hostneverdie

weltrade

siamfocus

ตอนที่ 134 (บทความ) _ พ่อหลวงจะอยู่ในใจตลอดไป

พ่อหลวงจะอยู่ในใจตลอดไป
02 ต.ค. 2560

ตอนนี้ก็เข้าสู่เดือนตุลาคมแล้ว เดือนที่เมื่อปีที่แล้ว ปี 2559 ประชาชนชาวไทยต้องใจหาย และเสียน้ำตากันเป็นจำนวนมาก ในระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบ 1 ปีเต็มนี้ เชื่อว่าหลายๆคน (รวมถึงผมด้วย) น่าจะรู้สึกหายจากความโศกเศร้าไปบ้างแล้วกับเหตุการณ์การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ แต่พอถึงเดือนนี้ เดือนที่ทุกอย่างต้องมีพิธีการอีกครั้ง สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น มันก็ทำให้ผม และใครอีกหลายๆคน อดนึกถึงความหลังไม่ได้ แล้วพอมันนึกขึ้นมา มันก็จะใจหาย แล้วน้ำตาก็จะซึมอีกครั้ง

ผมยอมรับเลยว่า พอผมนึกถึงภาพของท่านทรงงาน แล้วก็นึกถึงว่าใกล้วันที่ท่านจะต้องกลับสู่สรวงสวรรค์แล้ว ความรู้สึกของผมตกลงทันที ผมรู้สึกเศ้ราขึ้นมาทันที (แม้แต่ตอนที่เขียนบทความนี้) มันรู้สึกใจหายอีกครั้ง น้ำตามันจะไหลซะให้ได้ คิดถึงพ่อหลวงจริงๆนะครับ

ในบทความนี้ก็ไม่มีอะไรจะเขียนมากหรอกนะครับ แค่จะมาเขียนบอกความรู้สึกของผมก็เท่านั้น เพราะเชื่อว่าหลายๆคนน่าจะมีอาการแบบผมนี่แหละครับ

แต่...คิดไปคิดมา ขอเล่าถึงประสบการณ์การไปกราบพระบรมศพให้อ่านสักหน่อยก็แล้วกันนะครับ เพื่อให้บทความนี้จะได้ยาวอีกสักนิดหนึ่ง

วันที่ผมไปกราบพระบรมศพนั้น เป็นวันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2560 ครับ ซึ่งมันเป็นเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกรา ซึ่งมันเป็นวันเด็กนั่นเอง ทีแรกก็คิดว่า วันเด็ก ผู้ใหญ่น่าจะพาเด็กๆไปเที่ยวนะ ไม่น่าจะมาไหว้พระบรมศพ แต่ที่ได้ ผมคิดผิดครับ เพราะคนเยอะมากๆวันหนึ่งเลย ไม่รู้ว่าเพราะคิดแบบเดียวกันรึเปล่านะครับ วันนั้นคนถึงเยอะมากขนาดนั้น

เนื่องจากบ้านผมอยู่ไกล การเดินทางจึงใช้ระยะเวลาพอสมควรเลย ผมจำไม่ได้นะครับว่าออกจากบ้านกี่โมง แต่ลำดับการเดินทางของผมมีดังนี้

1. แว๊นมอเตอร์ไซค์จากบ้าน ไปยังสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์(ลาดกระบัง)
2. ยืน (เพราะมันไม่ได้นั่งไง) รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ จากสถานีลาดกระบัง ไปยังสถานีปลายทาง พญาไท
3. ไปต่อรถไฟฟ้า BTS จากสถานีพญาไท ไปสถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (แค่ 1 สถานีเอง)
4. ต่อรถเมล์ที่ให้บริการฟรี ไปยังสนามหลวง

นั่นแหละครับการเดินทางของผม ดูมันง่ายๆนะครับ แต่มันก็ง่ายจริงๆแหละ เพียงแต่ว่ามันใช้ระยะเวลาเดินทางหน่อยแค่นั้นเอง ผมไปถึงสนามหลวงประมาณ 10 โมงครับ พอไปถึงผมก็ดูไม่ออกหรอกคครับว่า คนมันเยอะหรือน้อย รู้แต่เพียงว่า มองไปทางไหนก็คนทั้งนั้น ดำไปหมดเลย

พอเข้าบริเวณเต็นท์สำหรับต่อคิวนั้น ก็งงๆ เดินวนไปวนมาสักพักเพื่อหาหางแถวแต่ก็ไม่เจอ เลยต้องไปถามพี่ๆที่ให้บริการแถวนั้น ถามประมาณ 2 ครั้ง จึงเดินวนไปเจอหางแถว พอเจอหางแถวเท่านั้นแหละครับ ทำหน้าตกใจ แล้วร้อง โหหหห ได้เลยครับ เพราะแถวยาวมากๆ แล้วยังต้องยืนตากแดดอีกด้วย เพราะหางแถวมันยาวเลยออกมานอกเต็นท์ล่ะครับ ผมก็ต่อท้ายแถว แล้วก็มีคนมาต่อข้างหลังผมอีกเรื่อยๆๆเลยครับ ระหว่างที่ยืนต่อแถวรอเข้าในเต็มท์ ก็มีน้องๆจิตอาสาเดินมาแจกน้ำ แจกขนม แจกร่ม(ให้ยืม แล้วต้องคืน)ก็มีครับ

