เพศศึกษา และถุงยาง
30 มีนาคม 2561
ผมได้ไปเจอประเด็นดราม่ามาอีกแล้วครับ ซึ่งมันคือประเด็น การจะให้มีตู้จำหน่ายถุงยางอนามัยในสถานศึกษา แน่นอนได้ถ้ามันจะดราม่า มันต้องมี 2 ความคิดเห็นที่เห็นต่างใช่มั้ยล่ะครับ ผมก็ลองอ่านๆความคิดของแต่ละฝ่ายดู มันก็ถูกทั้ง 2 ฝ่ายนั่นแหละครับ แต่ท่านเดาออกมั้ยครับว่า ผมอยู่ฝ่ายไหน...ผมลองเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานดู ซึ่งคำตอบที่ได้คือ อยู่ฝ่ายสนับสนุนครับ
ถามว่าทำไมผมสนับสนุนล่ะ ผมก็ขอแบ่งปัจจัยที่ทำให้มีผลต่อเซ็กไว้ 2 ปัจจัยใหญ่ครับ คือ ปัจจัยที่ยอมรับเซ็ก กับ ปัจจัยที่ปฏิเสธเซ็ก
มาว่ากันถึงปัจจัยที่ยอมรับเซ็กกันก่อน ซึ่งมันก็จะแยกย่อยได้อีก 5 ข้อ
1. สัญชาตญาณของการสืบพันธุ์
2. สัญชาตญาณของความอยากรู้อยากลอง
3. สัญชาตญาณความเป็นเจ้าของ
4. สื่อลามกที่เข้าถึงง่าย
5. แอลกอฮอล์
สัญชาตญาณของการสืบพันธุ์ อันนี้ทุกคนน่าจะเข้าใจนะครับ ไม่ว่ายังไงๆคนเราก็ต้องอยากมีทายาทอยู่แล้ว ถ้าถึงจุดใดจุดหนึ่ง และจุดนั้นสัญชาตญาณมันแรงมากๆ คงเอาอะไรมาห้ามยากแน่ๆครับ ยอมรับเซ็กไปเถอะ
สัญาตญาณของความอยากรู้อยากลอง อันนี้ก็แน่นอนล่ะครับว่า อะไรที่เรายังไม่รู้ เรายังไม่เคย เราย่อมอยากลองให้มันสาแก่ใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกิน การเที่ยว รวมไปถึงการมีเซ็ก ถ้าคนเราชอบพอกัน แม้จะอยู่ในวัยเพียง 12-13 ขวบ ถ้ามันอยากลอง มันก็ต้องลองล่ะครับ ไม่งั้นมันก็คาใจสิ ว่าเอ...มันดียังไง ทำไมผู้ใหญ่เข้ามีเซ็กกัน บวกกับสัญชาตญาณการสืบพันธุ์เข้าไปอีก งานนี้มีไม่รอด ยอมรับมีเซ็กแน่นอน
สัญชาตญาณความเป็นเจ้าของ คงจะได้ยินคำพูดที่ว่า หมาคาบไปแดก กันใช่มั้ยล่ะครับ เอาง่ายๆตรงๆเลยนะครับ ถ้าไม่มีเซ็กกับเธอในวันนี้ แล้ววันหน้าเธอดันไปมีเซ็กกับคนอื่น แล้วใจเธอเปลี่ยนไป เอ้า หมาคาบไปแดกซะละ นี่เลยทำให้เวลาชอบพอกับใคร เลยต้องพาไปสร้างหลักฐานความเป็นเจ้าของก่อน หรือที่เรียกว่า ตีตราจองนั่นแหละครับ ขืนมัวช้า ระวังหมาคาบไปแดกจริงๆนะเออ ทั้ง 2 คนคิดแบบเดียวกัน จึงยอมรับเซ็กกันในที่สุด
สื่อลามกที่เข้าถึงง่าย ต้องอธิบายหัวข้อนี้ด้วยมั้ยครับ ไม่ต้องก็ได้มั้ง น่าจะเข้าใจกันละ ถ้าใครไม่เข้าใจนะ ลองเปิด google แล้วพิมพ์คำว่า เย็ด แล้วกดค้นหาครับ พรึ่บบบบ!!! จบนะ
แอลกอฮอล์ อันนี้จริงๆมีผลไม่มากครับ แต่ใครที่เคยเมา คงพอจะเข้าใจนะครับ ว่าพอเมาแล้ว ความต้องการมันแรงกล้ามาก "เพื่อนก็เพื่อนเถอะ ขอสักที กูไม่ไหวแล้ววววว ตั้มๆๆๆ" บางคนก็ได้เพื่อนเป็นแฟน บางคนก็เสียเพื่อนไปเลย แต่บางคนก็เพื่อนกันมันส์ดี แน่นอนว่าแอลกอฮอล์ทำให้ขาดสติได้ และแอลกอฮอล์นี่แหละ ทำให้ 4 ข้อข้างบนถูกมัดรวมกันเป็นก้อนเดียวได้ สร้างเป็นความยอมรับเซ็กไปโดยปริยาย
หลังจากอ่านปัจจัยที่ยอมรับเซ็กกันไปแล้ว พอจะเข้าใจใช่มั้ยครับว่า ทำไมถึงต้องมีตู้จำหน่ายถุงยางในสถานศึกษา บางทีมันก็ไม่ได้เป็นการสนับสนุนให้มีเซ็ก 100% นะครับ แต่มันคือ การสนับสนุนให้มีเซ็กอย่างปลอดภัยซะมากกว่า ห้ามไม่ได้ ก็ป้องกันสิเฮ้ย รออะไรล่ะ
มาถึงปัจจัยที่ปฏิเสธเซ็กกันบ้าง ซึ่งผมแยกย่อยได้แค่ 3 ข้อเท่านั้น
1. สามัญสำนึก
2. การสอนที่ดีเยี่ยม
3. ความกลัว
สามัญสำนึก หากคนเรามีสามัญสำนึกที่ดีต่อคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ เพื่อน รวมถึงคนที่ชอบพอด้วยแล้ว ตัวเราก็จะปฏิเสธเซ็กไปเองโดยอัตโนมัติ แล้วเราก็จะรอจนถึงเวลาที่เหมาะสม เราถึงจะยอมมีเซ็กกับคนที่เราชอบพอ นี่รวมไปถึงพวกที่มีเซ็กแบบ one night stand ด้วยนะครับ ถ้าคนๆนั้นมีสามัญสำนึกดี เขาก็จะไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่นอน เขาต้องรู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักที่จะห้ามใจตัวเองได้ ต่อให้มีคนยั่วขนาดไหน คนๆนั้นก็จะปฏิเสธเซ็กได้อย่างแน่นอน
การสอนที่ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการสอนที่โรงเรียน ให้รู้ถึงความน่ากลัวถ้าผิดพลาด ให้รู้จักรักนวลสงวนตัว ให้รู้จักหักห้ามใจรอเวลาที่เหมาะสม หรือจะเป็นการสอนของพ่อแม่ ให้ลูกรู้จักรักตัวเอง รู้จักรักษาน้ำใจคนอื่น ไม่ย่ำยีทางเพศคนอื่น แต่ไม่ว่าจะสอนดีขนาดไหน สิ่งสำคัญเลยคือ ตัวของเด็กเอง ว่าจะมีการรับรู้ และตีความสร้างเป็นสามัญสำนึกที่ดีได้หรือไม่ ถ้าเด็กสามารถสร้างได้ เด็กก็จะรู้จักการปฏิเสธเซ็กได้ตลอดลอดฝั่งจนถึงเวลาที่เหมาะสม
ความกลัว อันนี้มีเคสคนรู้จักครับ ทั้งผู้หญิง และผู้ชายเลย ทางผู้หญิงจะกลัวโรค กลัวท้อง ส่วนทางผู้ชายจะกลัวทำหญิงท้อง กลัวการรับผิดชอบ ทั้ง 2 ฝ่ายมีความกลัวที่ใกล้เคียงกัน แต่กลัวท้องนี่ เป็นทั้ง 2 ฝ่าย ความกลัวนี้เลยทำให้คนๆนั้นปฏิเสธเซ็กโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะโน้มน้าวยังไง ความกลัวก็จะยังชนะเลิศอยู่วันยังค่ำครับ
เป็นยังไงบ้างครับ 3 ข้อของการปฏิเสธเซ็ก พอจะฟังขึ้น แล้วหักห้ามใจจากเซ็กได้มั้ยครับ แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ผมอยู่ฝ่ายสนับสนุน ผมเลยหาข้อปฏิเสธได้ไม่มากครับ
แต่ไม่ว่าจะยังไง การสอนเรื่องเพศถือเป็นเรื่องสำคัญครับ อยากปล่อยให้ธรรมชาติ และสัญชาตญาณในตัวมนุษย์ สอนเด็กเองเพียงลำพังเหมือนเมื่อก่อน ถ้าเราสามารถชี้แนะแนวทางที่ดีได้ เราความลงมือทำครับ เปิดใจสอนกันไปเลย รวมถึงสอนการป้องกันด้วย สอนสร้างความเคารพสิทธิในตัวผู้อื่น สอนสร้างความเห็นใจในตัวผู้อื่น และที่สำคัญ สอนสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองให้เด็กว่า การไม่มีเซ็กเมื่อมีโอกาส ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ตรงกันข้ามมันกลับน่าชื่นชม เพราะเธอนั้นได้สร้างความเชื่อถือให้ตัวเองแบบที่น่าชื่นชมสุดเลยล่ะ (งงมั้ย)
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะยังไง เซ็กมันสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายๆกรณี เราควรชี้ทางป้องกันให้เด็กจะดีกว่าครับ ยกเว้นแต่ สอนแล้ว บอกแล้ว ดันทะลึ่งอยากลองสดๆ ไม่ถุง แล้วพลาดท้อง อันนั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะครับ
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
ตอนที่ 137 (เรื่องสั้น) _ จะออกไปเด็ดดอกฟ้า แต่เหมือนว่าโชคชะตาไม่เข้าใจ
จะออกไปเด็ดดอกฟ้า แต่เหมือนว่าโชคชะตาไม่เข้าใจ
26 มีนาคม 2561
"มึงเอาจริงดิ" ผมถามเพื่อนของผมเพื่อความแน่ใจ จะได้ไม่เข้าใจผิด
