ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตอนที่ 150 (เรื่องสั้น) _ 3 เดือน 2 วัน

3 เดือน 2 วัน
17 ตุลาคม 2562

       สวัสดีครับ ผมชื่อว่าบอสครับ ผมเป็นพนักงานธรรมดาๆคนหนึ่งในบริษัทเอกชน แล้วผมก็มีแฟนอยู่ 1 คน แน่นอนว่าถ้ามี 2 สองคนมันก็คงจะแปลกๆล่ะ แฟนของผมชื่อว่า ปลา ครับ

       ผมกับปลาเป็นแฟนกันมาแล้ว 7 ปีครับ พวกคุณเคยได้ยินคำว่า อาถรรพ์ 7 ปีหรือเปล่าครับ ไม่รู้ว่าพวกคุณจะเคยได้ยินกันหรือเปล่านะครับ แต่แน่นอนว่าผมเคยได้ยิน และผมก็เคยประสบพบเจอเหตุการณ์อาถรรพ์ 7 ปีนี้มาแล้วครับ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆครับ เพราะพอเข้าปีที่ 7 ปลาก็ต้องย้ายที่ทำงานไปสาขาต่างจังหวัด ทำให้ผมกับปลาต้องห่างกัน มีโอกาสเจอกันแค่ปีละไม่กี่ครั้ง ขึ้นอยู่กับว่าผมหรือปลาจะลางานได้หรือไม่ มันก็เลยเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เหตุการณ์ที่ความเคยชิน ความผูกพันมันมาทำร้ายผม ซึ่งผมขอเรียกมันว่า 'ความหลง' ไม่ใช่ความรัก

       20 ตุลาคม 25xx

       "ตรู๊ดดดดด" เสียงโทรศัพท์ตั้งโต๊ะที่โต๊ะทำงานของผมดังขึ้น โดยเบอร์ปลายสายที่โชว์บนหน้าจอเป็นเบอร์ของโทรศัพท์มือถือ ไม่ใช่เบอร์ 02 ของในกรุงเทพ หรือเบอร์ติดต่อ 4 หลักภายในบริษัท

       "สวัสดีครับ" ผมรับสาย แล้วกล่าวทักทายตามมารยาท

       "สวัสดีครับ ฮัลโหลลลลล" ปลายสายไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ทำให้ผมต้องกล่าวทักทายไปอีกรอบ

       "ตรู๊ดๆๆๆ" อยู่ๆปลายสายก็ตัดสายไป ผมก็เลยคิดว่า คงจะต่อเบอร์ผิดมาล่ะมั้ง เลยไม่กล้าพูดอะไร

       "ตรู๊ดดดดด" ทิ้งระยะเวลาไปราวๆ 2 ชั่วโมง ก็มีสายโทรเข้ามาอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเบอร์ภายในบริษัท ซึ่งเบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอของโทรศัพท์นั้น เป็นเบอร์ที่ผมไม่คุ้นเลย เลยคิดว่าน่าจะโทรผิดแน่ๆ แต่ผมก็ต้องรับสายตามมารยาท

       "สวัสดีครับ" ผมกล่าวทักทายแบบงงๆ ว่าปลายสายคือใคร แล้วโทรผิดหรือไม่

       "สวัสดีค่ะ พี่บอสใช่มั้ยคะ" ปลายสายเป็นผู้หญิงเสียงใสๆ ทำเอาผมนั้นงงมากขึ้นไปอีก

       "ครับ ใช่ครับ" ผมตอบไป พร้อมคำถามในหัวว่าปลายสายคือใคร

       "อีฟนะคะ พี่บอสจำได้มั้ย เราเคยคุยกันบ้างแล้วที่โรงอาหาร" เมื่อปลายสายบอกชื่อของตัวเอง พร้อมกับประโยคที่ยาวขึ้น ทำให้ผมจำน้ำเสียงได้ และนึกออกทันทีว่าเธอคือใคร

       เธอคือ น้องอีฟ คนที่ผมเจอตอนที่ไปกินข้าวเที่ยงบ่อยๆที่โรงอาหารกับกลุ่มแผนกของเธอ น้องอีฟเป็นพนักงานใหม่ของบริษัทได้ 4 เดือนแล้ว แม้จะได้เจอกันบ่อยๆ แต่ก็ได้พูดคุยกับน้องเขาเพียง 5 ครั้งเท่านั้น ทำให้ผมก็ไม่รู้ว่า น้องอีฟโทรมาทำไม

