hostneverdie

weltrade

siamfocus

ตอนที่ 143 (บทความ) _ เมื่อซองงานแต่ง แฝงความโหดร้าย

เมื่อซองงานแต่ง แฝงความโหดร้าย
26 เมษายน 2561

       ไม่รู้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงฤกษ์ดีกันหรือยังไง ทำไมแต่งงานกันจัง แล้วพอมีงานแต่ง ก็ต้องมีการ์ดเชิญที่ใส่มาในซอง ซึ่งเราก็จะเรียกรวมๆไปเลยว่า "ซองงานแต่ง" แล้วตามธรรมเนียม ณ ปัจจุบันนี้ เราก็รู้ๆกันอยู่ว่าการใส่ซองถือเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่จะใส่เท่าไหร่นี่สิสำคัญกว่า จนมันกลายเป็นเรื่องปวดหัว ปัญหาโลกแตกสำหรับใครหลายๆคนเลยทีเดียว

       การใส่ซองงานแต่ง เริ่มมากจากไหน? จริงๆผมก็ไม่รู้หรอกนะครับ แต่จากการที่หาข้อมูลในกูเกิลก็พอจะอธิบายได้ดังนี้ การแต่งงานเมื่อครั้งอดีตนั้น คนที่รับซองงานแต่ง เขาก็ไปร่วมงานแต่งเพื่อเป็นสักขีพยานให้แก่คู่บ่าวสาว โดยสมัยก่อนนั้นการ์ดเชิญคือ การ์ดเชิญจริงๆครับ ไม่ต้องเอาเงินใส่ในซองเพื่อให้คู่บ่าวสาวเลย เพราะความหมายของการ์ดเชิญ คือเชิญมาเป็นสักขีพยานจริงๆ ไม่ได้ต้องการเงิน

       แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนที่ไปร่วมงานแต่งจะไปตัวเปล่านะครับ เขานำเอาของขวัญ หรือของใช้ต่างๆไปให้คู่บ่าวสาวด้วย ประมาณว่ามาร่วมยินดีด้วยตัวเองแล้ว ยังเอาของติดไม้ติดมือไปร่วมยินดีด้วย แต่ต่อมาคนไปร่วมงานเริ่มไม่รู้จะเอาของขวัญ หรือของใช้อะไรไปให้คู่บ่าวสาวแล้ว มันจึงกลายเป็นเอาเงินใส่ซองไปให้แทน เพื่อที่จะเป็นการช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ หรือเพื่อให้คู่บ่าวสาวเอาเงินไปซื้อของใช้เอง นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไมเวลามีงานแต่ง ต้องใส่ซองงานแต่ง (ไม่รู้จะถูกจริงๆรึเปล่านะครับ)

       พอมีการเอาเงินใส่ซองงานแต่งกันเยอะขึ้นๆ มันก็กลายเป็นการทำตามๆกัน จนทุกวันนี้ก็เหมือนกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วล่ะครับ จนเจ้าธรรมเนียมนี้สร้างปัญหาให้กับคนที่ได้รับการ์ดเชิญไปงานแต่งนี่แหละครับ

       ผมไม่รู้นะครับว่า คู่บ่าวสาวคู่ไหนบ้างที่จะจริงจังกับเงินที่จะได้จากซองงานแต่ง แต่สำหรับคู่ของผมที่ผ่านงานแต่งงานมาแล้วนั้น บอกเลยว่า ไม่เคยคิดถึงเงินที่จะได้จากซองงานแต่งเลยครับ มันจะได้เท่าไหร่ก็ช่างมัน เพราะสิ่งสำคัญทีผมคิดคือ ผมเชิญทุกคนมาเป็นสักขีพยานในงานแต่งเฉยๆครับ หรืออาจจะคิดเรื่องอื่นเยอะกว่าเรื่องงานที่จะได้ด้วยซ้ำเช่น อาหารจะพอมั้ย ที่นั่งจะพอมั้ย คนมางานจะร้อนกันมั้ย จะสนุกมั้ย กลัวเขาเบื่อ ฯลฯ สิ่งพวกนี้คือ สิ่งที่ผมคิดครับ

       จบงานแต่งของทุกคู่ ก็ต้องมีการแกะซองนับเงินครับ สิ่งที่คู่ของผมทำคือ จดใส่สมุดไว้ว่าใครใส่ซองมากี่บาท เพื่อจะได้รู้ว่า ถ้าอนาคตข้างหน้าคนที่ใส่ซองให้เรา เขาแต่งงานบ้าง เราก็จะได้เพิ่มให้เขามากกว่าที่เขาให้เราครับ ไม่ได้สนใจเลยว่าใครจะใส่ซองให้เรากี่บาท (จริงๆก็แอบมีนินทาขำๆ แต่ก็ไม่ถึงกับสร้างปัญหาให้กับตัวเอง และคนใส่ซอง) ผมจำได้ว่ามีคนใส่ซอง 20 บาทหลายคนอยู่นะครับ ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดดูถูกอะไรเขา เพราะสิ่งที่เขาทำให้ผมมีค่ามากกว่านั้นครับ นั่นก็คือ เขาเป็นสักขีพยานให้ผมไงครับ

       ก็อยากจะให้คู่บ่าวสาวที่จะแต่งงานกันในอนาคตข้างหน้า สนใจเรื่องอื่นๆในงานแต่งงาน มากกว่าเรื่องเงินที่จะได้จากซองงานแต่งนะครับ อย่ามองว่าเงินทีจะได้จากซองเป็นกำไร หรือจะเป็นเงินที่จะช่วยจ่ายค่าใช้จ่ายในงานแต่งเลยนะครับ อยากให้มองว่าเงินที่ได้จากซองงานแต่งนั้น เขายินดีมอบให้เรา เพื่อให้เรามีทุนสร้างชีวิตครับ แม้จะน้อยนิด 20 บาท มันก็มาจากความยินดีที่เขามอบให้นะครับ อย่าไปสร้างความแค้นเคืองอะไรกับคนใส่ซองเพียงเพราะว่าเขาใส่น้อยเลยครับ

       เอาเป็นว่า ความหมายของซองงานแต่งมันคือ การเชิญ หรือการบอกกล่าวว่า เราได้แต่งงานกับคนนี้นะ เราทำถูกต้องตามประเพณีสากลแล้วนะ เราประกาศให้โลกรู้ว่า "เราจะอยู่กับคนๆนี้แล้วนะ" อะไรประมาณนั้นครับ

       คำอธิบายเรื่องซองงานแต่งของผมก็จบไปแล้วข้างบนนะครับ ทีนี้มาพูดถึงว่า เราควรใส่ซองกี่บาทกันบ้างครับ ตามที่หาข้อมูลจากกูเกิลแล้ว ส่วนมากเลยมาตรฐานที่จะอยู่ที่ 1,000 บาทครับ ส่วนเหตุผลหลักๆที่ใส่ซองกัน 1,000 บาทก็เพราะว่า เขาใส่กัน, กลัวเพื่อนด่า และอยากช่วยค่างานแต่ง เหตุผล 2 ข้อแรกน่าเบื่อมากครับ ส่วนเหตุผลของสุดท้าย น่าชื่นชมครับ

       เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า เพื่อนของเรา หรือเจ้าของงานแต่งจริงจังกับเงินในซองมากแค่ไหน เพราะเหตุนี้ คนใส่ซองจริงกลัวๆกล้าๆที่จะใส่ซองน้อยกว่า 1,000 บาท คิดวกไปวนมา จะใส่ 200 ได้มั้ย หรือ 500 ดีมั้ย หรือ 800 ดีล่ะ คิดๆๆ จนสุดท้ายเหตุผล เขาใส่กัน กับกลัวเพื่อนด่าก็ชนะเลิศ ใส่ไปเลย 1,000 บาท แล้วก็มาเจ็บเอง เงินไม่พอใช้ ไม่พอกิน จะโทษใครล่ะ โทษเพื่อนที่แต่งงานก็ไม่ได้ ต้องโทษตัวเองนี่แหละครับ ที่ไม่เข้มแข็งพอ ใส่ไปเล้ยยย 200 ครับ แล้วมาดูกันว่า เงิน 200 จะทำให้คำว่า เพื่อน สะเทือนหรือไม่

       ท้ายบทความนี้ผมก็อยากจะบอกว่า ถ้าใส่ซองน้อย แล้วคำว่าเพื่อนพัง ก็ช่างมันครับ แต่ถ้าใส่ซองเยอะๆ แล้วเพื่อนเห็นเราสำคัญมากๆ ก็แสดงว่า เพื่อนแม่ง เห็นแก่เงินแล้วล่ะครับ

ขอบคุณครับ
ต.ต้น

ตอนที่ 142 (บทความ) _ เมื่อ AI และเครื่องจักรครองโลก แล้วเราจะมีเงินได้อย่างไร

เมื่อ AI และเครื่องจักรครองโลก แล้วเราจะมีเงินได้อย่างไร
24 เมษายน 2561

       ไม่รู้ว่าผมจะคิดมากไปเองคนเดียวรึเปล่านะครับ แต่ว่ามันก็อดคิดไม่ได้จริงๆแหละ เพราะทุกวันนี้ระบบ AI หรือ Artificial Intelligence (อาร์ตทิฟิคอล อินทอลนิจิน) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ และเครื่องจักรนั้นกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดซะเหลือเกิน บางคน บางอาชีพ ก็เริ่มได้รับผลกระทบบ้างแล้ว

       ผมคงไม่ยกตัวอย่างอาชีพที่โดน AI และเครื่องจักรแบ่งสัดส่วนงานไปนะครับ เพราะบทความวันนี้ผมจะพูดถึงว่า เมื่อ AI และเครื่องจักรเอางานของเราไปแล้ว แล้วเราจะไปหางานอะไรทำแทนดีล่ะ ที่มันทำแล้วได้เงินมาใช้เนี่ย

       ก่อนที่จะไปเขียนถึงว่า แล้วจะหางาน หาเงินยังไง ผมขอแวะเขียนถึงว่า ในอนาคตถ้า AI และเครื่องจักรทำงานแทนเราเกือบหมด แล้วเราจะมีเงินไปซื้อของที่ AI และเครื่องจักรผลิตออกมาได้ยังไงก่อนนะครับ ลองคิดดูนะครับว่า ถ้าโรงงานแต่ละโรงงาน ใช้ AI และเครื่องจักรในระบบงานผลิตหมด ตั้งแต่เริ่มต้น ยันส่งออกขาย สินค้าออกมาจำหน่ายมากมาย แต่คนดันไม่มีงาน ไม่มีเงิน แล้วสินค้าเหล่านั้นจะขายให้ใคร จะขายออกได้อย่างไร ผมว่าอันนี้ก็น่าคิดนะครับ แล้วมันก็อาจจะเป็นปัญหาในอนาคตก็ได้นะ

       ระบบ AI และเครื่องจักรเป็นสิ่งที่ดีนะครับ เพราะบางอย่างมันก็ทำงานได้ดีกว่าคน มันไม่โกง ไม่เหนื่อย ไม่บ่น ไม่เรื่องมาก ไม่อู้ เงินเดือนก็ไม่ต้องจ่าย ลงทุนครั้งเดียว แล้วก็มีค่าซ่อมบำรุงตามสภาพ ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าของงานย่อมอยากได้มากกว่าคนแหละครับ ถ้าผมเป็นเจ้าของงานที่สามารถใช้ระบบ AI และเครื่องจักรผมก็คงยอมลงทุนล่ะครับ แน่นอนว่ามันดีต่อระบบงานของเรา แต่มันก็น่าห่วงว่า มันจะกระทบยอดขายของที่เราผลิตรึเปล่า

       ผลิตของออกไปขาย แต่คนตกงาน ไม่มีงาน ไม่มีเงิน แล้วของๆเรา จะขายให้ใครล่ะครับ คำตอบบางคนอาจจะตอบว่า คนตกงาน มันก็ต้องหางานใหม่อยู่แล้ว ไม่ปล่อยให้ตัวเองลำบากไม่มีงาน ไม่มีเงินหรอก หรือไม่ก็อาจจะตอบว่า คิดมากไปรึเปล่า ระบบ AI และเครื่องจักรมันแทนที่คนได้ไม่เยอะหรอก ยังไงๆคนก็ต้องมีงานทำ มีเงินใช้อยู่แล้ว ครับ...ไม่ว่าใครจะคิดยังไง ตอบยังไง แต่บทความนี้ผมจะมาลองมองหางานกันดีกว่าครับ (เขียนไปเขียนมา ผมว่า ผมเริ่มจะเขียนไม่รู้เรื่องละ ฮ่าๆๆ)

       ณ ตอนนี้ผมทำงานเป็นพนักงานเขียนแบบอาคารอยู่นะครับ (แล้วก็แอบเขียนบทความ และเรื่องสั้นด้วย) สมมุติว่า วันหนึ่งระบบ AI และเครื่องจักรมันสามารถทำให้เอ็นจิเนียเขียนแบบได้ และเขียนได้รวดเร็ว ถูกต้องกว่าผมขึ้นมา ผมว่าตำแหน่งของผมก็คงต้องโดนโละทิ้งแน่นอนครับ เพราะเจ้าของบริษัทคงไม่อยากจ้างงานซ้ำซ้อน เพราะในเมื่อเอ็นจิเนียก็สามารถออกแบบ พร้อมๆกับเขียนแบบไปได้พร้อมกันแล้ว ตำแหน่งพนักงานเขียนแบบจึงหมดความหมายไป

       พอตกงาน ก็ต้องมองหางานใหม่สิครับ เริ่มแรกอาจจะมองหาบริษัทที่ยังไม่ใช้ระบบ AI และเครื่องจักรที่ให้เอ็นจิเนียทำงานรวบหมดซะก่อน พอลองๆหาแล้ว ต่างคนต่างแย่งกัน แล้วเราดันไม่ได้งานซะงั้น ยุ่งล่ะสิ ต้องหางานที่ไม่ใช่งานเขียนแบบซะแล้ว หางานอะไรดีล่ะครับ ?

