     A : เฮ้ยๆๆ มีสาวต่างด้าวมาเที่ยวด้วยว่ะ (พูดกับ B ที่นั่งหันหลังให้สาวนักท่องเที่ยว)
   
     B : (ฟังคำพูดของ A แล้ว ก็ไม่แม้แต่จะหันไปมอง) เออ...แล้วไง มึงจะตื่นเต้นอะไรวะ หลังร้านนี่ก็ต่างด้าวทั้งนั้น (หลังร้านคนพม่าเพียบ)

     A : เฮ้ย น่าจะคนสเปนแน่ๆ หุ่นดี สวยชิบหาย

     B : (หันขวับไปดูสาว คอแทบเคล็ด แล้วก็หันกลับมาคุยกับ A) ต่างด้าวพ่อง!!! ต่างชาติชัดๆ

     A : .......-__-"

     นั่นล่ะครับ มันถูกแบ่งแยกคำพูด และชนชั้นกันมานานแล้ว คงจะยากสักหน่อย ที่เราจะใช้คำว่าต่างด้าวกับฝรั่ง

     A : เฮ้ยๆๆ สาวต่างชาติมาเที่ยวหลายคนเลย (ไอ้ A B คู่เดิม คราวนี้ A กวนตรีน B ละ)

     B : (หันขวับไปดูสาวทั้งตัว เพราะคอมันเกือบเคล็ดเมื่อกี้นี้ ในสมองมันคิดว่า ถ้าไม่สาวยุโรป ก็สาวญี่ปุ่นแน่ๆ แล้วก็หันกลับมาคุยกับ A) ต่างชาติพ่อง!!! นี่มันต่างด่าวชัด พุทายก้อม่ายชัก (สาวพม่าทั้งแก๊ง แต่สวยนะเออ หน้าตาเกาหลีเลย)

     A : (คิดในใจ...กูชนะ ฮ่าๆๆ)

     สาเหตุสำคัญอีกอย่างที่เราคุ้นชินเรียกคนพม่า ลาว กัมพูชา ว่าเป็นคนต่างด้าวก็คงจะเพราะว่า พวกเขามักจะมีปัญหาเรื่อง การเข้ามาทำงานแบบผิดกฏหมายจนเป็นข่าวให้เราได้ยินกันนั่นเองครับ

     คนญี่ปุ่น เงินเดือน 100,000 บาท, คนอังกฤษ เงินเดือน 80,000 บาท, คนแคนนาดา เงินเดือน 50,000 บาท หรือคนพม่า เงินเดือน 9,000 บาท ก็ต้องขอเอกสารต่างๆเกี่ยวกับคนต่างด้าวหมดนะครับ เพื่อขอทำงาน หรือท่องเที่ยวในไทย

     บทความนี้มันเหมือนผมพยายามจะให้พวกเราใช้คำพูดเรียกคนต่างประเทศให้ถูกต้องว่า ต่างด้าวนะครับ แต่จริงๆไม่ใช่นะครับ ผมแค่เอามาเขียนอธิบายให้กระจ่างเฉยๆนะครับว่า ต่างด้าว กับ ต่างชาติ มันมีความหมายเดียวกัน จะใช้คำไหนก็ได้ เพราะต่างด้าวก็ไม่ใช่คำพูดที่ดูถูกเหยียดหยามอะไรเลยครับ มันเป็นภาษาที่ถูกต้องในราชการคำหนึ่งเลยทีเดียว

ตอนที่ 122 (บทความ) _ ขยะ แยกได้ ให้ไม่เป็นขยะ

ขยะ แยกได้ ให้ไม่เป็นขยะ
1 ก.พ. 2559

     เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ผมได้กลายเป็นคนเก็บขยะ เอ๊ะ ไม่สิๆ ต้องเรียกว่า คนเก็บของเก่าจะดีกว่า เพราะผมไปรื้อกองขยะมาครับ แต่สิ่งที่ผมเก็บมานั้น ไม่ใช่ขวดแก้ว ขวดพลาสติก หรือกระดาษนะครับ แต่เป็นเสื้อผ้าครับ คนทิ้งเขาใส่ถุงมัดอย่างดีเลยครับ ผมเลยเก็บมาเพื่อนำไปบริจาคให้มูลนิธิอีกต่อหนึ่งครับ