ถ้าจำไม่ผิด ผมใช้เวลาต่อแถวรอเข้าเต็นท์เกือบๆ 1 ชั่วโมงเหมือนกันนะครับ เวลาตอนนั้นก็ใกล้เที่ยงเข้าไปทุกที ร้อนขึ้นเรื่อยๆครับ พอผมเข้าเต็นท์ได้ ก็ค่อยหายร้อนขึ้นหน่อย จะสงสารก็แต่คนที่ต่อแถวต่อจากผมอีกเพียบเลยนี่แหละครับ เพราะเจอแดดแรงเต็มๆเลย

ขืนเล่าละเอียดคงยาวแน่ๆ งั้นผมขอรวบรัดเลยนะครับ ระหว่างที่อยู่ในเต็นท์รอการเข้าไปกราบพระบรมศพนั้น จะเป็นการนั่งรอที่ง่วงด้วย เมื่อยตูดด้วยครับ แต่ยอมรับในความสะดวกสบายมากครับ เพราะเรานั่งอยู่ที่เดิม แต่ก็มีอาหาร น้ำดื่มมาให้ตลอด รวมไปถึงจิตอาสาที่คอยแวะเวียนมาเก็บขยะอยู่เรื่อยๆ เรียกได้ว่า สะดวกสบายยิ่งกว่าอยู่บ้านอีกครับ ที่ต้องทนมีเพียงอย่างเดียวคือ มันร้อน และต้องสู้กับใจตัวเองครับ ว่าต้องทนให้ได้ เพื่อกราบพ่อ

จากสว่างแดดเปรี้ยงๆ จนมืดค่ำ ในที่สุดผมก็ได้เข้าไปกราบพระบรมศพ ซึ่งตอนเข้าไปก็ไม่รู้นะครับว่ากี่โมง แต่ผมจะได้ว่า ผมออกจากบริเวณสนามหลวงประมาณ 21.00 น.ครับ รวมระยะเวลาในการไปกราบพระบรมศพคือ 11 ชั่วโมงครับ แต่ถ้าหากนับรวมตังแต่ออกบ้าน ก็เกิน 12 ชั่วโมงล่ะครับ

ไม่เหนื่อยเลยนะครับ กับการใช้เวลานั่งรอในเต็นท์เพื่อเข้าไปกราบพระบรมศพ แต่จะเหนื่อยก็ตรงเดินทางซะมากกว่าครับ มาคิดๆดู เราแค่นั่งรอในเต็นท์ แต่จิตอาสาที่คอยช่วยเหลือคนที่นั่งรอนี่สิครับ เหนื่อยกว่าเราเยอะ หากจิตอาสาในงานพระบรมศพได้อ่านบทความนี้ ผมก็ขอขอบคุณมากๆครับ ที่คอยดูแลทุกๆคนอย่างเต็มที่ สำหรับผมแล้วพวกท่านทุกคนคือ ฮีโร่..ฮีโร่คนธรรมดาๆที่ไม่ต้องการอะไรตอบแทน นอกเสียจาก ความภูมิใจ และสุขใจที่ได้ทำเพื่อพ่อหลวงของเรา (น้ำตาจะไหลอีกละ)

เอาล่ะครับ ไปๆมาๆก็ยาวจนได้ ดีใจที่บทความยาวแล้ว ก็ขอจบบทความนี้ไว้เพียงเท่านี้ครับ ... พ่อหลวงจะอยู่ในใจลูกคนนี้ตลอดไป

สวัสดีครับ
ต.ต้น

ตอนที่ 133 (บทความ) _ โตมากับการฟังเพลงในยุค 90 ตอนปลายๆ

โตมากับการฟังเพลงในยุค 90 ตอนปลายๆ
28 ก.ย. 2560

ปัจจุบันผมอายุก็เกือบๆจะ 40 อยู่แล้ว (แก่เนาะ) ซึ่งแน่นอนว่าคนอายุประมาณนี้ก็ย่อมโตมาในยุค 90 ตอนปลายๆหน่อย หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆเลยก็คือ 1980 เป็นต้นมานั่นแหละครับ

แล้วสาเหตุที่วันนี้จะมาเขียนถึงเรื่อง การฟังเพลงในยุค 90 นั่นก็เพราะว่า วันนี้เปิดดูยูทูปฟังเพลงนี่แหละครับ แล้วไปเจอเพลงของค่าย RS เช่น ดีทูบี (D2B), แรพเตอร์, โดม-ปกรณ์ ลัม (เด็กๆยุคใหม่อาจจะไม่รู้ ว่าโดมเคยอยู่ค่าย RS) และโมเม-นภัสสร บุรณศิริ (คนนี้ยิ่งไปกันใหญ่ ใครจะไปคิดว่าเธอเคยออกอัลบั้มด้วยแหละ) พอเจอเพลงพวกนี้ก็กดฟังสิครับ ฟังๆไปก็คิดถึงอดีตไป (โชว์ความหลัง โชว์ความแก่ตามวัย)