       คนที่พอจะมีความสามารถมากหน่อย ก็น่าจะหางานได้ง่ายหน่อย แต่สำหรับคนธรรมดาๆอย่างผม คงเหนื่อยนะ เพราะถ้าอนาคตตำแหน่งพนักงานเขียนแบบโดน AI และเครื่องจักรแบ่งงานไปได้ ก็คงแสดงว่า ตำแหน่งงานอื่นๆก็คงโดน AI และเครื่องจักรแบ่งงานไปไม่น้อยเลยล่ะ แล้วเราจะไปหางานอะไรทำดี การจะค้าขายส่วนตัวผมว่าก็เสี่ยง เพราะอย่างที่บอกครับ คนตกงานเยอะ คนก็ไม่มีเงินกันเยอะ ค้าขายอะไร ก็คงขายยาก เหมือนที่โรงงานให้ AI และเครื่องจักรผลิตของออกมาขาย แล้วขายไม่ได้นั่นแหละครับ

       เขียนไปเขียนมาเริ่มงงตัวเองจริงๆนะครับ จับประเด็นของตัวเองแทบไม่ได้เลย ฮ่าๆๆ (บ้าไปแล้ว)

       เอาเป็นว่า ผมเป็นห่วงอนาคตของมนุษย์จริงๆครับ ว่าถ้า AI และเครื่องจักรมันครองโลกจริงๆ มนุษย์อย่างเราๆ จะหางานอะไรทำที่มันได้เงินดีล่ะ แล้วระบบเศรษฐกิจจะมีเงินหมุนเวียนยังไง ถ้ามนุษย์ไม่มีเงินจับจ่ายสินค้าที่ AI และเครื่องจักรผลิตออกมา หรือว่า...ในอนาคตจะเกิดอาชีพใหม่ๆขึ้น อาชีพที่เกิดมาเพื่อมนุษย์โดยเฉพาะ ซึ่ง AI และเครื่องจักรไม่สามารถแทนที่ได้ เช่น...คิดไม่ออกแฮะ ขนาดมีเซ็ก AI และเครื่องจักรยังทำได้เล้ยยยย ความเร็ว ความแรงสม่ำเสมอด้วยนะ ฮ่าๆๆ ยอมๆๆ

ขอบคุณครับ
ต.ต้น

ตอนที่ 141 (เรื่องสั้น) _ เป็นคำตอบที่...ถูกต้องนะคร้าบบบบ

เป็นคำตอบที่...ถูกต้องนะคร้าบบบบ
20 เมษายน 2561

       ขณะที่ผมกำลังนั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์อยู่ที่ห้องอย่างจริงจัง ก็ได้มีข้อความไลน์เด้งขึ้นมาในโทรศัพท์ของผม ซึ่งวางอยู่ข้างๆจอคอมพิวเตอร์

       (สติ๊กเกอร์สวัสดี) ทางโน้นส่งสติ๊กเกอร์สวัสดีมาทักทายก่อน

       (สติ๊กเกอร์สวัสดี) เพื่อความยุติธรรม ผมก็ส่งสติ๊กเกอร์สวัสดีกลับไป

       "เย็นนี้ว่างมั้ย พาไปกินข้าวหน่อยสิ" ทางโน้นถามคำถามที่ผมรู้สึกหนักใจมา

       ผมดูเวลาบนโทรศัพท์ แล้วถามกลับไป "ตอนนี้บ่าย 2 เจอกันกี่โมงดีล่ะ"

       "เอาเย็นๆหน่อย แดดจะได้ไม่ร้อนมาก สัก 6 โมงละกัน" ทางโน้นเลือกเวลาที่ต้องการมา

       "โอเค ได้เลย ว่าแต่จะให้พาไปกินอะไรล่ะ" พอได้เวลานัดแล้ว ต่อไปก็ต้องถามถึงว่าจะกินอะไรล่ะ ซึ่งนี่เป็นคำถามโลกแตกมากๆ

       "คิมอยากกินอะไรล่ะ นุชกินอะไรก็ได้ ตามใจคิมเลย" นุชเริ่มสร้างความปวดหัวให้ผมแล้วสิ

       "เอ้า ก็นุชชวนคิมนะ ก็นึกว่านุชมีอะไรที่อยากกินแล้วซะอีก" ผมเริ่มคิดหนักว่าจะกินอะไรดีล่ะ ถ้าเกิดว่านุชย้ำว่า...แล้วแต่คิม

       "ยังไม่ได้คิดเลย แต่อยากไปกินข้าวข้างนอก แล้วแต่คิมเลือกเลย" นั่นไงล่ะ ความปวดหัวมาแล้ว

       ผมเลิกเล่นเกมก่อน เพื่อใช้สมองในการคิดว่า เย็นนี้จะพานุชไปกินอะไรดี ผมต้องคิด วิเคราะห์ แยกแยะอย่างหนัก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาหลังจากที่บอกนุชว่าจะไปกินอะไร หลังจากที่คิดได้สักพัก ก็พอจะคิดออกว่าจะพานุชไปกินอะไรดี

       "กินอะไร คิดออกรึยัง" นุชไลน์ถามอีกครั้ง

       "เดี๋ยวก่อนสิ ขอคิดแปปหนึ่ง" ผมขอเวลาอีกนิดเพื่อความชัวร์

       "อย่าช้าสิ รีบๆเลย นุชจะได้เลือกชุดออกไปกินข้าวถูก" นุชกดดันผมอย่างต่อเนื่อง

       "งั้นเอาเป็นสุกี้ละกัน กินแล้วไม่น่าจะอ้วน" ผมเสนอเมนูนี้ออกไป เพราะนุชชอบบ่นอยู่บ่อยๆว่า กางเกงคับบ้าง เสื้อใส่แล้วพุงปลิ้นดูน่าเกลียดบ้าง เผื่อว่านุชจะอยากกินแล้วรู้สึกว่าไม่อ้วนขึ้น

       "ไม่เอาล่ะ กินสุกี้ก็ต้องไปกินบนห้าง แล้วกินบนห้างทีไร ต้องมีเดินช็อปปิ้งเสียตังค์ซื้ออย่างอื่นทุกที ช่วงนี้ต้องประหยัดหน่อย" นุชปฏิเสธ พร้อมอธิบายเหตุผล ซึ่งมันก็จริงของนุช เพราะเข้าห้างทีไร มีอันต้องเดินช็อปปิ้งทุกที เหมือนเป็นกลไลอัตโนมัติ เข้าห้องแล้วต้องช็อปปิ้ง ไม่งั้นเหมือนมาไม่ถึง

       "งั้นสเต็กมั้ย ร้านนอกห้างก็มี" ผมเสนอไปอีก 1 เมนู เพราะกินสเต็กทีไร ต้องมีสั่งสลัดผักมากินด้วย ก็น่าจะถือว่าโอเคอยู่นะ

       "สเต็กเหรอ มันจะเหมือนหมูปิ้งเมื่อเช้าน่ะสิ เมื่อเช้ากินหมูปิ้งไป 4 ไม้แน่ะ" นุชอธิบายซะผมงงเลย