       "อ่อ ครับ จำได้แล้วครับ น้องอีฟที่เจอที่โรงอาหารใช่มั้ย" พอจำได้ว่าใคร ก็เริ่มที่จะพูดคุยกันได้

       "ใช่แล้วค่ะ พอดีว่าหนูไม่มีเพื่อนคุยน่ะค่ะ ไม่ค่อยมีเพื่อนด้วย พี่บอสพอจะเป็นเพื่อนคุยให้หนูได้มั้ยคะ" น้องอีฟถามผมมาแบบนี้ มีเหรอที่ผมจะปฏิเสธ เพราะจริงๆแล้วน้องอีฟก็เป็นคนที่น่ารักคนหนึ่งเลยทีเดียว แล้วผมก็อยากได้น้องสาวไว้คุยเล่นสักคนด้วยเหมือนกัน

       "ได้สิครับ แต่พี่พูดไม่เก่ง พูดน้อยนะ อาจจะทำให้อีฟเบื่อก็ได้นะ" ผมออกตัวก่อนเลยว่า ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง เพราะนิสัยของผมจะชอบฟังอยู่เงียบๆมากกว่าการพูด

       "ไม่เป็นไรค่ะ พูดไม่เก่ง แต่ก็ยังดีกว่าหนูไม่มีเพื่อนคุยค่ะ เพราะทุกวันนี้หนูคุยกับพี่หนึ่งอยู่คนเดียว จนพี่หนึ่งจะไล่ให้ไปคุยกับหมอนข้างแล้วค่ะ" น้องอีฟดูจะเป็นคนที่พูดเก่งกว่าผมแน่นอน เพราะฟังจากการอธิบายที่ยืดยาวมากกว่าที่คนพูดน้อยอย่างผมจะพูดได้

       หลังจากที่ได้รู้จักกันแล้ว และผมก็ยินดีจะเป็นเพื่อนคุยให้น้องอีฟ เราก็คุยกันยาวราวๆครึ่งชั่วโมง จนมารู้อีกว่า เบอร์แปลกๆที่โทรมาเมื่อช่วง 2 ชั่วโมงก่อน คือเบอร์ของน้องอีฟนั่นเอง น้องอีฟบอกว่า อยากลองเช็คดูก่อนว่า เบอร์ภายในใช่เบอร์ของพี่บอสหรือเปล่า ก่อนที่จะรวบรวมความกล้าใช้เบอร์ภายในโทรมาอีกรอบทีหลัง

       "พี่บอสมีไลน์มั้ยคะ ขอแอดไลน์ได้มั้ย" หลังจากคุยกันได้สักพัก น้องอีฟคงอยากจะคุยให้มากกว่านี้ เลยขอไลน์ของผม

       "มีครับ ได้ครับ ไอดีxxx นะครับ" ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะถ้ามีน้องไว้คุยเล่นก็ดีเหมือนกัน ก็เลยให้ไลน์ไป แล้วน้องอีฟก็วางสายไป สักพักไลน์ก็เด้งขึ้นมา

       อีฟ : "ทักทายค่ะ"
       ผม : "ไม่เหมือนๆๆ รูปโปรไฟล์ไม่เหมือนคนที่เจอที่โรงอาหารเลย ไม่คุ้นตายิ่งนัก" รูปโปรไฟล์ไลน์ของน้องอีฟ ดูไม่เหมือนน้องอีฟเลย จนผมต้องแกล้งแซวซะเลย

       อีฟ : "รูปนานแล้วค่ะ ก่อนจะเข้ามาทำงานที่นี่ ตอนนั้นผมสั้น เมื่อ 6 เดือนที่แล้วโน้น"
       ผม : "ถึงว่า ไม่คุ้นตาเลย" ตอนนี้ผมของน้องอีฟยาวกว่าในรูปโปรไฟล์เยอะเลย

       อีฟ : "ไม่ต้องตกใจนะคะ ในรูปย่อมสวยกว่าตัวจริง อิอิ บอกไว้ก่อน เดี๋ยวจะหาว่าหลอกลวง"
       ผม : "ไม่เหมือนๆๆ คนที่พี่เจอที่โรงอาหารหน้าตาไม่ใช่แบบนี้" ต้องยอมรับตามที่น้องอีฟบอกจริงๆครับ ว่าในรูปสวยกว่าตัวจริง จนผมต้องแซวไปอีกรอบ