"เออ กูเอาจริงๆ กูชอบจริงๆนะเว้ย กูรู้สึกมีความสุขเวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆเธอ" เพื่อนของผมยืนยันหนักแน่น ว่ามันจริงจังกับผู้หญิงคนนี้
"โอเค ถ้ามึงยืนยันขนาดนี้ งั้นกูหลีกทางให้มึงก็ได้" ไอ้คนที่จริงจังขนาดนั้น มันก็เพื่อนผมนี่แหละ งั้นก็ใจๆกันไปเลย ผมยอมหลีกทางให้มันจีบน้องรินคนสวยที่ทั้งผม และเพื่อนของผม แอบมอง แอบสนใจมาสักระยะหนึ่งแล้ว
"มันต้องแบบนี้สิวะเพื่อน" มันดีใจใหญ่เลย ยกนิ้วโป้งให้ผมเลยทีเดียว
"สวัสดีค่ะ มาสมัครงานค่ะ" หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวทักทายประชาสัมพันธ์สาว ที่กำลังนั่งเขี่ยโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะประชาสัมพันธ์
"ตำแหน่งอะไรคะ" ประชาสัมพันธ์สาวละสายตาจากโทรศัพท์ แล้วแหงนหน้าถามหญิงสาวที่มาขอสมัครงาน
"ประชาสัมพันธ์ค่ะ" หญิงสาวผู้มาสมัครงานตอบด้วยรอยยิ้ม
"งั้นเชิญกรอกใบสมัครงานทางห้องขวามือนะคะ" ประชาสัมพันธ์สาวบอกกับหญิงสาว พร้อมกับชี้มือไปทางห้องทางขวา ซึ่งเป็นห้องสำหรับคนมาสมัครงาน
หญิงสาวเข้าไปในห้องสมัครงาน ซึ่งในห้องนั้นก็มีผู้ชาย 2 คนมานั่งกรอกใบสมัครงานอยู่ ทั้ง 2 คนมองเธอแล้วยิ้ม เธอยิ้มตอบแบบเขินๆ แล้วเธอก็ได้หาที่นั่งกรอกใบสมัครงานจนเสร็จ ในห้องมีกระดาษ A4 เขียนช้อความว่า "กรอกใบสมัครงานเสร็จแล้ว ส่งที่ประชาสัมพันธ์ค่ะ" เธออ่านแล้วก็ออกจากห้องสมัครงานไปที่ประชาสัมพันธ์
"พี่คะ ส่งใบสมัครงานค่ะ" ประชาสัมพันธ์สาวละสายตาจากโทรศัพท์อีกครั้ง แล้วกันมาสนใจหญิงสาว กับใบสมัครงาน
ประชาสัมพันธ์สาวอ่านข้อมูลในใบสมัครงานคร่าวๆ เพื่อพิจารณาเบื้องต้นว่าควรให้ฝ่ายบุคคลสัมภาษณ์งานหรือไม่ หลังจากอ่านจบแล้วประชาสัมพันธ์สาวก็ถามหญิงสาวว่า "สะดวกสัมภาษณ์งานวันนี้หรือไม่คะ"
"สะดวกค่ะ" หญิงสาวตอบพร้อมรอยยิ้ม และความตื่นเต้น เพราะไม่คิดว่ากรอกใบสมัครเสร็จแล้ว จะได้สัมภาษณ์งานเลย
"งั้นเดี๋ยวเชิญนั่งรอที่ห้องสมัครงานก่อนนะคะ" ประชาสัมพันธ์สาวเก็บใบสมัครงานไว้ เพื่อส่งให้ฝ่ายบุคคล พร้อมกับบอกให้หญิงสาวไปนั่งรอที่ห้องสมัครงานอีกครั้ง
"เฮ้ยๆ ไอ้โป้ง มึงดูนั่นๆ" ผมสะกิดไอ้โป้ง เพื่อนสนิทในที่ทำงานให้มันดูหญิงสาวคนหนึ่งในห้องสมัครงาน
"ดูเหี้ยไรวะ" ไอ้โป้งสงสัย พร้อมกับหันไปมองที่ในห้องสมัครงาน "เหี้ย เอ้ย ไม่ใช่เหี้ยสิ นั่นมันนางฟ้าชัดๆ" ไอ้โป้งถึงกับตะลึง เมื่อได้เห็นหญิงสาวในห้องสมัครงาน
ก็จะไม่ให้มันตะลึงได้ยังไงล่ะครับ เพราะหญิงสาวคนนั้นมีเสน่ห์มาก หน้าตาสะสวย ดูใสๆ ผมสั้นประบ่า แม้จะผิวไม่ขาวจนโอโม่ แต่ก็ถือว่าน่ามอง แต่งตัวเรียบร้อยแต่ก็ยังดูเซ็กซี่ได้ คือรวมๆแล้วมีเสน่ห์มากมาย น่ามอง น่าค้นหานั่นแหละครับ
"พวกมึง...ทำอะไรกัน" ระหว่างที่ผมกับไอ้โป้งกำลังดูสาวเพลินๆอยู่นั้น ก็มีเสียงปริศนาแทรกเข้ามาระหว่างผมกับไอ้โป้ง ไอ้โป้งหันไปดูแล้วตะโกนเสียงดัง "เหี้ย!!!"
สิ้นเสียงของไอ้โป้ง ตัวไอ้โป้งก็ถลาออกไปล้มกลิ้งอยู่บนพื้นด้วยแรงถีบของประชาสัมพันธ์สาว "เหี้ย พ่อมึงดิ กูอีจ๋าเพื่อนมึงนี่แหละ" พอจ๋าพูดจบ แทนที่บรรยากาศจะตึงเครียด มันกลับกลายเป็นเสียงหัวเราะของเราทั้ง 3 คนแทน และที่สำคัญคือ ผมสังเกตเห็นหญิงสาวที่อยู่ในห้องสมัครงาน ก็เหมือนจะแอบขำซะด้วย
"วันนี้กินอะไรจ๋า" ผมถามจ๋าถึงข้าวมื้อเที่ยง เพราะตอนนี้จ๋าทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์อยู่คนเดียว อีกคนเพิ่งลาออกไป ทำให้จ๋าไม่สามารถออกไปกินข้าวเที่ยงกับผม และไอ้โป้งได้เหมือนทุกที
"ผัดเผ็ดช้างไข่ดาวห้าฟอง" ยังไม่ทันที่จ๋าจะตอบว่ากินอะไร ไอ้โป้งก็ชิงสั่งข้าวเที่ยงแทนจ๋าซะแล้ว จ๋าหันไปมองหน้าไอ้โป้งแบบงงๆ "งงอะไรอีจ๋า แม่ง มึงถีบแรงอย่างกับช้างถีบ เห็นหุ่นนางแบบ หุ่นเพรียวๆแบบนี้ ไม่นึกเลยว่ามึงจะมีลูกถีบพลังช้างด้วย" ไอ้โป้งอธิบายจบ คราวนี้จ๋าง้างหมัดจะต่อยแทนการถีบแล้ว
"พอดิๆ รีบๆสั่งข้าวได้แล้ว ช้าเดี๋ยวคนเยอะ" ไอ้โป้งไม่สู้จ๋าแล้ว เพราะยังไงจ๋ามันก็เพื่อนของพวกผมเหมือนกัน และไม่ว่าจะมีเรื่องกันทีไร จ๋ามันก็ชนะพวกผมทุกทีสิน่า
"เอายำหมูยอมาให้กูละกัน ข้าวไม่ต้องนะ" จ๋าหันมาสั่งข้าวเที่ยงกับผม
"โอเค จัดให้ ว่าแต่สาวในห้องสมัครงานนั่น..." ผมรับออเดอร์จากจ๋า แล้วก็หันไปมองหญิงสาวในห้องสมัครงาน พร้อมกับคำถาม
"พวกมึงสองคนไปซื้อข้าวก่อน เดี๋ยวกลับมา กูจะเล่าให้ฟัง โอเค๊" เจ้าแม่จ๋าองค์ลงแล้ว ผมกับไอ้โป้งเลยต้องรีบออกไปซื้อข้าวเที่ยง ก่อนที่เจ้าแม่จ๋าจะพิโรธ
"ในใบสมัครงานน้องเขียนไว้ว่าชื่อ ริน มาสมัครตำแหน่งเดียวกับกูนี่แหละ ถ้าใครคิดจะจีบน้องริน ต้องเซ่นเจ้าแม่เยอะหน่อยนะเว้ย ไม่งั้นเจ้าแม่จะตัดกำลัง ไม่ช่วยนะเว้ย" นี่คือ คำตอบของจ๋า หลังจากที่ผมกับไอ้โป้งซื้อข้าวเที่ยงมาให้มันแล้ว แล้วที่ถามถึงหญิงสาวในห้องสมัครงานอีกครั้ง
"แต่ก่อนอื่นเลย ต้องให้น้องได้งานก่อน เราถึงจะมีโอกาสจีบน้องเขา" ผมพูดกับไอ้โป้ง เพราะกลัวว่าน้องจะไม่ผ่านการสัมภาษณ์
"พวกมึงไม่ต้องห่วงหรอก กูยืนยันร้อยเปอร์เซ็น พี่ศรีรับน้องเข้าทำงานแน่นอน" จ๋ายืนยันหนักแน่น พร้อมยกนิ้วโป้งแสดงความมั่นใจสุดๆ
"ทำไมวะ" ไอ้โป้งถามขึ้นด้วยความสงสัย
"โปรไฟล์ และความสามารถของน้อง แม่ง...เด็ดดวงว่ะ" จ๋าตอบด้วยความมั่นใจอีกครั้งหนึ่ง จนผมกับไอ้โป้งหมดคำถาม และเชื่อว่าน้องจะผ่านการสัมภาษณ์แน่นอน
"เฮ้ย ไอ้กร" ไอ้โป้งเรียกผม ขณะที่ผมกำลังทำงานอยู่ที่โต๊ะ ซึ่งโต๊ะทำงานของผม กับไอ้โป้งก็อยู่ตรงข้ามกันนี่แหละ ผมหันไปมองหน้ามันด้วยความสงสัย
"กูว่า กูขอจีบน้องรินได้มั้ยวะ มึงหลีกทางให้กูเถอะนะ" ไอ้โป้งยิงคำถามซะผมอึ้งเลย
"มึงเอาจริงดิ" ผมถามไอ้โป้งเพื่อความแน่ใจ จะได้ไม่เข้าใจผิด
"เออ กูเอาจริงๆ กูชอบจริงๆนะเว้ย กูรู้สึกมีความสุขเวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆน้องริน" ไอ้โป้งยืนยันหนักแน่น ว่ามันจริงจังกับน้องริน
"โอเค ถ้ามึงยืนยันขนาดนี้ งั้นกูหลีกทางให้มึงก็ได้" ไอ้คนที่จริงจังขนาดนั้น มันก็เพื่อนผมนี่แหละ งั้นก็ใจๆกันไปเลย ผมยอมหลีกทางให้มันจีบน้องรินคนสวยที่ทั้งผมและมัน แอบมอง แอบสนใจมาสักระยะหนึ่งแล้ว
"มันต้องแบบนี้สิวะเพื่อน" มันดีใจใหญ่เลย ยกนิ้วโป้งให้ผมเลยทีเดียว
"ไหนๆกูก็จีบน้องรินละ มึงก็จีบอีจ๋าบ้างสิวะไอ้กร" ไอ้โป้งแนะนำให้ผมจีบจ๋า ทั้งๆที่มันเพิ่งแย่งน้องรินไปจากผม
"ไม่เอาล่ะ" ผมปฏิเสธไป
"ทำไมล่ะวะ อีจ๋ามันก็น้องๆนางแบบเลยนะเว้ย หน้าสวย หุ่นเป๊ะ นี่ถ้าให้มันไปประกวดเวทีนางแบบ มันน่าจะติดหนึ่งในสิบคนสุดท้ายเลยนะเว้ย" ไอ้โป้งยังคงพยายามทำให้ผมสนใจจีบจ๋าให้ได้