       "หมูปิ้ง กับสเต็ก มันเกี่ยวกันตรงไหนเนี้ย" ผมสงสัยมาก เลยต้องถามนุชเลยทีเดียว

       "เกี่ยวสิ ก็หมูเหมือนกัน ปิ้งกับย่างก็คล้ายๆกัน แล้วเมื่้อเช้าเพิ่งกินปิ้งไป จะให้กินย่างตอนเย็นอีกเหรอ" นุชพิมพ์มาซะยาว แล้วเหมือนจะมีพลังงานอะไรบางอย่างปนมากับข้อความนี้ซะด้วย

       "ก็กินเนื้อแทนสิ" ผมคิดว่าสเต็กเนื้อก็มี เลยแนะนำไป

       "กินเนื้อมื้อเย็นไม่ดีนะ ลืมไปแล้วเหรอ" นุชส่งข้อความมาสั้นๆ แต่ทำไมรู้สึกถึงความโมโหก็ไม่รู้

       "อ่อ แบบนี้นี่เอง อืม...งั้นหมูกระทะละกัน" ผมเสนอไปอีกเมนู ถึงแม้ว่ามันจะขัดแย้งกับ 2 เมนูที่กินแล้วไม่อ้วนตอนแรกก็เถอะ แล้วมันก็เป็นหมูคล้ายๆหมูปิ้งด้วย

       "จริงๆมันก็คล้ายๆหมูปิ้ง กับสเต็กนะ แต่มันน่ากินกว่า" นุชพูดแบบนี้ แสดงว่าน่าจะจบที่หมูกระทะแน่ แต่ผิดคาด ยังไม่จบ "แต่ไม่เอาล่ะ ขี้เกียจสระผม กินหมูกระทะทีไร หัวเหม็นจนต้องสระผมตอนดึกทุกที ไม่เอาดีกว่า" นุชยังคงปฏิเสธเมนูที่ผมเสนอไป

       "โห กินอะไรดีล่ะเนี่ย ช่วยคิดหน่อยสิ" ผมเริ่มคิดไม่ออกแล้วว่า จะพาไปกินอะไรดี จนต้องขอให้นุชช่วยคิด

       "อะไรก็ได้ ตามใจคิมเลย" นุชยังยืนยันคำเดิม แต่ผมเสนออะไรไปก็ไม่กิน มันชักจะยังไงๆแล้วนะ

       สุกี้ไม่กิน เพราะมันอยู่ในห้าง แล้วร้านที่ชอบไปกินส่วนใหญ่ก็อยู่ในห้างซะด้วยสิ ไม่ว่าจะเป็นร้านยำ ร้านพิซซ่า ร้านไก่ทอด ร้านปิ้งย่าง เมนูอะไรที่อยู่ในห้องตัดไปได้เลย

       สเต็ก กับหมูกระทะ รวมไปถึงทะเลเผา ก็คงหมดสิทธิ์ เพราะกินแล้วหัวเหม็น นี่น่าจะรวมไปถึงร้านผัดไทที่ไปกินประจำด้วนสินะ เพราะร้านนั้นไปกินทีไร กลับมาต้องสระผมด้วยเหมือนกัน อืม...ถ้างั้นก็ต้องที่นี่แล้วล่ะ

       "ไปกินร้านปลาเผาละกัน กำลังอยากกินปลาเผาพอดีเลย" ผมเสนอร้านอาหารร้านประจำที่ชอบไปกินกันในวันพิเศษๆ หรือวันหยุดยาวๆก็ชอบไปนั่งกิน เพราะวันหยุดยาวคนมักจะออกไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือไม่ก็กลับบ้านต่างจังหวัดกัน ทำให้ร้านมีคนไม่เยอะ

       "วันนี้วันเสาร์ธรรมดานะคิม ไม่ได้หยุดยาว คนต้องเยอะแน่ๆเลย อีกอย่างนะ มันก็ไม่ใช่วันพิเศษอะไรของเราเลย คิมจะไปกินจริงๆเหรอ" นุชแย้งมาทุกข้อตามที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด

       "ก็วันเกิดอยากกินไง นี่แหละวันพิเศษของเรา" แต่ผมก็เตรียมคำตอบแก้ทางไว้แล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า

       "โห มุกนี้เลยเหรอคิม แต่ไม่เอาดีกว่า เก็บไว้วันพิเศษจริงๆค่อยไปกินร้านนี้ดีกว่า" นุชก็ยังคงปฏิเสธข้อเสนอของผมอีกครั้ง

       ตอนนี้ผมเริ่มหนักหัวละ ต้องเอามือท้าวคาง แล้วก็มองบนเพดานแล้ว เผื่อว่าจะมีเมนูอะไรปิ๊งออกมา ระหว่างที่ผมกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ก็มีคนมาเคาะประตูห้องผม

       "ก๊อกๆๆ" เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ผมจึงต้องหยุดคิด แล้วลุกเดินไปเปิดประตู

       "อ้าว นุช อะไรเนี่ย ใจร้อนเหรอ มาถึงห้องเชียว" คนที่มาหาผมก็คือ นุชนั่นเอง

       "ขี้เกียจพิมพ์ไลน์ละ เหนื่อย มาคุยถึงห้องกันเลยดีกว่า" จริงๆแล้วห้องผม กับห้องนุช อยู่ชั้นเดียวกันในอพาร์ทเม้นท์นี่แหละครับ แต่ด้วยความขี้เกียจลุกจากเตียงของนุช ทำให้นุชชอบไลน์มาคุยกับผมซะมากกว่า

       "ฮ่าๆๆ เอาไงว่ามาโลด" ผมอดขำไม่ได้ที่นุชยอมเอาชนะความขี้เกียจลุกมาหาผมถึงห้อง สงสัยความขี้เกียจพิมพ์จะชนะความขี้เกียจลุกจากเตียง

       "เอาไงล่ะ ก็มารอให้คิมเลือกนี่แหละ ว่าจะกินอะไร นี่ก็จะบ่ายสามละนะ คุยกันมาเกือบชั่วโมง ยังไม่รู้จะกินอะไรเลย" นุชมาถึงก็บ่นๆๆ

       [ก็ใครล่ะ ที่ทำให้ยาก] ผมแอบบ่นในใจ

       "งั้นเอางี้ มีร้านอาหารที่เราเคยบอกว่าอยากจะไปกินไง จำได้มั้ย" ผมถามนุช ดูว่านุชจะจำได้มั้ย ซึ้งนุชพยักหน้า "นั่นแหละๆ เราไปร้านนั้นกัน ไปลองกินดู" เมื่อนุชพยักหน้าจำได้ มันก็เข้าทางผมล่ะ ผมเลยเสนอร้านนั้นซะเลย

       "แต่ร้านนั้นท่าทางคนจะเยอะนะ ที่เราเล็งๆไว้ว่าจะไปกิน แต่ก็ไม่ได้ไปกินสักที ก็เพราะคนมันน่าจะเยอะไม่ใช่เหรอ" นุชเริ่มแย้งอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ปฏิเสธจนผมต้องถาม "แล้ว..." นุชทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า "ไม่ดีกว่า"

       โน้นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา ผมเริ่มโมโหแล้วเหมือนกัน แต่ก็ยังควบคุมอารมณ์ได้อยู่ แล้วก็คิดต่อไปว่าจะกินอะไร แล้วอยู่ๆเหมือนมีคนทำอาหารแถวๆนั้น กลิ่นอาหารลอยมาแตะจมูก ทำให้ผมอยากกิน...

