hostneverdie

weltrade

siamfocus

ตอนที่ 98 (บทความ) _ เมื่อมีหน้าบ้าน...ก็ต้องมีหลังบ้าน (ภาค 3)


เมื่อมีหน้าบ้าน...ก็ต้องมีหลังบ้าน (ภาค 3)

     เข้าสู่เรื่องที่เป็นประเด็นโลกแตกกันแล้วนะครับ เรื่องความรักนั่นเอง ทำไมผมถึงบอกว่ามันเป็นประเด็นโลกแตกน่ะเหรอ นั่นก็เพราะว่า 'ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์' ยังไงล่ะครับ รักเหมือนจะเป็นแบบเดียวกัน แต่มันก็ไม่เคยเหมือนกัน นี่แหละประเด็นโลกแตก

     เอาล่ะครับ มาดูหลังบ้านเรื่องความรักของผมกันดีกว่าครับ ว่ามันเป็นมายังไงบ้าง หลังจากที่เคยมีความชอบผู้หญิงมาแล้วเมื่อสมัยเรียนชั้นประถม แต่หลังจากนั้นมาก็ไม่เคยได้มีความรักสักที (มัวแต่ติดเกม กับอ่านหนังสือ) จนกระทั่งได้เรียนถึงระดับ ปวช.3 (เทียบเท่า ม.6) ถึงจะมีอาการรู้จักคำว่า รัก เป็นครั้งแรก โดยรักแรกก็คนใกล้ๆตัวครับ รุ่นน้อง ปวช.1 นั่นเอง

     รักแรกในชีวิต เป็นความรักแบบวัยรุ่นที่เกิดขึ้นเร็ว และจบลงเร็วมาก ถ้าจำไม่ผิดใช้ระยะเวลากับรักครั้งแรกนี้เพียงไม่ถึง 2 เดือน แต่เชื่อหรือไม่ครับว่า รักครั้งแรกมันลืมไม่ได้จริงๆ แต่ถึงแม้มันจะไม่ลืม แต่มันก็ไม่ได้โหยหาอยากกลับไปนะครับ มันแค่ติดอยู่ในสมอง ลบไม่ออก ลืมไม่ได้เท่านั้นเอง (สาเหตุของการเลิกรา ขออุบเป็นความลับ)

     ความรักในครั้งที่สอง ได้เกิดขึ้นเมื่อช่วง ปวส. (จำไม่ได้ว่า ปวส. 1 หรือ 2 แต่ทิ้งระยะเวลาเรื่องความรักไปถึง 2 ปีเลยทีเดียว) สมัยนั้นร้านอินเตอร์เน็ตกำลังมา โปรแกรมแชทที่บูมสุดๆตอนนั้นก็คือ Pirch98 และด้วยโปรแกรมแชทนี้เอง ทำให้ผมได้พบกับรักครั้งที่สอง

     เลิกเรียนก็วิ่งไปร้านอินเตอร์เน็ตเลยครับ เป็นร้านของอาจารย์ที่สอนกันอยู่ในวิทยาลัยนั่นแหละครับ (คนกันเอง อาจารย์หลอกนักศึกษาไปฟันรายได้ ฮ่าาา) เปิด Pirch เข้าห้อง 'เชียงใหม่น่ารัก' ล่ะมั้ง แล้วก็คุยๆไปทั่วเลย (Pirch มันจะคุยได้อย่างเดียว ไม่เห็นรูป ไม่เห็นหน้ากันเลย ถ้าจะจีบใครนี่ ต้องวัดดวงกันสุดๆ) แล้วผมก็ได้คุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเรียน ม.4 อายุห่างกับผมนิดหน่อย  (ปวส. เทียบเท่าก็ อนุปริญญา หรือเด็ก ปี1 ในรั้วมหาลัย) หลังจากที่คุยกันได้สักระยะก็รู้สึกว่า มันน่าจะไปกันได้นะ ก็เริ่มมีการนัดเจอ กินข้าวบ้าง เที่ยวบ้าง จนสนิทกัน แล้วก็ได้ตกลงเป็นแฟนกัน แฟนคนนี้ก็ถือว่าเป็นคนแรกจะดีกว่า เพราะรักแรกนั้น ยังไม่ทันได้เป็นแฟน ก็ต้องเลิกกันซะละ แฟนคนนี้ผมได้พาเข้าบ้านด้วย ดูเหมือนอะไรๆจะราบรื่น แต่แล้วจุดพลิกผันก็เกิดขึ้นเมื่อ...

     นิสัยความเอาแต่ใจของเธอพุ่งสูงขึ้นจนผมเริ่มรับไม่ไหว คบกันปีแรกๆนิสัยเอาแต่ใจของเธอไม่มากนะครับ ผมพูดอะไรเธอก็ยอมฟัง ยอมทำตาม ไม่ค่อยมีเรื่องอะไรบังคับผม แต่ไม่รู้ว่าอยู่ๆมันเกิดอะไรขึ้น เธอเหมือนเปลี่ยนไปเยอะมาก บังคับผมจนเหมือนเป็นแม่ของผมซะงั้น จนผมเริ่มอึดอัด แล้วก็มีเรื่องที่ทำให้ผมต้องแปลกใจอีกเรื่องคือ เธอไปเที่ยวกับเพื่อนของผม โดยที่ผมไม่รู้อะไรเลย ผมมารู้อีกทีจากปากของเพื่อนผม ว่าเขาได้ไปเที่ยวน้ำตกกับแฟนของผม ตอนที่ผมกำลังฝึกงานอยู่ จนถึงตอนนั้นอะไรหลายๆอย่างมันเปลี่ยนไปจากเธอคนเดิม ผมเลยตัดสินใจ...เลือกสมัครเรียนที่ราชภัฏเชียงราย ในตอนที่สอบเข้าเรียนชั้น ป.ตรี เพื่อให้ผมกับเธอได้ห่างกัน และจากกันด้วยดีจะดีกว่า

     หลังจากที่ผมไปเรียนที่เชียงรายแล้ว ผมก็ได้โทรศัพท์ไปเปิดใจคุยกับเธอ เคลียร์กันทุกเรื่องจนเข้าใจ และลงตัว ผมกับเธอตัดสินใจแยกทางกันในที่สุด

     รักครั้งที่สาม และเป็นครั้งสุดท้าย เป็นความรักที่ต้องผ่านปัญหา และอุปสรรคมากมายจนน่าเหลือเชื่อ มันเหมือนที่ว่า 'ชีวิตจริง ยิ่งกว่านิยาย' ซะอีก อยากรู้ต้องลองอ่านดูครับ ว่ามันเป็นยังไง

     การได้มาเรียนที่เชียงรายนั้น หลังจากที่เลิกกับแฟนคนแรกไป ผมก็ไม่ได้สนใจผู้หญิงคนไหนอีกเลย ผมหันกลับเข้าไปสู่โลกของหนังสืออีกครั้ง เช่าหนังสือมาอ่านเป็นเรื่องๆ เป็นเล่มๆไป สนใจในเรื่องของบ้านและสวน เริ่มศึกษาเกี่ยวกับวิธีการออกแบบสวน จัดสวน ศึกษาพันธุ์ไม้ จนกระทั่งเรื่องบังเอิญได้เกิดขึ้น...

     หอพักที่ผมไปพักอยู่ในตอนที่เรียนอยู่เชียงรายนั้นเป็นหอเปิดใหม่ พึ่งสร้างเสร็จใหม่ๆเลย คนที่เข้าไปพักก็เป็นคนใหม่ทั้งหมด ความสัมพันธ์ของคนในหอพักจึงเหมือนครอบครัวเดียวกัน เวลาทำอะไรกินก็จะเอามาแบ่งกัน เอามานั่งล้อมวงกินข้าวกัน ไม่นับว่าใครมาก่อน มาหลัง ความสัมพันธ์มันเลยสนุก เฮฮา และอบอุ่นเป็นกันเองสุดๆ และด้วยความที่ผมเป็นคนชอบช่วยเหลือผู้อื่น เห็นใจผู้อื่น (มีน้ำใจว่างั้นเถอะ) หน้าที่ในการขับมอเตอร์ไซค์ไปซื้อของที่ตลาดเพื่อเอามากินกัน จึงตกเป็นของผมซะส่วนใหญ่ จุดนี้เองที่ทำให้ผมกับเธอ...แฟนคนปัจจุบัน

     ด้วยความที่ผมเป็นผู้ชาย เวลาไปซื้อของที่ตลาดก็จะซื้อของได้ไม่เก่งเท่าผู้หญิง บางทีของที่ต่อราคาได้ ผมก็ไม่ต่อ จึงได้มีผู้ช่วยสาวเกิดขึ้น เธอเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และชอบเดินตลาดด้วย เธอจึงถูกเพื่อนๆในหอส่งตัวให้มาเป็นผู้ช่วยของผมตอนที่ต้องไปซื้อของที่ตลาด

     แรกเริ่มเดิมทีแล้ว ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ ออกจะเฉยๆ แต่ด้วยความที่เราไปตลาดด้วยกันบ่อยๆ ได้คุยกันบ่อยๆ หลังๆก็เริ่มไปที่อื่นบ้างนอกจากตลาด (เฮ้ยๆๆ คิดอะไรกัน ไปร้านสะดวกซื้อ ร้านถ่ายเอกสาร ร้านอาหารตามสั่ง ฯลฯ ต่างหาก) เริ่มมีการไปรับ-ส่งตอนมีเรียน ดึกๆเธอหิวข้าว ผมก็อาสาไปส่งกินข้าว ความสัมพันธ์ค่อยๆก่อตัวขึ้น จนมันสนิมกันมาก แล้วก็กลั่นตัวเป็นความรักไปตอนไหนก็ไม่รู้ ผมไม่เคยจีบเธอ เธอก็ไม่เคยจีบผม เราสองคนไม่ได้ทำอะไรที่คนจีบกันต้องทำเลย อาศัยแค่ความผูกพันล้วนสร้างเป็นความรัก (ขนาดเป็นแฟนกัน ยังไม่มีใครพูด ขอเป็นแฟนเลย มันรู้กันเองโดยอัตโนมัติ) ผมไม่มีโปรโมชั่นพาไปไหนต่อไหน (ถ้าไม่ร้องขอ) ไม่มีโปรโมชั่นซื้อของพิเศษอะไรให้ (ถ้าไม่อยากได้) แต่มันก็รักกันเอง รักกันมาจนถึงทุกวันนี้ โดยที่เหมือนว่า ถ้ามันมีโปรโมชั่น ก็คงเป็นโปรโมชั่นที่กว่าจะหมดอายุ คงต้องตายกันไปข้าง

     แต่...อ่านดูแล้วเหมือนจะราบรื่นใช่หรือไม่ ยังครับยัง ถึงแม้จะไม่หมดโปรโมชั่น แต่มันก็เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นระหว่างผมกับเธอแบบที่ว่า ไม่น่าเชื่อ