     ผมคิดว่า คนที่ทิ้งเสื้อผ้าเขาก็คงตั้งใจจะแยกขยะนั่นแหละครับ ถึงได้ใส่ถุงมัดซะดีเลย แต่ด้วยความที่ว่า ผมไม่รู้ว่าเทศบาลเก็บเสื้อผ้าพวกนี้ไปแล้ว มันไปไหนต่อน่ะสิครับ ผมเลยเก็บมาเองซะเลย

     ผมลองค้นหาในอินเตอร์เน็ตดูแล้วนะครับ เพื่อหาคำตอบว่า เทศบาลเก็บเสื้อผ้าที่เป็นขยะไปไหน ซึ่งผมก็หาไม่เจอครับ จะเอาไปบริจาคต่อ จะเอาไปขายต่อ หรือเอาไปทำอะไร หาไม่เจอจริงๆ แต่ผมคิดว่า น่าจะเอาไปบริจาคต่อแหละ อย่างน้อยมันก็ยังใช้งานได้นี่เนอะ เขาคงไม่โหดร้ายกับโลก เอาไปโยนทิ้งเป็นขยะจริงๆหรอกมั้ง

     ไหนๆก็เขียนถึงเรื่องขยะแล้ว งั้นผมต่อยอดอีกนิดละกันนะครับ

     ขยะ แบ่งออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่

     1. ขยะย่อยสลายได้
     2. ขยะรีไซเคิล หรือขยะที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ขายก็ได้
     3. ขยะทั่วไป
     4. ขยะพิษ

     ขยะย่อยสลายได้ ก็ง่ายๆครับ เศษอาหาร พืชผักต่างๆนั่นเองครับ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ขยะธรรมชาตินั่นแหละ (คิดเอง เออเองคนเดียว) เกิดจากธรรมชาติ ก็ย่อมย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติไงครับ ขยะประเภทนี้ยังสามารถนำไปทำปุ๋ยหมักได้อีกด้วย

     ขยะรีไซเคิล ขอข้ามไปก่อน ขอเอาไปต่อท้ายสุด (เป็นไงล่ะ อินดี้ป่ะล่ะ)

     ขยะทั่วไป เป็นขยะที่ย่อยสลายยาก และรีไซเคิลก็ไม่ไหว เช่น ซองบรรจุภัณฑ์ที่เป็นพลาสติกครับ เพราะซองพวกนี้มักจะสกปรกตั้งแต่เลิกใช้ จะเอามาใช้ต่อก็คงไม่ไหวล่ะครับ กล่องโฟม ฯลฯ คิดไม่ออกละ (จบดื้อๆเลย)

     ขยะพิษ เป็นขยะที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมครับ เป็นขยะที่ควรรวบรวมไว้ แล้วทิ้งทีเดียวครับ เช่น กระป๋องยาฆ่าแมลง หลอดไฟ ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่ ฯลฯ คิดไม่ออกละ (จบดื้อๆอีกละ)

     มาถึงตัวเอกของบทความนี้ ขยะรีไซเคิล หรือขยะที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ ขายก็ได้นั่นล่ะครับ ขยะประเภทนี้ผมว่ามีเยอะนะครับ เสื้อผ้าที่ผมเขียนไปตอนเริ่มบทความก็ใช่นะครับ เป็นขยะที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ ขายมือสองยังได้เลยครับ

     ขยะรีไซเคิล ที่เห็นชัดๆเลย จะมีอยู่ 5 ชนิดด้วยกัน

     1. แก้วหน้าม้า (เฮ้ย เดี๋ยวๆ นั่นมันคนดัง อย่าไปยุ่งกับเขา) แก้ว เศษแก้ว ขวดแก้ว ใช้ซ้ำได้แน่นอน แต่ถ้าจะขายก็ได้ราคาดีไม่น้อยเลย พวกแก้วพวกนี้จะผ่านการทำลายให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วหลอมขึ้นมาใหม่ นำกลับไปใช้บรรจุเครื่องดื่มต่อไปได้ครับ (เคยดูในรายการอะไรสักอย่างนี่แหละ น่าจะประมาณนี้นะครับ)