       "หอมจริงๆเลย ใครปิ้งไก่แถวนี้เนี่ย ว่าแล้วก็ไปร้านลาบมั้ย ลาบ น้ำตก ส้มตำ ไก่ย่าง แจ่มเลยนะ" ผมพูดไปน้ำลายไหลไป หวังว่านุชจะตอบตกลง เพราะมีกลิ่นมาแตะจมูกขนาดนี้แล้ว

       "วันก่อนเพิ่งไปกินกับไอ้เก๋มา ยังไม่อยากกินเลยน่ะ กินอย่างอื่นเถอะ" นุชปฏิเสธอีกครั้ง ทำเอาผมแทบหมดหนทางเดินต่อ

       "กินอะไรเนี่ย โน้นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่กิน ไหนว่ากินอะไรก็ได้ตามใจคิมไง" ผมเริ่มโมโหจนต้องพูดให้นุชเข้าใจบ้างแล้ว

       "อะไรคิม แค่นี้ก็โมโหแล้วเหรอ เอางี้ละกัน เดี๋ยวคิมแต่งตัวรอนะ หกโมงตรง นุชจะมาเรียก แล้วเราก็ออกไปกินข้าวกัน เดี๋ยวนุชจัดการเอง คิมไม่ต้องละ" นุชบอกผมด้วยอารมณ์นิ่งๆ ไม่ได้โมโหอะไร แถมเหมือนจะแอบอารมณ์ดีอีกต่างหาก ทำเอาผมงงไปเหมือนกัน

       "โอเค ได้เลย แล้วให้แต่งตัวยังไงล่ะ" ผมโล่งใจขึ้นเยอะเลย ที่ไม่ต้องคิดแล้วว่าเย็นนี้จะพานุชไปกินอะไรดี

       "เสื้อยืด เกงยีนส์นี่แหละ ขาสั้นก็ได้นะ ถ้าใส่ขายาวแล้วร้อนน่ะ" นุชอธิบายการแต่งตัวให้ผมฟัง

       "ห๊ะ มันแต่งตัวสบายๆขนาดนั้นเชียวเหรอเนี่ย" ผมสงสัยหนักเลยทีเดียว ว่าจะชวนผมไปกินอะไร ทำไมให้แต่งตัวสบายๆเหลือเกิน

       "เอาน่ะ ไปละ หกโมงเจอกัน" แล้วนุชก็กลับห้องไป

       ผมก็ยังคงงงๆอยู่ว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น จะมาก็มา จะไปก็ไป แล้วเสนออะไรไปก็ไม่เอา ปฏิเสธอย่างเดียว แล้วอยู่ๆบอกว่าไม่ต้องละ เดี๋ยวพาไปกินเอง ผมคิดไปคิดมาก็งง แต่ไหนๆเวลาก็ยังเหลือ ผมเลยเล่นเกมต่อดีกว่า

       "ก๊อกๆๆ" เสียงเคาะประตูดังขึ้น นุชคงมาแล้ว ผมเลยไปเปิดประตูให้

       "โว๊ะ ใส่ชุดราตรีทำไมเนี่ย" ผมตกใจเมื่อเห็นนุชอยู่ในชุดราตรีที่เป็นเดรสสีม่วงอ่อน

       "เปิดตู้หาชุดใส่ แล้วบังเอิญเจอชุดนี้ อยู่ๆก็อยากใส่ ก็เลยหยิบมาใส่มันซะเลยน่ะ" นุชพูดไปยิ้มไป ดูหน้าตามีความสุขมาก

       "แบบนี้คิมต้องเปลี่ยนชุดมั้ยเนี่ย" ตอนนี้ผมใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น แทบจะเป็นชุดอยู่บ้านเลยทีเดียว

       "ไม่ต้องๆ ใส่แบบนี้แหละ ปะ ไปกันเลย หิวละ" ว่าแล้วนุชก็ลากผมออกจากห้องอย่างรวดเร็ว

       หลังจากเดินลงมาจากอพาร์ทเม้นท์ ผมก็กำลังจะเดินไปที่จอดรถ แต่นุชกลับบอกว่าไม่ต้องเอารถไปหรอก ผมก็ตามใจ สงสัยไม่อยากให้ขับรถไป คงกลัวไม่มีที่จอดรถ ผมเดินตามนุชออกไปถึงประตูรั้วของอพาร์ทเม้นท์ เห็นรถแท็กซี่เปิดไฟว่างมาพอดี กำลังจะโบกรถ นุชหันมาบอกว่าไม่ต้องโบกนะ ผมยิ่งงงไปกันใหญ่ แล้วนุชก็ชี้ไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวปลาซึ่งเป็นร้านตึกแถวอยู่ติดกับอพาร์ทเม้นท์

       "ก๋วยเตี๋ยวปลาเนี่ยนะ" ผมถามนุชด้วยความสงสัยสุดๆ

       "ใช่ ก๋วยเตี๋ยวปลา ทำไม ไม่กินเหรอ ถ้าไม่กินก็กลับกันเลยนะ" นุชทำท่าทางเหมือนจะไม่พอใจผม จนผมไม่กล้าปฏิเสธ และถามอะไรอีก

       ผมกับนุชไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวปลา ซึ่งร้านจะเป็นตึกแถว บริเวณทำก๋วยเตี๋ยวจะอยู่ตรงหน้าตึกพอดี ภายในตึกก็จะมีโต๊ะอยู่ 5 โต๊ะ ส่วนหน้าตึกหรือหน้าร้านจะมีอยู่ 3 โต๊ะ นุชเลือกที่จะนั่งเด่นเป็นสง่าด้วยชุดราตรีเดรสสีม่วงอ่อนที่โต๊ะหน้าร้าน

       ระหว่างที่กำลังกินก๋วยเตี๋ยวปลากันไป ผมก็สังเกตเห็นคนแอบมองผมกับนุชกันหลายคนเลย เขาคงคิดว่าหมาวัดจะเด็ดดอกฟ้า หรือไม่ก็เจ้านายสาวสวยกับคนขับรถรึเปล่าน้อ เพราะการแต่งตัวของผมกับนุชมันช่างต่างกันเหลือเกิน

       "นุช ถามอะไรหน่อย" ผมถามขึ้นระหว่างที่นุชกำลังคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก

       "อืมๆ มีไร" นุชเคี้ยวเส้นก๋วยเตี๋ยวแล้วพยายามถามผมกลับ

       "ประจำเดือนมาปะเนี่ย" อยู่ๆผมก็เกิดสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมา

       "ใช่ ทำไมเหรอ" นุชตอบผม แล้วมองหน้าผมแบบงงๆ

       [นั่นไงกูว่าแล้ว] ผมคิดในใจ

       "ไม่มีอะไร กินต่อๆ อิ่มมั้ยน่ะ เบิ้ลอีกชามปะ" ผมกลัวนุชจะไม่อิ่ม เลยถามเบิ้ลให้เลย ซึ่งแน่นอนว่า นุชไม่ปฏิเสธ