     ผมเรียนจบก่อนเธอ 2 ปีครับ แล้วผมก็ต้องหางานทำ ผมได้งานทำที่เชียงใหม่ ส่วนเธอยังคงเรียนอยู่ที่เชียงราย (คิดล่ะสิว่า ผมจะกลับไปหาแฟนเก่า คุณคิดผิดนะคร้าบบบ) พอผมทำงานได้สักระยะหนึ่ง (นานพอดูเหมือนกันนะ) ผมก็ได้เจอกับรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งครับ บอกได้เลยว่า หลงครับ ไม่ได้รักนะ แต่หลงมากๆ ผมแอบคบกับพี่คนนั้นอยู่ประมาณ 3 เดือนได้ จนคนในบริษัทต่างรู้กันว่า ผมคบกับพี่เขาอยู่ แล้วจังหวะเวลาฝึกงานของแฟนผมก็มาถึงพอดี เธอมาฝึกงานที่เชียงใหม่ครับ แล้วผมก็เหมือนมีท่าทีที่แปลกๆไปเวลาที่ผมไปหาแฟนที่หอพัก เธอถาม เธออยากรู้ จนผมต้องบอกความจริง สุดท้ายแล้วเราก็เลิกกันครับ แต่ด้วยความเป็นห่วงว่าเธอจะอยู่ยังไงในเชียงใหม่ ผมจึงยังไปมาหาสู่ ช่วยเหลือเธออยู่เรื่อยๆพร้อมทั้งคบกับพี่คนนั้นไปด้วย จนในที่สุดผมก็แพ้ความดีของเธอ (ตรงนี้อยากให้ผู้หญิงทุกคนได้อ่าน อยากจะบอกว่า ถ้าอยากได้ความรัก ควรทำดี ไม่ใช่ทำตัวเป็นนางมารเพื่อแย่งชิงผู้ชายกลับคืนมา เพราะมันไม่มีทางหรอก ที่ผู้ชายจะชอบนางมาร) แพ้ใจตัวเอง กลับไปหาเธอครับ ส่วนพี่ที่ทำงานก็มองหน้ากันแทบไม่ติดเลยครับ

     แฟนผมชวนผมมาทำงานที่กรุงเทพครับ ผมก็ตัดสินใจออกจากที่ทำงานเก่า มุ่งหน้าหาเงิน สร้างครอบครัวที่กรุงเทพ เราสองคนช่วยกันเก็บเงินประมาณ 2 ปีกว่า ก็กลับไปแต่งงานกันที่เชียงราย บ้านของแฟนผมครับ (ประเด็นตรงนี้คือ อยู่ก่อนแต่ง ผมคิดว่าสมัยนี้พ่อแม่ ไม่มีเงินมากพอที่จะเป็นทุนสินสอด และทุนจัดงานแต่งครับ การอยู่ก่อนแต่จึงเกิดขึ้นตามยุคสมัย เพือให้คู่รักได้ช่วยกันเก็บเงิน และศึกษากันให้ถึงที่สุด ก่อนที่จะแต่งงานกันในตอนสุดท้ายครับ)

     นี่แหละครับ เรื่องราวหลังบ้านภาคความรักของผม ชีวิตผมที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้มีแฟนจริงๆจังๆ แค่ 2 คนเท่านั้นเองครับ กับความรักอีก 3 ครั้ง บางคนอาจจะมองว่าน้อยมาก แต่มันก็น้อยในแบบที่มีเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อใช่มั้ยล่ะครับ หรือจะเรียกว่า น้อยแต่คุณภาพคับแก้วดีล่ะ

     เคยมีคนบอกไว้ว่า "ได้กับผู้หญิง 100 คนว่ายากแล้ว แต่บางทีการรักษาผู้หญิงที่ดีไว้กับตัวสักคนก็อาจจะยากกว่า" คุณผู้อ่านก็ลองเลือกดูนะครับว่า อยากจะเป็นแบบได้ผู้หญิงเยอะๆ หรืออยากได้แบบผู้หญิงดีๆคนเดียว แต่อยู่กันไปนานๆ แล้วพบกันใหม่ในตอนที่ 100 ตอนสุดท้ายของนามปากกา "กล่องหกด้าน" ในภาคไลฟ์สไตล์

ตอนที่ 97 (บทความ) _ เมื่อมีหน้าบ้าน...ก็ต้องมีหลังบ้าน (ภาค 2)



เมื่อมีหน้าบ้าน...ก็ต้องมีหลังบ้าน (ภาค 2)

     มาต่อกับหลังบ้านของผมในภาค 2 กันนะครับ ภาคนี้จะพูดถึงอาชีพในฝัน แน่นอนว่าตั้งแต่เด็กจนโต ทุกคนย่อมมีอาชีพในฝันที่อยากจะทำ แต่จะมีสักกี่คนครับ ที่ได้ทำตามฝันจริงๆ (จริงๆก็น่าจะเยอะนะ) ผมยินดีนะครับ กับคนที่ได้ทำอาชีพในฝัน พวกเขาคงมีความสุขมากๆ ที่ได้เติมเต็มความฝัน ส่วนคนที่ไม่ได้ทำอาชีพในฝัน (รวมถึงผมด้วย) ก็คงต้องทำหน้าที่ตามอาชีพปัจจุบันให้ดีที่สุดกันต่อไป เพื่อว่าสักวันหนึ่ง เราจะได้มีโอกาสทำอาชีพในฝันสักที (บางคนเลิกฝันไปละ มุ่งสู่อาชีพใหม่ที่ดีกว่าไปแล้วก็มี)

     อาชีพในฝันของผมขอนับถึงแค่เรียนจบ ป.ตรี นะครับ เพราะถ้านับเอาตอนนี้ด้วย คงจะไม่ใช่อาชีพในฝันแล้วล่ะครับ มันคงเป็นความเพ้อฝันซะมากกว่า ตั้งแต่จำความได้อาชีพในฝันของผมมีแค่ 4 อาชีพเท่านั้น อยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง งั้นก็เริ่มกันเลยกับอาชีพแรก...

     ข้าราชการ ถือเป็นอาชีพแรกสุดเลยที่ผมอยากจะทำ สาเหตุก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ก็เพราะพ่อเป็นข้าราชการนั่นเอง มันก็คงจะซึมซับเข้ามาจนผมอยากทำอาชีพนี้ เวลาพ่อไปทำงานนะ จะทำงานแบบชิวๆ สบายๆ ตกเย็นมีกินเลี้ยง มีไปเที่ยวกัน ตอนนั้นยังเด็กอยู่เนอะ ผมก็รู้สึกว่า เฮ้ย อาชีพนี้ดีจริง ทำงานสบายมากเลยถ้าเทียบกับอาชีพอื่นๆ เช่น พนักงานบริษัท เปิดร้านขายอาหาร ขายโน้น นี่ นั่น ฯลฯ (อาชีพทั้งหลาย ดูมาจากละครทั้งน้านนนน) อารมณ์ตอนนั้นก็เลย ปิ๊ง อาชีพข้าราชการเข้าเต็มๆ

     แต่พอวันเวลาผ่านไป โตขึ้นก็ได้เห็นว่า อาชีพข้าราชการมันช่าง...แสนสบายก็จริง แต่เงินได้น้อย แม้จะมีสวัสดิการ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่พอ พอเกษียณแล้ว มีเงินบำเหน็จบำนาญก็จริง แต่เราจะอยู่ถึงเหรอ และสุดท้าย กว่าจะได้เข้าเป็นข้าราชการ สอบยากไม่ใช่เล่น บทสรุปอาชีพข้าราชการก็เลยถูกพับเก็บจากความฝันไปครับ

     แต่ก็ไม่ใช่ว่าอาชีพข้าราชการไม่ดีนะครับ อาชีพข้าราชการถือว่าดีมากๆอาชีพหนึ่งเลย เหมาะกับคนที่ใช้ชีวิตแบบมีสติ มีแบบแผน ไม่ฟุ่มเฟือย ข้อดีของอาชีพข้าราชการมีเยอะนะครับ เพียงแต่ว่าผมไม่ได้อยู่ในจุดนั้น ผมเลยไม่กล้าที่จะเขียนถึง กลัวข้อมูลจะผิดครับ (แฟนผมก็ทำงานข้าราชการนะครับ แต่เป็นแบบลูกจ้างรายปี ไม่ได้บรรจุ)

     อาชีพที่สองที่จะพูดถึง อาจจะฟังดูแบบ...มึงบ้ารึเปล่าก็ได้นะครับ เพราะอาชีพที่ผมอยากทำก็คือ คนสวนครับ (คนสวน ไม่ใช่ชาวสวนนะครับ) เอ้าๆ อึ้งเลยสิครับ มันมีที่มาครับ พ่อผมนอกจากจะเป็นข้าราชการแล้ว ยังเป็นเกษตกรด้วย พ่อทำสวนลำไยครับ แน่นอนว่าผมก็ต้องได้ซึมซับข้อมูลการทำสวนมาด้วย แต่...ผมไม่ได้อยากเป็นชาวสวน ผมอยากเป็นแค่คนสวน ที่ดูแลต้นไม้ให้กับบริษัท หรือบ้านใครก็ได้ครับ (แหวกแนว แหกกฎชาวสวนกันไปเลย) ผมอยู่กับสวนลำไยมานานพอสมควร ผมเลยชอบธรรมชาติครับ แต่ผมก็ไม่ได้ชอบเป็นชาวสวน ที่ต้องปลูกผลไม้ขาย เพื่อหาผลกำไร ผมต้องการแค่ได้อยู่กับธรรมชาติก็พอแล้ว ความคิดการอยากทำอาชีพคนสวนเลยเกิดขึ้น

     ยิ่งได้ดูละครที่มีบ้านหลังใหญ่ มีสวนหน้าบ้าน ปลูกต้นไม้ แล้วมีคนสวนคอยดูแลนะครับ ผมดูแล้วยิ่งอยากทำอาชีพคนสวนครับ เพราะมันดูแบบ...วันๆไม่ต้องทำอะไรมาก ดูแลแต่สวน ต้นไม้ก็พอ (ยิ่งถ้าเจ้าของบ้านมีลูกสาวสวยๆนะ อืม...ปล้ำทำเมียมันซะเลย เฮ้ย ไม่ใช่ละ ฮ่าาา) ได้ดูพวกรายการที่พาไปดูบ้านจัดสรร รีสอร์ท ที่ต้องมีคนสวนช่วยดูแลด้วยแล้ว ยิ่งชอบเลยครับ แต่บทสรุปสุดท้ายก็คือ ลองไปทำดูสิ พ่อได้ด่าให้ อาชีพนี้ก็เลยต้องพับเก็บไปจนได้

     อาชีพที่สามนั้น ผมคิดต่อยอดมาจากอาชีพที่สองครับ อาชีพนั้นก็คือ ออกแบบสวน จัดสวน และดูแลสวนครับ เป็นเหมือนกับการเปิดบริษัทรับเหมาออกแบบสวนนั้นเอง แต่จริงๆมันทำคนเดียวได้ครับ เพราะทุกอย่างอยู่ในหัวสมอง เราทำหน้าที่แค่ออกแบบสวน เลือกพันธุ์ไม้ สั่งซื้อ จัดสวน แล้วก็ดูแลสวนหลังการจัดเท่านั้น ส่วนแรงงานก็ให้ทางเจ้าของบ้านเป็นคนจัดการให้ แต่ว่าถ้าจะให้ดี เปิดเป็นบริษัทแล้วมีคนงานของตัวเองน่าจะดีกว่านะครับ แบบครบวงจรไปเลย คนน่าจะชอบกว่า