       อีฟ : "สวยปะล่ะ"
       ผม :  "ไม่สวย"

       อีฟ : "อ้าว ไม่สวยอีก"
       ผม : "ในสายตาพี่ น่ารักมากกว่า" ผมคิดแบบนั้นจริงๆ เพราะน้องอีฟน่ารักมากกว่าสวย

       อีฟ : "อุ้ย ขอบคุณค่ะ หนูพยายามจะสวยมากพี่รู้มั้ย แต่พี่บอส กับพี่หนึ่งกลับมองว่าน่ารักซะงั้น"
       ผม : "ก็มันน่ารักจริงๆนี่หน่า แล้วน่ารักมันอยู่ได้นานกว่า มองไม่เบื่อด้วย" อาจจะเพราะผมชอบคนน่ารักก็ได้ ทำให้ผมมองคนสวยไม่ค่อยออก มองออกแต่คนน่ารัก

       ผมกับอีฟ แชทไลน์คุยกันไปเรื่อยๆ จนใกล้ได้เวลาเลิกงาน

       อีฟ : "ยินดีที่รู้จักนะคะ แล้วยังอุตส่าห์มาคุยกับอีฟด้วย อีฟไม่มีคนคุยด้วยจริงๆ เป็นคนไม่มีเพื่อน ไม่มีใครคบ อิอิ"
       ผม : "ยินดีที่ได้รู้จักสาวน้อยที่น่ารักคนนี้เช่นกันครับ ถ้าจะคุยกับพี่ ก็ทักมาได้ตลอดเวลานะครับ แต่จะตอบช้า หรือเร็ว ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นๆทำอะไรอยู่นะ" เป็นประโยคสุดท้ายของวัน ก่อนที่จะถึงเวลาเลิกงานแยกย้ายกันกลับบ้าน

       หลังจากวันนั้นผมกับน้องอีฟก็คุยกันมากขึ้น จนทำให้ผมรู้สึกว่าน้องอีฟเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นน้องสาวที่พูดคุยกันได้แทบทุกเรื่อง เข้ามาทำให้ผมมีเพื่อนคุยแทนปลาที่อยู่ห่างกัน และไม่ค่อยได้คุยกันสักเท่าไหร่ เนื่องจากว่างานของปลาจะค่อนข้างยุ่ง ไม่สะดวกในการเล่นโทรศัพท์สักเท่าไหร่

       จากที่พิมพ์ไลน์คุยกัน ก็เริ่มจะโทรไลน์คุยกัน จากนั้นก็พัฒนาเป็นวีดีโอคอลคุยเห็นหน้ากัน

       จากที่คุยกันไม่นาน ก็เริ่มคุยกันนานเป็นชั่วโมง เป็นหลายชั่วโมงติดต่อกัน ความสัมพันธ์ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆอย่างก้าวกระโดด จนไม่นานความรู้สึกจากที่คิดว่าจะเป็นแค่น้องสาวก็เริ่มเปลี่ยนไป

       20 พฤศจิกายน 25xx

       อีฟ : "ดีใจที่เสียงข้างในใจของหนูที่หนูอยากคุยกับพี่มันดังพอ จนทำให้พี่ได้ยิน และคุยกับหนู ขอบคุณจริงๆค่ะ"
       ผม : "ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่พี่ก็ดีใจ แล้วก็ขอบคุณหนูเหมือนกันนะที่เข้ามาคุยกับพี่" ตอนนี้ผมกับน้องอีฟสนิทกันมากขึ้น และผมก็เรียกน้องอีฟว่าหนูตามที่น้องอีฟเรียกแทนตัวเองอยู่ทุกครั้ง ในคืนนี้คืนที่เป็นเวลาครบ 1 เดือนที่ได้รู้จัก ได้คุยกัน ก็เหมือนผมกับน้องอีฟจะเปิดใจคุยกันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะมากกว่าพี่น้องไปซะแล้ว

       อีฟ : "เอาตรงๆไม่ได้อยากโกรธ อยากงอนเลย แต่บางครั้งมันเกินความควบคุมของหนูเอง ถ้าหนูทำอะไรไม่ดี ขอโทษนะคะ"
       ผม : "ไม่เป็นไรหรอก โกรธบ้าง งอนบ้างก็เป็นเรื่องปกติ แต่ก็ขอให้หายโกรธ หายงอนไวๆก็พอ" ไม่รู้ว่าตอนนี้สถานะของผมกับน้องอีฟอยู่ตรงไหน แต่ก็คงไม่มีพี่ชายน้องสาวที่ไหนเขาโกรธกัน งอนกันหรอกมั้งครับ

