ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตอนที่ 96 (บทความ) _ เมื่อมีหน้าบ้าน...ก็ต้องมีหลังบ้าน (ภาค 1)



เมื่อมีหน้าบ้าน...ก็ต้องมีหลังบ้าน (ภาค 1)

     บังเอิญได้ติดตามข่าวอีกมุมมองชีวิตหนึ่งของน้อง ไลล่าเหนี่ยวไก่ ผู้โด่งดังชั่วข้ามคืนผ่านทางเว็บไซต์ ไทยรัฐออนไลน์ ซึ่งในเนื้อข่าวก็ได้ไปเจาะมุมมองของชีวิตที่ไม่ได้ตลก และโดดเด่นอะไรของน้องมาให้ได้รู้กัน แต่ผมไม่ขอพูดถึงนะครับ ผมอยากให้น้องได้เป็นเด็กที่น่ารักสำหรับท่านผู้อ่าน แบบที่ได้เห็นในข่าวเหนี่ยวไก่จะดีกว่า

     หลังจากที่ได้อ่านข่าวน้องไลล่าจบแล้ว ก็มาสะดุดตรงประโยคเด็ดที่ว่า "เมื่อมีหน้าบ้าน...ก็ต้องมีหลังบ้านเสมอ" (ประมาณว่า คนเราย่อมมีเบื้องหน้า และเบื้องหลังเสมอ ... เห็นเงียบๆ แต่ฟาดเรียบนะคร้าบบบบ ฮ่าๆๆ) ผมเลยคิดว่า อีก 4 บทความที่เหลือ (จะครบ 100) จะขอเขียนถึงหลังบ้านของผมก็แล้วกันครับ จะได้เป็นเหมือนการปูทางให้นามปากกาใหม่ ต.ต้น ไปด้วยในตัว โดย 4 บทความที่จะเป็นหลังบ้านก็มีดังนี้...

     ตอนที่ 96 (บทความนี้นี่แหละ) จะเขียนถึงภาคการศึกษา, ตอนที่ 97 (บทความ) จะเขียนถึงภาคอาชีพในฝัน, ตอนที่ 98 (บทความ) จะเขียนถึงภาคความรัก, ตอนที่ 99 (เรื่องสั้น) "อิ่มสุข" แทรกเรื่องสั้นนิดนึง และตอนที่ 100 (บทความ) จะเขียนถึงภาคไลฟ์สไตล์ (ยืมหัวข้อมาจากข่าวของน้องไลล่าล้วนๆเลย) เอาล่ะครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มเรื่องภาคการศึกษาชองผมกันเลยดีกว่า

     จริงๆแล้วผมเป็นคนที่ความจำไม่ค่อยดี ความจำสั้้นนะครับ เรื่องในอดูด เฮ้ย อดีตที่จะจำได้ส่วนมากจะต้องฝังใจจริงๆถึงจะจำได้ ไอ้ประเภทที่ว่า รู้หมดว่าอนุบาล ประถม มัธยม ยัน ป.ตรี โท เอก ทำอะไรไว้บ้าง จำได้หมด เออ...ผมไม่มีหรอกครับ ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าแล้วก็จบบทความเลยละกัน...เฮ้ย ไม่ใช่ละ ผมก็จะเขียนเล่าเท่าที่จำได้ก็แล้วกันนะครับ

     เริ่มกันตั้งแต่อนุบาลกันเลย ถ้าจำไม่ผิด ผมจะได้เรียนอนุบาลถึง2 โรงเรียนด้วยกัน...มั้ง (ก็บอกแล้ว ว่าความจำสั้น) ที่จำได้ที่แรกเลยคือ โรงเรียนอนุบาลสุเทพ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ผมจำประตูรั้วโรงเรียนได้แม่นเลยครับ ประตูรั้วโรงเรียนจะเป็นประตูเหล็กทึบ ทาสีด้วยสีส้มทั้งบานเลย นี่แหละครับ ผมจำได้แค่นี้แหละ ส่วนในตัวโรงเรียนเป็นยังไง...ผมจำไม่ได้ สาเหตุที่ผมจำประตูรั้วโรงเรียนสีส้มนี้ได้ ก็น่าจะเพราะว่า ผมต้องไปเปิดประตูรั้วเข้าไปโรงเรียนบ่อยๆ พอโตมาก็ได้คิดว่า ที่เราต้องเปิดประตูรั้วโรงเรียนบ่อยๆนี่ เราไปสายบ่อยรึเปล่าล่ะเนี่ย (เข้าสายแต่เด็กเลยรึเรา)