     ผมเคยมุ่งมั่นกับอาชีพนี้มาก ศึกษาวิธีจัดสวนตามหนังสือต่างๆ โดยเฉพาะหนังสือบ้านและสวน สวนมีมากมายหลายแบบกว่าที่คิด สวนบนดินปกติ สวนแนวตั้ง สวนลอยฟ้า สวนน้ำ ฯลฯ การจัดวางแผนผังของเนินดิน ทางเดิน สระน้ำ ต้นไม้ ฯลฯ อีกเยอะครับรายละเอียดของการจัดสวน ถึงขนาดที่ว่า ต้นไม้ที่มีกลิ่นแรงมาก ก็ไม่ควรอยู่เหนือลม เพราะจะทำให้คนในบ้านเวียนหัวเพราะ กลิ่นได้ (ออกแบบสวน ต้องดูทิศทางลมด้วยนะ) ต้นไม้ต้นใหญ่ที่มีใบบังแสงได้ดี ก็ควรใช้บังแดดช่วงบ่าย แต่ก็ไม่ควรบังจนทึบ เพราะถ้าตกเย็น แสงจะน้อย และทำให้ภายในบ้านมืดเร็วเกินไป (ออกแบบสวน ต้องดูทิศตะวันออก ตะวันตกด้วยนะ)

     พันธุ์ไม้ก็ต้องศึกษานะครับ ว่าต้นไม้อะไรทนต่อแสงแดดจัดได้บ้าง ทนต่อปริมาณน้ำได้มากแค่ไหน ชนิดไหนคือ ไม้ใบ ไม้ดอก การจัดวางพันธุ์ไม้ให้เป็นแนวกำแพง ก็ต้องดูด้วยว่า ต้นไหนควรอยู่หน้า ต้นไหนควรอยู่หลัง ไม้ดอกเอาไว้กับไม้ใบได้หรือไม่ (ยิ่งเขียนยิ่งรื้อฟื้น ยิ่งเขียนมันส์แฮะ) มีต้นไม้อยู่ชนิดหนึ่งที่ผมจำได้ขึ้นใจเลยว่า ถ้าไม่มีสนามหญ้ากว้างๆ หรือที่โล่งกว้าง เป็นไปได้อย่าปลูกเด็ดขาด นั่นก็คือ ต้นไผ่ สาเหตุก็เพราะว่า ต้นไผ่พอถึงฤดูใบไม้ร่วง ใบมันจะร่วงจนกองเต็มพื้นที่เลย แล้วถ้าเป็นสนามหญ้ากว้างๆ หรือที่โล่งกว้างๆ การเก็บกวาดก็จะง่าย แต่ถ้ามันใบมันร่วงตามพื้นที่สวน พื้นที่แคบๆ ต้นไม้แน่นๆ หรือที่อื่นๆตามซอก ตามมุม มันก็จะดูแลยาก จากสวนที่สวยๆ ก็จะดูรก และสกปรกทันที (จำไม่ได้ว่าหนังสืออะไร เพราะนานมากแล้ว) ข้อดีของต้นไผ่ คือ บังลม บังแดด เวลาลมพัดใบมันสีกัน มันจะฟังแล้วผ่อนคลาย แต่สุดท้ายก็ต้องพับอาชีพนี้เก็บ เพราะไม่มีทุนไปเริ่มทำน่ะสิครับ จะให้ไปกู้มาทำก็คงไม่ไหว เพราะมันมีเหตุผลบางอย่างกั้นขวางอยู่ครับ

     อาชีพสุดท้ายที่เคยฝันไว้ แล้วเข้าไปใกล้ได้มากที่สุดก็คือ เปิดร้านเช่าหนังสือครับ ด้วยความที่รักการอ่าน และการเขียน ทำให้ได้รู้จักธุรกิจร้านเช่าหนังสือ เคยฝันไว้ว่า เปิดร้านเช่าหนังสือไปด้วย เขียนเรื่องสั้น แล้วทำรูปเล่มเอาไปวางให้เช่าด้วย มันช่างเป็นฝันที่มีความสุขซะจริงๆ อาชีพนี้ฝันไว้เมื่อตอนเรียนใกล้จะจบ ป.ตรี พอจบมาก็หางานทำ หาทุนก่อน จนเมื่อประมาณ 3 ปีก่อน (ประมาณปี 2554 .. หาทุนนานมาก) ผมมีทุนพอที่จะเปิดร้านจนได้ ผมค้นหาผู้ให้บริการเปิดร้านเช่าหนังสือดู ตอนนั้นลงทุนประมาณ 75,000 บาท ก็ได้ร้านที่มีหนังสือครบเลย

     ผมวางแผนไว้ดิบดีเลยครับ มองหาทำเลเปิดร้าน สอบถามราคาค่าเช่าตึก จนได้ที่ที่คิดว่าน่าจะเหมาะแล้ว (ถึงขนาดประกาศตามหาคนเช่าพื้นที่หน้าร้านเปิดร้านกาแฟ แล้วก็มีคนสนใจแล้วด้วย) ตอนนั้นผมพร้อมทุกอย่าง คิดว่าพอเริ่มเดินเครื่องปุ๊บ ไม่เกิน 1 เดือน อาชีพในฝันของผมก็ต้องได้ทำแน่ๆ แต่แล้ว...ความฝันของผมก็พังลง เฮ้อ...ไม่ขอบอกกล่าวนะครับว่าเพราะอะไร ทีแรกที่ความฝันพังลง ผมก็ยังไม่ยอมแพ้นะครับ ผมยังพยายามเก็บเงินใหม่อีกรอบ แต่จนแล้วจนรอด จากเหตุการณ์ในวันนั้น มันก็ยังมีผลมาจนถึงวันนี้ ทำให้ผมเริ่มจะต้องพับเก็บอาชีพในฝันไปแล้วล่ะครับ

     เป็นยังไงบ้างครับ 4 อาชีพในฝันของผม จะเหมือนของใครบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้นะครับ แม้ว่าจะไม่ได้ทำอาชีพในฝันที่เคยฝันไว้ แต่อาชีพที่ผมทำอยู่ตอนนี้มันก็ถือว่าดีมากแล้วล่ะครับ ผมยังหวังว่าสักวันหนึ่ง ผมคงจะได้มีโอกาสได้ทำอาชีพในฝันสักอาชีพสิน่า

     บทความภาคอาชีพในฝันก็จบลงแต่เพียงเท่านี้นะครับ แล้วพบกันใหม่ในตอนที่ 98 กับภาคความรักครับ มาดูกันว่า ผมเคยมีแฟนมาแล้วกี่คน...

ตอนที่ 96 (บทความ) _ เมื่อมีหน้าบ้าน...ก็ต้องมีหลังบ้าน (ภาค 1)



เมื่อมีหน้าบ้าน...ก็ต้องมีหลังบ้าน (ภาค 1)

     บังเอิญได้ติดตามข่าวอีกมุมมองชีวิตหนึ่งของน้อง ไลล่าเหนี่ยวไก่ ผู้โด่งดังชั่วข้ามคืนผ่านทางเว็บไซต์ ไทยรัฐออนไลน์ ซึ่งในเนื้อข่าวก็ได้ไปเจาะมุมมองของชีวิตที่ไม่ได้ตลก และโดดเด่นอะไรของน้องมาให้ได้รู้กัน แต่ผมไม่ขอพูดถึงนะครับ ผมอยากให้น้องได้เป็นเด็กที่น่ารักสำหรับท่านผู้อ่าน แบบที่ได้เห็นในข่าวเหนี่ยวไก่จะดีกว่า

     หลังจากที่ได้อ่านข่าวน้องไลล่าจบแล้ว ก็มาสะดุดตรงประโยคเด็ดที่ว่า "เมื่อมีหน้าบ้าน...ก็ต้องมีหลังบ้านเสมอ" (ประมาณว่า คนเราย่อมมีเบื้องหน้า และเบื้องหลังเสมอ ... เห็นเงียบๆ แต่ฟาดเรียบนะคร้าบบบบ ฮ่าๆๆ) ผมเลยคิดว่า อีก 4 บทความที่เหลือ (จะครบ 100) จะขอเขียนถึงหลังบ้านของผมก็แล้วกันครับ จะได้เป็นเหมือนการปูทางให้นามปากกาใหม่ ต.ต้น ไปด้วยในตัว โดย 4 บทความที่จะเป็นหลังบ้านก็มีดังนี้...

     ตอนที่ 96 (บทความนี้นี่แหละ) จะเขียนถึงภาคการศึกษา, ตอนที่ 97 (บทความ) จะเขียนถึงภาคอาชีพในฝัน, ตอนที่ 98 (บทความ) จะเขียนถึงภาคความรัก, ตอนที่ 99 (เรื่องสั้น) "อิ่มสุข" แทรกเรื่องสั้นนิดนึง และตอนที่ 100 (บทความ) จะเขียนถึงภาคไลฟ์สไตล์ (ยืมหัวข้อมาจากข่าวของน้องไลล่าล้วนๆเลย) เอาล่ะครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มเรื่องภาคการศึกษาชองผมกันเลยดีกว่า

     จริงๆแล้วผมเป็นคนที่ความจำไม่ค่อยดี ความจำสั้้นนะครับ เรื่องในอดูด เฮ้ย อดีตที่จะจำได้ส่วนมากจะต้องฝังใจจริงๆถึงจะจำได้ ไอ้ประเภทที่ว่า รู้หมดว่าอนุบาล ประถม มัธยม ยัน ป.ตรี โท เอก ทำอะไรไว้บ้าง จำได้หมด เออ...ผมไม่มีหรอกครับ ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าแล้วก็จบบทความเลยละกัน...เฮ้ย ไม่ใช่ละ ผมก็จะเขียนเล่าเท่าที่จำได้ก็แล้วกันนะครับ

     เริ่มกันตั้งแต่อนุบาลกันเลย ถ้าจำไม่ผิด ผมจะได้เรียนอนุบาลถึง2 โรงเรียนด้วยกัน...มั้ง (ก็บอกแล้ว ว่าความจำสั้น) ที่จำได้ที่แรกเลยคือ โรงเรียนอนุบาลสุเทพ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ผมจำประตูรั้วโรงเรียนได้แม่นเลยครับ ประตูรั้วโรงเรียนจะเป็นประตูเหล็กทึบ ทาสีด้วยสีส้มทั้งบานเลย นี่แหละครับ ผมจำได้แค่นี้แหละ ส่วนในตัวโรงเรียนเป็นยังไง...ผมจำไม่ได้ สาเหตุที่ผมจำประตูรั้วโรงเรียนสีส้มนี้ได้ ก็น่าจะเพราะว่า ผมต้องไปเปิดประตูรั้วเข้าไปโรงเรียนบ่อยๆ พอโตมาก็ได้คิดว่า ที่เราต้องเปิดประตูรั้วโรงเรียนบ่อยๆนี่ เราไปสายบ่อยรึเปล่าล่ะเนี่ย (เข้าสายแต่เด็กเลยรึเรา)