ยอมรับเลยว่า ผมโตมากับค่าย RS มากกว่าค่าย แกรมมี่ (สมัยนั้นมี 2 ค่ายนี้แหละ ที่ยิ่งใหญ่ และแย่งแฟนเพลงกันได้) อาจจะเพราะว่าศิลปินค่าย RS ออกแนววัยรุ่นมากกว่าก็เป็นได้ รวมไปถึงแนวเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกว่าฟังสบายกว่าอีกค่าย (จริงๆจำไม่ได้แล้ว ว่าเพราะอะไรกันแน่ ฮ่าๆๆ)

ในสมัยนั้นการจะได้ฟังเพลงแต่ละเพลงไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย เพราะระบบอินเตอร์เน็ตยังไม่สะดวกสบายเหมือนยุคปัจจุบันนี้ สมัยนั้นถ้าจะฟังเพลงต้องนี่เลยครับ..วิทยุ แล้วไม่ใช่ว่ามีวิทยุแล้วจะได้ฟังเพลงที่อยากฟังนะครับ ต้องมารอลุ้นรายการเพลงที่เปิดฟังอีกครับ ว่าดีเจจะเปิดเพลงนั้นมั้ย หรือถ้ามีช่วงขอเพลง ก็ต้องลุ้นว่า คนที่โทรเข้าไปขอเพลง จะใจตรงกับเรามั้ย ถึงจะลุ้นเหนื่อย แต่ถ้าได้ฟังก็มีความสุขแล้วครับ แต่ถ้าบางคนมีเงินเยอะหน่อย ก็ไม่ต้องรอลุ้นรายการเพลงครับ ลงทุนซื้อเทปของศิลปินคนนั้นเลยครับ (เด็กรุ่นใหม่จะรู้จักเทปมั้ยนะ)

แต่ด้วยความที่เทปมันราคาประมาณ 80-90 บาท ซึ่งผมในตอนนั้นก็ยังไม่มีเงินมากขนาดนั้น แต่อยากได้เพลงที่ชอบมาเปิดฟังโดยไม่ต้องลุ้น ผมจึงต้องทำการพึ่งพาตัวเองด้วยการ..ซื้อเทปเปล่ามาอัดเองครับ ถ้าจำไม่ผิดเทปเปล่าน่าจะราคาประมาณ 30-50 บาท

การอัดเพลงเป็นความสนุกอย่างหนึ่งในสมัยนั้นเลยนะครับ เอ๊ะ เดี๋ยวๆ ขอแวะอธิบายเรื่องการอัดเพลงก่อน เพราะเด็กรุ่นใหม่คงไม่เข้าใจแน่นอน การอัดเพลงคือ การที่ต้องหาวิทยุที่สามารถใส่เทปได้ และนอกจากจะใส่เทปได้แล้ว มันยังต้องมีปุ่มกดอัดเสียงด้วย อธิบายแค่นี้น่าจะพอนึกภาพออกกันนะครับ มาต่อกันเรื่องความสนุกในการอัดเพลงกัน ถามว่ามันสนุกตรงไหน ก็ตรงที่ต้องรอลุ้นให้ดีเจเปิดเพลงที่เราอยากได้ไงครับ นั่งรอ นอนรอ เปิดฟังรายการเพลงวนๆไป ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า บางทีก็ต้องรอลุ้นเป็นอาทิตย์ เป็นเดือนก็มี กว่าจะได้เจอเพลงที่อยากฟัง พอดีเจเปิดแล้ว เพลงมาแล้ว ก็กดอัดเลยสิครับ เห็นมั้ยครับสนุกจะตาย แต่มันยังไม่หมดสนุกแค่นั้นนะครับ เพราะมันยังต้องลุ้นต่อว่า ดีเจจะพูดระหว่างเพลงมั้ย หรือดีเจจะตัดเพลงจบดื้อมั้ย หรือดีเจจะตัดเข้าโฆษณามั้ย โห สนุก ตื่นเต้นครับ

การอัดเพลงมีข้อเสียตามที่ต้องลุ้นนั่นแหละครับ บางทีก็มีเสียงดีเจในเพลง บางทีก็ไม่จบเพลงก็มี หรือบางที อัดๆไป มีเสียงปุ่มอัดเด้ง ปึ๊ก!! หันไปดู ชิบหาย เทปหมด ฮ่าๆๆ กลายเป็นว่า เพลงก็อัดไม่จบ แล้วต้องรอลุ้นอัดใหม่อีกครับ แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสียนะครับ ข้อดีของมันก็มี นั่นก็คือ เราสามารถเลือกอัดเฉพาะเพลงที่ชอบได้ไงครับ เวลาฟังเพลงจากเทปอัดของเรา เราก็จะได้ฟังแต่เพลงที่เราชอบๆทั้งนั้นยาวเลย 10-14 เพลงรวด สะใจมากๆครับ

