hostneverdie

weltrade

siamfocus

ตอนที่ 73 (บทความ) _ รับจ้างทำการบ้าน


รับจ้างทำการบ้าน

     ประเด็นดังประเด็นหนึ่งในช่วงนี้ ที่ต้องยกพื้นที่ให้กับประเด็นนี้บ้างเล็กน้อย สื่อหลายสำนัก และนักวิชาการหลายท่านได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุกันมากมาย ว่าเพราะอะไร ทำไมธุรกิจรับจ้างทำการบ้านถึงเกิดขึ้น และเติบโตได้เพียงนี้

     ผมมองถึงสาเหตุได้ 3 ข้อดังนี้ครับ

     ข้อแรก ก็ตัวการบ้านนั่นแหละครับ หลายๆคนมองว่า การบ้านที่ให้เด็กทำนั้นมัน "ยาก มาก ล้น" ผมนึกตามแล้วก็เถียงไม่ได้เลย เพราะผมก็เคยผ่านมันมาแล้ว สอนอย่างหนึ่ง แต่ให้การบ้านอีกอย่างหนึ่ง ถึงจะบอกว่ามันก็แนวๆนี่แหละ เอาไปประยุกต์ใช้เอาสิ แต่เด็กมันก็ฉลาดไม่เท่ากัน และไม่เท่าครู "ความยาก" จึงเกิดขึ้น แล้วก็ทำไม่ได้ในที่สุด

     บางวันเรียน 3-4 วิชา แล้วครูก็สั่งการบ้านแบบประมาณว่า เทอมนี้น่ะ เธอเรียนแค่วิชานี้วิชาเดียว เอาการบ้านไปเต็มๆ ทำกันให้สนุกเลยนะจ๊ะ แหม...ก็ครูคิดซะแบบนี้กันสัก 4 วิชารวด "ความมาก" มันก็เกิดขึ้นสิครับ

     นอกจากการบ้านแล้ว ยังมีรายงาน เรียงความ หรือคัดลอกจากการค้นคว้าอีกนะ เมื่อเอาทั้งหลายทั้งมวลมารวมกัน อืม...มันก็คือ "การล้น" ไงล่ะครับ พอล้นแล้วทำยังไงล่ะ ก็มีสองทางออกคือ ยอมให้ครูทำโทษตามแต่จะลงโทษ เพราะทำไม่ทัน ทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำ กับจ้างทำการบ้าน รายงาน ฯลฯ ไงล่ะครับ

     ข้อที่สอง ที่จะขอมองว่าเป็นสาเหตุก็คือ เรื่องเวลาครับ เด็กไทยใช้เวลาในการเรียนมากเกินไปครับ ในระดับ ป.1 ถึง ม.6 ใช้เวลามากเกินไปจริงๆนะครับ คิดดูสิครับ เริ่มเรียน 8 โมงเช้า เลิกเรียน 3-4 โมงเย็น คุ้นๆมั้ยครับว่า มันเหมือนเวลาทำงานของข้าราชการเลย

     แล้วถามว่า เวลาตอนเย็นๆ ดึกๆ ผู้ใหญ่วัยทำงานทำอะไรหลังจากเลิกงานอยู่บ้าน...ถูกครับ พักผ่อนไงครับ กินข้าว ดูหนัง ดูละคร เล่นเกม บ้างก็ไปเที่ยว บางคนก็นอนมันตั้งแต่ 2 ทุ่มก็มี แล้วเด็กๆล่ะครับ เลิกเรียนมา ตอนอยู่บ้านทำอะไร การบ้านเอย รายงายเอย เด็กไม่ได้พักจากการเรียนเลยนะครับ เจอแบบนี้เด็กก็เหนื่อยนะครับ หนีไปจ้างทำการบ้านซะเลย เพราะอยากพักสมองบ้าง

     ถ้าการบ้านไม่มาก ทำแค่ 1-2 ชั่วโมงเสร็จล่ะ เด็กก็น่าจะมีเวลาทำตอนเลิกเรียนอยู่บ้านนี่ ... มันก็ใช่นะครับ แต่เด็กก็อยากได้เวลาพักผ่อนนะครับ กลับมาบ้าน เล่นกีฬา อยู่กับคนในบ้าน ดูละครนิดหน่อย เล่นเกมนิดหนึ่งก็ยังดี ไม่ใช่ต้องใช้สมองไปกับการเรียนเยอะขนาดนั้น สงสารเด็กบ้างก็ดี เวลาเรียนของเด็ก กับเวลาทำงานของผู้ใหญ่ แทบจะเท่ากัน แต่เลิกเรียนของเด็กยังมีการบ้าน ส่วนเลิกงานของผู้ใหญ่ได้พักผ่อน