     โรงเรียนต่อมาก็คือ โรงเรียนอนุบาลเชียงใหม่ครับ ถ้าผมจำไม่ผิด ผมต้องมาเรียนอนุบาลซ้ำที่นี่อีกครั้ง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไม ณ โรงเรียนแห่งนี้ผมเรียนจนจบ ป.6 เลยครับ เรื่องราวประทับใจมีเยอะนะครับ แต่ก็เลือนลาง เพราะจำไม่ค่อยได้ เช่น ปลูกถั่วงอกขึ้นเป็นครั้งแรก จำได้ว่าใช้ภาชนะอะไรสักอย่างนี่แหละ แบนๆหน่อย แล้วก็เอาทิชชู่วาง เอาเมล็ดถั่วเขียววาง เอาทิชชู่ปิดทับอีกรอบบางๆ รดน้ำ แล้วก็รอมันงอก เฮ้ย มันงอกจริงๆด้วย ตอนนั้นดีใจสุดๆ เราทำได้, ปลูกผักบุ้งเก็บกลับบ้าน เป็นการปลูกผักชนิดแรกในชีวิตเลยทีเดียว, ได้ลงแข่งวิ่งพลัด 4x100 เป็นครั้งแรก ตอนซ้อมกันชิวๆ 4 คน วิ่งยังไงๆความเร็วของผมก็ดีที่สุด แต่พอตอนแข่งจริงๆ ผมเป็นไม้สุดท้าย ทีเด็ดเล้ยยย ... 3 ไม้แรกเพื่อนๆช่วยกันวิ่งจนนำโด่ง แล้วพอมาถึงผมไม้สุดท้าย หึหึ ร่วงรูดครับ จากที่นำโด่ง จบที่ 5 ซะงั้น ไม่ใช่ว่าคนอื่นวิ่งเร็วนะครับ แต่ผมวิ่งช้าเอง จำได้ความรู้สึกตอนนั้นคือ ทั้งตัวมันหนักไปหมด ขาหนักมาก แล้วก็เหมือนขามันสั้นลงยังไงก็ไม่รู้ วิ่งไปๆๆ โดนแซงกระจายยยย รู้เลยว่า คำว่ากดดัน มันเป็นยังไงก็ตอนนั้นนั่นเองครับ

     ได้รู้จักความชอบผู้หญิงมันเป็นยังไง (แค่ชอบนะครับ ยังไม่ถึงขึ้นรัก) ตอนนั้นชอบดาวห้องเลยครับ ชื่อ นิตยา เป็นผู้หญิงที่สูง และขาวเด่ด เรียนเก่งที่ 2 ของห้อง (เรียนเก่งที่ 1 ของห้องก็คือ หัวหน้าห้อง) ผมคิดว่า คนอื่นๆก็คงจะชอบเหมือนผมนี่แหละ แต่มันก็แค่ชอบแบบเด็กๆล่ะครับ, ได้เรียนรู้วิชาทำอาหารเมนู 'หมูในซอลมะเขือเทศ' ผมเอากลับไปทำที่บ้านเลยครับ (โชคดีมากที่ในตู้เย็นมีของครบ) ผมทำเองทุกอย่าง ตั้งแต่เตรียมเครื่อง ยันปรุงเสร็จ พอทำเสร็จก็เอาให้พ่อแม่กิน แล้วพ่อกับแม่ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "เฮ้ย นี่มันน้ำพริกอ่องชัดๆ" เงิบเลยครับผม ครูหลอกผมซะแล้ว, ได้ตีลังกายิงประตู (โอเวอร์เฮดคิก) จำได้ว่าเตะบอล(พลาสติก)เล่นกันหน้าโรงเรียน รอรถมารับ แล้วบอลลอยมาตรงหัวพอดีในระดับพอเหมาะ ด้วยสัญชาตญาณกองหน้าก็เลย ตีลังกาเตะเลยครับ ลงพิ้นตุ๊บ!!! จุกครับ แต่บอลเข้าประตู คนยืนตะลึงกันหมดเลย ฮ่าๆๆ (จนตอนนี้ ก็ยังทำไม่ได้อีกเลย)

     ได้ลองกำลังขา เดินจากโรงเรียนไปบ้านยาย ระยะทางน่าจะประมาณ 5-6 กิโลเมตรได้ (อารมณ์ศิลปินเดินชิวๆข้างทาง) เดินบ่อยจนพ่อบ่น ว่าทำไมไม่ขึ้นรถรับส่งกลับบ้าน พ่อขี้เกียจแวะไปรับที่บ้านยาย เอ๊ะ...ก็จำได้เยอะอยู่นี่หน่า พอแค่นี้ดีกว่าครับ เดี๋ยวจะยาวเกิน สรุปเรื่องการเรียนนิดนึง ผลการเรียนก็อยู่ที่กลางๆครับ ไม่ค่อยมีเกรด 4 แต่ก็ไม่ค่อยมีเกรด 1

     ต่อมาก็ชั้นมัธยมต้น โรงเรียนที่ได้ไปเรียนก็คือ โรงเรียนยุพราชวิทยาลัยครับ ผมเรียนอยู่ที่นี้ 3 ปี ด้วยวัยที่โตขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม ยิ่งโต ยิ่งจำอะไรไม่ค่อยได้ เท่าที่จำได้ก็เช่น มีเพื่อนสนิทชื่อ โอ๋ ผมได้พาโอ๋ไปเที่ยวเที่ยวทะเลกับครอบครัวผมด้วย (แต่หลังจากที่เรียนจบ ม.3 ก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย), ได้รู้จักคุณครูวัฒนา ซึ่งเป็นครูที่เหมือนอาจารย์แม่มาก ปากร้าย แต่ใจดี สอนดี เข้าใจง่าย ครูสอนวิชาภาษาไทยครับ, ได้รู้จักคุณครูสืบศักดื์ ซึ่งเป็นครูสอนวิชาลูกเสือ แต่ครูก็สอนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์ด้วย (ไปเรียนพิเศษกับครูอยู่ 1 เทอม), ได้เรียนปิงปองเป็นครั้งแรก จนทำให้พ่อต้องซื้อโต๊ะปิงปองมาไว้ที่บ้าน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกชาย (จำไม่ได้ ว่าไปขอพ่อยังไง พ่อถึงยอมซื้อ) จำได้ว่าครูจะส่งเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่ง เพราะครูบอกว่า ผมเล่นได้เหนียวแน่น เสียแต้มยาก แข่งกันในห้องนี่ ผมชนะขาด แต่พอดีผมไหวตัวทัน ตอนคัดตัวเพื่อเป็นตัวแทนโรงเรียน ผมเลยเล่นแบบ...กูอยากแพ้ เลยตีพลาดแล้ว พลาดอีก จนหลุดตัวแทน (ควรดีใจกับผมนะ ฮ่าาา) แต่สุดท้าย ผมก็ได้เป็นคู่ซ้อมให้เพื่อนตัวแทนโรงเรียน น่าเสียดายที่เพื่อนผมทำได้ดีที่สุดแค่รอบ 8 คนสุดท้าย

     ได้รู้จักซุปเปอร์ไซย่า สาวผมทอง เธอเด่นมากๆ แต่ผมก็ไม่เคยได้คุยกับเธอ เพราะไม่รู้จะคุยอะไร, ได้ทำหน้าที่พ่อสื่อเป็นครั้งแรก มีใครชอบสาวคนไหนก็มาขอให้ผมเข้าไปช่วยถามชื่อ ถามเบอร์โทรให้ตลอด (กูไปติดป้ายไว้บนหัวตอนไหน ว่ากูรับหน้าที่นี้ได้) จำได้แม่นอยู่คนหนึ่ง สาวดาวเด่นประจำ ม.3 ชื่ออ้อม ขนาดรุ่นพี่ ม.6 ยังมาตามจีบ แล้วไอ้เพื่อนตัวดีดันชอบ ส่งผมไปเป็นหน่วยกล้าตาย ถามชื่อ ถามเบอร์โทรให้หน่อย ผมก็จัดให้ เดินตรงๆเข้าไปถามเล้ยยยยย ได้ชื่อครับ แต่ไม่ได้เบอร์โทร แล้วหลังจากนั้นก็ปล่อยให้เพื่อนมันจีบไป สุดท้ายไม่รู้เป็นไงนะครับ ผมไม่ได้ติดตามผล (นี่คือจุดเริ่มต้นของความหน้าด้านในเรื่องสาวๆ), ได้รู้จักการโดดเรียนเป็นครั้งแรก โดดไปไหน ไปเล่นเกมครับ ไอ้เพื่อนโอ๋เลยตัวดี พาโดดเรียน (น้องๆไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างนะครับ เพราะบทสรุปสุดท้ายแล้ว สอบตกครับ) พอดีกว่า เริ่มเยอะแล้วเหมือนกันแฮะ ไหนว่าจำไม่ได้ไง สรุปเรื่องผลการเรียนนิดนึง ชั้นมัธยมนี่ เกเรครับ เกรดต่ำมาก ได้ 0 อยู่หลายวิชาเลย กว่าจะซ่อม 0 จบได้ แทบแย่เลยครับ

     ต่อมาที่ ปวช. และปวส. ที่ วิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ครับ ผมหันเหชีวิตจากเด็กเรียนมาเป็นเด็กช่าง เพราะผมรู้สึกว่า ผมไม่เหมาะกับสายวิชาการเท่าไหร่ ผมน่าจะเหมาะกับสายอาชีพมากกว่า แรกเริ่มเดิมทีเลย ผมจะเรียนไฟฟ้าครับ แต่พ่อขัดขา ขัดแขน จับหัวโขกขอบเตียง สมองผมเลยเบลอๆ พ่อสั่งให้เรียนวิชาก่อสร้าง ผมก็เลยเรียน (มันใช่เหรอ โหดไปมั้ย ฮ่าาา จริงๆพ่อผมจบไฟฟ้าครับ เลยอยากให้ผมเรียนไปทางอื่นบ้าง) ณ การเรียนที่นี่ทำให้ผมได้เพื่อนสนิท ที่สนิทกันมาจนถึงบัดนี้ ส่วนเรื่องราวที่พอจะจำได้ในสถานศึกษาแห่งนี้ก็เช่น ได้รู้ว่า การเรียนภาคค่ำ มันสนุกกว่าภาคเช้าเยอะเลย ไม่ต้องตื่นเช้า มีเวลาลอกการบ้านเพียบ เรียนเสร็จก็ไม่ต้องรีบเก็บของ เพราะไม่มีใครมาเรียนต่อ ขับมอไซค์ตอนดึกๆ (หลังเลิกเรียน) มันชิวมากๆ