จะว่าไปเแล้วก็ออกนอกเรื่องมายาวเลยนะครับเนี่ย จริงๆเรื่องที่ผมจะเขียนถึงไม่ใช่เรื่องวิทยุ เรื่องรายการเพลง หรือเรื่องการอัดเพลงนะครับ ที่ผมจะเขียนถึงจริงๆวันนี้คือเรื่อง การฟังเพลงในยุค 90 ครับ การฟังเพลงสมัยนั้น เรามักจะได้ยินเพลงจากรายการวิทยุเป็นที่แรก แล้วถึงจะได้รู้จักว่า อ่อ เพลงนี้ชื่อเพลงอะไร เป็นเพลงของใคร แล้วเราถึงจะได้เห็นตัวนักร้องจากทีวี (ขอใช้คำว่า ทีวี เลยนะครับ)

การฟังเพลงสมัยนั้นจะเป็นการชอบที่เพลงจริงๆครับ เพราะเรามักจะได้ยินเพลงก่อนเห็นตัวนักร้อง พอเราชอบไปแล้ว มันก็ชอบเลย ต่อให้นักร้องหน้าตาไม่ได้ เราก็ไม่แคร์แล้วครับ เพราะเราชอบน้ำเสียง และท่วงทำนองของเพลงของเขาไปแล้ว ผมเลยเชื่อว่า การแต่งเนื้อเพลง เรียบเรียง รวมถึงการใส่ทำนองเพลงในสมัยนั้น เขาเอาจริงเอาจังมากๆ เพื่อให้เพลงมีความเพราะ น่าฟังมากๆให้ได้ครับ เพลงบางเพลงของยุค 90 ตอนปลาย ก็กลายเป็นเพลงอมตะในยุคนี้ไปแล้ว เปิดฟังทีไรก็สนุก ก็เพราะซึ้งกินใจครับ

หากจะเทียบกับสมัยนี้ที่ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่า วงการเพลงของเรายังขายเพลงกันอยู่หรือเปล่า เพราะเพลงบางเพลงก็เหมือนทำส่งๆออกมา ไม่ติดหู ไม่ติดตลาดเอาซะเลย (พอๆจบ ไม่อยากเขียนยาว เพราะไม่ได้อยู่ในวงการ กลัวเขียนพลาด)

มาต่อกันเรื่องความสุขในการฟังเพลงยุค 90 จากวิทยุดีกว่า (เขียนไปเขียนมาชักจะงงๆ ตกลงกูจะเขียนเรื่องอะไรกันแน่วะ ฮ่าๆๆ) เพลงที่เปิดจากวิทยุสมัยนั้น เพลงไหนจะได้เปิดบ่อยแต่ไหน ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อเปิดมาครั้งแรกแล้ว มันติดหูคนฟังรึเปล่า ถ้าเพลงได้ติดหูคนฟังมากๆ รับรองเลยว่า ท่านจะได้ฟังเพลงนั้นในทุกๆ 1 ชั่วโมง หรือไม่ก็ทุกๆช่วงดีเจ (ขึ้นอยู่กับว่า ดีเจจะทำงานกี่ชั่วโมงในช่วงนั้น) หรือถ้าดีเจไม่เปิด มันก็จะมีช่วงขอเพลงอยู่ ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าเพลงมันดังจริง ดีจริง คนที่โทรไปขอ ก็จะขอเพลงนั้นแหละ ซึ่งมันก็ทำให้เราได้ฟังไปด้วยในที่สุด แล้วพอเพลงมันเปิดบ่อยๆๆๆ มันก็ดังขึ้นเรื่อยๆๆๆ (ก็เบาเสียงสิ เฮ้ย ไม่ใช่!!!) จนในที่สุด ก็ติดหูคนยุค 90 จนกลายเป็นเพลงอมตะ พอได้ยินเพลงนี้ทีไร ก็จะร้องได้อย่างเหลือเชื่อ แม้จะผ่านมาแล้วนับ เออ...เกือบ 20 ปีก็ตาม (โชว์แก่อีกละ)

บอกตรงๆนะครับว่า ตอนนี้สับสนตัวเองมากๆ นี่กูเขียนบทความเรื่องอะไรอยู่ ฮ่าๆๆ เหมือนไม่ได้เขียนมานานหลายๆเดือน สมองปรับตัวไม่ได้ เรียบเรียงเนื้อหาไม่ถูกยังไงก็ไม่รู้ครับ ก็ถ้าอ่านไป งงไป ก็ขอโทษด้วยนะครับ

ก่อนที่บทความจะเละไปมากกว่านี้ ขอสรุปจบดีกว่าครับ เพลงในยุค 90 คนที่อยู่ในยุคนั้นก็จะชอบเพลงแนวๆนั้นแหละครับ ส่วนคนในยุคนี้ ก็จะชอบเพลงแนวๆปัจจุบันนี้แหละครับ การที่คนยุค 90 ได้ฟังเพลงเก่าๆที่เขาเคยฟัง หรือชื่นชอบ มันก็เป็นความสุขของเขา อย่างไปแซวเขาเลยครับ ดีไม่ดีถ้าคนรุ่นใหม่ได้ลองฟังเพลงยุค 90 ก็อาจจะชอบก็ได้นะครับ อีกอย่างคือ นักร้องยุคนั้นน่ะ หน้าตาจริงๆ ไม่มีของเทียมนะเออ ฮ่าๆๆ พอครับๆ จบจริงๆละ คนเขียนออกทะเล ยิ่งเขียนยิ่งเละ ไว้เจอกันใหม่บทความหน้าครับ