     2. กระดาษ สำหรับกระดาษที่ใช้แล้ว 1 ด้าน ควรใช้ซ้ำอีก 1 ด้าน ให้ครบทั้ง 2 ด้านนะครับ ไม่งั้นถือว่าใช้กระดาษไม่คุ้มค่าครับ (หรือถ้ากระดาษเป็นแผ่นใหญ่ ก็ตัดๆให้เล็กลง ทำเป็นกระดาษโน๊ตได้นะครับ) หลังจากที่ใช้กระดาษทั้ง 2 ด้านจนคุ้มค่าแล้ว คราวนี้ก็เก็บไปขายสิครับ ส่วนเขาจะเอากระดาษไปทำอะไรต่อ อันนี้ผมไม่ทราบนะครับ (ไม่หาข้อมูลให้ด้วยนะเออ อยากรู้ข้อมูลหาเองนะครับ อิอิ)

     3. กล่องเครื่องดื่ม เช่น กล่องนม กล่องน้ำผลไม้ หลังจากที่ดื่มจนเกลี้ยงแล้ว ล้างให้สะอาด (ล้างข้างในด้วยนะ ไม่ใช่ล้างแต่ข้างนอก) ขายก็ได้นะครับ หรือบริจาคก็ได้ ที่มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ)ยามยาก สามารถเอาไปทำหลังคาทีมีขนาด 0.90 x 2.40 เมตรได้ครับ โดยจะใช้กล่องเครื่องดื่มประมาณ 2,000 กล่อง (ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้นะครับ เพราะเป็นข้อมูลเก่า ผมไม่ได้ตามอัพเดทให้ครับ)

     4. พลาสติก เช่น ขวดน้ำ แก้วน้ำ บรรจุภัณฑ์พลาติกแข็ง พวกนี้เก็บไว้ขายได้นะครับ ซึ่งเขาเอาไปทำอะไรต่อ ผมก็ไม่รู้อีกแล้ว (รู้อะไรบ้างเนี่ย)

     5. โลหะ/อลูมิเนียม เช่น กระป๋องเครื่องดื่ม ฝาขวด เศษเหล็ก ขายได้ทั้งนั้น ซึ่งเขาเอาไปทำอะไรต่อ ผมก็ไม่รู้อีกแล้ว (คำพูดคุ้นๆนะ)

     แต่ไม่ว่าขยะจะมีมูลค่าขนาดไหน สิ่งที่เราควรคำนึงถึงมากที่สุดคือ การไม่ก่อให้เกิดขยะจะดีกว่านะครับ การไม่มีขยะ ก็หมายถึงโลกเราสะอาดขึ้นนะครับ  อ่อ อีกอย่างนะครับ ถึงแม้ว่าเราจะเลิกก่อขยะไม่ได้ แต่การแยกขยะ ก็ช่วยโลกได้เยอะนะครับ

     ใช้ถุงผ้าไปซื้อของ ที่ตลาด ที่ห้าง (อินดี้โคตรๆ)
     กินอาหารให้หมดจาน ไม่ให้เหลือซาก (โหดมาก)
     เอาแก้วน้ำไปซื้อเครื่องดื่มเอง ไม่เอาแก้วของทางร้าน (กล้าป่ะล่ะ)
     ใช้กระดาษให้คุ้มค่า กลับหน้า กลับหลัง เขียนด้านข้างด้วยก็ดี (มันมีซะที่ไหน)
     บริจาคเสื้อผ้า หนังสือ หรือของใช้ที่เราไม่ใช้แล้ว (ต้องของที่ยังใช้ได้นะ)
     D.I.Y. (DO IT YOURSELF) แปลเป็นไทยได้ว่า ทำอะไรก็ได้ ด้วยตัวคุณเอง อะไรเก่าๆ เหลือๆ เอามา D.I.Y. ใช้งานซะ ช่วยละปริมาณขยะได้พอสมควรเลย แล้วที่สำคัญ ของที่คุณทำขึ้น ก็อาจจะมีเพียงชิ้นเดียวในโลกเลยก็ได้ (สุดท้ายมันก็เป็นขยะ แต่ก็ช่วยยืดอายุการเป็นขยะของมันได้นะเออ)

     ผมคิดว่า..ทุกคนทำได้นะครับ