     ได้เป็นดาวเด่นประจำแถว ตอนที่เข้าแถวเคารพธงชาติตอนเช้า ถ้าผมไปยืนอยู่ข้างหลังทีไร จะโดนรุ่นพี่สาวๆ 3-4 คน ช่วยกันลากตัวขึ้นไปยืนหน้าสุด แล้วพวกรุ่นพี่สาวๆ ก็จะซุบซิบอะไรกันก็ไม่รู้ เป็นแบบนี้ตลอดเทอม จนรุ่นพี่เรียนจบออกไป ผมถึงไม่ต้องยืนหน้าสุด (อารมณ์ตอนนั้นเข้าเรียนใหม่ๆ ยังไม่สนใจเรื่องความรัก สนใจแต่เล่นเกม เลยไม่ได้สนใจพวกรุ่นพี่สาวๆ และเหตุการณ์นี้ ก็คือจุดเริ่มต้นของการ...หลงตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้ ฮ่าาาา), ได้รู้ว่าห้องสมุดนั่นน่าอยู่เพียงใด มันมีความรู้ ความเงียบ ความสงบมากๆ (จุดเริ่มต้นของการรักการอ่าน และการเขียน), ได้เจอการรับน้องครั้งแรกในชีวิต กินอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ น่ากินทั้งน้านนนนน...ประชด ได้คลุกดิน คลุกทราย นอนในน้ำ โดนทาสี โอยยย...สารพัด จำไม่ได้ แต่ที่จำได้คือ กลายร่างเป็นมนุษย์สีเหลือง ขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้านนี่แหละ คนมองกันตรึม จอดติดไฟแดงกลางสี่แยก โคตรเท่เลยครับพี่น้องคร้าบบบบ

     ได้รู้จักพลังจักรวาล จากอาจารย์......จำชื่อจริงอาจารย์ไม่ได้ เพราะเรียกแต่อาจารย์เหยินตลอดเลย (พลังจักรวาลมีจริง ลองถากูเกิลได้) แล้วก็เจอการหักคะแนนที่บ้าที่สุดในโลก หักทีเป็นแสน เป็นล้าน หักกันเจ็ดชั่วโคตรก็มี (ประมาณว่า ลูกหลานแกมาเรียน ก็มีคะแนนติดลบตั้งแต่เริ่มเรียนละ) จากอาจารย์เหยินคนเดิม, ได้รู้จักการบริจาคเลือดเป็นครั้งแรก แต่บริจาคไม่ได้ เพราะน้ำหนักไม่ถึง (สมัยนั้นยังดูน้ำหนักด้วย), ได้รู้จักความรักเป็นครั้งแรก (สมัย ปวส. แล้วนะที่รู้จักความรัก ตอน ปวช. ไม่สนใจความรักเลย เล่นแต่เกม) และที่สำคัญ ได้เพื่อนที่ดี ที่คบกันมาจนถึงทุกวันนี้ พอละเนอะ เริ่มคิดไม่ออกละ สรุปเรืองผลการเรียนกันสักหน่อย เนื่องด้วยติดเกมเอามากๆ ผลการเรียนเลยอยู่กลางๆ ค่อนลงมาข้างล่าง ไม่มีติด 0 แต่ก็ไม่มีเกรด 4 (ช่วงวัยรุ่นนี่ สำคัญมากจริงๆ ถ้าเสียก็เสียไปเลย ดีที่ผมรอดมาได้)

     จบสุดท้ายที่ ปริญญาตรี คราวนี้ไปข้ามจังหวัด เพราะไปเรียนที่ ราชภัฏเชียงราย (สมัยนั้นยังเป็นแค่ ราชภัฏ) ผมบอกแล้วนะครับ ว่ายิ่งโต ยิ่งจำไม่ได้ ไม่รู้ทำไม เรื่องราวที่พอจะจำได้ตลอด 2 ปีที่เรียนที่นี่ก็เช่น ได้อยู่ไกลบ้านเป็นครั้งแรก รู้สึกปลอดโปร่ง โล่งมาก ที่ไม่ต้องมีใครมาคอยจับตามอง คอยควบคุมว่า อยู่ที่ไหน กลับบ้านได้แล้ว, ได้ออกค่ายอาสาเป็นครั้งแรก ขึ้นไปบนดอยอะไรก็ไม่รู้จำไม่ได้ ขึ้นไปสร้างอาคารเรียนให้เด็กๆ อากาศหนาวมาก เพราะขึ้นไปกันหน้าหนาว นอนในเต้นท์นี่ มีน้ำหยดใส่เลยทีเดียว ถึงจะลำบาก แต่พอสร้างอาคารเสร็จแล้ว ก็ภูมิใจมากๆเลยครับ, ได้รู้ว่า ราชภัฏเชียงรายเนี่ย กว้างใหญ่น่าดูเลย ถ้าไม่มีรถมอเตอร์ไซค์ ก็เดินทางไปเรียนลำบากเลยล่ะ

     ได้รู้จักชีวิตเด็กหอ ว่าถ้าคบเพื่อนไม่ดีนี่ ชีวิตพังเสียคนได้เลยทีเดียว ดีที่ผมเลือกคบเพื่อนถูก ชีวิตเด็กหอเลยไม่มีอะไรน่าห่วง, ได้รู้จักการทำวิจัย ว่ากว่ามันจะผ่านได้นี่ ยากแค่ไหน (ก็เล่นซะ 2 เทอมแน่ะ กว่าจะผ่าน), ได้รู้จักอีเมล์ครั้งแรก เพราะต้องส่งงานผ่านทางอีเมล์ แล้วอีเมล์นั้นก็ใช้มาถึงทุกวันนี้้, ได้รู้จักโปรแกรม Auto Cad มากขึ้น ต่อยอดจากที่เคยเรียนเมื่อตอน ปวช. (ตอน ปวส. ไม่มีสอน) และมันเป็นโปรแกรมที่ใช้ทำงาน หากินอยู่ในทุกวันนี้, ได้รู้ว่าตัวเองเหมาะกับงานเขียนแบบ มากกว่างานใช้แรงงาน หรือคุมงาน เพราะตัวเองไม่ชอบมีอำนาจ หรือเป็นคนขี้เกรงใจนั่นเอง, ได้ค้นพบตัวเองว่า จริงๆแล้วตัวเองเหมาะกับการเล่นฟุตบอลในตำแหน่งกองหลังมากกว่ากองหน้า และที่สำคัญก็คือ ได้เจอคนรัก ที่รักกันมาจะ 14 ปีเข้าไปแล้ว เห็นมั้ยครับว่า ยิ่งโต ยิ่งจำอะไรไม่ค่อยได้ หรือเพราะไม่อยากจำก็ไม่รู้ เลยคิดอะไรไม่ค่อยออก (หรือเราจะ ช่างมัน มาเกินไป เลยจำอะไรไม่ค่อยได้)

     เรื่องราวหลังบ้านในภาคการศึกษาของผมก็มีเพียงเท่านี้แหละครับ จริงๆอยากจะให้รู้ว่า ผมเรียนที่ไหนมาบ้างแค่นั้นนะครับ แต่ว่าไหนๆก็เขียนย้อนอดีตแล้ว ผมก็เลยเขียนเล่าอดีตของผมให้อ่านไปด้วยซะเลยละกัน เผื่อว่ามันจะทำให้ใครหลายๆคนที่ได้อ่าน ได้รื้อฟื้นความสุขในวัยเรียนขึ้นมานั่งอมยิ้มกัน แล้วพบกันใหม่ในตอนที่ 97 ในภาคอาชีพในฝันครับ

ตอนที่ 95 (บทความ) _ เซลฟี่ซินโดรม



เซลฟี่ซินโดรม

     โรคเซลฟี่ซินโดรม ถือเป็นโรคอุบัติใหม่ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับยุคสมัยที่เทคโนโลยี และโลกอินเตอร์เน็ตเติบโตอย่างสุดๆ แต่ไหนแต่ไรคนที่ชอบถ่ายรูป หรือที่เราเรียกว่าเซลฟี่นั้นมีอยู่มากมายทั่วโลก เพียงแต่ว่าในการเซลฟี่เมื่อครั้งนั้น จะเป็นการถ่ายเก็บไว้ดูเอง หรืออวดเพื่อนๆ ให้มีเรื่องพูดคุยกันเพียงเท่านั้น (เอาโพสลงในโลกอินเตอร์เน็ตเหมือนกัน แต่มีคนเห็นแค่พวกเพื่อนๆที่สนิทกัน)

     แต่เมื่อเทคโนโลยี และโลกอินเตอร์เน็ต หรือที่เราเรียกว่า โลกโซเชียลเติบโตอย่างสุดๆ การเซลฟี่จึงไม่ใช่การถ่ายเก็บไว้ดูคนเดียว หรือพูดคุยเฉพาะกลุ่มเพื่อนที่สนิทเท่านั้น หากแต่เป็นการโพสลงในโลกโซเชียลเพื่อให้ได้มาซึ่งยอดไลค์ ยอดวิว ยิ่งได้ไลค์ ได้วิวมาก ก็จะยิ่งรู้สึกดี จนทำให้เกิดเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ชื่อว่า โรคเซลฟี่ซินโดรม (รู้สึกว่ามันวกๆ วนๆมั้ย)

     โรคนี้เหมือนจะไม่น่ากลัว เพราะมันก็แค่การถ่ายรูปลงโซเชียล แล้วให้คนอื่นๆได้ดู ได้เห็น ได้ชื่นชม ได้มากดไลค์ ได้มาแสดงความคิดเห็นเล็กๆน้อยๆ แต่ใครจะเชื่อล่ะครับว่า นั่นแหละคือ จุดเริ่มต้นของโรคเซลฟี่ซินโดรม

     โรคเซลฟี่ซินโดรม มีคนเคยบอกไว้ว่า มันเหมือนยาเสพติดชนิดหนึ่งเลยทีเดียวนะครับ เพราะว่ามันมีการเสพติดยอดไลค์ ยอดวิว และยอดความคิดเห็น พอวันไหนไม่ได้ยอดกดไลค์ หรือได้น้อยลง คนที่เป็นโรคนี้ก็จะรู้สึกหงุดหงิด อารมณ์เสียไปทั้งวันกันเลยทีเดียว

     จากเริ่มแรกที่ถ่ายหน้าธรรมดาๆ แอ๊บแบ๊ว หน้าใสๆ ยอดไลค์ได้ระดับหนึ่ง พอวันหนึ่งไปเห็นคนอื่นได้ยอดไลค์มากกว่า ก็เกิดอาการอยากได้บ้าง ก็เริ่มมีมุมที่น่าดู น่าลุ้นมากขึ้น แน่นอนว่ายอดไลค์ก็ต้องเพิ่มตาม (บางคนไม่ต้องไปเห็นคนอื่น แต่เกิดอาการอิ่มตัวกับมุมเดิมๆ ก็เริ่มหามุมใหม่มันเองซะเลย เหมือนติดยา แล้วต้องการยาเพิ่มเพื่อความหลอน) นานวันไปยอดไลค์นิ่ง หรือลดลง เกิดอาการไม่พอใจในตัวเอง คราวนี้เน้นนมกันไปเลย ยอดไลค์พุ่งกระฉูด อารมณ์ดีไปทั้งวันที่ได้ยอดไลค์ตามที่ต้องการ แล้วถ้านานๆไปอีกล่ะ ไม่พอใจอีกล่ะ ก็แล้วแต่จะคิดกันนะครับ