ตอนที่ 140 (บทความ) _ ควันหลงหลังวันสงกรานต์

ควันหลงหลังวันสงกรานต์
17 เมษายน 2561

       ผ่านไปแล้ววันสงกรานต์ และวันหยุดยาว เป็นยังไงกันบ้างล่ะครับ ได้พักผ่อนเติมพลังกันบ้างมั้ยครับ บางคนก็ได้พักเนอะ แต่บางคนก็ยังต้องทำงาน ยิ่งสายการรักษาแล้ว น่าจะยิ่งเหนื่อยนะครับ ยังก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนนะครับ

       สำหรับตัวผมนั้นก็ได้หยุดยาวพักผ่อนครับ ตั้งแต่วันที่ 10 ยาวถึง 16 เลยทีเดียว ต้องบอกว่าได้พักใจครับ เพราะร่างกายเหมือนไม่ได้พักเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าเอาแต่เที่ยวจนร่างกายไม่ได้พักนะครับ แต่เป็นเพราะต้องสู้รบกับลูกชายต่างหากล่ะครับ ไม่ได้พักเลย ฮ่าๆๆ

       เช้ามืดวันที่ 10 ตื่นตั้งแต่ตี 5 เพราะต้องขึ้นเครื่องบินกลับเชียงรายเวลา 7 โมงเช้า ไปลงที่เชียงรายเสร็จ ประมาณ 9 โมง แฟนก็มารับด้วยมอเตอร์ไซค์ หลังจากนั้นก็แว๊นมอเตอร์ไซค์กลับบ้านอีกประมาณ 1 ชั่วโมงครับ ถึงบ้านก็ง่วงๆ เพลียๆอยากนอนสักงีบ แต่ด้วยความที่เป็นพ่อคนเนอะ เจ้าลูกชายก็เลยไม่มีเวลาให้พ่อมันได้พักผ่อนหรอก เจอหน้ากันก็ชวนเล่นนั่นเล่นนี่แทบจะตลอดเวลาครับ กว่าจะมืด กว่าจะได้นอนก็ดึกเลย นานๆเจอกันที เจ้าลูกชายก็ดีใจมาก จนไม่ยอมหลับยอมนอน บอกเลยว่าเพลียครับ

       วันต่อๆมาก็ต้องตื่นเช้าครับ เพราะแถวบ้านยังคงยึดวิถีชาวบ้านไว้อยู่ ไปวัดตอนเช้าๆ สายๆก็ไปไร่ไปสวน ไม่มีหรอกครับที่จะได้พักแบบคนในเมืองที่นอนดึกตื่นสาย ผู้ใหญ่แถวบ้านก็วิถีชาวบ้านไปครับ ส่วนตัวผมก็วิถีคนเป็นพ่อครับ ทั้งวันวุ่นอยู่กับลูกชายวัย 6 ขวบ อยู่ด้วยกันทั้งวันจริงๆนะครับ ตื่นมาก็วิ่งมานั่งตักพ่อมันก่อนละ อ้อนนั่นอ้อนนี่ ชวนเล่นอะไรไปเรื่อย ไม่มีเวลาพักจริงๆครับ แล้วลูกชายดันดื้อซะด้วยสิ พูดอะไร ห้ามอะไรก็ไม่ค่อยฟัง เหนื่อยคูณสองไปเลยครับ

       เจ้าลูกชายบอกว่า อยากได้แท็บเล็ต เพราะลูกพี่ลูกน้องข้างบ้านมีแท็บเล็ตเอามาเล่นโชว์ อยากได้ใหญ่เลยครับ มาบอกผมว่าให้ซื้อให้หน่อย ผมก็บอกว่า เดี๋ยวจะแอบไปซื่้อให้ แต่จริงๆผมซื้อมาแล้วครับ แค่ยังไม่ให้เท่านั้นเอง กะจะเอาให้ตอนวันเกิดครับ วันเกิดลูกชายวันที่ 13 ครับ เกิดวันดีจริงๆ ถ้ามันโตมา มันคงได้ฉลองวันเกิดพร้อมสงกรานต์เมาสุดเหวี่ยงแน่นอน พ่อมันคิดล่วงหน้าแล้วกลุ้มใจรอเลยนะครับเนี่ย

       พอผมบอกว่าจะแอบไปซื้อแท็บเล็ตให้เท่านั้นแหละ ถามผมทั้งวันเลยครับ เมื่อไหร่จะแอบไปซื้อสักที เพราะคงเห็นผมอยู่บ้านเล่นด้วยตลอดล่ะมั้งครับ เลยถามแล้วถามอีก แถมมีบังคับพ่อมันด้วยนะ พ่อไปซื้อสิ ไปซื้อเลย ไม่ต้องแอบ ฮ่าๆๆ ก็คนมันอยากได้อะเนอะ ไล่ไปซื้อซะเลย ผมก็ได้แต่บอกว่า เดี๋ยวก่อนๆ เดี๋ยวจะแอบไป

       ถึงวันที่ 13 วันเกิด ผมบอกว่า ถ้าเป่าเค้กเสร็จ จะเอาแท็บเล็ตให้ คืนนั้นมีงานเลี้ยงวันเกิดครับ ข้าวไม่ยอมกินครับ ถามหาเค้กใหญ่เลย จะเอามาเป่าเลย ฮ่าๆๆ ก็บอกแล้วคนมันอยากได้ รีบใหญ่เลย ผมก็แกล้งสิครับ ดึงเวลาไปซะจนเกือบ 3 ทุ่ม แล้วมีจังหวะที่ผมได้ไปนั่งใกล้แม่ยายครับ แม่ยายบอกว่า ลูกชายมาคุยด้วย บอกว่า สงสัยพ่อจะโกหกที่บอกว่าจะซื้อแท็บเล็ตให้ เพราะไม่เห็นพ่อจะแอบไปซื้อเลย ผมนี่ขำเลยครับ แต่ในความขำ มันมีเรื่องจริงจังอยู่นะครับ เพราะใครที่สัญญาอะไรไว้กับลูก ควรทำตามสัญญานะครับ เพราะเราคือแบบอย่างที่ลูกจะจำจดและทำตาม ดังนั้นเราควรเป็นแบบอย่างที่ดีนะครับ อย่าไปสัญญาอะไรส่งๆไป เพราะถ้าลูกจำจดว่า เราชอบโกหก ลูกก็จะเป็นเด็กขี้โกหกได้นะครับ

       ถ้าถึงเวลาส่งมอบแท็บเล็ต หน้าตางี้โคตรดีใจเลยครับ มีความสุขนะครับ เวลาเห็นลูกดีใจ แต่ก็ต้องมีขัดใจลูกชายเล็กน้อย เพราะผมตั้งเวลาให้เล่นได้ครั้งละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าจะเล่นอีก ก็ต้องใส่รหัสผ่าน ถึงจะเพิ่มได้อีก 1 ชั่วโมง ผมฝากรหัสผ่านไว้ที่แม่ยาย ก็หวังว่าลูกชายจะไม่แอบรู้รหัสแล้วเอาไปใส่เองนะ การตั้งเวลาเล่นไว้ก็ดีนะครับ ลูกจะได้รู้จักบริหารเวลา ว่าใน 1 ชั่วโมง ควรเล่นอันไหนก่อน ควรดูอันไหนก่อน ไม่ใช่เล่นทุกอย่าง เบื่ออันนั้นไปเล่นอันนี้ เบื่ออันนี้ย้อนกลับไปเล่นอันนั้น เล่นจนไม่รู้ว่าอันไหนสำคัญ เล่นจนไม่รู้จักบริหารเวลา