     โรงเรียนต่อมาก็คือ โรงเรียนอนุบาลเชียงใหม่ครับ ถ้าผมจำไม่ผิด ผมต้องมาเรียนอนุบาลซ้ำที่นี่อีกครั้ง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไม ณ โรงเรียนแห่งนี้ผมเรียนจนจบ ป.6 เลยครับ เรื่องราวประทับใจมีเยอะนะครับ แต่ก็เลือนลาง เพราะจำไม่ค่อยได้ เช่น ปลูกถั่วงอกขึ้นเป็นครั้งแรก จำได้ว่าใช้ภาชนะอะไรสักอย่างนี่แหละ แบนๆหน่อย แล้วก็เอาทิชชู่วาง เอาเมล็ดถั่วเขียววาง เอาทิชชู่ปิดทับอีกรอบบางๆ รดน้ำ แล้วก็รอมันงอก เฮ้ย มันงอกจริงๆด้วย ตอนนั้นดีใจสุดๆ เราทำได้, ปลูกผักบุ้งเก็บกลับบ้าน เป็นการปลูกผักชนิดแรกในชีวิตเลยทีเดียว, ได้ลงแข่งวิ่งพลัด 4x100 เป็นครั้งแรก ตอนซ้อมกันชิวๆ 4 คน วิ่งยังไงๆความเร็วของผมก็ดีที่สุด แต่พอตอนแข่งจริงๆ ผมเป็นไม้สุดท้าย ทีเด็ดเล้ยยย ... 3 ไม้แรกเพื่อนๆช่วยกันวิ่งจนนำโด่ง แล้วพอมาถึงผมไม้สุดท้าย หึหึ ร่วงรูดครับ จากที่นำโด่ง จบที่ 5 ซะงั้น ไม่ใช่ว่าคนอื่นวิ่งเร็วนะครับ แต่ผมวิ่งช้าเอง จำได้ความรู้สึกตอนนั้นคือ ทั้งตัวมันหนักไปหมด ขาหนักมาก แล้วก็เหมือนขามันสั้นลงยังไงก็ไม่รู้ วิ่งไปๆๆ โดนแซงกระจายยยย รู้เลยว่า คำว่ากดดัน มันเป็นยังไงก็ตอนนั้นนั่นเองครับ

     ได้รู้จักความชอบผู้หญิงมันเป็นยังไง (แค่ชอบนะครับ ยังไม่ถึงขึ้นรัก) ตอนนั้นชอบดาวห้องเลยครับ ชื่อ นิตยา เป็นผู้หญิงที่สูง และขาวเด่ด เรียนเก่งที่ 2 ของห้อง (เรียนเก่งที่ 1 ของห้องก็คือ หัวหน้าห้อง) ผมคิดว่า คนอื่นๆก็คงจะชอบเหมือนผมนี่แหละ แต่มันก็แค่ชอบแบบเด็กๆล่ะครับ, ได้เรียนรู้วิชาทำอาหารเมนู 'หมูในซอลมะเขือเทศ' ผมเอากลับไปทำที่บ้านเลยครับ (โชคดีมากที่ในตู้เย็นมีของครบ) ผมทำเองทุกอย่าง ตั้งแต่เตรียมเครื่อง ยันปรุงเสร็จ พอทำเสร็จก็เอาให้พ่อแม่กิน แล้วพ่อกับแม่ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "เฮ้ย นี่มันน้ำพริกอ่องชัดๆ" เงิบเลยครับผม ครูหลอกผมซะแล้ว, ได้ตีลังกายิงประตู (โอเวอร์เฮดคิก) จำได้ว่าเตะบอล(พลาสติก)เล่นกันหน้าโรงเรียน รอรถมารับ แล้วบอลลอยมาตรงหัวพอดีในระดับพอเหมาะ ด้วยสัญชาตญาณกองหน้าก็เลย ตีลังกาเตะเลยครับ ลงพิ้นตุ๊บ!!! จุกครับ แต่บอลเข้าประตู คนยืนตะลึงกันหมดเลย ฮ่าๆๆ (จนตอนนี้ ก็ยังทำไม่ได้อีกเลย)

     ได้ลองกำลังขา เดินจากโรงเรียนไปบ้านยาย ระยะทางน่าจะประมาณ 5-6 กิโลเมตรได้ (อารมณ์ศิลปินเดินชิวๆข้างทาง) เดินบ่อยจนพ่อบ่น ว่าทำไมไม่ขึ้นรถรับส่งกลับบ้าน พ่อขี้เกียจแวะไปรับที่บ้านยาย เอ๊ะ...ก็จำได้เยอะอยู่นี่หน่า พอแค่นี้ดีกว่าครับ เดี๋ยวจะยาวเกิน สรุปเรื่องการเรียนนิดนึง ผลการเรียนก็อยู่ที่กลางๆครับ ไม่ค่อยมีเกรด 4 แต่ก็ไม่ค่อยมีเกรด 1