     ลดเวลาเรียนลง ให้เลิกเรียนสักบ่ายสองกำลังดีครับ แล้วให้เวลาเด็กอีก 2 ชั่วโมง ทำการบ้านอยู่ในโรงเรียนนั่นแหละ พอสี่โมงก็ค่อยปล่อยให้กลับบ้าน การบ้านก็น่าจะมีคุณภาพจากการที่เด็กๆช่วยกันทำการบ้าน พอเลิกเรียนกลับบ้าน เด็กก็จะได้พักผ่อน เด็กก็จะมีสุขภาพจิตที่ดี การเรียนก็น่าจะดีขึ้น การศึกษาไทยก็น่าจะดีขึ้นด้วย

     ข้อที่สาม เทคโนโลยี ตัวการทำลายเด็ก การสื่อสารที่ทำให้โลกแคบลง ทำให้คนสนใจที่จะคุยกันผ่านเทคโนโลยีต่างๆมากขึ้น จนน่าจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความสนใจในการบ้านของเด็กๆลดลง อย่าว่าแต่เด็กเลยครับ ขนาดผู้ใหญ่อย่างเราๆ เทคโนโลยีพวกนี้ก็ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเราลดลงได้เหมือนกัน

     โปรแกรมแชทต่างๆ ทำให้เด็กชอบคุยกัน แล้วพอได้คุยกันแล้ว ก็จะหยุดลำบาก หรืออาจจะเป็นแบบ ทำการบ้านไปด้วย แชทไปด้วย สมาธิก็จะไม่มี การบ้านก็ใช้เวลาทำนานขึ้น หรือถ้าทำเสร็จ ก็อาจจะจะไม่ได้คุณภาพ ก็ทำไงได้ล่ะ ก็มันอยากคุยนี่

     เฟสบุ๊ค อันนี้ดึงความสนใจได้มากเลย ไล่ดูความเคลื่อนไหวของคนอื่น บางคนโพสรูป โพสข้อความไป แล้วก็รอคนอื่นกดไลค์ รอคนอื่นคอมเม้น ไม่มีสมาธิ ไม่มีจิตใจที่จะทำการบ้านเลย อยากอยู่หน้าเฟสนี่แหละ รอดูว่าใครจะมาโพสอะไร เราจะได้ไปกดไลค์ ไปคอมเม้น ก็เพราะแบบนี้แหละครับ การบ้านก็เลยโดนทิ้ง

     เกมส์ อันนี้ก็ทีเด็ดเลย ใครติดเกมส์นี่เรื่องใหญ่เลย เพราะจะไม่เอาอะไรเลย เล่นแต่เกมส์ๆ อย่าว่าแต่การบ้านเลยครับ ขนาดข้าวมันยังไม่กิน น้ำมันก็ไม่อาบ

     และเทคโนโลยีนี่แหละครับ ที่พาไปเจอ "รับจ้างทำการบ้าน" เป๊ะเลย จ้างซะเลย
     "อยากแชท อยากเล่นเกม"
     "ไม่มีเวลาทำ อยากพักผ่อน ทำอย่างอื่นบ้าง"
     "ยาก มาก ล้น"
     จ้างๆๆๆ แล้วเด็กไทยยุคใหม่ ก็ไม่เก่งเรื่องการเรียน แต่เก่งเรื่องอื่นๆแทน

     ยังมีอีกหลายสาเหตุนะครับ ที่ทำให้เกิดธุรกิจรับจ้างทำการบ้านขึ้นมาได้ เช่น สาเหตุจากตัวครู อาจารย์ สาเหตุจากครอบครัวของเด็ก สาเหตุจากความฉลาดของเด็ก สาเหตุจากคนรับจ้างทำการบ้าน ฯลฯ

     ไม่ว่าสาเหตุจะเกิดมาจากอะไร สิ่งสำคัญคือ เราต้องช่วยกันดูแล และพัฒนาการศึกษาไปด้วยกัน เพื่อลูกหลานของเรา จะได้นำพาประเทศเจริญก้าวหน้าต่อไป

ตอนที่ 72 (บทความ) _ เล่าสู่กันฟัง


เล่าสู่กันฟัง

     เล่าสู่กันฟังครั้งนี้ ขอเปิดหัวด้วยเรื่องการเมือง ซึ่งนานๆครั้งจะเขียนถึง เพราะปัจจุบันนี้เรื่องการเมือง กลายเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และแทบจะเป็นเรื่องต้องห้ามพูดถึงกันแล้ว สาเหตุเพราะอะไร ก็คงรู้กันอยู่นะครับ

     ประเทศไทยได้นายกคนที่ 29 คือ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ค่อนข้างแน่นอนแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนการ โปรดเกล้าฯ ก็จะสมบูรณ์ 100% ใจจริงๆของผมไม่อยากให้ท่านขึ้นเป็นนายกเลยครับ ไม่ใช่ว่าไม่เห็นด้วย หรือไม่ชอบท่านนะครับ แต่ผมไม่อยากให้คนดีๆแบบท่าน ต้องมาแปดเปื้อนกับเรื่องการเมืองน่ะครับ ที่เขียนแบบนี้ก็เพราะว่า มีใครบ้าง ที่เป็นนายกแล้วจบแบบสวยๆได้ในปัจจุบันนี้ ผมมองแทบจะไม่เห็นใครสักคนเลยนะครับ