     หลายคนอาจจะมองว่า เฮ้ย มันไม่จริงหรอก ใครจะไปบ้าทำแบบนั้น แต่คนที่เป็นโรคเซลฟี่ซินโดรมเนี่ย เค้าเป็นจริงๆนะครับ ยิ่งบางคนหนักเลยครับ ต้องเซลฟี่เพื่อเสพยอดไลค์ทุกๆ 1 ชั่วโมง ไม่งั้นจะกระวนกระวาย ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรทั้งนั้น (บางคนจะเซลฟี่ทุกๆกิจกรรม เพื่อให้ได้ยอดไลค์ ... ดีนะ มันไม่เข้าห้องน้ำไปด้วย เซลขี้ เอ้ย เซลฟี่ไปด้วย)

     บางคนเห็นคนอื่นเซลฟี่โชว์เรือนร่างใส่เพียงชุดชั้นใน ยอดไลค์เพียบ ก็เกิดอาการอิจฉา อยากลองทำบ้าง อยากได้ยอดไลค์แบบนั้นบ้าง อะ...ลองดูสักทีก็พอละ (ให้สัญญากับตัวเองว่า..จะถ่ายแบบนี้ครั้งเดียวจริงๆ) แค่นั้นแหละ พลาดแล้ว พอโชว์เรือนร่าง แล้วยอดไลค์ ยอดความคิดเห็นชื่นชมสูงมากๆ พอกลับไปโพสแค่หน้า แค่เนินอก เฮ้ย ยอดไลค์ตก เสียความรู้สึก เลยต้องลุกขึ้นมาถ่ายโชว์เรือนร่าง เพื่อเสพยอดไลค์สูงๆอีกจนได้

     เคยมีข่าวว่า สาวบางคนโพสเซลฟี่ แต่ยอดไลค์ไม่ได้ตามคาด จิตตก คิดจะฆ่าตัวตายก็มีนะครับ (ฟังมาจากหมออีกที ไม่รู้ว่าจริงรึเปล่า)

     ดูเหมือนว่ามันก็ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงเลยใช่รึเปล่าล่ะครับ โรคเซลฟี่ซินโดรมเนี่ย แต่ผมมองว่ามันก็พอจะมีผลกระทบอยู่บ้างนะครับ ที่คิดออกก็ 3 อย่างครับ

     อย่างแรกเลยคือ ร่างกายของเราเอง การเปิดเผยเรือนร่าง ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา หน้าอก สะโพก เรียวขา ทั้งตัว หรือแม้กระทั่งของสงวน มันย่อมมีผลต่อเราแน่นอนครับ เกิดไปเดินซื้อของที่ไหนสักที่ แล้วมีคนจำเราได้ ว่าเราโชว์อะไรบ้าง (ถ้าโชว์แค่หน้าตา หรือมีแอบเซ็กซี่เล็กๆ แล้วมีคนชื่นชม ชื่นชอบ ก็ถือว่าไม่เลวร้ายอะไร) แล้วมองดูเราด้วยสายตาแบบหื่นกระหาย เราจะรู้สึกยังไง จะปลอดภัยรึเปล่า ยิ่งถ้ามีคนใจกล้าเดินเข้ามาบอกเราว่า "น้องๆ พี่เอารูปที่น้องโชว์ ไปช่วยตัวเองเสร็จไปเป็น 10 รอบแล้ว น้องเด็ดมากๆ ถ่ายบ่อยๆนะ พี่ชอบ" เราจะยังกล้าภูมิใจรึเปล่า (หรือจะมีคนชอบของแปลก เซลฟี่เพื่อเก็บยอดผู้ชายช่วยตัวเอง)

     อย่างที่สองก็คือ ครอบครัว และคนรอบข้างของเราครับ พวกเขาจะรู้สึกยังไง ถ้าได้รู้ว่า ลูกสาวของตัวเอง เป็นดาวเด่นในเรื่องโชว์ส่วนต่างๆของร่างกาย ไม่เว้นแม้แต่ของสงวนในโลกโซเชียล อันนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากนะครับ เพราะมันก็รู้ๆกันอยู่

     อย่างสุดท้ายก็คือ สภาพจิตใจของเราครับ อย่างที่บอกไปนะครับว่า คนที่เป็นโรคนี้ค่อนข้างจะจิตตกทันที เมื่อไม่ได้ยอดต่างๆตามที่คาดการเอาไว้ พอจิตตกอะไรๆในชีวิตมันก็ดูเหมือนจะเลวร้ายไปซะหมด (คนที่เคยจิตตกกับเรื่องต่างๆ ไม่เฉพาะเซลฟี่ จะเข้าใจดีเลย) พอเป็นแบบนั้นแล้ว สุขภาพจิต สุขภาพกายมันก็จะมีผลกระทบในทางลบทั้งระยะสั้น และระยะยาว

     ผมไม่รู้ว่าในทางการแพทย์นั้นจะมีผลกระทบอะไรอีกบ้างนะครับ เพราะผมคิดออกเพียงแค่นี้

     โรคเซลฟี่ซินโดรม จริงๆแล้วมันก็คล้ายๆโรคขาดความมั่นใจในตัวเองนะครับ เพราะถ้าเป็นที่ยอมรับของสังคมเมื่อไหร่ โรคนี้ก็จะทุเลาลงเอง แต่พอไม่ได้รับการยอมรับ มันก็จะส่งผลกระทบต่อจิตใจทันที (เอ๊ะ ตกลงนี่ผมเขียนถึงโรคอะไรกันแน่เนี่ย)

     หากจะถามว่า แล้วมันมีวิธีแก้ไข หรือรักษาโรคนี้รึเปล่า คำตอบง่ายๆเลยก็คือ บำบัดเหมือนติดยาเสพติดนั่นแหละครับ พยายามออกห่างจากเซลฟี่ พยายามออกห่างจากโลกโซเชียล เพื่อไม่ให้ได้รับรู้ยอดไลค์ ยอดวิว ยอดความคิดเห็นของคนอื่นๆที่เค้าเซลฟี่โชว์ใครต่อใคร ผมคิดว่าเพียงเท่านี้ อาการของโรคเซลฟี่ซินโดรมก็น่าจะทุเลาได้นะครับ

     อ่อ ลืมไปอีกอย่าง เดี๋ยวนี้มีการพัฒนากล้องเซลฟี่กันขึ้นมา ประมาณว่ากล้องที่ถ่ายเซลฟี่แล้วดูดีโคตรๆ อะไรประมาณนั้น แบบนี้คนที่จะเป็นโรคเซลฟี่ซินโดรมคงจะเพิ่มขึ้นอีกพอสมควรแน่ๆครับ (โรคนี้น่ะเป็นยาก แต่ถ้าเป็นแล้วก็เลิกยากเหมือนกัน .. แต่บางคนทำยังไงก็ไม่เป็น เพราะคนเหล่านั้นไม่ได้ต้องการอะไรจากสังคม และพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่แล้ว)

     โลกนี้อยู่ยากขึ้นทุกวันๆ เซลฟี่แต่พอดีก็แล้วกันนะครับ เฮ้อ...ว่าแล้วก็ขอตัวไปดูสาวๆเซลฟี่โชว์นม โชว์เรือนร่างก่อนนะครับ (ไอ้คนกดไลค์สนับสนุนก็ตัวดีเลย ทำให้คนชอบเซลฟี่ เลยเซลฟี่กระจายยยยย)

ตอนที่ 94 (บทความ) _ ขอแบบ...พอดีๆ



ขอแบบ...พอดีๆ

     ประเด็นของความรักมีมากมายหลายแบบ คุยกันชาตินี้ยันชาติหน้ามันก็ไม่จบ และหาข้อสรุปไม่ได้หรอกว่า จริงๆแล้ว ความพอดีของความรักมันอยู่ที่ตรงไหน เพราะแต่ละคนนั้น มีการกระทำ และความต้องการที่ไม่เท่ากัน ความรักมันก็เลยแปรผันตามคนนั้นๆไปด้วยนั่นเอง

     ดีเจพี่อ้อย แห่งคลับฟรายเดย์ เคยบอกเอาไว้ว่า (จำได้ไม่หมด ไม่ตรง แต่คุ้นว่าน่าจะประมาณนี้แหละ) ความรักไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเก่า ที่จะฉายซ้ำๆกันได้ แม้ว่าจะมีตัวอย่างรูปแบบความรักเกิดขึ้นมากมาย แต่พอมันเกิดขึ้นกับใคร ความรักครั้งนั้นก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเก่าอยู่ดี (เอ้า งงๆ งงกันใหญ่ ผมก็งง) สรุปได้ประมาณว่า มันก็เหมือนเล่นเกมนั่นแหละครับ เคยเล่นผ่านด่านนี้มาแล้วแท้ๆ แต่พอมาเล่นใหม่อีกรอบ เอ้า ทำไมรอบนี้เล่นไม่ผ่าน อะไรประมาณนั้น

     จริงๆประเด็นในการเขียนวันนี้ เกิดขึ้นมาจาก ความคิดเห็นในกระทู้พันทิปครับ (พันทิปอีกละ) มีผู้หญิงคนหนึ่งได้แสดงความคิดเห็นถึงสาวๆ ที่ชอบทำตัวติดแฟนได้น่าสนใจทีเดียว โดยเธอเขียนไว้แบบนี้ครับ...

     "ไม่รักตัวเอง คือพอมีแฟน หรือหลงรักใครปุ๊ป ทุ่มให้หมดทุกอย่าง เค้าอยากได้อะไร สรรหามาให้หมด ใช้เวลาไปกับเค้าแบบเกาะติด  วันๆรอแต่เค้าจะทักมาไหม จะมาหาเราไหม แทนที่จะเอาเวลาไปทำมาหากิน ทำสวย-หล่อ ใช้เวลาไปกะครอบครัว-เพื่อนฝูงแบบปกติ มัวแต่ไปเกาะติดอีกฝ่ายจนเกินไป บอกเลยคนแบบนี้ ไม่มีเสน่ห์ค่ะ จะ ผช ผญ อีกฝ่ายก็เบื่อ

     อย่าเป็นฝ่ายไล่ตามจนฝืนตัวเอง เวลาล้มเค้าไม่หันกลับมาง่ายๆหรอกนะ เอาแบบพบกันครึ่งทาง มีพื้นที่ส่วนตัวบ้าง แบบนี้จะคบกันได้ยาวค่า" (ไม่รู้ว่าผู้หญิงเขาเก็บกดอะไรรึเปล่านะครับ รู้สึกเหมือน...มาเต็มยังไงก็ไม่รู้)

     ผมได้อ่านแล้วก็ เฮ้ย มันจริงแฮะ อะไรที่มากไป มันก็ไม่ดี หรืออะไรที่มันน้อยไป มันก็ไม่ดี แต่พอเอาจริงๆนะครับ พอเหตุการณ์ความรัก ความหลงมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว ผมเชื่อว่าเกินครึ่ง จะลืมข้อนี้ไปเลย ความรักน่ะ ไม่เกิดกับตัวจะไม่มีทางเข้าใจเลยครับ

     ยิ่งคนที่ไม่เคยมีแฟน หรือรักแรกนี่ อาการค่อนข้างหนักครับ จะทุ่มเท จะติดหนึบ กลัวจะเสียเค้าไปครับ จนกลายเป็นความอึดอัดไปเลย (ไม่ใช่ทุกคนนะครับ แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะบางคนก็รู้จักสร้างระยะห่างที่พอเหมาะ) ยกตัวอย่างการติดหนึบกันดูนะครับ (ประสบการณ์จริงทั้งนั้น จากเพื่อนๆทั้งหลายที่เล่าสู่กันฟัง อ่อ ไม่ขอยกตัวอย่างการทุ่มเทนะครับ เพราะไม่ค่อยมีคนบ่น มีแต่คนบอกว่าชอบ)