สวัสดีครับ
ต.ต้น

ตอนที่ 132 (บทความ) _ สายแว้นบางคน ไม่เห็นทำตามพ่อ

สายแว้นบางคน ไม่เห็นทำตามพ่อ
9 มิ.ย. 2560     

     จริงๆผมก็เห็นมานานแล้วล่ะครับ ตั้งแต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคตไป คนส่วนมาก หรือแทบจะทั้งประเทศ หรืออาจจะนับเป็นว่าคนที่รักในหลวงได้พูดกันว่า จะเดินตามรอยพ่อหลวง หรือจะทำตามที่พ่อสอน ไม่ว่าจะเป็นการพอเพียง การมีน้ำใจ การซื่อสัตย์ ฯลฯ และประเด็นของวันนี้ก็อยู่ที่ความซื่อสัตย์นี่แหละครับ

     ที่ผมบอกว่าผมก็เห็นมานานแล้วนั่นก็คือ สายแว้น หรือที่เข้าใจกันก็คือ คนที่เดินทางด้วยการขี่มอเตอร์ไซค์นั่นเองครับ บางคน บางกลุ่มเท่านั้นนะครับ ที่ผมเห็นไม่มีความซื่อสัตย์ นั่นก็คือ การฝ่าไฟแดง

     ผมจำได้ว่ามีเรื่องเล่าถึงพ่อว่า "ถึงกับขาอ่อน…!!! รถยนต์คันหนึ่งติดไฟแดง ขวางรถนำขบวน เมื่อตำรวจไปสอบถาม ถึงกับ..." โดยเนื้อหามีดังนี้...


     เหตุนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 30 กว่าปีก่อน บนถนนแห่งหนึ่งใน กทม. มีรถคันหนึ่ง ได้ขับไปบนถนนเส้นนั้น โดยในรถคันดังกล่าว มีเพียงชายผู้หนึ่งที่กำลังขับรถอยู่เพียงคนเดียวและในระหว่างทางที่ขับไปนั้น ชายดังกล่าวได้จอดรถแวะข้างทางเพื่อซื้อกาแฟ 1 ถุง และได้ออกรถไปจนกระทั่งขับมาถึงสี่แยกไฟแดงแห่งหนึ่ง ชายดังกล่าวก็ได้จอดติดไฟแดงอยู่ จนมีรถตำรวจคันหนึ่งซึ่งขับนำรถเบนซ์มาได้บีบแตรไล่รถที่ชายผู้นั้นจอดติดไฟแดงอยู่นั้นให้ถอยไป และรถตำรวจยังได้พูดผ่านไซเรน ว่า “นี่เป็นรถนำขบวนรัฐมนตรีให้รถของชายดังกล่าวหลบไป”

     แต่รถของชายผู้นั้นก็ไม่หลบให้ จนกระทั่งตำรวจได้ลงจากรถมาที่รถของชายดังกล่าวและเรียกให้ชายผู้นั้นลงจากรถ พอชายผู้นั้นได้ลงมาจากรถ ตำรวจได้เห็นชายคนนั้นถึงกับเป็นลมล้มทั้งยืน สร้างความตกใจให้แก่ตำรวจอีกคนที่นั่งอยู่ในรถ จนต้องวิ่งลงมาดูพร้อมกับรัฐมนตรี พอตำรวจและรัฐมนตรีมาถึง ทั้งคู่ได้เห็นชายดังกล่าว ทั้งตำรวจและรัฐมนตรีได้นั่งลงไปกับพื้นทันที เสมือนกับว่าขาทั้ง 2 ข้างได้อ่อนแรงลงไปทันใด และได้เงยหน้ามองดูชายซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าตนด้วยอาการตัวสั่น

     ชายคนนั้นที่ทั้งคู่ได้เห็นเป็นชายที่มีรูปอยู่บนธนบัตร ซึ่งก็คือ ในหลวงองค์ปัจจุบัน ในหลวงได้ทรงตรัสถามรัฐมนตรีและตำรวจติดตาม ว่า “พวกท่านจะรีบไปไหนหรือถึงกลับจะต้องฝ่าไฟแดง ข้าพเจ้ายังรอติดไฟแดงได้เลย”

     รัฐมนตรีไม่ตอบได้แต่นั่ง ตัวสั่นและกราบลงบนพระบาทและในหลวงก็ได้ทรงขึ้นรถ ตำรวจที่นำขบวนรัฐมนตรีมานั้นก็ได้ทูลว่า “ให้ข้าพระพุทธเจ้าขับรถนำรถพระที่นั่งของพระองค์ไปมั๊ยพุทธเจ้าข้า”

     ในหลวงทรงตรัส ว่า “เราไม่ต้องให้ท่านมานำขบวนรถเราหรอก เราขับไปเองคนเดียวได้ ท่านไปนำรถของท่านรัฐมนตรีเถอะ” และในหลวงก็ได้ทรงขับรถออกไปจากสี่แยกนั้น โดยไม่ได้มีรถตำรวจนำไปแต่อย่างใดเลย

ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้
     แม้ทรงเป็นถึงพระมหากษัตริย์ แต่ก็ทรงเคารพระเบียบวินัย และกฎจราจรได้อย่างเคร่งครัด เป็นแบบอย่างที่ถูกต้องให้ประชาชนได้ปฏิบัติตาม เพื่อความมีวินัยของจราจรบนท้องถนน…

“ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล”
เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ข้าราชบริพารที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาท

     จากบทความข้างบน จะเห็นได้ว่า ท่านสอนเราเรื่องความซื่อสัตย์ด้วยนะครับ ผมเชื่อว่าคนที่ฝ่าไฟแดงส่วนมาก ต้องเคยได้อ่านเรื่องนี้มาบ้างแหละ แต่พวกท่านหลงลืมมันไปหรือเปล่า

     กลับมาเรื่องสายแว้นฝ่าไฟแดงที่ผมเจอมาดีกว่าครับ เส้นทางที่ผมขี่มอเตอร์ไซค์มาทำงาน เป็นเส้นทางที่เจอทั้งหมดเพียงแค่ 3 สี่แยกไฟแดงเท่านั้น แต่ผมก็ได้เจอสายแว้นฝ่าไฟแดงครบทั้ง 3 แยกอย่างเหลือเชื่อ คงไม่ต้องอธิบายนะครับว่า ฝ่าไฟแดงหน้าตามันเป็นยังไง พวกท่านคงคิดกันออกแหละ

     มีอยู่หลายครั้งนะครับ ที่สายแว้นคนอื่นๆฝ่าไฟแดงไป แล้วแฟนผมบอกว่า ทำไมไม่ไปล่ะ คนอื่นๆเข้าไปกันหมดแล้ว ผมไม่พูดอะไรมากครับ ชี้ไปที่ไฟแดง แล้วพูดแค่ว่า "มันไฟแดง" ผมก็ไม่รู้นะครับว่า แฟนผมจะคิดยังไงบ้าง แต่ผมคิดแค่ว่า ผมอยากจะซื่อสัตย์แค่นั้นเอง ผมไม่สนใจหรอกว่า คนขับรถยนต์ที่จอดอยู่ข้างๆ และข้างหลังผม จะมองผมว่าโง่ หรือบ้ายังไง ผมมองแค่ตัวเองทำถูกก็พอแล้ว ถ้าต่างคนต่างบ้าจี้ เห็นคนอื่นฝ่าไฟแดงไป แล้วก็ฝ่าไปตามๆกัน แล้วเมื่อไหร่จิตสำนึกของคนไทยจะถูกปรับให้ถูกต้องสักทีล่ะครับ

     การมองว่าทำผิดแล้วเท่ ดูแล้วมีความกล้าแหกกฎ ควรถูกลบไปจากสังคมไทยได้แล้ว เช่นกันว่า การมองว่าทำดีแล้วเชย ดูแล้วโง่ๆที่ยอมอยู่แต่ในกฎ ก็ควรถูกลบไปจากสังคมไทยได้แล้วเหมือนกัน มันควรสลับความคิดกันได้แล้ว หันมาชื่นชมคนทำดีอยู่ในกฎสิ แล้วก็หันประณามคนที่แหกกฎได้แล้ว ถ้าสังคมไทยยังคงหลงทางอยู่แบบนี้ ชาตินี้คงตามญี่ปุ่นที่เราชื่นชมเรื่องความซื่อสัตย์ของเขาไม่ได้แน่ๆ

     น่าแปลกว่า ตัวอย่างดีๆมีให้ทำตาม แต่ทำไม๊ทำไม คนไทยบางคนก็ยังไม่เห็นจะเลียนแบบเรื่องดีๆที่ว่าเลย มัวแต่ไปเลียนแบบความเท่แบบผิดๆอยู่นั่นแหละ หรือว่า...ถูกผิดรู้หมด แต่มันอดไม่ได้

     เอาล่ะครับ จากสายแว้น ลากยาวออกนอกเรื่องไปพอสมควร ขอจบบทความเพียงเท่านี้ดีกว่าครับ

สวัสดีครับ

ตอนที่ 131 (บทความ) _ เจ้าหนี้สุดโหด กับลูกหนี้ผู้น่าสงสาร

เจ้าหนี้สุดโหด กับลูกหนี้ผู้น่าสงสาร
31 พ.ค. 2560

     เป็นประเด็นกันมามากมายในทุกยุคทุกสมัย กับประเด็นเจ้าหนี้ปะทะลูกหนี้ โดยส่วนมากแล้วจะเป็นลูกหนี้ที่ค่อนข้างจะเหนียวหนี้ กับประโยคคลาสสิคที่ว่า "ช่วงนี้ยังไม่มีเงินเลย" หรือ "ช่วงนี้ค่าใช่จ่ายเยอะ ยังไม่มีให้นะ"