"โอย ไอ้โป้ง มึงดีใจจนลืมอะไรปะเนี่ย มึงก็รู้นี่หว่าว่ากูกับมึงเนี่ย คิดกับอีจ๋าได้แค่เพื่อนจริงๆ ความรู้สึกมันเป็นแบบนั้น มันไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว จำได้มั้ยว่าเราสามคนเนี่ย ตอนเข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ๆ เมื่อหกปีก่อน มันเป็นยังไง..." ผมรื้อฟื้นความหลังกับไอ้โป้ง เผื่อว่ามันจะลืมไปแล้วว่าเราสามคน ผม โป้ง และจ๋า มันเป็นยังไง เจออะไรมาบ้าง
"ตอนนั้นเราสามคนเป็นเด็กใหม่ที่นี่ เข้ามาพร้อมกัน ก็เลยดูจะสนิทกัน กูกับมึงเคยคิดจะจีบอีจ๋า มึงจะได้ใช่มั้ย" ผมถามไอ้โป้ง มันพยักหน้าตอบ
"แล้วยังไงล่ะ อีจ๋าชอบพี่แมนโน้น มันมองเราสองคนเป็นแค่เพื่อน ตั้งแต่นั้นมาเราสองคนก็เลยคิดกับมันได้แค่เพื่อน ยิ่งตอนที่มันเลิกกับพี่แมน ตอนนั้นอีจ๋าดูมันจะอ่อนแอมาก เราสองคนเลยคิดว่า นี่แหละโอกาสพิชิตใจอีจ๋า แล้วสุดท้ายเป็นไงล่ะ อีจ๋าเบรคหัวทิ่มเลย มึงจำได้มั้ยว่ามันพูดว่าอะไร" ผมเล่าย้อนอดีตยาว พร้อมกับจบด้วยคำถามที่ผมคิดว่า ไอ้โป้งน่าจะจำได้ดี
"มึงสองคนคือ เพื่อนสนิทของกู กูจะไม่ยอมเป็นแฟนกับใครคนใดคนหนึ่ง เราสามคนจะอยู่กันแบบนี้ ไม่มีการที่สองคนได้เป็นคู่กัน แล้วทิ้งเพื่อนอีกคนไว้ข้างหลัง จำไว้!!! ถ้าจะมีแฟน ขอให้ไปจีบคนอื่น ที่ไม่ใช่กู" ไอ้โป้งพูดไปยิ้มไป ผมเชื่อว่ามันก็คงซึ้งในคำว่า"เพื่อน"ไม่น้อยไปกว่าผม
"เออว่ะ กูลืมไป กูดีใจเกินไปหน่อย โทษทีว่ะ" ไอ้โป้งขอโทษผม ที่มันลืมคำพูดของจ๋าเมื่อวันนั้น
"ว่าแต่ มึงจะจีบน้องรินยังไงวะ" ผมถามไอ้โป้ง เพราะไม่เคยเห็นมันจีบสาวคนไหนในบริษัทติดเลย มันกินแห้วมาแล้วประมาณ 4 รอบ
"อืม กูว่านะ งานนี้ต้องให้เจ้าแม่เปลี่ยนร่างเป็นแม่สื่อแล้วล่ะ มันน่าจะช่วยได้เยอะเลยล่ะ" ไอ้โป้งทำท่าทางมีแผนการอยู่ในหัวแล้ว
"เป็นไงบ้างน้องริน ทำงานมาสองเดือนแล้ว ไหวรึเปล่า พี่ว่าน่าจะผ่านโปรได้สบายๆนะเนี่ย" จ๋า ทักทายน้องรินในเช้าวันแรกของเดือนที่ 3
"สบายมากค่ะพี่จ๋า งานไม่หนักอย่างที่คิด" น้องรินตอบกลับจ๋าด้วยความสดใสเช่นเคย
"เก่งนะเราเนี้ย ทั้งการทำงาน ทั้งภาษา ไหนจะหน้าตาที่ดูดีจนพี่หมองแล้ว ยังจะเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆหลายคนเลยนะเนี่ย" จ๋าชื่นชมในตัวของน้องริน พร้อมกับแซวขำๆ
"ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ รินยังต้องฝึกอีกเยอะเลย แล้วเรื่องหน้าตานี่ รินว่าพี่จ๋ายังกินขาดรินอยู่เลยนะคะ ไหนจะหุ่นที่เพรียวเหมือนนางแบบอีก ดูขาพี่จ๋าสิ นี่มันขานางแบบชัดๆ หน้าอก สะโพก โอยยยย รินยังห่างพี่จ๋าเยอะค่ะ" น้องรินตอบกลับพี่จ๋าแบบถ่อมตัว
"ฮ่าๆๆ ก็ได้ๆ เรื่องหน้าตา เรื่องหุ่นพี่ชนะก็ได้ แต่เรื่องหนุ่มๆนี่ พี่ขอยอมแพ้นะ เพราะปกติตรงประชาสัมพันธ์นี่ ไม่ค่อยมีหนุ่มๆแวะเวียนมานะ แต่ตั้งแต่น้องรินเข้ามาที่นี่นะ โอ้โห หัวโต๊ะประชาสัมพันธ์ไม่แห้งเลย" จ๋าแซวน้องรินอีกครั้ง
"พี่จ๋าก็เวอร์ไป๊ เขาอาจจะมาหาพี่จ๋าก็ได้นะคะ" น้องรินทำท่าทางเขินอายจนหน้าแดง
"มาหารินนั่นแหละ สาวน้อยเสน่ห์แรงที่สุด ณ เวลานี้" จ๋าบอกกับน้องริน ก่อนที่จะมีคนมาติดต่อประชาสัมพันธ์พอดี
"ขอบคุณค่ะพี่โป้ง แหม ซื้อขนมมาฝากแทบทุกวันเลย คิดอะไรกับรินรึเปล่าคะ" รินรับขนมจากไอ้โป้ง แล้วยิงคำถามแทงใจไอ้โป้งกลับมาทันที หลังจากที่ไอ้โป้งซื้อขนมมาฝากน้องรินแทบทุกวันเป็นเวลาร่วมเดือน จนรินเองก็อดสงสัยไม่ได้
"โอย มันจะมีอะไรล่ะริน ผู้ชายซื้อขนมมาให้ผู้หญิงแทบทุกวันแบบนี้ มันก็หวังจะจีบรินนั่นแหละ" จ๋าพูดขึ้นหลังจากที่เคยเตี๊ยมกับไอ้โป้งไว้ก่อนแล้วว่า ถ้าน้องรินถามคำถามแบบนี้ ให้จ๋าช่วยปูทางให้หน่อย เพื่อที่มันจะได้เอ่ยปากขอจีบน้องรินได้อย่างเป็นทางการ
น้องรินทำท่าทางอึ้งเล็กน้อย บวกกับความกังวลใจ และเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง "แต่..."
"ทำอะไรกันจ๊ะสองสาว" มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งโผล่แทรกเข้ามา ทุกคนหันไปมอง
"พี่หมู!!!" ผม ไอ้โป้ง และจ๋า พูดชื่อพี่หมูพร้อมกันด้วยความตกใจ
"อย่าบอกนะว่า..." จ๋าพูดขึ้นลอยๆ พร้อมกับมองไปที่น้องริน ผมกับไอ้โป้งก็ค่อยๆมองไปที่น้องรินด้วยเช่นกัน
"ห๊ะ?" น้องรินทำหน้า งง เหมือนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
"พี่คุ้นๆว่า พี่หมูก็เคยซื้อขนมมาฝากริน เคยแวะมาคุยด้วยบ้างนานๆครั้ง แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ พี่หมูกลับบ้านพร้อมริน อย่าบอกนะว่า..." จ๋า เล่าถึงเหตุการณ์ที่พี่หมูเคยแวะเวียนมาหาน้องริน แล้วก็จบด้วยการถามน้องริน เพราะความคาใจ แต่ยังไม่ทันที่น้องรินจะตอบอะไร
"มันจบแล้วไอ้โป้ง มึงอดละ" จ๋าก็หันมาตบไหล่ไอ้โป้ง เล่นเอาไอ้โป้งอึ้งแดก ยืนนิ่งเป็นหินเลย
"เดี๋ยวๆๆ อะไร ไปกันใหญ่แล้ว พี่ไม่ได้เป็นอะไรกับน้องรินเลย" สิ้นเสียงพี่หมู ไอ้โป้งมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไว จนผมนึกว่ามันคือ เดอะแฟลช ขยับตัวไวเกิ๊น
"ห๊ะ จริงดิพี่ จริงๆนะ" ไอ้โป้งดีใจจนเหมือนหมาที่โดนปล่อยออกจากกรง หลังจากที่โดนขังมาทั้งวัน คงพอจะนึกออกนะครับว่าอาการมันเป็นยังไง
"เอ้า จริงดิ พี่กับน้องรินไม่ได้เป็นอะไรกัน ถึงแม้ว่าพี่เคยจีบน้องรินอยู่ช่วงหนึ่ง แต่สุดท้ายพี่ก็ไม่สามารถแทรกเข้าไปในใจของน้องรินได้" พี่หมูอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ
"ไม่สามารถแทรกเข้าไปในใจของน้องรินได้ ก็แสดงว่า..รินมีคนที่อยู่ในใจแล้วน่ะสิ" ผมพูดขึ้นด้วยความสงสัย พร้อมกับมองไปที่น้องริน
ตอนนี้ทุกคนมองไปที่น้องรินเพื่อรอคำตอบ น้องรินทำท่าทางเขินอายอย่างมาก หน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด ไอ้โป้งเองก็รอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ เพราะมันหวังว่าสิ่งที่มันไปทั้งหมด น่าจะทำให้น้องรินมีใจให้มันไม่ใช่คนอื่น
'เฮ้ย ชิบหายละ อย่าบอกนะว่าน้องรินชอบกู ไอ้โป้งเงิบแน่ๆ แต่ถ้าจริงก็ดี จะได้ไม่ต้องเสียเวลาจีบ ได้มาเลยแบบไม่ต้องทำอะไร' ก่อนที่น้องรินจะตอบ แวบหนึ่งผมก็แอบคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าตัวเองอาจจะเป็นคนที่น้องรินชอบก็ได้
"ริน...มีคนที่ชอบอยู่แล้วจริงๆค่ะ แล้วคนๆนั้นก็คือ...พี่จ๋าค่ะ"
"ป๊อก!!! ซ่าาาาา..." จ๋าทำแก้วน้ำพลาสติกที่ใส่น้ำอัดลมมาเกือบเต็มแก้วหลุดมือตกพื้น ทุกคนมองไปที่แก้ว แล้วก็หันขวับกลับไปมองที่น้องริน ก่อนจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน "ห๊ะ!!!"