     ญ : (โทรศัพท์หาแฟนหนุ่ม) เธอ ทำอะไรอยู่เหรอ เลิกเรียน / ทำงาน แล้วไม่ใช่เหรอ
     ช : อ่อ เราทำงานส่งอาจารย์ / หัวหน้าอยู่น่ะ
     ญ : เหรอ มาหาเราตอนนี้ได้มั้ย
     ช : เดี๋ยวขอทำงานเสร็จก่อนนะ แล้วจะรีบไปหาเลย
     (ณ ตรงนี้ ถ้าเป็นคนที่รู้จักสร้างระยะห่าง หรือเข้าใจกัน จะตอบว่า ตกลง แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ...)
     ญ : ไม่ได้ เธอต้องมาเดี๋ยวนี้ (เริ่มขึ้นเสียง)
     ช : เดี๋ยวสิเธอ ขอทำงานเสร็จก่อนนะ (บางคนทำเสียงขอร้อง แต่บางคนขึ้นเสียงสวนไปเลย)
     ญ : ไม่รู้ล่ะ ถ้าเธอไม่มาตอนนี้ เราจะงอล หรือไม่ก็ ไม่พูดอะไร แต่วางสายเลย
     (ปัจจุบันคู่นี้ เลิกรากันไปแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไม่ได้ถาม)

     ช : (โทรศัพท์หาแฟนสาว) เธอ ทำอะไรอยู่เหรอ
     ญ : กำลังคุยกับเพื่อนๆอยู่ เพือนชวนไปเที่ยวคืนนี้
     ช : เที่ยวอะไร ที่ไหนเหรอ
     ญ : อ่อ ...ชื่อร้าน... ผับน่ะ
     ช : ไม่ไปได้มั้ย
     ญ : อ้าว ทำไมล่ะ ไปเที่ยวกับเพื่อน นานๆทีเอง
     ช : ก็ไม่อยากให้เธอไปเจอผู้ชายน่ะสิ แล้วในกลุ่มมีเพื่อนผู้ชายมั้ย
     ญ : มี 2 คน
     ช : ไม่รู้ล่ะ เราไม่อยากให้เธอไป
     (นี่คุณเอ็ง จะไม่คิดให้แฟนมีเพื่อนผู้ชาย หรือเจอผู้ชายคนอื่นๆบนโลกนี้เลยรึไงเนี่ย คุณเอ็งก็หวงเกิ๊นนน ... แต่ปัจจุบันมันก็ยังรักกันอยู่นะ คาดว่าน่าจะเริ่มเข้าใจชีวิต)

     ยังมีอีกหลากหลายเหตุการณ์ ที่มันชวนอึดอัดเวลามีแฟน แล้วแฟนทำตัวติดหนึบ หรือเอาแต่ใจเกินไป เช่น แฟนจะไปงานเลี้ยง ก็จะขอไปด้วย ทั้งๆที่เป็นงานเลี้ยงเฉพาะกลุ่ม, แฟนจะกลับบ้าน ก็ไม่อยากให้กลับ เพราะตัวเองจะเหงา, แฟนอยากได้เสื้อตัวนั้น แต่เราบอกไม่สวย เอาตัวนี้แทนดีกว่า, ตัวเองจะไปทำงานส่งอาจารย์กับเพื่อนๆ แต่ก็ดันหนีบแฟนไปนั่งเป็นหมาเหงา นั่งเฝ้า นั่งรอ ฯลฯ (ยกเว้นถ้ามีแฟนตามใจ สบายๆ อะไรก็ได้ เรื่องแบบนี้จะถือว่า ชิวๆมาก)

     หลายๆอย่างของการกระทำที่เกินพอดี มันจะเป็นปัญหาเล็กๆที่สะสม และบั่นทอนความรู้สึกรัก และเป็นห่วงลงได้ แล้วพอนานวันไป มันก็จะสะสมจนใหญ่ขึ้นมาก จนมันพร้อมที่จะระเบิด แล้วก็ถึงจุดจบของคู่รักได้นะครับ

     แฟนจะไปงานเลี้ยง...ไปเถอะ เดี๋ยวฉันก็จะไปบ้างเหมือนกัน, แฟนจะกลับบ้าน...ไปเถอะ แล้วเราก็เงียบหาย ไม่โทรศัพท์ไปถามไถ่เลย ว่าถึงบ้านรึยัง, แฟนอยากได้เสื้อตัวนั้น...อ่อ สวยดีนะ พูดแค่นั้น แล้วก็ไปเดินดูของต่อ โดยไม่ได้พูดบอกให้แฟนว่า ถ้าอยากได้ ก็ซื้อเลย, ตัวเองจะไปทำงานส่งอาจารย์กับเพื่อนๆ...แต่ไม่บอกกล่าวแฟนเลยว่าจะไปไหน ปล่อยให้แฟนมารู้ทีหลัง ฯลฯ

     เช่นกันว่า หลายๆอย่างของการกระทำที่ดูห่างเหินเกินไป มันก็บั่นทอนความรูู้สึก จนสะสมแล้วรอระเบิดได้เช่นกัน

     ความรัก ผมว่ามันเป็นชื่อเรียกของหลายๆสิ่งที่มีคุณค่าที่ดีผสมกันนะ ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจกัน ความเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน การยอมรับข้อเสียของกันและกัน และอีกมากมาย ซึ่งแต่ละคนก็จะมีแตกต่างกันออกไป

     ทิ้งท้ายบทความนี้ไว้ว่า "ติดกันแค่พอดี ห่างกันแค่พอห่วง" แบบนี่แหละครับ ที่ทั้งผู้ชาย และผู้หญิงต้องการ

ตอนที่ 93 (บทความ) _ ไขข้อข้องใจ ทำไมสาวอวบอ้วนถึงไม่มีใครสนใจ



ไขข้อข้องใจ ทำไมสาวอวบอ้วนถึงไม่มีใครสนใจ

     ผมได้ไปตั้งกระทู้ในพันทิปกระทู้หนึ่งว่า "ทำไมถึงชอบสาวอวบ...อ้วน" (หมายเลขกระทู้ 32808133) โดยตอนที่เขียนกระทู้นี้ขึ้น ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย ผมก็แค่หยิบเอาความคิด และชีวิตจริงของตัวเองมาเขียนก็เท่านั้นเอง ว่าทำไมผมถึงชอบสาวอวบอ้วน แล้วก็ไม่ทราบว่ามันไปทำอีท่าไหน (สงสัยท่าตะกายฝาบ้าน) มันได้รับความนิยมมาก จนกระโดดขึ้นไปเป็นกระทู้แนะนำเฉยเลย แล้วในกระทู้ก็มีคนมาเสนอความคิดเห็นเยอะมาก จนทำให้ผมรู้ว่า สาวอวบอ้วนเนี่ย มีเยอะจริงๆ แล้วส่วนมากก็จะโสดด้วย ทำให้ผมคิด และเขียนบทความนี้ขึ้นมา
     
     ในปีๆหนึ่ง คุณเห็นการประกวดสาวงามกี่เวที...คิดไปก็เหนื่อย เพราะมันเยอะมาก (แล้วจะถามทำไม) แต่ถ้าจะให้พูดถึงเวทีใหญ่ๆก็เช่น เวทีนางสาวไทย เวทีมิสทีนไทยแลนด์ เวทีไทยซุปเปอร์ไฮเวย์ เฮ้ย ไม่ใช่ละ ไทยซุปเปอร์โมเดล ฯลฯ แล้วไหนจะเวทีตามเทศกาลต่างๆอีกล่ะ นางงามสงกรานต์ นางงามลำไย นางงามลิ้นจี่ (ประกวดไป กินลิ้นจี่ไป) ฯลฯ ถามหน่อยเหอะว่า มีสาวอวบอ้วนได้ผ่านการคัดเลือกเข้าไปประกวดบ้างรึเปล่า...ไม่มี (มันจะมีได้ไงวะ ถามแมวๆ แค่เกณฑ์การรับสมัคร ก็ไม่ผ่านแล้ว)

     ถ้าจะมีเวทีที่ให้สาวอวบอ้วนประกวดน่ะเหรอ หึหึ โน้นเลยครับ เวทีธิดาช้าง (อาจจะมีมากกว่านี้หลายเวที แต่ผมรู้จักอยู่เวทีเดียว) แน่นอนว่าการตัดสินสาวงามมันก็เหมือนกับการตัดสินเวทีสาวงามทั่วๆไป คือ ต้องมีเสน่ห์ และมีความสามารถนั่นเอง อะ...ใครได้ตำแหน่งธิดาช้างไปก็น่าภูมิใจใช่มั้ยล่ะครับ เพราะเป็นสาวอ้วนที่ทั้งมีเสน่ห์ และมีความสามารถในคนเดียวกัน แต่เดี๋ยวก่อน...

     แล้วเวทีนี้ และตำแหน่งธิดาช้างที่ได้มาครอบครอง มันต่อยอดไปไหนต่อได้รึเปล่า...ไม่มีนะ ไม่เคยเห็นใครได้ตำแหน่งธิดาช้างแล้วจะได้เข้าวงการบันเทิง วงการนางแบบ (หรือไปนั่งคุยกับคุณ สอลายุด ที่ช่องน้อยสี) ก็แน่ล่ะ มันจะต่อยอดไปไหนได้ล่ะ ก็เวทีนี้เขาจัดขึ้นมาเหมือนเป็นเวทีสร้างความบันเทิงให้คนอ้วนเฉยๆนิ ไม่ได้ใส่ใจ หรือสำคัญอะไร (หากผมเข้าใจผิด ก็ขอโทษมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เพราะผมไม่รู้ถึงจุดประสงค์ของการประกวดจริงๆ)

     หรือว่าจะมีเวทีประกวดธิดาช้างจักรวาล เฮ้ยยยยยย มันจะมีจริงๆเหรอ คงเป็นไปไม่ได้หรอก (เอ๊ะ หรือว่ามันจะมี ... ถ้ามี ผมก็ขออภัยด้วย)

     เห็นมั้ยล่ะครับว่า เวทีประกวดสาวงามมีเยอะมาก (เวทีสาวอ้วนมีอยู่เวทีเดียวเอง) แล้วแต่ละเวทีก็จะมีสาวหุ่นดีๆ เข้าประกวดทั้งนั้น พอเป็นแบบนี้แล้ว กระแสโลก และกระแสสังคม จึงถูกปลูกฝังว่า สาวหุ่นดี คือ คนที่สวย และน่ารักมากกว่าสาวอวบอ้วนมาจนถึงทุกวันนี้ (ถ้าสมัยก่อนนิยมสาวอวบอ้วน ป่านนี้สาวหุ่นดีก็คงท้อใจเหมือนสาวอวบอ้วนทุกวันนี้แหละ มันคงสลับกันแน่ๆ) ทั้งๆที่สติปัญญา ความสามารถ จิตใจภายใน สาวทั้งสองแบบก็แทบจะไม่ต่างกันเลย แต่สุดท้ายแล้ว สาวอวบอ้วนกลับไม่มีใครสนใจ