     ต่อมาก็ชั้นมัธยมต้น โรงเรียนที่ได้ไปเรียนก็คือ โรงเรียนยุพราชวิทยาลัยครับ ผมเรียนอยู่ที่นี้ 3 ปี ด้วยวัยที่โตขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม ยิ่งโต ยิ่งจำอะไรไม่ค่อยได้ เท่าที่จำได้ก็เช่น มีเพื่อนสนิทชื่อ โอ๋ ผมได้พาโอ๋ไปเที่ยวเที่ยวทะเลกับครอบครัวผมด้วย (แต่หลังจากที่เรียนจบ ม.3 ก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย), ได้รู้จักคุณครูวัฒนา ซึ่งเป็นครูที่เหมือนอาจารย์แม่มาก ปากร้าย แต่ใจดี สอนดี เข้าใจง่าย ครูสอนวิชาภาษาไทยครับ, ได้รู้จักคุณครูสืบศักดื์ ซึ่งเป็นครูสอนวิชาลูกเสือ แต่ครูก็สอนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์ด้วย (ไปเรียนพิเศษกับครูอยู่ 1 เทอม), ได้เรียนปิงปองเป็นครั้งแรก จนทำให้พ่อต้องซื้อโต๊ะปิงปองมาไว้ที่บ้าน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกชาย (จำไม่ได้ ว่าไปขอพ่อยังไง พ่อถึงยอมซื้อ) จำได้ว่าครูจะส่งเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่ง เพราะครูบอกว่า ผมเล่นได้เหนียวแน่น เสียแต้มยาก แข่งกันในห้องนี่ ผมชนะขาด แต่พอดีผมไหวตัวทัน ตอนคัดตัวเพื่อเป็นตัวแทนโรงเรียน ผมเลยเล่นแบบ...กูอยากแพ้ เลยตีพลาดแล้ว พลาดอีก จนหลุดตัวแทน (ควรดีใจกับผมนะ ฮ่าาา) แต่สุดท้าย ผมก็ได้เป็นคู่ซ้อมให้เพื่อนตัวแทนโรงเรียน น่าเสียดายที่เพื่อนผมทำได้ดีที่สุดแค่รอบ 8 คนสุดท้าย

     ได้รู้จักซุปเปอร์ไซย่า สาวผมทอง เธอเด่นมากๆ แต่ผมก็ไม่เคยได้คุยกับเธอ เพราะไม่รู้จะคุยอะไร, ได้ทำหน้าที่พ่อสื่อเป็นครั้งแรก มีใครชอบสาวคนไหนก็มาขอให้ผมเข้าไปช่วยถามชื่อ ถามเบอร์โทรให้ตลอด (กูไปติดป้ายไว้บนหัวตอนไหน ว่ากูรับหน้าที่นี้ได้) จำได้แม่นอยู่คนหนึ่ง สาวดาวเด่นประจำ ม.3 ชื่ออ้อม ขนาดรุ่นพี่ ม.6 ยังมาตามจีบ แล้วไอ้เพื่อนตัวดีดันชอบ ส่งผมไปเป็นหน่วยกล้าตาย ถามชื่อ ถามเบอร์โทรให้หน่อย ผมก็จัดให้ เดินตรงๆเข้าไปถามเล้ยยยยย ได้ชื่อครับ แต่ไม่ได้เบอร์โทร แล้วหลังจากนั้นก็ปล่อยให้เพื่อนมันจีบไป สุดท้ายไม่รู้เป็นไงนะครับ ผมไม่ได้ติดตามผล (นี่คือจุดเริ่มต้นของความหน้าด้านในเรื่องสาวๆ), ได้รู้จักการโดดเรียนเป็นครั้งแรก โดดไปไหน ไปเล่นเกมครับ ไอ้เพื่อนโอ๋เลยตัวดี พาโดดเรียน (น้องๆไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างนะครับ เพราะบทสรุปสุดท้ายแล้ว สอบตกครับ) พอดีกว่า เริ่มเยอะแล้วเหมือนกันแฮะ ไหนว่าจำไม่ได้ไง สรุปเรื่องผลการเรียนนิดนึง ชั้นมัธยมนี่ เกเรครับ เกรดต่ำมาก ได้ 0 อยู่หลายวิชาเลย กว่าจะซ่อม 0 จบได้ แทบแย่เลยครับ