       1 ธันวาคม 25xx

       ผม : "วันนี้พี่ทำโอทีนะ งานเร่งเลยต้องรีบทำ" ผมไลน์บอกน้องอีฟก่อนเวลาเลิกงาน
       อีฟ : "สู้นะคะ"

       ผม : "อยู่เป็นเพื่อนกันมั้ย มานั่งใกล้ๆพี่ เป็นกำลังใจให้พี่หน่อย" ผมลองชวนดู เผื่อน้องอีฟจะยอมอยู่เป็นเพื่อนทำโอที
       อีฟ : "ไม่เอาหรอก เดี๋ยวคนเอาไปนินทา" ด้วยความที่ว่าผมก็มีแฟนอยู่แล้ว แล้วคนในออฟฟิศก็รับรู้ จึงทำให้การที่ผมกับน้องอีฟคุยกันอยู่ตอนนี้ จึงต้องเป็นความลับ ห้ามให้ใครรู้เด็ดขาด

       ระหว่างที่ผมกำลังทำโอทีอยู่นั้น น้องอีฟก็โทรไลน์เข้ามา บอกให้ออกไปหาที่ลานจอดรถหน่อย ซึ่งผมก็แปลกใจมากที่น้องอีฟกล้าทำแบบนี้ ไม่กลัวใครเห็นเหรอ แต่พอผมออกไปที่ลานจอดรถ ปรากฎว่ามันค่อนข้างเงียบ และไม่มีใครอยู่เลย

       นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้อยู่กับน้องอีฟสองต่อสองแบบเห็นหน้าชัดๆ ไม่ต้องคอยแอบๆส่งสายตาให้กันเหมือนที่โรงอาหาร น้องอีฟน่ารักมาก จนผมอยากจะกอด อยากจะหอมแก้มซะเลย แต่ก็ได้แค่คิด ซึ่งจริงๆที่น้องอีฟเรียกผมออกมาหาเพราะ น้องอีฟซื้อขนมมาให้เป็นเสบียงในการอยู่ทำโอทีนั่นเอง เราคุยกันประมาณ 10 นาที ก็แยกย้ายเพราะกลัวมีคนมาเห็น จนผมทำโอทีเสร็จ กลับถึงบ้าน ก็ได้ทักไลน์ไปหาน้องอีฟ

       ผม : "คิดถึงจังเลย ได้มองหน้าหนูใกล้ๆ ได้เห็นหนูยิ้มแล้ว มีความสุขจริงๆ" ผมรู้สึกว่าช่วงเวลาเมื่อตอนค่ำ มันช่างดีซะจริงๆครับ ได้อยู่ใกล้ๆกันแบบไม่มีอะไรมาขวาง ได้มองหน้าคนที่เรารู้สึกดีด้วยแบบชัดๆขนาดนั้น
       อีฟ : "ขอบคุณรอยยิ้มของพี่เช่นกันค่ะ" ผมไม่รู้นะว่าผมยิ้มขนาดไหน แต่ก็คงจะยิ้มแบบมีความสุขมากแน่ๆ

       ผม : "อยากเจอหน้า คุยกันแบบนี้ทุกวันเนาะ"
       อีฟ : "คุยทุกวันแบบนี้หนูก็อยากคุยนะ แต่พี่จะเบื่อหนูน่ะสิ"

       ผม : "ไม่เบื่อหรอก หนูออกจะน่ารัก ยิ้มสดใสขนาดนี้" ผมชอบคนน่ารัก เพราะดูไม่เบื่อจริงๆนะ
       อีฟ : "ขอบคุณนะคะ งั้นก็เจอกันบ้างก็ดีค่ะ จะได้เติมพลังใจจากรอยยิ้มของพี่"