     ครับ!!! เมื่อลูกหนี้บอกมาแบบนี้ เจ้าหนี้อย่างเราๆ ยังจะใจกล้าหน้าด้านทวงอีกเหรอ ... แน่น๊อนนนน!!! เจ้าหนี้ไม่ใจร้ายหรอก เจ้าหนี้อย่างเราๆเลยต้องยอมปล่อยผ่านไปก่อน แล้วค่อยไปทวงใหม่วันหน้า

     วันเวลาผ่านไป เจ้าหนี้ก็ต้องทำหน้าที่แวะเวียนไปทวงอยู่เรื่อยๆๆๆ จนเบื่อหน้ากันไปข้าง แต่ก็ยังไม่ได้เงินคืนอยู่ดี เพราะเจอสารพัดข้ออ้างที่ชักแม่น้ำทั้งห้ามากล่าวให้เจ้าหนี้อย่างเราต้องยอมถอย

     ดีไม่ดีเจ้าหนี้จะกลายเป็นเจ้าหนี้สุดโหดไปโดยไม่รู้ตัว เพราะไปทวงแล้ว ทวงอีก ทวงบ่อยๆ แล้วลูกหนี้ผู้น่าสงสารก็เอาเรื่องที่เจ้าหนี้มาทวงหนี้บ่อยๆไปพูดคุยสนุกสนานลับหลังกับเพื่อน "นี่มึง...มันมาทวงหนี้อีกแล้วว่ะ กูบอกว่าไม่มีๆ ก็ยังหน้าด้านมาทวงอยู่ได้" (เฉพาะลูกหนี้บางคนนะ ไม่ใช่ลูกหนี้ทุกคนหรอก)

     ค่ะ!!! (เจ้าหนี้โดนนินทาจนสับสนเพศตัวเองเลย) กูกลายเป็นเจ้าหนี้สุดโหดไปแล้วในที่สุด แต่เพราะใครล่ะวะ ที่ทำให้เจ้าหนี้อย่างกูกลายเป็นสุดโหด ถ้าไม่ใช่ท่านลูกหนี้ผู้น่าสงสาร

     อยากจะบอกท่านลูกหนี้ผู้น่าสงสารนะวะ ถ้าท่านไม่เบี้ยว ท่านคืนเงินมาหมด หรือคืนมาบ้างเท่าที่มี เท่าที่พอจะให้ได้ มันก็ยังจะเป็นเครดิตที่ดีติดตัวท่านไปได้ ในวันข้างหน้า ถ้าท่านเกิดปัญหาต้องใช้เงินจริงๆ ท่านมาขอหยิบยืมเงินอีก เจ้าหนี้ก็ยังจะพอให้ได้ เพราะถือว่าท่านยังเป็นคนที่มีเครดิตที่ดีติดตัว

     แต่เออ...เท่าที่มีลูกหนี้ตอนนี้นะ ส่วนมากเลยจะเครดิตเสีย วันข้างหน้าถ้าเดือดร้อนเรื่องเงิน แล้วมาขอหยิบยืมเนี่ย จะมาหาว่าเจ้าหนี้โหด ใจร้าย ใจดำ สันดานเสีย เพลียจิต คิดไม่เป็น เค็มจังมึง ไม่ได้นะเว้ยยยย เพราะคนที่ทำให้เจ้าหนี้ไม่ให้ยืมเงิน ก็คือ มึงนั่นแหละ ไม่ใช่ปลาทองที่ไหน

     เป็นลูกหนี้น่ะ ต้องรู้จักบริหารรายได้ด้วย ต้องให้สอนมั้ย ?

     รายได้ควรแบ่ง 2 ส่วน สำหรับคนที่เป็นหนี้น่ะ

     ส่วนที่หนึ่ง ส่วนใช้หนี้เลย สำคัญที่สุด เพราะการมีเครดิตที่ดี ทำให้อนาคตทางการยืมเงินนั้นสดใส จำใส่กระโหลกไว้เลย รายได้น้อย คืนน้อย หรือคืนหมดเลยก็ได้ แล้วค่อยยืมต่อ อย่างน้อยๆ มันก็ทำให้เจ้าหนี้รู้สึกว่า เออว่ะ..ไอ้นี่มันอยู่เป็น มันใจใหญ่เว้ยเฮ้ย มันมีน้อย แต่มันก็คืน มันต้องเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และคนอื่นสูงแน่ๆ ถ้ามันมายืมอีก กูให้แน่ๆ (แต่ยืมจนเยอะเกิ๊น กูก็ไม่ไหวนะ)

     ส่วนที่สอง ส่วนใช้จ่ายส่วนตัวแบบประหยัด ย้ำ!!! แบบประหยัด ไม่ใช่ว่าอยู่ดีกินดีหรูหรา แต่เป็นหนี้กองโตอยู่เบื้องหลัง ไอ้สัส ชีวิตมึงดี๊ดีกว่าเจ้าหนี้อีก เจ้าหนี้แม่งแดกข้าวราดแกงจาน 30 บาทเป็นประจำ แต่คุณมึงแดกบนห้างมื้อละหลายร้อยบ่อยๆ จำไว้ว่า คนเป็นหนี้ควรเจียมตัว ควรใช้หนี้ให้หมดเร็วๆ แล้วเงินจะได้เหลือกินเหลือใช้ในอนาคตเร็วๆ