"แหะๆ" น้องรินก้มหน้าก้มตาแบบเขินอายสุดๆ ถ้ามุดลงดินได้ น้องน่าจะมุดไปแล้วล่ะ
"จบละ มันจบละเพื่อน กูไปซื้อแห้วแดกก่อนนะ" ไอ้โป้งกำลังจะหันหลังออกไปซื้อแห้วกิน
"พี่โป้งคะ เมื่อเช้ารินซื้อมาพอดี เอาของรินก่อนมั้ยคะ" น้องรินเสนอแห้วที่บังเอิญซื้อมาถูกวันพอดีให้ไอ้โป้ง
ไอ้โป้งหยุดกึ๊ก แล้วหันมาหาน้องริน พร้อมรอยยิ้มแห้งๆ "อีน้องรินนนนนนนน..." ไอ้โป้งทำหน้าจะร้องไห้ แต่จริงๆมันทำเอาขำๆ จนทุกคนอดหัวเราะกันไม่ได้
"พอผิดหวังแล้ว ขึ้นอีเลยนะมึง มึงกล้าเรียกแฟนกูว่าอีเหรอ เดี๋ยวถีบๆ" จ๋าทำท่าทางไม่พอใจไอ้โป้ง พร้อมยกเท้าจะถีบ ซึ่งก็ทำให้ทุกคนหัวเราะ บรรยากาศเลยผ่อนคลาย
จริงๆผมก็สงสารไอ้โป้งมันนะครับ ลงทุนไปก็เยอะ แต่จะทำยังไงได้ล่ะครับ ก็น้องรินดันชอบผู้หญิง แต่ในความผิดหวังนี้ มันก็ยังดีหน่อย เพราะอย่างน้อยๆไอ้โป้งมันก็ไม่ได้แพ้ทอม มันแพ้ผู้หญิงซึ่งยังไงก็เหมือนสู้กับคนละแนวทาง ไม่เหมือนแพ้ทอม อันนั้นน่าเจ็บใจกว่า
"ว่าแต่จ๋า มึงเอาจริงดิ เป็นแฟนกับน้องรินน่ะ" ผมถามจ๋าทางโทรศัพท์ เพราะผมยังคาใจอยู่ ว่านี่มันเรื่องจริง หรือแค่แกล้งไอ้โป้งกันแน่ แล้วจ้ามันจะเปลี่ยนแนวได้จริงๆเหรอ
"มึงรู้มั้ย ทำไมกูเลิกกับพี่แมน" จ๋าถามผมกลับ
"ก็มึงบอกว่า พี่แมนมีคนอื่นไง" ผมตอบ แล้วก็สงสัย ทำไมมันถามผมกลับมาแบบนี้
"จริงๆแล้วคือ กูค้นพบตัวเองตอนได้อยู่ใกล้ๆกับน้องสาวพี่แมนว่ะ กูไม่รู้มันเกิดจากอะไรยังไงนะ แต่กูรู้สึกว่า กูชื่นชอบในสรีระของผู้หญิงว่ะ กูอยากลูบ อยากคลำ อยากกอด อยากแนบชิดอย่างบอกไม่ถูก จนกูแอบ...นั่นแหละมึงเข้าใจนะ กับน้องสาวพี่แมน จนวันหนึ่งพี่แมนรู้เข้า บวกกับตอนนั้นพี่แมนแม่งก็มีผู้หญิงคนใหม่พอดี กูกับพี่แมนก็เลยเลิกกันด้วยดี แต่กูไม่เคยบอกใคร และก็ไม่มีใครเคยถามลึกๆ กูเลยปล่อยเข้าใจผิดกันไป จริงๆแล้วที่กูไม่ให้พวกมึงสองคนจีบกู ส่วนหนึ่งก็มาจากสาเหตุนี้แหละ แต่คำว่าเพื่อนคือเหตุผลหลักนะมึง" จ๋าอธิบายยาว จนผมบรรลุเข้าใจลึกซึ้งเลย
"แล้ว...มึงจะปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเพื่อ..." แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดี ว่ามันจะปิดเรื่องนี้ไว้ทำไม
"ก็กูอยากปิดไง มีไรอ่ะเปล่า" จ๋าตอบผมแบบกวนๆแล้วไง และยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่อ ก็มีเสียงแทรกเข้ามา "พี่จ๋า อุ๊ย..."
ผมได้ยินเสียงแล้วก็พูดลอยๆออกไปเบาๆแบบอึ้งๆ "เหี้ย..."
"กูไม่ใช่เหี้ย กูอีจ๋าเพื่อนมึงนี่แหละ แต่แค่นี้ก่อนนะ น้องรินอาบน้ำเสร็จแล้ว"
"ตรู๊ดๆๆๆ" เออ...ผมว่า ผมไปหาดนตรีไทยฟังสักหน่อยดีกว่า
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
26 มีนาคม 2561
"มึงเอาจริงดิ" ผมถามเพื่อนของผมเพื่อความแน่ใจ จะได้ไม่เข้าใจผิด
"เออ กูเอาจริงๆ กูชอบจริงๆนะเว้ย กูรู้สึกมีความสุขเวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆเธอ" เพื่อนของผมยืนยันหนักแน่น ว่ามันจริงจังกับผู้หญิงคนนี้
"โอเค ถ้ามึงยืนยันขนาดนี้ งั้นกูหลีกทางให้มึงก็ได้" ไอ้คนที่จริงจังขนาดนั้น มันก็เพื่อนผมนี่แหละ งั้นก็ใจๆกันไปเลย ผมยอมหลีกทางให้มันจีบน้องรินคนสวยที่ทั้งผม และเพื่อนของผม แอบมอง แอบสนใจมาสักระยะหนึ่งแล้ว
"มันต้องแบบนี้สิวะเพื่อน" มันดีใจใหญ่เลย ยกนิ้วโป้งให้ผมเลยทีเดียว
"สวัสดีค่ะ มาสมัครงานค่ะ" หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวทักทายประชาสัมพันธ์สาว ที่กำลังนั่งเขี่ยโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะประชาสัมพันธ์
"ตำแหน่งอะไรคะ" ประชาสัมพันธ์สาวละสายตาจากโทรศัพท์ แล้วแหงนหน้าถามหญิงสาวที่มาขอสมัครงาน
"ประชาสัมพันธ์ค่ะ" หญิงสาวผู้มาสมัครงานตอบด้วยรอยยิ้ม
"งั้นเชิญกรอกใบสมัครงานทางห้องขวามือนะคะ" ประชาสัมพันธ์สาวบอกกับหญิงสาว พร้อมกับชี้มือไปทางห้องทางขวา ซึ่งเป็นห้องสำหรับคนมาสมัครงาน
หญิงสาวเข้าไปในห้องสมัครงาน ซึ่งในห้องนั้นก็มีผู้ชาย 2 คนมานั่งกรอกใบสมัครงานอยู่ ทั้ง 2 คนมองเธอแล้วยิ้ม เธอยิ้มตอบแบบเขินๆ แล้วเธอก็ได้หาที่นั่งกรอกใบสมัครงานจนเสร็จ ในห้องมีกระดาษ A4 เขียนช้อความว่า "กรอกใบสมัครงานเสร็จแล้ว ส่งที่ประชาสัมพันธ์ค่ะ" เธออ่านแล้วก็ออกจากห้องสมัครงานไปที่ประชาสัมพันธ์
"พี่คะ ส่งใบสมัครงานค่ะ" ประชาสัมพันธ์สาวละสายตาจากโทรศัพท์อีกครั้ง แล้วกันมาสนใจหญิงสาว กับใบสมัครงาน
ประชาสัมพันธ์สาวอ่านข้อมูลในใบสมัครงานคร่าวๆ เพื่อพิจารณาเบื้องต้นว่าควรให้ฝ่ายบุคคลสัมภาษณ์งานหรือไม่ หลังจากอ่านจบแล้วประชาสัมพันธ์สาวก็ถามหญิงสาวว่า "สะดวกสัมภาษณ์งานวันนี้หรือไม่คะ"
"สะดวกค่ะ" หญิงสาวตอบพร้อมรอยยิ้ม และความตื่นเต้น เพราะไม่คิดว่ากรอกใบสมัครเสร็จแล้ว จะได้สัมภาษณ์งานเลย
"งั้นเดี๋ยวเชิญนั่งรอที่ห้องสมัครงานก่อนนะคะ" ประชาสัมพันธ์สาวเก็บใบสมัครงานไว้ เพื่อส่งให้ฝ่ายบุคคล พร้อมกับบอกให้หญิงสาวไปนั่งรอที่ห้องสมัครงานอีกครั้ง
"เฮ้ยๆ ไอ้โป้ง มึงดูนั่นๆ" ผมสะกิดไอ้โป้ง เพื่อนสนิทในที่ทำงานให้มันดูหญิงสาวคนหนึ่งในห้องสมัครงาน
"ดูเหี้ยไรวะ" ไอ้โป้งสงสัย พร้อมกับหันไปมองที่ในห้องสมัครงาน "เหี้ย เอ้ย ไม่ใช่เหี้ยสิ นั่นมันนางฟ้าชัดๆ" ไอ้โป้งถึงกับตะลึง เมื่อได้เห็นหญิงสาวในห้องสมัครงาน
ก็จะไม่ให้มันตะลึงได้ยังไงล่ะครับ เพราะหญิงสาวคนนั้นมีเสน่ห์มาก หน้าตาสะสวย ดูใสๆ ผมสั้นประบ่า แม้จะผิวไม่ขาวจนโอโม่ แต่ก็ถือว่าน่ามอง แต่งตัวเรียบร้อยแต่ก็ยังดูเซ็กซี่ได้ คือรวมๆแล้วมีเสน่ห์มากมาย น่ามอง น่าค้นหานั่นแหละครับ
"พวกมึง...ทำอะไรกัน" ระหว่างที่ผมกับไอ้โป้งกำลังดูสาวเพลินๆอยู่นั้น ก็มีเสียงปริศนาแทรกเข้ามาระหว่างผมกับไอ้โป้ง ไอ้โป้งหันไปดูแล้วตะโกนเสียงดัง "เหี้ย!!!"