       เวลาผ่านไปอีกหลายวันตั้งแต่ที่ความรู้สึกของผมที่มีกับน้องอีฟนั้นเปลี่ยนไป ผมกับน้องอีฟโทรคุยกันทุกวันตั้งแต่เช้าก่อนทำงาน ในเวลาทำงานบางครั้งผมก็จะอยู่ในสายกับน้องอีฟแม้จะไม่ได้คุยกัน แต่การอยู่ในสายตลอดเวลาก็เหมือนได้อยู่ใกล้ชิดกันตลอดเวลา ผมเคยอยู่ในสายกับน้องอีฟนานสุดถึง 6 ชั่วโมง โดยที่แทบจะไม่ได้คุยกันเลย แต่มันมีความสุขแบบที่ผมก็ไม่เคยเจอมาก่อน และก็ไม่เข้าใจตัวเองด้วยว่าทำไปได้ยังไง ส่วนตอนกลางคืนก่อนนอนก็วีดีโอคอลคุยกัน ผมกับน้องอีฟทำแบบนี้เป็นประจำทุกวันเป็นระยะเวลาหนึ่ง จนผมคิดว่าตอนนี้ความสุขที่ผมได้รับจากน้องอีฟมันขึ้นถึงจุดสูงสุด

       ถ้าถามว่ามันสุขขนาดไหน ผมตอบได้เลยว่า มันสุขขนาดที่ทำให้ผมเข้าใจเลยว่า ทำไมคนที่รักกันบางคู่ถึงฆ่าตัวตายตามกัน นั่นก็เพราะ เรามีความสุขจนไม่อยากจะมีความทุกข์อีกแล้วนั่นเอง อยากจะให้มีความสุขจนตายไปซะตอนนี้เลยนั่นเอง ยิ่งคนที่มีแฟน มีครอบครัวอยู่แล้ว พอมีคนอื่นเข้ามาใหม่ แล้วเราได้รับความสุขเหลือล้นจากอีกคนที่เข้ามาใหม่ มันยิ่งทำให้เราคิดสั้นได้ง่ายกว่าเดิมซะอีก เพราะเรามีความสุขจนล้นจากคนที่เข้ามาใหม่แล้ว เลยไม่อยากจะไปมีความทุกข์กับคนเก่า และไม่อยากจะไปมีปัญหาความทุกข์กับเรื่องรักสามเส้าก็เลยตัดสินใจ ฆ่าตัวตายตามคนใหม่ไปซะดีกว่านั่นเอง

       20 ธันวาคม 25xx

       คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ผมวีดีโอคอลคุยกับน้องอีฟก่อนนอนตามปกติ และคืนนี้ผมก็รู้สึกมีความสุขมาก สุขจนล้น จนผมมีเรื่องที่ต้องบอกกับน้องอีฟ

       "ขอบคุณที่เข้ามาทำให้พี่มีความสุข มีรอยยิ้มในทุกๆวันนะ คำว่า รัก แม้มันจะพูดเร็วเกินไป แต่พี่ก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆนะ พี่อยากดูแลหนูแบบนี้ตลอดไป อยากทำให้หนูยิ้มได้ ยิ้มสดใสทุกๆวัน อยากให้หนูมีแต่ความสุขไปเรื่อยๆ พี่รักหนูนะ" ผมระบายความในใจออกไปให้น้องอีฟได้รับรู้ ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าน้องอีฟจะรู้สึกยังไงกับผมบ้าง แต่ถ้าผมไม่ได้พูดความในใจออกไป ผมเองนี่แหละจะอึดอัดทรมาน

       "ขอบคุณเช่นกันค่ะ ขอบคุณจริงๆนะคะ ขอบคุณทุกอย่างที่เหวี่ยงพี่ให้มารู้จักกับหนู รอยยิ้ม คำพูดของพี่ ทำให้หนูมีรอยยิ้มได้ทุกครั้งที่เจอกัน อยู่เป็นพลังบวกให้หนูแบบนี้นานๆนะ หนูไม่ได้ยิ้มจากข้างในใจแบบนี้มานานมากแล้ว แต่วันนี้หนูได้ยิ้มแบบอิ่มใจจริงๆ หนูเชื่อว่าพี่น่าจะสัมผัสได้นะ ไม่ว่าวันข้างหน้ามันจะเกิดอะไรขึ้น หนูขอให้พี่อยู่เป็นรอยยิ้มของหนูแบบนี้ตลอดไปนะคะ" น้องอีฟฟังผมระบายความใจใจแล้วก็นิ่งไปสักพัก ก่อนที่จะระบายความรู้สึกออกมาด้วยเช่นกัน ผมฟังแล้ว ผมมีความสุขมากที่น้องอีฟก็มีความสุขจากสิ่งที่ผมทำให้มาตลอดที่รู้จักกัน