     แล้วก็ไม่ต้องหวังเงินเก็บนะ สำหรับคนเป็นหนี้เนี่ย มันแทบจะเป็นไปได้ไม่เลย เพราะถ้ามึงมีเก็บ มึงเอามาใช้หนี้กูเหอะ พอหนี้หมด มึงค่อยเก็บ เข้าใจสัจจะธรรมของชีวิตปะวะ

     สุดท้ายนี้ก็อยากจะบอกไว้ว่า ถ้าลูกหนี้ไม่โหดร้ายกับเจ้าหนี้ก่อน เจ้าหนี้ก็จะไม่เป็นเจ้าหนี้สุดโหดหรอก เจอหน้าเป็นต้องทวงๆๆๆ จะไม่ให้ทวงได้ไงวะ ก็มึงติดเงินกูอยู่!!!

     ทำไมต้องให้ทวง? ทำไมไม่คิดเป็นเอง ว่าต้องคืน? แปลกดีเนาะ

     ไม่ใช่ว่าเจ้าหนี้ไม่เห็นใจลูกหนี้นะ เวลาที่ไปทวงแล้วลูกหนี้เดือดร้อน ไม่มีเงินจะคืนจริงๆ แต่ๆๆ แต่ทวงกี่รอบๆๆ มันก็ไม่มีคืน ขนาดวันเงินเดือนออก มันก็ยังไม่มีคืน เออเฮ้ย..มันเกินไปม้างงงง หรือบางทีบอกจะคืนๆ เดี๋ยวคืนพรุ่งนี้เลย เดี๋ยวบ่ายไปหา เย็นๆโอนให้ แต่ก็หายยยยยยไปเลย อยากจะบอกว่า คุณลูกหนี้ทำลายเครดิตตัวเองยับเยินเลยนะ การโกหก ใครๆก็ไม่ชอบ จริงมั้ย?

     A : พอๆๆมึง มึงบอกสุดท้ายตั้งแต่ย่อหน้าข้างบนละ ยังมีแถมต่ออีก

     B : แหม ก็มันติดลมว่ะมึง พูดสามวันสามคืนก็ยังไม่จบ ดีไม่ดีนะ พูดจบสามวัน มันก็ยังไม่สะดุ้ง ไม่คืนเล้ยยยย

     A : กูว่านะ มันต้องสะดุ้งแหละ แต่มันก็ยังพยายามเบี้ยวต่อแหละ

     B : คนแบบนี้ก็มีในโลกด้วยเหรอวะ

     A : มีสิ ช่วงนี้กูจนจริงๆนะ เงินเดือนออกมา 3 วัน จะหมดแล้วเนี่ย เดือนหน้าค่อยเอาเนาะ

     B : หลายเดือนละนะ กูทวงมึงจนเบื่อละนะ จะให้ทวงครบปีเลยมั้ย ห๊ะ!!!

     A : ฮ่าๆๆ ไอ้สัส!!! เล่นซะเหมือนกูเป็นลูกหนี้มึงจริงๆเลยนะ

     B : ขึ้นๆๆ พูดแล้วขึ้น ปะ ไปเตะบอล

ชี้แจงแถลงไข ทำไมบล็อกถึงเงียบกริบ ไม่เคลื่อนไหว

ชี้แจงแถลงไข ทำไมบล็อกถึงเงียบกริบ ไม่เคลื่อนไหว    

     เป็นที่ทราบกันดีว่า บทความในบล็อกไม่มีความเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นเลยแม้แต่บทความเดียวเป็นเวลานานมากแล้ว ถ้าไม่เชื่อก็ไปดู"คลังบทความของบล็อก"สิ

     ซึ่งสาเหตุก็มาจาก การที่เว็บไซต์ของบริษัทปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์บล็อกเกอร์นั่นเอง พอมันเข้าไม่ได้ มันก็เลยเกิดความขี้เกียจเขียนบทความน่ะสิครับ พอมันขี้เกียจ บทความก็เลยนิ่งสนิทไงล่ะ (จะเขียนอะไรยาวเนาะ)

     จริงๆแล้ว บริษัทเขาก็ปิดกั้นแค่ช่วงเวลาทำงานนะครับ แล้วเขาก็เปิดให้เล่นเน็ตได้ตอนเวลาพัก

     แล้วลองคิดดูนะครับว่า พอเปิดให้เล่นช่วงเวลาพัก คนเราอัดอั้นมานาน มันก็เลยเอาแต่เล่นเน็ตอย่างอื่นยาวๆ จนไม่อยากจะแวะมาอัพเดทบทความน่ะสิครับ เฮ้อออ ผมนี่ นิสัยไม่ดีเลยเนาะ

     เอาเป็นว่า ถ้าผมขยัน ผมก็จะแวะมาอัพเดทบทความ หรือเรื่องสั้นนะครับ (แต่โอกาสน้อยมาก ฮ่าๆๆ)

     เออ...ไหนๆก็ได้เข้ามาแล้ว งั้นผมขอฝากเว็บไซต์ของผมไว้สักอันนะครับ http://www.oniton88.com/ เข้าไปแวะเยี่ยมชมกันได้ครับ