สิ้นเสียงของไอ้โป้ง ตัวไอ้โป้งก็ถลาออกไปล้มกลิ้งอยู่บนพื้นด้วยแรงถีบของประชาสัมพันธ์สาว "เหี้ย พ่อมึงดิ กูอีจ๋าเพื่อนมึงนี่แหละ" พอจ๋าพูดจบ แทนที่บรรยากาศจะตึงเครียด มันกลับกลายเป็นเสียงหัวเราะของเราทั้ง 3 คนแทน และที่สำคัญคือ ผมสังเกตเห็นหญิงสาวที่อยู่ในห้องสมัครงาน ก็เหมือนจะแอบขำซะด้วย
"วันนี้กินอะไรจ๋า" ผมถามจ๋าถึงข้าวมื้อเที่ยง เพราะตอนนี้จ๋าทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์อยู่คนเดียว อีกคนเพิ่งลาออกไป ทำให้จ๋าไม่สามารถออกไปกินข้าวเที่ยงกับผม และไอ้โป้งได้เหมือนทุกที
"ผัดเผ็ดช้างไข่ดาวห้าฟอง" ยังไม่ทันที่จ๋าจะตอบว่ากินอะไร ไอ้โป้งก็ชิงสั่งข้าวเที่ยงแทนจ๋าซะแล้ว จ๋าหันไปมองหน้าไอ้โป้งแบบงงๆ "งงอะไรอีจ๋า แม่ง มึงถีบแรงอย่างกับช้างถีบ เห็นหุ่นนางแบบ หุ่นเพรียวๆแบบนี้ ไม่นึกเลยว่ามึงจะมีลูกถีบพลังช้างด้วย" ไอ้โป้งอธิบายจบ คราวนี้จ๋าง้างหมัดจะต่อยแทนการถีบแล้ว
"พอดิๆ รีบๆสั่งข้าวได้แล้ว ช้าเดี๋ยวคนเยอะ" ไอ้โป้งไม่สู้จ๋าแล้ว เพราะยังไงจ๋ามันก็เพื่อนของพวกผมเหมือนกัน และไม่ว่าจะมีเรื่องกันทีไร จ๋ามันก็ชนะพวกผมทุกทีสิน่า
"เอายำหมูยอมาให้กูละกัน ข้าวไม่ต้องนะ" จ๋าหันมาสั่งข้าวเที่ยงกับผม
"โอเค จัดให้ ว่าแต่สาวในห้องสมัครงานนั่น..." ผมรับออเดอร์จากจ๋า แล้วก็หันไปมองหญิงสาวในห้องสมัครงาน พร้อมกับคำถาม
"พวกมึงสองคนไปซื้อข้าวก่อน เดี๋ยวกลับมา กูจะเล่าให้ฟัง โอเค๊" เจ้าแม่จ๋าองค์ลงแล้ว ผมกับไอ้โป้งเลยต้องรีบออกไปซื้อข้าวเที่ยง ก่อนที่เจ้าแม่จ๋าจะพิโรธ
"ในใบสมัครงานน้องเขียนไว้ว่าชื่อ ริน มาสมัครตำแหน่งเดียวกับกูนี่แหละ ถ้าใครคิดจะจีบน้องริน ต้องเซ่นเจ้าแม่เยอะหน่อยนะเว้ย ไม่งั้นเจ้าแม่จะตัดกำลัง ไม่ช่วยนะเว้ย" นี่คือ คำตอบของจ๋า หลังจากที่ผมกับไอ้โป้งซื้อข้าวเที่ยงมาให้มันแล้ว แล้วที่ถามถึงหญิงสาวในห้องสมัครงานอีกครั้ง
"แต่ก่อนอื่นเลย ต้องให้น้องได้งานก่อน เราถึงจะมีโอกาสจีบน้องเขา" ผมพูดกับไอ้โป้ง เพราะกลัวว่าน้องจะไม่ผ่านการสัมภาษณ์
"พวกมึงไม่ต้องห่วงหรอก กูยืนยันร้อยเปอร์เซ็น พี่ศรีรับน้องเข้าทำงานแน่นอน" จ๋ายืนยันหนักแน่น พร้อมยกนิ้วโป้งแสดงความมั่นใจสุดๆ
"ทำไมวะ" ไอ้โป้งถามขึ้นด้วยความสงสัย
"โปรไฟล์ และความสามารถของน้อง แม่ง...เด็ดดวงว่ะ" จ๋าตอบด้วยความมั่นใจอีกครั้งหนึ่ง จนผมกับไอ้โป้งหมดคำถาม และเชื่อว่าน้องจะผ่านการสัมภาษณ์แน่นอน
"เฮ้ย ไอ้กร" ไอ้โป้งเรียกผม ขณะที่ผมกำลังทำงานอยู่ที่โต๊ะ ซึ่งโต๊ะทำงานของผม กับไอ้โป้งก็อยู่ตรงข้ามกันนี่แหละ ผมหันไปมองหน้ามันด้วยความสงสัย
"กูว่า กูขอจีบน้องรินได้มั้ยวะ มึงหลีกทางให้กูเถอะนะ" ไอ้โป้งยิงคำถามซะผมอึ้งเลย
"มึงเอาจริงดิ" ผมถามไอ้โป้งเพื่อความแน่ใจ จะได้ไม่เข้าใจผิด
"เออ กูเอาจริงๆ กูชอบจริงๆนะเว้ย กูรู้สึกมีความสุขเวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆน้องริน" ไอ้โป้งยืนยันหนักแน่น ว่ามันจริงจังกับน้องริน
"โอเค ถ้ามึงยืนยันขนาดนี้ งั้นกูหลีกทางให้มึงก็ได้" ไอ้คนที่จริงจังขนาดนั้น มันก็เพื่อนผมนี่แหละ งั้นก็ใจๆกันไปเลย ผมยอมหลีกทางให้มันจีบน้องรินคนสวยที่ทั้งผมและมัน แอบมอง แอบสนใจมาสักระยะหนึ่งแล้ว
"มันต้องแบบนี้สิวะเพื่อน" มันดีใจใหญ่เลย ยกนิ้วโป้งให้ผมเลยทีเดียว
"ไหนๆกูก็จีบน้องรินละ มึงก็จีบอีจ๋าบ้างสิวะไอ้กร" ไอ้โป้งแนะนำให้ผมจีบจ๋า ทั้งๆที่มันเพิ่งแย่งน้องรินไปจากผม
"ไม่เอาล่ะ" ผมปฏิเสธไป
"ทำไมล่ะวะ อีจ๋ามันก็น้องๆนางแบบเลยนะเว้ย หน้าสวย หุ่นเป๊ะ นี่ถ้าให้มันไปประกวดเวทีนางแบบ มันน่าจะติดหนึ่งในสิบคนสุดท้ายเลยนะเว้ย" ไอ้โป้งยังคงพยายามทำให้ผมสนใจจีบจ๋าให้ได้
"โอย ไอ้โป้ง มึงดีใจจนลืมอะไรปะเนี่ย มึงก็รู้นี่หว่าว่ากูกับมึงเนี่ย คิดกับอีจ๋าได้แค่เพื่อนจริงๆ ความรู้สึกมันเป็นแบบนั้น มันไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว จำได้มั้ยว่าเราสามคนเนี่ย ตอนเข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ๆ เมื่อหกปีก่อน มันเป็นยังไง..." ผมรื้อฟื้นความหลังกับไอ้โป้ง เผื่อว่ามันจะลืมไปแล้วว่าเราสามคน ผม โป้ง และจ๋า มันเป็นยังไง เจออะไรมาบ้าง
"ตอนนั้นเราสามคนเป็นเด็กใหม่ที่นี่ เข้ามาพร้อมกัน ก็เลยดูจะสนิทกัน กูกับมึงเคยคิดจะจีบอีจ๋า มึงจะได้ใช่มั้ย" ผมถามไอ้โป้ง มันพยักหน้าตอบ
"แล้วยังไงล่ะ อีจ๋าชอบพี่แมนโน้น มันมองเราสองคนเป็นแค่เพื่อน ตั้งแต่นั้นมาเราสองคนก็เลยคิดกับมันได้แค่เพื่อน ยิ่งตอนที่มันเลิกกับพี่แมน ตอนนั้นอีจ๋าดูมันจะอ่อนแอมาก เราสองคนเลยคิดว่า นี่แหละโอกาสพิชิตใจอีจ๋า แล้วสุดท้ายเป็นไงล่ะ อีจ๋าเบรคหัวทิ่มเลย มึงจำได้มั้ยว่ามันพูดว่าอะไร" ผมเล่าย้อนอดีตยาว พร้อมกับจบด้วยคำถามที่ผมคิดว่า ไอ้โป้งน่าจะจำได้ดี
"มึงสองคนคือ เพื่อนสนิทของกู กูจะไม่ยอมเป็นแฟนกับใครคนใดคนหนึ่ง เราสามคนจะอยู่กันแบบนี้ ไม่มีการที่สองคนได้เป็นคู่กัน แล้วทิ้งเพื่อนอีกคนไว้ข้างหลัง จำไว้!!! ถ้าจะมีแฟน ขอให้ไปจีบคนอื่น ที่ไม่ใช่กู" ไอ้โป้งพูดไปยิ้มไป ผมเชื่อว่ามันก็คงซึ้งในคำว่า"เพื่อน"ไม่น้อยไปกว่าผม