     ต่อมาที่ ปวช. และปวส. ที่ วิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ครับ ผมหันเหชีวิตจากเด็กเรียนมาเป็นเด็กช่าง เพราะผมรู้สึกว่า ผมไม่เหมาะกับสายวิชาการเท่าไหร่ ผมน่าจะเหมาะกับสายอาชีพมากกว่า แรกเริ่มเดิมทีเลย ผมจะเรียนไฟฟ้าครับ แต่พ่อขัดขา ขัดแขน จับหัวโขกขอบเตียง สมองผมเลยเบลอๆ พ่อสั่งให้เรียนวิชาก่อสร้าง ผมก็เลยเรียน (มันใช่เหรอ โหดไปมั้ย ฮ่าาา จริงๆพ่อผมจบไฟฟ้าครับ เลยอยากให้ผมเรียนไปทางอื่นบ้าง) ณ การเรียนที่นี่ทำให้ผมได้เพื่อนสนิท ที่สนิทกันมาจนถึงบัดนี้ ส่วนเรื่องราวที่พอจะจำได้ในสถานศึกษาแห่งนี้ก็เช่น ได้รู้ว่า การเรียนภาคค่ำ มันสนุกกว่าภาคเช้าเยอะเลย ไม่ต้องตื่นเช้า มีเวลาลอกการบ้านเพียบ เรียนเสร็จก็ไม่ต้องรีบเก็บของ เพราะไม่มีใครมาเรียนต่อ ขับมอไซค์ตอนดึกๆ (หลังเลิกเรียน) มันชิวมากๆ

     ได้เป็นดาวเด่นประจำแถว ตอนที่เข้าแถวเคารพธงชาติตอนเช้า ถ้าผมไปยืนอยู่ข้างหลังทีไร จะโดนรุ่นพี่สาวๆ 3-4 คน ช่วยกันลากตัวขึ้นไปยืนหน้าสุด แล้วพวกรุ่นพี่สาวๆ ก็จะซุบซิบอะไรกันก็ไม่รู้ เป็นแบบนี้ตลอดเทอม จนรุ่นพี่เรียนจบออกไป ผมถึงไม่ต้องยืนหน้าสุด (อารมณ์ตอนนั้นเข้าเรียนใหม่ๆ ยังไม่สนใจเรื่องความรัก สนใจแต่เล่นเกม เลยไม่ได้สนใจพวกรุ่นพี่สาวๆ และเหตุการณ์นี้ ก็คือจุดเริ่มต้นของการ...หลงตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้ ฮ่าาาา), ได้รู้ว่าห้องสมุดนั่นน่าอยู่เพียงใด มันมีความรู้ ความเงียบ ความสงบมากๆ (จุดเริ่มต้นของการรักการอ่าน และการเขียน), ได้เจอการรับน้องครั้งแรกในชีวิต กินอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ น่ากินทั้งน้านนนนน...ประชด ได้คลุกดิน คลุกทราย นอนในน้ำ โดนทาสี โอยยย...สารพัด จำไม่ได้ แต่ที่จำได้คือ กลายร่างเป็นมนุษย์สีเหลือง ขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้านนี่แหละ คนมองกันตรึม จอดติดไฟแดงกลางสี่แยก โคตรเท่เลยครับพี่น้องคร้าบบบบ

     ได้รู้จักพลังจักรวาล จากอาจารย์......จำชื่อจริงอาจารย์ไม่ได้ เพราะเรียกแต่อาจารย์เหยินตลอดเลย (พลังจักรวาลมีจริง ลองถากูเกิลได้) แล้วก็เจอการหักคะแนนที่บ้าที่สุดในโลก หักทีเป็นแสน เป็นล้าน หักกันเจ็ดชั่วโคตรก็มี (ประมาณว่า ลูกหลานแกมาเรียน ก็มีคะแนนติดลบตั้งแต่เริ่มเรียนละ) จากอาจารย์เหยินคนเดิม, ได้รู้จักการบริจาคเลือดเป็นครั้งแรก แต่บริจาคไม่ได้ เพราะน้ำหนักไม่ถึง (สมัยนั้นยังดูน้ำหนักด้วย), ได้รู้จักความรักเป็นครั้งแรก (สมัย ปวส. แล้วนะที่รู้จักความรัก ตอน ปวช. ไม่สนใจความรักเลย เล่นแต่เกม) และที่สำคัญ ได้เพื่อนที่ดี ที่คบกันมาจนถึงทุกวันนี้ พอละเนอะ เริ่มคิดไม่ออกละ สรุปเรืองผลการเรียนกันสักหน่อย เนื่องด้วยติดเกมเอามากๆ ผลการเรียนเลยอยู่กลางๆ ค่อนลงมาข้างล่าง ไม่มีติด 0 แต่ก็ไม่มีเกรด 4 (ช่วงวัยรุ่นนี่ สำคัญมากจริงๆ ถ้าเสียก็เสียไปเลย ดีที่ผมรอดมาได้)