       แต่...ที่ใดมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์

       สิ่งที่ผมกับน้องอีฟทำอยู่ตอนนี้ ในโลกของความเป็นจริงคือ คนมีแฟนแล้วคนหนึ่ง กำลังนอกใจแฟนของตัวเอง แล้วแอบไปคุยกับอีกคนหนึ่งนั่นเอง ถ้าถามว่าผิดมั้ย มันก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าผิด เพราะคนเรามีสิทธิเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง แต่นี่คือ ความคิดของคนที่ได้ผลประโยชน์อย่างผม ถ้าไปถามคนที่เสียประโยชน์อย่างปลาแฟนของผม แน่นอนว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่มันผิด 100% และปลาเองก็คงไม่ยอมเป็นตัวเลือกของผมแน่ๆ

       2 ปัญหา และเป็นความทุกข์ของผมกับน้องอีฟคือ

       1. ผมมีแฟนแล้ว ซึ่งมันทำให้ผมกับน้องอีฟไม่สามารถเปิดเผยสถานะว่าคบกันออกสังคมได้ ต้องคอยหลบๆซ่อนๆ และความสำคัญของปลา ก็ยังเหนือกว่าน้องอีฟอยู่ ทำให้น้องอีฟไม่ค่อยพอใจทุกครั้ง ที่ผมคุยกับปลา

       2. เวลาที่ผมต้องแบ่งให้ทั้งปลา และน้องอีฟ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้น้องอีฟโกรธและงอนผมบ่อยมากๆ เพราะทุกครั้งที่ผมโทรคุยกับน้องอีฟอยู่ แล้วปลาโทรแทรกเข้ามา ทำให้ผมต้องวางสายของน้องอีฟ แล้วไปคุยกับปลาแทน น้องอีฟบอกว่า มันเหมือนโดนแย่งเวลา แทนที่จะได้คุยกันนานๆ กลับต้องแบ่งเวลาให้อีกคนซะอย่างนั้น

       2 ปัญหาที่เป็นเหมือนระเบิดเวลา แม้ว่าผมกับน้องอีฟจะมีความสุขกันมากขนาดไหน แต่ถ้าปัญหาท้ัง 2 เรื่องนี้ยังไม่สามารถเคลียร์ได้ ทุกอย่างก็จะเดินหน้าต่อไปไม่ได้

       แล้วจุดพลิกผันของผมกับน้องอีฟก็มาถึงในช่วงปีใหม่นี่เอง เพราะผมกับปลาต้องอยู่ด้วยกันตลอด ทำให้ผมไม่สามารถคุยกับน้องอีฟได้ เป็นระยะเวลาร่วม 5 วันเต็มๆที่ผมกับน้องอีฟไม่ได้ติดต่อกันเลย พอหมดวันหยุดช่วงปีใหม่ปลาก็กลับไปทำงานที่ต่างจังหวัดเหมือนเดิม ผมก็เข้าไปดูในไทม์ไลน์ของน้องอีฟก่อนที่จะติดต่อไปหา เพื่อดูว่าน้องอีฟโพสอะไรบ้าง จนได้เจอน้องโพสเหมือนจะขอถอยห่างจากผม ตอนนั้นผมใจหาย น้ำตาแทบจะไหลเลย

       ข้อความบนไทม์ไลน์...

       "ในหนึ่งปี...เราเลือกกลับไปแก้ไขอะไรที่ผ่านไปไม่ได้แล้ว แต่เราเลือกจัดการกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้ จัดการว่าสิ่งใดควรเป็นความทรงจำที่ชัดเจน และสิ่งใดควรเป็นอดีตที่เลือนลางไปตามกาลเวลา เราเลือกได้...และไปต่อได้ทุกคน อยู่ที่เรา"

       "ขอบคุณปี 20xx ยินดีต้อนรับปี 20xx ขอให้เป็นปีที่ดี และพบเจอแต่คนดีๆ น่ารักๆ ใครที่มันไม่ดี ที่เคยพบเจอในปี 20xx ก็ขอให้จบๆกันไป ทางใครทางมัน จบกันที่ปีเก่าขออย่าได้ตามไปพบเจอกันในปีใหม่เลย สาธุ..."