"เออว่ะ กูลืมไป กูดีใจเกินไปหน่อย โทษทีว่ะ" ไอ้โป้งขอโทษผม ที่มันลืมคำพูดของจ๋าเมื่อวันนั้น
"ว่าแต่ มึงจะจีบน้องรินยังไงวะ" ผมถามไอ้โป้ง เพราะไม่เคยเห็นมันจีบสาวคนไหนในบริษัทติดเลย มันกินแห้วมาแล้วประมาณ 4 รอบ
"อืม กูว่านะ งานนี้ต้องให้เจ้าแม่เปลี่ยนร่างเป็นแม่สื่อแล้วล่ะ มันน่าจะช่วยได้เยอะเลยล่ะ" ไอ้โป้งทำท่าทางมีแผนการอยู่ในหัวแล้ว
"เป็นไงบ้างน้องริน ทำงานมาสองเดือนแล้ว ไหวรึเปล่า พี่ว่าน่าจะผ่านโปรได้สบายๆนะเนี่ย" จ๋า ทักทายน้องรินในเช้าวันแรกของเดือนที่ 3
"สบายมากค่ะพี่จ๋า งานไม่หนักอย่างที่คิด" น้องรินตอบกลับจ๋าด้วยความสดใสเช่นเคย
"เก่งนะเราเนี้ย ทั้งการทำงาน ทั้งภาษา ไหนจะหน้าตาที่ดูดีจนพี่หมองแล้ว ยังจะเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆหลายคนเลยนะเนี่ย" จ๋าชื่นชมในตัวของน้องริน พร้อมกับแซวขำๆ
"ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ รินยังต้องฝึกอีกเยอะเลย แล้วเรื่องหน้าตานี่ รินว่าพี่จ๋ายังกินขาดรินอยู่เลยนะคะ ไหนจะหุ่นที่เพรียวเหมือนนางแบบอีก ดูขาพี่จ๋าสิ นี่มันขานางแบบชัดๆ หน้าอก สะโพก โอยยยย รินยังห่างพี่จ๋าเยอะค่ะ" น้องรินตอบกลับพี่จ๋าแบบถ่อมตัว
"ฮ่าๆๆ ก็ได้ๆ เรื่องหน้าตา เรื่องหุ่นพี่ชนะก็ได้ แต่เรื่องหนุ่มๆนี่ พี่ขอยอมแพ้นะ เพราะปกติตรงประชาสัมพันธ์นี่ ไม่ค่อยมีหนุ่มๆแวะเวียนมานะ แต่ตั้งแต่น้องรินเข้ามาที่นี่นะ โอ้โห หัวโต๊ะประชาสัมพันธ์ไม่แห้งเลย" จ๋าแซวน้องรินอีกครั้ง
"พี่จ๋าก็เวอร์ไป๊ เขาอาจจะมาหาพี่จ๋าก็ได้นะคะ" น้องรินทำท่าทางเขินอายจนหน้าแดง
"มาหารินนั่นแหละ สาวน้อยเสน่ห์แรงที่สุด ณ เวลานี้" จ๋าบอกกับน้องริน ก่อนที่จะมีคนมาติดต่อประชาสัมพันธ์พอดี
"ขอบคุณค่ะพี่โป้ง แหม ซื้อขนมมาฝากแทบทุกวันเลย คิดอะไรกับรินรึเปล่าคะ" รินรับขนมจากไอ้โป้ง แล้วยิงคำถามแทงใจไอ้โป้งกลับมาทันที หลังจากที่ไอ้โป้งซื้อขนมมาฝากน้องรินแทบทุกวันเป็นเวลาร่วมเดือน จนรินเองก็อดสงสัยไม่ได้
"โอย มันจะมีอะไรล่ะริน ผู้ชายซื้อขนมมาให้ผู้หญิงแทบทุกวันแบบนี้ มันก็หวังจะจีบรินนั่นแหละ" จ๋าพูดขึ้นหลังจากที่เคยเตี๊ยมกับไอ้โป้งไว้ก่อนแล้วว่า ถ้าน้องรินถามคำถามแบบนี้ ให้จ๋าช่วยปูทางให้หน่อย เพื่อที่มันจะได้เอ่ยปากขอจีบน้องรินได้อย่างเป็นทางการ
น้องรินทำท่าทางอึ้งเล็กน้อย บวกกับความกังวลใจ และเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง "แต่..."
"ทำอะไรกันจ๊ะสองสาว" มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งโผล่แทรกเข้ามา ทุกคนหันไปมอง
"พี่หมู!!!" ผม ไอ้โป้ง และจ๋า พูดชื่อพี่หมูพร้อมกันด้วยความตกใจ
"อย่าบอกนะว่า..." จ๋าพูดขึ้นลอยๆ พร้อมกับมองไปที่น้องริน ผมกับไอ้โป้งก็ค่อยๆมองไปที่น้องรินด้วยเช่นกัน
"ห๊ะ?" น้องรินทำหน้า งง เหมือนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
"พี่คุ้นๆว่า พี่หมูก็เคยซื้อขนมมาฝากริน เคยแวะมาคุยด้วยบ้างนานๆครั้ง แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ พี่หมูกลับบ้านพร้อมริน อย่าบอกนะว่า..." จ๋า เล่าถึงเหตุการณ์ที่พี่หมูเคยแวะเวียนมาหาน้องริน แล้วก็จบด้วยการถามน้องริน เพราะความคาใจ แต่ยังไม่ทันที่น้องรินจะตอบอะไร
"มันจบแล้วไอ้โป้ง มึงอดละ" จ๋าก็หันมาตบไหล่ไอ้โป้ง เล่นเอาไอ้โป้งอึ้งแดก ยืนนิ่งเป็นหินเลย
"เดี๋ยวๆๆ อะไร ไปกันใหญ่แล้ว พี่ไม่ได้เป็นอะไรกับน้องรินเลย" สิ้นเสียงพี่หมู ไอ้โป้งมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไว จนผมนึกว่ามันคือ เดอะแฟลช ขยับตัวไวเกิ๊น
"ห๊ะ จริงดิพี่ จริงๆนะ" ไอ้โป้งดีใจจนเหมือนหมาที่โดนปล่อยออกจากกรง หลังจากที่โดนขังมาทั้งวัน คงพอจะนึกออกนะครับว่าอาการมันเป็นยังไง
"เอ้า จริงดิ พี่กับน้องรินไม่ได้เป็นอะไรกัน ถึงแม้ว่าพี่เคยจีบน้องรินอยู่ช่วงหนึ่ง แต่สุดท้ายพี่ก็ไม่สามารถแทรกเข้าไปในใจของน้องรินได้" พี่หมูอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ
"ไม่สามารถแทรกเข้าไปในใจของน้องรินได้ ก็แสดงว่า..รินมีคนที่อยู่ในใจแล้วน่ะสิ" ผมพูดขึ้นด้วยความสงสัย พร้อมกับมองไปที่น้องริน
ตอนนี้ทุกคนมองไปที่น้องรินเพื่อรอคำตอบ น้องรินทำท่าทางเขินอายอย่างมาก หน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด ไอ้โป้งเองก็รอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ เพราะมันหวังว่าสิ่งที่มันไปทั้งหมด น่าจะทำให้น้องรินมีใจให้มันไม่ใช่คนอื่น
'เฮ้ย ชิบหายละ อย่าบอกนะว่าน้องรินชอบกู ไอ้โป้งเงิบแน่ๆ แต่ถ้าจริงก็ดี จะได้ไม่ต้องเสียเวลาจีบ ได้มาเลยแบบไม่ต้องทำอะไร' ก่อนที่น้องรินจะตอบ แวบหนึ่งผมก็แอบคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าตัวเองอาจจะเป็นคนที่น้องรินชอบก็ได้
"ริน...มีคนที่ชอบอยู่แล้วจริงๆค่ะ แล้วคนๆนั้นก็คือ...พี่จ๋าค่ะ"
"ป๊อก!!! ซ่าาาาา..." จ๋าทำแก้วน้ำพลาสติกที่ใส่น้ำอัดลมมาเกือบเต็มแก้วหลุดมือตกพื้น ทุกคนมองไปที่แก้ว แล้วก็หันขวับกลับไปมองที่น้องริน ก่อนจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน "ห๊ะ!!!"