     จบสุดท้ายที่ ปริญญาตรี คราวนี้ไปข้ามจังหวัด เพราะไปเรียนที่ ราชภัฏเชียงราย (สมัยนั้นยังเป็นแค่ ราชภัฏ) ผมบอกแล้วนะครับ ว่ายิ่งโต ยิ่งจำไม่ได้ ไม่รู้ทำไม เรื่องราวที่พอจะจำได้ตลอด 2 ปีที่เรียนที่นี่ก็เช่น ได้อยู่ไกลบ้านเป็นครั้งแรก รู้สึกปลอดโปร่ง โล่งมาก ที่ไม่ต้องมีใครมาคอยจับตามอง คอยควบคุมว่า อยู่ที่ไหน กลับบ้านได้แล้ว, ได้ออกค่ายอาสาเป็นครั้งแรก ขึ้นไปบนดอยอะไรก็ไม่รู้จำไม่ได้ ขึ้นไปสร้างอาคารเรียนให้เด็กๆ อากาศหนาวมาก เพราะขึ้นไปกันหน้าหนาว นอนในเต้นท์นี่ มีน้ำหยดใส่เลยทีเดียว ถึงจะลำบาก แต่พอสร้างอาคารเสร็จแล้ว ก็ภูมิใจมากๆเลยครับ, ได้รู้ว่า ราชภัฏเชียงรายเนี่ย กว้างใหญ่น่าดูเลย ถ้าไม่มีรถมอเตอร์ไซค์ ก็เดินทางไปเรียนลำบากเลยล่ะ

     ได้รู้จักชีวิตเด็กหอ ว่าถ้าคบเพื่อนไม่ดีนี่ ชีวิตพังเสียคนได้เลยทีเดียว ดีที่ผมเลือกคบเพื่อนถูก ชีวิตเด็กหอเลยไม่มีอะไรน่าห่วง, ได้รู้จักการทำวิจัย ว่ากว่ามันจะผ่านได้นี่ ยากแค่ไหน (ก็เล่นซะ 2 เทอมแน่ะ กว่าจะผ่าน), ได้รู้จักอีเมล์ครั้งแรก เพราะต้องส่งงานผ่านทางอีเมล์ แล้วอีเมล์นั้นก็ใช้มาถึงทุกวันนี้้, ได้รู้จักโปรแกรม Auto Cad มากขึ้น ต่อยอดจากที่เคยเรียนเมื่อตอน ปวช. (ตอน ปวส. ไม่มีสอน) และมันเป็นโปรแกรมที่ใช้ทำงาน หากินอยู่ในทุกวันนี้, ได้รู้ว่าตัวเองเหมาะกับงานเขียนแบบ มากกว่างานใช้แรงงาน หรือคุมงาน เพราะตัวเองไม่ชอบมีอำนาจ หรือเป็นคนขี้เกรงใจนั่นเอง, ได้ค้นพบตัวเองว่า จริงๆแล้วตัวเองเหมาะกับการเล่นฟุตบอลในตำแหน่งกองหลังมากกว่ากองหน้า และที่สำคัญก็คือ ได้เจอคนรัก ที่รักกันมาจะ 14 ปีเข้าไปแล้ว เห็นมั้ยครับว่า ยิ่งโต ยิ่งจำอะไรไม่ค่อยได้ หรือเพราะไม่อยากจำก็ไม่รู้ เลยคิดอะไรไม่ค่อยออก (หรือเราจะ ช่างมัน มาเกินไป เลยจำอะไรไม่ค่อยได้)

     เรื่องราวหลังบ้านในภาคการศึกษาของผมก็มีเพียงเท่านี้แหละครับ จริงๆอยากจะให้รู้ว่า ผมเรียนที่ไหนมาบ้างแค่นั้นนะครับ แต่ว่าไหนๆก็เขียนย้อนอดีตแล้ว ผมก็เลยเขียนเล่าอดีตของผมให้อ่านไปด้วยซะเลยละกัน เผื่อว่ามันจะทำให้ใครหลายๆคนที่ได้อ่าน ได้รื้อฟื้นความสุขในวัยเรียนขึ้นมานั่งอมยิ้มกัน แล้วพบกันใหม่ในตอนที่ 97 ในภาคอาชีพในฝันครับ

ความคิดเห็น