       ช่วงที่ผมอยู่ด้วยอีกหลายวัน ผมก็เป็นคนดูแลแท็บเล็ตล่ะครับ ผมให้เล่นครั้งละ 1 ชั่วโมง พัก 1 ชั่วโมงสลับกันไป แต่ถ้าดื้อกับพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่คนอื่น ผมก็จะเพิ่มเวลาพักครับ ดื้อ 1 ครั้ง เพิ่ม 10 นาที แล้วมีช่วงจังหวะเล่นน้่ำสงกรานต์ ลูกชายก็เล่นสนุกเกิน เอาปืนฉีดน้ำมาไล่ฉีดคนในบ้านครับ เจอเพิ่มเวลาไป 40 นาทีได้พักเล่นแท็บเล็ตยาวเลยครับ พอเล่นน้ำเสร็จ ก็วิ่งมาถามพ่อมันใหญ่เลย ใกล้หมดเวลารึยังๆๆ เจอเวลาพักไป 1 ชั่วโมง 40 นาที คงใจจะขาดล่ะครับ ยิ่งกำลังเห่อของใหม่อยู่ด้วย มาเจอยืดเวลาแบบนี้ ใจจะขาด ฮ่าๆๆ

       ดีหน่อยว่าลูกชายยังไม่ค่อยติดเกมครับ เท่าที่ดูลูกเลย เหมือนกับว่ายังขี้เกียจคิดน่ะครับ เวลาเล่นตรงไหนไม่ผ่าน ก็จะโยนให้พ่อเล่นให้ผ่านหน่อย พอพ่อมันไม่เล่นให้ หรือเล่นแล้วไม่ผ่าน (เกมเด็ก แต่ผู้ใหญ่เล่นไม่ผ่าน เกมอะไรยากจริงๆ) ก็จะเลิกเล่นเกมนั้นไปก่อน เหมือนขี้เกียจหาวิธีชนะ แล้วก็หันไปดูการ์ตูนในยูทูปแทน ผมว่าเด็กดูการ์ตูนน่าจะดีกว่าเด็กเล่นเกมนนะครับ เพราะได้ฝึกจินตนาการ แล้วก็ฝึกจำด้วย การ์ตูนบางเรื่องผมเห็นลูกซ้ำทุกวันนะครับ ดูจนจำได้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น อืม...ก็ดีนะ ฝึกจำ แต่เล่นเกมก็ดีไปอีกแบบ ฝึกการหาวิธีชนะ สรุปคือ มันดีทั้ง 2 แบบนั่นแหละครับ แต่ควรให้อยู่ในเวลาที่พอเหมาะซะมากกว่า เพราะถ้าอะไรมากเกินไป ผมเกรงว่า สมองจะล้าจนเด็กเบลอนะ

       พอถึงวันที่ผมต้องกลับมาทำงานต่อที่เชียงราย แน่นอนว่ามันก็ต้องมีเศร้ากันบ้าง ลูกชายนี่เศร้าเห็นได้ชัดเลยครับ จากที่ดื้อๆ วิ่งเล่นซนๆ กลายเป็นไม่ดื้อ ไม่ค่อยวิ่งไปไหนเท่าไหร่ วนๆเวียนๆอยู่เงียบๆกับพ่อมันนี่แหละ พอผมจะกลับ ลูกชายก็มาหอมแก้มผม แล้วก็ให้พ่อมันหอมแก้มคืนด้วยครับ ซึ่งอันนี้ต้องบอกว่าเซอร์ไพรส์มากครับ เพราะปกติกว่าผมจะหอมแก้มลูกได้นี่ ยากมากกกก เพราะไม่ยอมให้หอม แต่นี่มาหอมพ่อมันก่อนเลย แล้วยังให้พ่อมันหอมคืนด้วย จังหวะนั้นน้ำตาแทบไหล เพราะต้องจากกันสักระยะอีกแล้ว ที่น้ำตาจะไหลก็เพราะเราเป็นห่วงลูกนั่นแหละครับ จะเล่นกับใคร อยู่ยังไง ใครจะสอนอะไรให้ เพราะตอนผมอยู่ด้วย ผมพยายามสอนเรื่องการใช้ชีวิตกับคนอื่นเยอะมากนะครับ สอนเรื่องสังคม มารยาท ไม่รู้ว่าจะจำมั้ย แต่ก็พยายามสอนไป ดีกว่าไม่สอนเลย

       ณ เพลาที่นั่งเขียนบทความอยู่นี่ ก็เวลาทำงานแล้วล่ะครับ ได้พักใจ ก็มีแรงใจขึ้นมาครับ แต่ต้องยอมรับว่า กายยังเหนื่อยอยู่ เหมือนไม่ได้พักจริงๆนะครับ ใครที่มีลูกซนๆดื้อๆ น่าจะพอเข้าใจ ฮ่าๆๆ

       เอาเป็นว่า ขอจบบทความเพียงเท่านี้ครับ ขอให้มีแรงทำงานกันทุกคนนะครับ

ขอบคุณครับ
ต.ต้น

บทความ(เฉพาะกิจ) _ การแก้ไขของนักเขียนยามคิดเรื่องไม่ออก

       เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักเขียนแทบจะทุกคน สำหรับการคิดเรื่องไม่ออก ไม่รู้ว่าจะแต่งเรื่องราวอะไรออกไปให้ผู้คนได้อ่าน ทั้งที่กำหนดส่งงานที่ได้ตั้งไว้ก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ แต่จะปล่อยให้สมองโล่ง ๆ อยู่อย่างนั้นก็คงไม่ดีแน่ ดังนั้นก็ต้องหาทางแก้ เพื่อให้สามารถสร้างสรรค์ชิ้นงานออกไปได้

       มีวิธีแก้อยู่วิธีนึงที่เคยได้รับเป็นโจทย์จากอาจารย์ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยในสาขาวารสารศาสตร์ โจทย์คือให้เขียนเรื่องสั้นขึ้นมา 1 เรื่อง โดยหยิบเอา 10 คำที่เห็นจากหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ หรือว่าหน้าปกของนิตยสารก็ได้ เลือกมาแค่ 10 คำเท่านั้น และใช้ทั้ง 10 คำที่ได้มานี้เอามาแต่งเรื่องราวให้ได้ภายในหนึ่งหน้ากระดาษ จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ โดยมีข้อแม้เพียงแค่งานเขียนชิ้นนี้ ต้องมีครบทั้ง 10 คำที่ได้เลือกไว้ และในเวลาส่งก็ให้เอาคำที่เลือกมาทั้งหมด ต้นฉบับที่เลือกมา (หน้าแรกของหนังสือพิมพ์นั้นหรือหน้าปกนิตยสาร ถ่ายรูปแล้วปรินต์ส่ง) แล้วก็งานที่เขียน