"แหะๆ" น้องรินก้มหน้าก้มตาแบบเขินอายสุดๆ ถ้ามุดลงดินได้ น้องน่าจะมุดไปแล้วล่ะ
"จบละ มันจบละเพื่อน กูไปซื้อแห้วแดกก่อนนะ" ไอ้โป้งกำลังจะหันหลังออกไปซื้อแห้วกิน
"พี่โป้งคะ เมื่อเช้ารินซื้อมาพอดี เอาของรินก่อนมั้ยคะ" น้องรินเสนอแห้วที่บังเอิญซื้อมาถูกวันพอดีให้ไอ้โป้ง
ไอ้โป้งหยุดกึ๊ก แล้วหันมาหาน้องริน พร้อมรอยยิ้มแห้งๆ "อีน้องรินนนนนนนน..." ไอ้โป้งทำหน้าจะร้องไห้ แต่จริงๆมันทำเอาขำๆ จนทุกคนอดหัวเราะกันไม่ได้
"พอผิดหวังแล้ว ขึ้นอีเลยนะมึง มึงกล้าเรียกแฟนกูว่าอีเหรอ เดี๋ยวถีบๆ" จ๋าทำท่าทางไม่พอใจไอ้โป้ง พร้อมยกเท้าจะถีบ ซึ่งก็ทำให้ทุกคนหัวเราะ บรรยากาศเลยผ่อนคลาย
จริงๆผมก็สงสารไอ้โป้งมันนะครับ ลงทุนไปก็เยอะ แต่จะทำยังไงได้ล่ะครับ ก็น้องรินดันชอบผู้หญิง แต่ในความผิดหวังนี้ มันก็ยังดีหน่อย เพราะอย่างน้อยๆไอ้โป้งมันก็ไม่ได้แพ้ทอม มันแพ้ผู้หญิงซึ่งยังไงก็เหมือนสู้กับคนละแนวทาง ไม่เหมือนแพ้ทอม อันนั้นน่าเจ็บใจกว่า
"ว่าแต่จ๋า มึงเอาจริงดิ เป็นแฟนกับน้องรินน่ะ" ผมถามจ๋าทางโทรศัพท์ เพราะผมยังคาใจอยู่ ว่านี่มันเรื่องจริง หรือแค่แกล้งไอ้โป้งกันแน่ แล้วจ้ามันจะเปลี่ยนแนวได้จริงๆเหรอ
"มึงรู้มั้ย ทำไมกูเลิกกับพี่แมน" จ๋าถามผมกลับ
"ก็มึงบอกว่า พี่แมนมีคนอื่นไง" ผมตอบ แล้วก็สงสัย ทำไมมันถามผมกลับมาแบบนี้
"จริงๆแล้วคือ กูค้นพบตัวเองตอนได้อยู่ใกล้ๆกับน้องสาวพี่แมนว่ะ กูไม่รู้มันเกิดจากอะไรยังไงนะ แต่กูรู้สึกว่า กูชื่นชอบในสรีระของผู้หญิงว่ะ กูอยากลูบ อยากคลำ อยากกอด อยากแนบชิดอย่างบอกไม่ถูก จนกูแอบ...นั่นแหละมึงเข้าใจนะ กับน้องสาวพี่แมน จนวันหนึ่งพี่แมนรู้เข้า บวกกับตอนนั้นพี่แมนแม่งก็มีผู้หญิงคนใหม่พอดี กูกับพี่แมนก็เลยเลิกกันด้วยดี แต่กูไม่เคยบอกใคร และก็ไม่มีใครเคยถามลึกๆ กูเลยปล่อยเข้าใจผิดกันไป จริงๆแล้วที่กูไม่ให้พวกมึงสองคนจีบกู ส่วนหนึ่งก็มาจากสาเหตุนี้แหละ แต่คำว่าเพื่อนคือเหตุผลหลักนะมึง" จ๋าอธิบายยาว จนผมบรรลุเข้าใจลึกซึ้งเลย
"แล้ว...มึงจะปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเพื่อ..." แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดี ว่ามันจะปิดเรื่องนี้ไว้ทำไม
"ก็กูอยากปิดไง มีไรอ่ะเปล่า" จ๋าตอบผมแบบกวนๆแล้วไง และยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่อ ก็มีเสียงแทรกเข้ามา "พี่จ๋า อุ๊ย..."
ผมได้ยินเสียงแล้วก็พูดลอยๆออกไปเบาๆแบบอึ้งๆ "เหี้ย..."
"กูไม่ใช่เหี้ย กูอีจ๋าเพื่อนมึงนี่แหละ แต่แค่นี้ก่อนนะ น้องรินอาบน้ำเสร็จแล้ว"
"ตรู๊ดๆๆๆ" เออ...ผมว่า ผมไปหาดนตรีไทยฟังสักหน่อยดีกว่า
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
ตอนที่ 136 (บทความ) _ พนันกันมั้ยล่ะ
พนันกันมั้ยล่ะ
20 มีนาคม 2561
ผมจำไม่ได้นะครับว่าเคยเขียนเรื่องนี้ไปแล้วหรือยัง แต่พอดีว่าวันนี้อ่านข่าวเจอข่าวการพนันไก่ชนถูกกฏหมาย มันก็เลยเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมการพนันถึงถูกกฏหมายได้
จากการหาความรู้ในอินเตอร์เน็ตแล้ว พอจะจับใจความได้ว่า การพนันที่ถูกกฏหมายนั่น ก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่เล่นการพนันนั้น เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินทั้งหมด และคนรอบตัวนั่นเอง อธิบายให้เข้าใจอีกทีก็คือ คนที่จะเล่นการพนันถูกกฏหมายนั้น จะมีกฏหมายห้ามเล่นจนหมดตัว หรือเล่นจนเกินตัว จนเกิดสร้างหนี้สิน และห้ามเล่นจนครอบครัว หรือคนรอบตัวเดือดร้อน (อันนี้มันจะห้ามยังไงหว่า)
แต่เอาจริงๆนะ เคยได้ยินคำที่ว่า "ความเห็นไม่ตรงกัน การพนันจึงเกิดขึ้น"มั้ยล่ะครับ แน่นอนว่าแทบจะทุกๆที่บนโลกนี้น่ะ มีการพนันเกิดขึ้นแน่นอน แล้วไอ้บางประเทศก็บอกว่า ห้ามเล่นการพนัน แต่ยังทะลึ่งมีข้อแม้ออกมาว่า ยกเว้นจะเล่นการพนันถูกกฏหมาย เอ๊ะ ยังไงๆอยู่นะ
การพนันก็คือการพนัน ไม่ว่าจะผิดกฏหมาย หรือถูกกฏหมาย สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ มันทำให้คนที่ได้เล่นการพนันนั้น รู้สึกติดใจขึ้นมาได้นั่นเอง คนเล่นพนันชนะ ก็จะได้เงิน ทีนี้ก็ติดใจสิครับ เอาอีกๆ ลงทุนนิดเดียว ได้คืนมาเยอะ แถมสบายอีก พนันอีกๆ ส่วนคนที่เสียพนันส่วนมากก็จะเสียดายเงินที่พนันไป ก็เกิดความอยากได้คืน มีความแค้นใจ ไม่น่าพลาดเลยกู เอาใหม่ๆ รอบหน้าได้แน่ ต้องเอาคืน
นั่นล่ะครับ เสน่ห์ของการพนัน มันเลยทำให้ใครต่อใครชื่นชอบ
ทีนี้มาลองดูคำพูด คำสอนของเราๆกัน ที่เมื่อสมัยยังเด็กอยู่ จำได้มั้ยว่าผู้ใหญ่สอนว่าไง...อย่าเล่นการพนัน ห้ามเล่นการพนัน เพราะมันไม่ดี มีแต่ทำให้เราเสียตังค์ แน่นอนว่าตอนนั้นเราก็เชื่อ เพราะเรายังหาเงินเองไม่ได้ ขืนเอาค่าขนมไปเล่นพนัน ก็อดกินขนมสิ จนมาวันที่เติบโตขึ้น หาเงินเองได้ สิ่งที่ได้เจอคือ ข่าวที่บอกว่า คนถูกหวย 12 ล้าน, คนเล่นพนันชนะตีไก่ , คนเล่นการพนันม้าชนะ ฯลฯ อ้าวววว แล้วมันคืออะไร ทำไมเล่นได้
นี่อาจจะคือ "มือถือสาก ปากถือศีล" ของคนไทยเรานี่แหละครับ ปากก็ห้ามๆๆๆ แต่เอาจริงๆ รัฐบาลเล็งเห็นว่า ให้มันเล่นผิดกฏหมาย รัฐบาลไม่ได้ตังค์ เลยจับให้มันถูกกฏหมายซะเลย ก็ไหนว่าห้ามไง ก็ไหนว่าการพนันมันไม่ดีไง ทำให้ถูกกฏหมายเพื่อให้เล่นกันได้ทำไมล่ะ (ย้อนไปอ่านบรรทัดแรก เพื่อควบคุม มีกฏ ป้องกันคนเล่น งั้นเหรอ?)
เอาจริงๆผมก็ยังงงๆนะครับว่า ตกลงการพนันถูกกฏหมาย กับการพนันผิดกฏหมาย คนที่เล่นพนันเนี่ย มันรู้สึกต่างกันเหรอ แล้วรัฐบาลจะรู้เหรอว่า ไอ้คนที่เล่นพนันถูกกฏหมายอยู่ มันจะไม่แอบๆใต้โต๊ะ เล่นผิดกฏหมายกันดื้อๆข้างๆการพนันถูกกฏหมายนั่นเลย ฮ่าๆๆ (เขียนไปเขียนมา ตรรกะเริ่มเพี้ยน)
วกไปเรื่องการพนันที่ถูกกฏหมายที่ชือว่า หวย นิดนึง หวยถูกกฏหมายคือ สลากกินแบ่งรัฐบาล(แบ่งให้แต่รัฐบาล ไม่แบ่งกูเล้ยยย) กับหวยผิดกฏหมายคือ หวยใต้ดิน หวย 2 แบบนี้ทั้งวิธีซื้อ ทั้งราคา ทั้งรางวัลก็ต่างกัน แถมที่ต่างกันชัดเจนคือ ตำรวจจับเฉพาะหวยใต้ดิน ฮ่าๆๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ การพนัน ใช่แลวครับ มันคือ การพนันนั่นแหละ ไหนๆการพนันมันก็ปราบยาก งั้นผมว่าเราอย่าหลงประเด็นไปที่ปลายเหตุกันเลย ผมว่าเราเน้นที่ต้นเหตุกันไปเลยดีกว่า ต้นเหตุที่ว่าคือ คน นี่แหละครับ
หากคนรอบตัวเรา หรือสังคมที่เราอยู่ปลอดการพนัน ส่วนมากแล้วเราก็จะไม่เล่นการพนันครับ เพราะมันไม่มีตัวอย่าง ไม่มีสิ่งเร้าไงครับ เพราะฉะนั้นแล้ว สอนให้คนสนใจเรื่องอื่นมากกว่าการพนันสิครับ แล้วการพนันก็จะน้อยลงครับ ปัญหาต่างๆจากการพนันก็จะน้อยลงตามไปด้วยครับ แต่ถ้าถามว่าให้สนใจเรื่องอื่น แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ อืม...อันนี้ผมก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ได้นะครับ แต่สำหรับตัวผมแล้ว การห่างจากการพนันได้เพราะผมเล่นเกมครับ สนใจแต่เกม เลยไม่มีหัวไปคิดเรื่องการพนันครับ
เขียนไปเขียนมาเริ่มเลอะเทอะ เหมือนจะจับประเด็นเองไม่ได้ละ ผมว่า จบดีกว่าครับ ฮ่าๆๆ