       พอผมอ่านแล้ว ผมคิดว่าน้องอีฟน่าจะหมายถึงผม เพราะก่อนหน้าที่จะหยุดยาวช่วงปีใหม่ เราทะเลาะกันเรื่องเวลา และเรื่องความชัดเจนที่อยากให้ผมเลิกกับปลาค่อนข้างบ่อย จนดูเหมือนว่าน้องอีฟจะเริ่มเบื่อกับสถานะของตัวเองที่ต้องหลบๆซ่อนๆ และเบื่อกับสถานการณ์ที่ต้องแบ่งเวลาของตัวเองให้ปลา

       ผมไลน์ไปก็ไม่อ่าน โทรไลน์หาก็ไม่รับ เหมือนน้องอีฟจะบล็อกไลน์ของผมแล้ว ผมลองโทรไปเบอร์โทรศัพท์ก็ไม่ติด เพราะน้องอีฟก็น่าจะบล็อกเบอร์ของผมอีก โทรเบอร์ภายในไปที่โต๊ะน้องอีฟก็ไม่รับ บางครั้งถึงกับยกหูออกไว้เลยทีเดียว เจอหน้ากันที่โรงอาหาร จากที่แอบยิ้มให้กัน กลับกลายเป็นว่าน้องอีฟไม่มองหน้าผมเลย หรือถ้าบังเอิญหันไปสบตา น้องอีฟก็จะชักสีหน้าทำหน้านิ่งๆทันที ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมน้องอีฟเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้

       แต่ผมก็ต้องยอมรับในสิ่งที่น้องเลือก เพราะผมก็ไม่มีสิทธิจะไปเรียกร้องอะไร ผมก็ผิดที่ดึงน้องอีฟมาอยู่ในจุดที่ไม่ควรอยู่ ผมทำได้แค่เสียใจ ใจหาย แอบร้องไห้ ทำงานไปแอบเช็ดน้ำตาไป จนบางครั้งทนไม่ไหวถึงกับต้องลุกจากโต๊ะทำงานไปแอบร้องไห้ในที่ๆไม่มีใครเห็น บางวันต้องทำโอที ก็จะคิดถึงวันเก่าๆจนทำให้น้ำตาไหล ยิ่งช่วงก่อนนอนที่เคยวีดีโอคอลคุยกัน ยิ่งทำให้คิดถึงน้องอีฟมาก แต่ก็ทำได้แค่ร้องไห้เสียใจ และพยายามผ่านมันไปให้ได้

       18 มกราคม 20xx

       ผ่านมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ที่ผมไม่สามารถติดต่อน้องอีฟได้เลย และเหมือนกับว่าทุกอย่างจบลงแล้วแน่นอน ผมกับน้องอีฟน่าจะไม่มีทางกลับไปคุยกันได้เหมือนเดิมแล้ว มันทำให้ผมรู้บางสิ่งว่า 'คำสัญญา' บางครั้งมันก็เป็นเพียงแค่ลมปาก ที่พูดเพื่อให้ดูดี น่าเชื่อถือเท่านั้น

       อีฟ : "ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องทุ่มเทอะไรเพื่อคนๆนี้อีกต่อไป ต่างคนต่างอยู่เถอะ มันถึงเวลาแล้วล่ะ
                หนูว่าหนูอ่อนแอเกินจะรับกับทุกอย่างไหวแล้ว มันผิดไปหมดซะทุกอย่าง ยิ่งนานวันยิ่งผิดไปหมด ขนาดคิดว่านี่คือเวลาของหนูแท้ๆ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่
                งั้นแสดงว่ามันไม่มีอะไรที่ใช่สำหรับหนูแล้วล่ะ พอเถอะ" อยู่ๆน้องอีฟก็ไลน์มาหาผม พอผมอ่านแล้วก็ยิ่งเศร้ากว่าเดิม เพราะมันก็คือการจบแล้วทุกอย่างจริงๆ ผมพยายามไลน์กลับไป โทรกลับไป แต่ก็เหมือนเดิม ไม่สามารถติดต่อได้ ผมคิดว่าน้องอีฟน่าจะแค่ปลดบล็อกเพื่อส่งไลน์หาผมเท่านั้น แล้วก็บล็อกกลับไปเหมือนเดิมแล้ว

       20 มกราคม 20xx

       ยังไงชีวิตก็ต้องเดินหน้าต่อไป ผมได้เล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับผมนี้ให้น้องสาวคนสนิทของผมฟัง น้องสาวคนนี้เคยผ่านประสบการณ์เลิกรามาบ้าง ก็เลยมีคำพูดสอนผมได้ จนมีอยู่ประโยคหนึ่ง ที่ทำให้ผมคิดว่า นี่แหละมั้ง คือคำตอบของเรื่องนี้ เพราะมันเหมือนกันว่า น้องอีฟแค่เข้ามาเล่นๆ แต่มีแค่ผมนี่แหละ ที่คิดจริงจังไปเองคนเดียว