       นี่ก็เป็นอีกวิธีนึงที่ช่วยให้เราจุดประกายไอเดียที่บรรเจิดออกมาได้ จากที่ตอนแรกไม่มีเรื่องอะไรอยู่ในหัวเลย นึกไม่ออกเลยสักนิดว่าจะเขียนอะไรออกไปดี อย่างเช่นบางทีเห็นคำว่าเมฆฝน ก็สามารถเอาไปเขียนเป็นเรื่องสั้นที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของความรัก หรืออาจจะเป็นนิยายประหลาดแนวไซไฟได้เฉย ดังนั้นจึงช่วยได้มากทีเดียวสำหรับวิธีนี้

       และอย่าลืมบวกคำอื่น ๆ เพิ่มจากตัวคีย์เวิร์ดหลักของเราไปด้วย อย่างเช่นบางครั้งใช้คีย์เวิร์ดหลักว่า ลูกเต๋า ส่วนอีก 9 คำที่เหลืออาจจะหาคำอื่น ๆ มาช่วยเสริมเรื่องราว อย่างการเพิ่มคำว่ามอเตอร์ไซค์กับไร่ข้าวโพด เท่านี้ก็จะพอทำให้เรามีเรื่องราวผุดขึ้นมาให้เห็นในหัวอยู่บ้างแล้ว แม้แต่คำที่เป็นชื่อเว็บอย่าง VRSCR888 ก็ใช้ได้

ตอนที่ 139 (บทความ) _ วิทยาศาสตร์ กับความเชื่อ ที่ก็ยังต้องคู่กันต่อไป

วิทยาศาสตร์ กับความเชื่อ ที่ก็ยังต้องคู่กันต่อไป
4 เมษายน 2561

       ก็สารภาพกันตรงๆเลยว่า จริงๆไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรดี แต่ก็ตั้งใจไว้ว่า ต้องเขียนบทความสัปดาห์ละ 1 บทความ ก็เลยเอาวะ เปิดข่าวเว็บสนุกดู เจอข่าวไหน ก็เขียนบทความในแนวคิดตัวเองละกัน และวันนี้ก็เจอข่าว "บาตรน้ำมนต์มรณะ" ทำสาว 18 ดับ

       แม้ว่าในยุคนี้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปมากขนาดไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่าความเชื่อเดิมๆเมื่อครั้งสมัยก่อน ก็ยังคงอยู่คู่กับปัจจุบันอยู่ดี แล้วก็เชื่อว่าจะคงอยู่ไปอีกนานในอนาคตเลยทีเดียว

       ผมจะไม่พูดประเด็นความเชื่อ ความคิด ความสมัยใหม่ หรืออะไรต่างๆนาๆที่จะทำให้เกิดข้อดราม่านะครับ แต่ผมจะมาพูดถึงว่า ความลงตัวของวิทยาศาสตร์ กับความเชื่อ ที่มันอยู่ด้วยกันได้

       หากใครได้ดูภาพยนตร์เรื่อง พิงค์ แพนเธอร์ แฮร่ ไม่ใช่สิ แบล็ค แพนเธอร์ จะได้เห็นความลงตัวของสุดยอดเทคโนโลยี อยู่กับกันวิถีความเชื่อได้อย่างลงตัวเลยล่ะครับ เมืองวากานด้า มีแร่ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลมาเวล มีเทคโนโลยีที่สุดยอดความล้ำหน้าไว้ใช้งาน แต่ก็ยังคงพิธีกรรมต่างๆตามความเชื่อไว้ มันช่างลงตัวเหลือเกินครับ

       กลับมาสู่โลกของความเป็นจริง ในทุกวันนี้เทคโนโลยีเราก็ก้าวหน้าไปมากนะครับ แต่ความเชื่อก็ยังไม่หายไป ลองคิดดูนะครับว่า ในวันสิ้นปีของแต่ละปีทุกวันนี้ มีเรื่องความเชื่อที่เกิดขึ้นบ่อยขึ้น และเยอะขึ้นเรื่อยๆคืออะไรครับ อย่าเสียเวลาทายเลย เฉลยเลยดีกว่า ปิ๊ง สวดมนต์ข้ามปีไงครับ นี่คือความเชื่อที่มีมาแต่สมัยก่อน ส่วนเทคโนโลยีที่เข้ามาเกี่ยวข้องก็เช่น การถ่ายทอดสด หรือการ Live ผ่านช่องทางต่างๆ นี่แหละครับ มันอยู่กันได้ มันอยู่ที่มุมมอง

       หรือจะเอาแบบความเป็นความตายล่ะครับ สมมุติว่าใกล้สอบแล้ว เราก็อ่านหนังสือจากตำรา หาความรู้เพิ่มจากอินเตอร์เน็ต วิดีโอคอลกับเพือนๆเป็นกลุ่ม หรือคอลกับคุณครูไปเล้ย ตอนนี้ความรู้แน่นปึ๊ก แต่ก็เอาน่ะ เพื่อความสบายใจ ทำไงๆ...ไปไหว้พระขอพรด้วยละกัน นี่ไงครับ ถึงบอกว่าเทคโนโลยี กับความเชื่อยังไปด้วยกันได้ แล้วมันก็เป็นความเป็นความตายของคนสอบด้วยนะ ลุ้นระทึกเลยล่ะ ฮ่าๆๆ

       หรือยกตัวอย่างอีกสักเหตุการณ์ คนป่วย ป่วยหนักเลย วิทยาศาสตร์ที่เข้ามาช่วยคือ ยา และความรู้ต่างๆเกี่ยวกับร่างกาย เพื่อให้เราดูแลตัวเอง แต่รักษาอยู่นาน ก็ไม่ดีขึ้นสักที วันดีคืนดีคนป่วยมุ่งสู่ความเชื่อ ไปหาหมอชาวบ้าว หมอชาวบ้านบอกว่า เอาอันนั้น อันนี้ไปต้มกินนะ พอคนป่วยลองทำตาม อ้าวเฮ้ย ดีขึ้นจริงๆด้วย แล้วพอเอาอันนั้น อันนี้ที่หมอชาวบ้านแนะนำไปพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ เอ้า ไม่เห็นจะน่ามีผลอะไรเลย ซึ่งอันนี้ผมก็คิดว่า บางทีความเชื่อ ก็มีแรงใจด้วยส่วนหนึ่ง มันเลยทำให้เกิดอะไรแปลกๆได้นะครับ หรือตัวยาอาจจะมีผลจริงๆก็ได้ ซึ่งผมก็ไม่รู้

       ทั้ง 2 เรื่องเป็นเรื่องใกล้ตัวนะครับ แทบทุกคนมีความเชื่อ และใช้เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ต่างๆกันไป หากมีใครผิดพลาดอะไร จากเรื่องอะไรก็ตาม ก็ไม่ควรไปดูถูก หรือยกเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาข่มกันนะครับ เพราะยังไงแล้ว ทั้ง 2 เรื่องนี้ ก็ต้องอยู่ควบคู่กันไปอีกนานครับ

ขอบคุณครับ
ต.ต้น