อีกนิดๆก่อนจบจริง การพนันอยู่ที่แต่ละคนนะครับ ไม่ว่าจะถูกกฏหมาย หรือผิดกฏหมาย หากคนๆนั้นไม่เล่นการพนัน คนๆนั้นก็จะ..ไม่ติดการพนันไงครับ (จะเขียนทำไมเนี่ย ฮ่าๆๆ)
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
20 มีนาคม 2561
ผมจำไม่ได้นะครับว่าเคยเขียนเรื่องนี้ไปแล้วหรือยัง แต่พอดีว่าวันนี้อ่านข่าวเจอข่าวการพนันไก่ชนถูกกฏหมาย มันก็เลยเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมการพนันถึงถูกกฏหมายได้
จากการหาความรู้ในอินเตอร์เน็ตแล้ว พอจะจับใจความได้ว่า การพนันที่ถูกกฏหมายนั่น ก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่เล่นการพนันนั้น เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินทั้งหมด และคนรอบตัวนั่นเอง อธิบายให้เข้าใจอีกทีก็คือ คนที่จะเล่นการพนันถูกกฏหมายนั้น จะมีกฏหมายห้ามเล่นจนหมดตัว หรือเล่นจนเกินตัว จนเกิดสร้างหนี้สิน และห้ามเล่นจนครอบครัว หรือคนรอบตัวเดือดร้อน (อันนี้มันจะห้ามยังไงหว่า)
แต่เอาจริงๆนะ เคยได้ยินคำที่ว่า "ความเห็นไม่ตรงกัน การพนันจึงเกิดขึ้น"มั้ยล่ะครับ แน่นอนว่าแทบจะทุกๆที่บนโลกนี้น่ะ มีการพนันเกิดขึ้นแน่นอน แล้วไอ้บางประเทศก็บอกว่า ห้ามเล่นการพนัน แต่ยังทะลึ่งมีข้อแม้ออกมาว่า ยกเว้นจะเล่นการพนันถูกกฏหมาย เอ๊ะ ยังไงๆอยู่นะ
การพนันก็คือการพนัน ไม่ว่าจะผิดกฏหมาย หรือถูกกฏหมาย สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ มันทำให้คนที่ได้เล่นการพนันนั้น รู้สึกติดใจขึ้นมาได้นั่นเอง คนเล่นพนันชนะ ก็จะได้เงิน ทีนี้ก็ติดใจสิครับ เอาอีกๆ ลงทุนนิดเดียว ได้คืนมาเยอะ แถมสบายอีก พนันอีกๆ ส่วนคนที่เสียพนันส่วนมากก็จะเสียดายเงินที่พนันไป ก็เกิดความอยากได้คืน มีความแค้นใจ ไม่น่าพลาดเลยกู เอาใหม่ๆ รอบหน้าได้แน่ ต้องเอาคืน
นั่นล่ะครับ เสน่ห์ของการพนัน มันเลยทำให้ใครต่อใครชื่นชอบ
ทีนี้มาลองดูคำพูด คำสอนของเราๆกัน ที่เมื่อสมัยยังเด็กอยู่ จำได้มั้ยว่าผู้ใหญ่สอนว่าไง...อย่าเล่นการพนัน ห้ามเล่นการพนัน เพราะมันไม่ดี มีแต่ทำให้เราเสียตังค์ แน่นอนว่าตอนนั้นเราก็เชื่อ เพราะเรายังหาเงินเองไม่ได้ ขืนเอาค่าขนมไปเล่นพนัน ก็อดกินขนมสิ จนมาวันที่เติบโตขึ้น หาเงินเองได้ สิ่งที่ได้เจอคือ ข่าวที่บอกว่า คนถูกหวย 12 ล้าน, คนเล่นพนันชนะตีไก่ , คนเล่นการพนันม้าชนะ ฯลฯ อ้าวววว แล้วมันคืออะไร ทำไมเล่นได้
นี่อาจจะคือ "มือถือสาก ปากถือศีล" ของคนไทยเรานี่แหละครับ ปากก็ห้ามๆๆๆ แต่เอาจริงๆ รัฐบาลเล็งเห็นว่า ให้มันเล่นผิดกฏหมาย รัฐบาลไม่ได้ตังค์ เลยจับให้มันถูกกฏหมายซะเลย ก็ไหนว่าห้ามไง ก็ไหนว่าการพนันมันไม่ดีไง ทำให้ถูกกฏหมายเพื่อให้เล่นกันได้ทำไมล่ะ (ย้อนไปอ่านบรรทัดแรก เพื่อควบคุม มีกฏ ป้องกันคนเล่น งั้นเหรอ?)
เอาจริงๆผมก็ยังงงๆนะครับว่า ตกลงการพนันถูกกฏหมาย กับการพนันผิดกฏหมาย คนที่เล่นพนันเนี่ย มันรู้สึกต่างกันเหรอ แล้วรัฐบาลจะรู้เหรอว่า ไอ้คนที่เล่นพนันถูกกฏหมายอยู่ มันจะไม่แอบๆใต้โต๊ะ เล่นผิดกฏหมายกันดื้อๆข้างๆการพนันถูกกฏหมายนั่นเลย ฮ่าๆๆ (เขียนไปเขียนมา ตรรกะเริ่มเพี้ยน)
วกไปเรื่องการพนันที่ถูกกฏหมายที่ชือว่า หวย นิดนึง หวยถูกกฏหมายคือ สลากกินแบ่งรัฐบาล(แบ่งให้แต่รัฐบาล ไม่แบ่งกูเล้ยยย) กับหวยผิดกฏหมายคือ หวยใต้ดิน หวย 2 แบบนี้ทั้งวิธีซื้อ ทั้งราคา ทั้งรางวัลก็ต่างกัน แถมที่ต่างกันชัดเจนคือ ตำรวจจับเฉพาะหวยใต้ดิน ฮ่าๆๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ การพนัน ใช่แลวครับ มันคือ การพนันนั่นแหละ ไหนๆการพนันมันก็ปราบยาก งั้นผมว่าเราอย่าหลงประเด็นไปที่ปลายเหตุกันเลย ผมว่าเราเน้นที่ต้นเหตุกันไปเลยดีกว่า ต้นเหตุที่ว่าคือ คน นี่แหละครับ
หากคนรอบตัวเรา หรือสังคมที่เราอยู่ปลอดการพนัน ส่วนมากแล้วเราก็จะไม่เล่นการพนันครับ เพราะมันไม่มีตัวอย่าง ไม่มีสิ่งเร้าไงครับ เพราะฉะนั้นแล้ว สอนให้คนสนใจเรื่องอื่นมากกว่าการพนันสิครับ แล้วการพนันก็จะน้อยลงครับ ปัญหาต่างๆจากการพนันก็จะน้อยลงตามไปด้วยครับ แต่ถ้าถามว่าให้สนใจเรื่องอื่น แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ อืม...อันนี้ผมก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ได้นะครับ แต่สำหรับตัวผมแล้ว การห่างจากการพนันได้เพราะผมเล่นเกมครับ สนใจแต่เกม เลยไม่มีหัวไปคิดเรื่องการพนันครับ
เขียนไปเขียนมาเริ่มเลอะเทอะ เหมือนจะจับประเด็นเองไม่ได้ละ ผมว่า จบดีกว่าครับ ฮ่าๆๆ
อีกนิดๆก่อนจบจริง การพนันอยู่ที่แต่ละคนนะครับ ไม่ว่าจะถูกกฏหมาย หรือผิดกฏหมาย หากคนๆนั้นไม่เล่นการพนัน คนๆนั้นก็จะ..ไม่ติดการพนันไงครับ (จะเขียนทำไมเนี่ย ฮ่าๆๆ)
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
ตอนที่ 135 (บทความ) _ ออเจ้า
ออเจ้า
14 มีนาคม 2561
ดังเปรี้ยงเหลือเกินครับ สำหรับกระแสความนิยมความเป็นไทยจากละคร ทุบเทแล้วก็ราด เอ้ย บุพเพสันนิวาส ของทางช่อง 3 ซึ่งเอาจริงๆเลยนะครับ ผม...ไม่ได้ดู ฮ่าๆๆ เนื่องจากว่าผมเป็นคนไม่ดูละครครับ เลยไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ แต่ที่จะมาเขียนบทความวันนี้ ก็เพราะว่าละครทำให้เกิดกระแสสนใจ และรักษ์ความเป็นไทยขึ้นมานี่แหละครับ
ในเมื่อกระแสละครดี อะไรต่างๆนาๆจากในละครมันก็เลยพลอยได้ผลประโยชน์ดีตามไปด้วยล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำพูด การแต่งชุดไทย รวมไปถึงสถานที่ทางประวัติศาสตร์ชาติไทย วัดวาอาราม ต่างมีผู้คนนิยมไปเที่ยวชมครับ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆเลยล่ะออเจ้าทั้งหลาย
นี่ล่าสุดได้ข่าวว่าดังถึงขนาด รมว.วัฒนธรรม ยกเทียบชั้นซีรี่ย์ดังอย่าง แดจังกึม กันไปเลยทีเดียว แต่ก็ถือว่าเทียบได้นะครับ เพราะมันสร้างกระแสได้ดีสุดๆ ทั้งคนไทย ทั้งคนต่างชาติ ชื่นชอบละครบุพเพสันนิวาสกันสุดๆ ชื่นชอบถีงขนาดที่ว่า มีออกไปฉายที่ต่างประเทศหลายประเทศแล้วนะเออ (ทำเป็นเล่นไป โคตรดังเลย)
กระแสตอนนี้แรงมากๆ คนแห่ใส่ชุดไทย เที่ยววัดไทยกันใหญ่ ผมเดานะครับว่า สงกรานต์ปีนี้ มีใส่ชุดไทยเลยน้ำกันล่ะ มันคงจะเป็นภาพที่สวยงามตามประเพณีไทยอย่างเหลือเชื่อเลย ไอ้ที่นุ่งสั้น เสื้อกล้าม เสื้อสายเดี่ยว คงต้องคิดหนักล่ะ ว่านี่กู...แต่งตัวผิดใช่มั้ย ฮ่าๆๆ
เอาล่ะ ออเจ้าทั้งหลายที่อ่านบทความนี้อยู่ ข้าอยากจะขอบอกว่า แม้ว่าในอนาคตละครจะจบลงไป ข้าก็อยากให้ออเจ้าทั้งหลาย ยังคงชื่นชอบความเป็นไทยๆกันอยู่อีกนานๆนะ เพราะความเป็นไทยของเรานั้น แม้มันจะดูเชยอยู่สายตาคนไทยด้วยกันเอง แต่ตรงกันข้ามกับสายตาของชาวต่างชาตินะเออ เพราะชาวต่างชาติเขาชื่อชอบความเป็นไทยสุดๆเลยนะออเจ้า
ปล. บริษัทไหนให้ใส่ชุดอะไรก็ได้ทำงาน ก็ลองใส่ชุดไทยไปทำงานสัปดาห์ละครั้งดูสิ แล้วออเจ้าจะดัง เป็นที่จับตามองเลยล่ะ เพราะ...ข้าลองมาแล้ว
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)