       "เขาเคยบอกคิดถึง บอกรักพี่บ้างมั้ยล่ะ" น้องดา ถามผมหลังจากที่ผมเล่าเรื่องของน้องอีฟให้ฟัง

       "ไม่เคยนะ พี่เคยถามน้องเขานะว่า คิดถึงพี่บ้างมั้ย รักพี่บ้างมั้ย เขาตอบว่า ไม่อยากพูด ให้ดูที่การกระทำเอาเอง พี่ก็ไม่รู้ว่ามันเร็วไป หรือน้องเขาอายหรือเปล่า" ผมตอบคำถามน้องดา

       "มันมีนะคะ คนที่ไม่รู้สึก แล้วจะฝืนพูดไม่ได้น่ะ ดาคิดว่าน้องคนนั้นน่าจะเป็นแบบที่ดาบอกนะ ไม่ได้ว่าเร็วไป หรือเขินอาย แต่น้องเขาไม่รู้สึกต่างหาก เลยไม่ยอมพูด" น้องดาอธิบายมา ทำเอาผมคิดตามเลยทีเดียว

       "ก็อาจจะเป็นได้นะ" ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆแล้วน้องอีฟเป็นแบบไหนกันแน่ แค่เร็วไป แค่เขินอาย หรือเป็นแบบที่น้องดาบอก แต่ ณ เวลานี้ ผมก็ต้องรักตัวเองไว้ก่อน เข้าข้างตัวเองเพื่อรักษาใจก่อนล่ะครับ

       "ยังไงชีวิตต้องดำเนินต่อไปค่ะ อะไรจะผ่านเข้ามาอีก เราก็ไม่รู้ เสียใจได้นะ แต่อย่านาน มันเสียเวลาเปล่าๆนะคะ ลองคิดดูดีๆ เขาไม่ได้มารับรู้นะว่าเราเสียใจมาก เราร้องไห้ เขาก็ไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อน ตัวใครตัวมันนะ เขาไม่ได้เป็นต้นเหตุที่ทำให้เราเศร้า มีแต่เราทำตัวเองให้เศร้า" น้องดาพูดสอนผมมาแบบนี้ ผมยิ่งต้องรักตัวเองให้มากขึ้นจริงๆ


       22 มกราคม 25xx

       ผม : "ขอบคุณที่เข้ามาทำให้พี่มีรอยยิ้ม
               ขอบคุณที่ให้โอกาสพี่ได้ดูแลเอาใจใส่หนู แม้จะเป็นระยะเวลาเพียงสั้นๆ แต่มันก็มีความสุขมาก สุขจนล้น
               ขอโทษที่ดึงหนูเข้ามามีความทุกข์ในสถานะที่เปิดเผยไม่ได้
               ขอโทษโชคชะตาที่ทำให้เราเจอกันช้าไป เจอกันในเวลาที่ผิด
               รัก และคิดถึงน้องอีฟเสมอ" ผมไลน์ไปหาน้องอีฟ โดยที่ก็รู้ดีว่าน้องบล็อกไลน์ผมอยู่ ผมนับเวลาทั้งหมดตั้งแต่วันที่น้องอีฟโทรมาวันแรก จนถึงวันที่ผมไลน์ไปหาในวันสุดท้าย รวมแล้วก็ 3 เดือน 2 วันพอดี

       ตอนนี้ผมกับปลาก็คบกันเข้าสู่ปีที่ 8 แล้ว โดยที่เรื่องราวความสุขที่ได้รับจากน้องอีฟก็ยังอยู่ในใจเสมอมา อยู่ในความคิดถึง อยู่ในความลับ และผมก็คงจะต้องขอบคุณน้องอีฟอีกครั้ง ที่ในวันนั้นน้องอีฟตัดใจจากผมแบบเด็ดขาด เพราะมันทำให้ผมมีภูมิต้านทานไม่ปล่อยให้ใจ และความรู้สึกของผมไปมีความสัมพันธ์ และเคยชินกับการกระทำของใครได้อีก "ขอบคุณนะ"

ความคิดเห็น