     หากจะมีใครสักคนที่กล้าแหวกแนว ประกาศจัดเวทีการประกวด "นางสาวไทย ไซส์อบอุ่น" ถอดทอดสดไปทั่วประเทศขึ้นมาล่ะก็นะ เชื่อหัวไอจ้อนแมนสิว่า (มันมาเกี่ยวไรวะ ไอจ้อนแมนเนี่ย) ไม่ช้าไม่นาน สาวอวบอ้วนได้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่นอน (ดีนะ ไม่เททิ้ง เสียดายแย่)

     หลักเกณฑ์การสมัครเข้าประกวดก็เอาง่ายๆ สูงเท่าไหร่ก็ได้ แต่น้ำหนักให้อยู่ระหว่าง 60-120 กิโลกรัม เป็นคนที่สุขภาพแข็งแรง สามารถทำงานได้เหมือนคนทั่วไป ฯลฯ รางวัลก็เอาเป็น ได้เข้าสู่วงการบังเทิง และเป็นทูตแห่งอาหารประจำประเทศไทย ฯลฯ ถ้าเป็นแบบนี้นะ เชื่อหัวแฮรี่ ล็อกเกอร์สิว่า (ไอ้นี่มันเป็นใคร แฮรี่ ล็อกเกอร์) สาวอวบอ้วนจะแห่มาประกวดกันตรึม แล้วกระแสสาวอวบอ้วนก็จะมาแน่นอน

     ณ สถานที่จัดงานการประกวด "นางสาวไทย ไซส์อบอุ่น"
     "พี่ๆ ขาเวทีการประกวดน่ะ เอาเป็นเสาคอนกรีตเลยมั้ย" เจ้าหน้าที่จัดงาน สอบถามเจ้าของการประกวด

     "แค่ขาเวทีไม่พอหรอกน้อง น้องต้องเทพื้นคอนกรีตด้วยเลย" เจ้าของการประกวด บอกกับเจ้าหน้าที่จัดงาน

     "โอเคพี่ เดี๋ยวผมออกแบบพื้นรับแรง 500 กิโลกรัมต่อตารางเมตรให้เลย" เจ้าหน้าที่จัดงาน รับปาก ... (ก็ว่ากันไป)

     สาวอวบอ้วนจะเป็นที่ต้องการได้ก็ต่อเมื่อ...สังคมให้ความสำคัญ และยอมรับครับ ยอมที่จะให้สาวไซส์ใหญ่ทำงานต่างๆเทียบเท่ากับสาวไซส์ปกติ หรือสาวไซส์เล็ก (บางงานที่ทำได้นะครับ ไม่ได้เหมารวมไปหมดทุกงานบนโลกนี้) เช่น พริตตี้ ในเมื่อมีพริตตี้ไซส์เล็ก หุ่นดีๆ อกตูมๆได้ ก็ควรมีพริตตี้ไซส์ใหญ่ได้เช่นกัน (อกตูมว่าพริตตี้ไซส์เล็กเยอะ) เพื่อให้สาวไซส์ใหญ่ได้เป็นที่ยอมรับบ้าง จริงๆหน้าที่ของพริตตี้คือ แนะนำ และตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับสินค้า และผลิตภัณฑ์นั้นๆนะครับ ซึ่งผมเชื่อว่า สาวไซส์ใหญ่ ก็ทำได้ไม่แพ้สาวไซส์เล็กหรอก

     สาวเชียร์เบียร์ สาวไซส์ปกติ ไซส์เล็กทำได้ ก็น่าจะให้สาวไซส์ใหญ่ทำดูบ้าง เพียงแต่ว่า อาจจะต้องจัดช่องทาางเดินให้กว้างขึ้น และห้ามเดินสวนกัน แล้วก็ไม่แน่นะครับ ร้านนั้นก็อาจจะบูมเพราะ หนุ่มๆที่ชอบไซส์ใหญ่ แห่ไปอุดหนุนก็ได้ (แถมโปรฯ สั่ง 3 ขวด ให้กัดแขนเบาๆได้ 1 ที แก้มันเขี้ยว) แล้วสาวไซส์ใหญ่ก็จะเป็นที่ยอมรับมากขึ้น

     ถ้ามีการแบ่งงานให้สาวไซส์ใหญ่ทำบ้างจริงๆ แรกๆสังคมก็อาจจะมองดูแปลกๆ ที่ทำไมกล้าทำอะไรแหวกแนวแบบนั้น แต่เชื่อเถอะว่า ถ้าทำไปไม่นาน สาวไซส์ใหญ่ก็จะเป็นที่ยอมรับ และเป็นที่ต้องการของสังคมมากขึ้นแน่นอน ดีไม่ดี อาจจะเป็นไฟลามทุ่ง (ไฟไหม้ ดับเพลิงๆ) อยู่ๆก็นิยมขึ้นมาอย่างมาก จนสาวไซส์ปกติ ไซส์เล็กตกงานก็ได้ ใครจะไปรู้

     หรือถ้าจะมีใครกล้าแบบสุดๆ จัดให้สาวไซส์ใหญ่แจ้งเกิดเป็นนางเอกละครล่ะก็นะ รับรองว่า ไม่นานหรอก สาวไซส์ใหญ่ขายดีแน่นอน (แต่ใครจะกล้าเสี่ยงล่ะเนอะ)

     อีกหนึ่งปัญหาที่สาวไซส์ใหญ่ไม่เป็นที่ยอมรับ และสนใจจากสังคมก็คือ เรื่องสุขภาพ ต้องยอมรับเลยว่า สาวอวบอ้วน ค่อนข้างจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพง่ายกว่าสาวไซส์ปกติ ไม่ว่าจะเป็น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดัน ฯลฯ แล้วบางมีมันก็พาลไปถึง โรคขี้เกียจ ซะอีกโรคด้วย .. แน่นอนว่าผู้ชายก็ต้องการคนที่แข็งแรง ปลอดโรคมาเป็นคู่ชีวิต ทำให้สาวอวบอ้วนเสียคะแนนตรงนี้ไปเยอะเลย

     หากสาวอวบอ้วนดูแลสุขภาพให้ดีๆกันทุกคน ไม่มีข่าวว่าป่วยง่าย หรือขี้เกียจทำอะไร รับรองว่า ไม่นานสาวอวบอ้วนต้องเป็นที่ยอมรับของสังคมแน่นอน

     แต่สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสาวหุ่นดี สาวผอม หรือสาวอวบอ้วน ชีวิตคู่ที่แท้จริงมันต้องดำเนินไปด้วย "ความรัก" "ความเข้าใจ" และ "การยอมรับซึ่งกันและกัน" นะครับ (แต่ตอนนี้ตรูขอให้มีคนมาจีบตรูก่อนเถอะ ตรูโสดมานานแล้วววว สาวอวบอ้วนโสดๆอยู่นี่จ้า มาพาลงจากคานที...เอ๊ะ เสียงใคร)

     ก่อนที่จะจบบทความนี้ ผมอยากจะบอกกับสาวอวบอ้วนทุกคนว่า...กินข้าวกันมั้ยยยยยยยยย เฮ้ย ไม่ใช่ละ ผมอยากจะบอกว่า...ลองมองดูรอบๆสิครับ สาวสวยหุ่นดีๆน่ะ เป็นโสด โดนทิ้งแล้วทิ้งอีก หรือขึ้นคานก็เพียบนะครับ สาวอวบอ้วนที่มีคู่ที่ดี ก็เยอะนะครับ อย่าหมดหวังครับ สู้ต่อไปธิดาช้าง (ตึงโป๊ะ)

ตอนที่ 92 (บทความ) _ ลอยกระทง



ลอยกระทง

     ลอยๆกระเทย เอ้ย ลอยๆกระทง หรือไม่ก็ วันเพ็ญเดือนสยอง เอ้ย วันเพ็ญเดือนสิบสอง ต่างก็ถูกหยิบมาร้องแซวเล่นกันขำๆ ในวันประเพณีลอยกระทงแทบทุกปี แล้วปีนี้ก็ไม่เว้นเช่นกัน เพราะได้ยินเยอะมากๆ

     ลอยกระทงปีนี้อากาศไม่ได้หนาวเย็นเหมือนทุกๆปีที่ผ่านมา บางจังหวัด บางพื้นที่นอกจากจะไม่หนาวแล้ว ยังทะลึ่งฝนตกอีกต่างหาก เล่นเอาซะงานกร่อยเลย ยกตัวอย่างบ้านผมที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้ข่าวว่าฝนตกมันซะทั้งวันทั้งคืน งานประกวดขบวนกระทงเล็ก กระทงใหญ่ กร่อยเลยทีเดียว เพราะกระทงที่จะเอาประกวดได้รับความเสียหาย แล้วคนก็ออกมาเที่ยวน้อยมากทีเดียว

     ผมจำไม่ได้นะครับว่า งานลอยกระทงที่อากาศหนาวจริงๆนั่นน่ะ เกิดขึ้นล่าสุดเมื่อไหร่ เพราะผมรู้สึกว่าระยะหลังๆมานี่ ช่วงลอยกระทงอากาศไม่หนาวเท่าไหร่ อย่างมากก็แค่เย็นๆ ปีนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะร้อนมาก บางที่ก็ฝนตกกันไปเลย

     เรื่องสภาพอากาศช่างมันเถอะครับ เพราะเราไปทำอะไรมันไม่ได้หรอก เรามาสนใจเรื่องการไปลอยกระทงกันดีกว่าครับ

     ปีนี้ผมไปลอยกระทงที่...ที่ไหนล่ะ ไม่ได้ไปลอยน่ะสิ ที่ไม่ได้ไปลอยกระทงก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ พอดีว่ารถมันติดมากเกินไป กว่าจะไปถึงสายน้ำก็ดึกแล้ว กว่าจะลอยเสร็จ กว่าเดินทางกลับถึงห้อง อาบน้ำ นอน มันก็คงจะดึกเกินไปแล้ว ผมเลยไม่ลอยมันซะเลย

     กลับมาอยู่ที่ห้องก็คิดว่า เอ...วันนี้วันลอยกระทง เราจะทำอะไรพิเศษดีล่ะ คิดๆไปก็คิดได้ว่า เมื่อก่อนตอนที่อยู่บ้านที่เชียงใหม่ เราจุดประทีปรอบบ้านเลย พอปิดไฟ แหม...แสงประทีปสวยเชียว ว่าแล้วก็จัดการเลยครับ เอาเทียนไหว้พระนี่แหละ จุดแทนประทีปมันซะเลย พอปิดไฟ อืม...สวยเหมือนกัน ได้บรรยากาศดีทีเดียว แต่เสียอยู่อย่างคือ มันร้อน

     บทความนี้สั้นลงเยอะมาก หากจะเทียบกับทความก่อนๆ สาเหตุก็เพราะว่า งานเยอะครับ แต่ก็อยากจะอัพเดทสักหน่อย เลยเขียนแบบสั้นมาอัพเดทครับ