     แต่ก็เอาเถอะครับ ถ้าท่าน พล.อ. ประยุทธ์ ได้ขึ้นเป็นนายกจริงๆ ผมก็ขอให้ท่านทำงานให้เต็มที่ และขอเป็นกำลังใจ เอาใจช่วยท่านให้ประสบความสำเร็จในการบริหารประเทศ แล้วนำพาประเทศให้เจริญก้าวหน้าด้วยทีเถอะครับ สู้ๆครับท่าน

     เรื่องต่อมาคือ กระแสเทรนด์ฮิตชั่วข้ามคืน Ice Bucket Challenge โครงการช่วยเหลือกลุ่มผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ALS หรือ ALS Associtaion โดยแคมเปญนี้เป็นการรณรงค์ให้ประชาชนตื่นตัว ระวังโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อมนั่นเอง

     หลายคนยังไม่รู้ว่า เอ๊ะ...แล้วทำไมต้องเอาน้ำเย็นราดหัวด้วย เอาน้ำอุ่น หรือน้ำธรรมดาไม่ได้รึ หรือเอาราดที่อื่นได้รึเปล่า ไม่ต้องเอาราดหัว คำตอบคือ การเอาน้ำเย็นราดหัว เป็นการเปรียบเปรยถึงอาการของโรค ALS ที่ทำให้เซลล์สมองเย็นจัด และสั่งการร่างกายไม่ได้ เป็นเหมือนโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงนั่นเอง

     แคมเปญนี้อาศัย ใจ ล้วนๆเลยครับ หลังจากที่เอาน้ำเย็นราดหัวตัวเองแล้ว เราก็จะเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ชั่วขณะหนึ่ง อาจจะสัก 1-2 วินาที แล้วก็จะกลับมาเป็นปกติ ใครใจกล้าก็จัดไปนะครับ แต่อย่าลืมว่าแคมเปญนี้มีจุดประสงค์ คือ การบริจาคเงินช่วยเหลือกลุ่มผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงนะครับ ใครที่ใจกล้าเอาน้ำเย็นราดหัวแล้ว อย่าลืมบริจาคเงินเข้าโครงการด้วยนะครับ สำหรับในไทย ก็อาจจะบริจาคที่อื่นๆ ตามแต่จะสะดวกกันไปนะครับ

     อ่อ...อย่าลืมส่งคำท้าต่ออีก 3 คนนะครับ เพื่อเป็นการขยายแคมเปญ

     เรื่องสุดท้ายของบทความนี้ ขอจบที่เรื่อง ฟ้าฝน ช่วงนี้ฝนตกเยอะพอสมควรเลยนะครับ เพราะยังอยู่ในช่วงของฤดูฝน ผมอยู่ในกรุงเทพ ฝนก็ตกค่อนข้างบ่อย แล้วที่น่ารำคานคือ มันดันมาตกตอนเลิกงานแทบจะทุกวันเลย ฝนตก รถก็ติด กว่าจะเดินทางกลับถึงห้อง เฮ้อ...เหนื่อยเลย

     น่าแปลกนะครับว่า แถบชนบท ที่มีป่า มีต้นไม้เยอะๆ คนทำไร่ ทำสวน ทำนา ฝนก็ไม่ยอมไปตก ทั้งๆที่แถบนั้นต้องการน้ำ ต้องการฝนมาก มันก็ไม่ไปตก มันจะมาตกทำไมในเมืองก็ไม่รู้ มีแต่ป่าคอนกรีต ความชุ่มชื้นก็ไม่มี ดันสร้างฝนให้ตกได้ซะงั้น แปลกดีนะครับ ป่าไม้ ไม่มีฝน แต่ป่าคอนกรีต มีฝน

     ดูแลสุขภาพกันด้วยนะครับ ฝนตกบ่อยๆ ระวังไม่สบาย แต่สำหรับบางพื้นที่ที่ฝนก็ตกเยอะจนเกินพอดี ก็ระวังน้ำป่า น้ำท่วมกันด้วยนะครับ

ตอนที่ 71 (บทความ) _ คิดถึงวิทยา



คิดถึงวิทยา

     ผมเชื่อว่าหลายๆคนที่ฟังชื่อภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ต้องนึกถึงคนที่ชื่อ วิทยา เหมือนผมแน่ๆเลย แต่ผิดนะครับ ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่มีคนที่ชื่อ วิทยา เลยแม้แต่คนเดียว

     ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดย นักร้อง/นักแสดงอารมณ์ดี บี้ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว และนักแสดงสาวฉายา "ปากปลาร้าหน้าเป๊ะ" พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้จะเกี่ยวกับการเป็นครูของทั้งสองคน บี้ รับบทเป็น ครูสอง ส่วน พลอย รับบทเป็น ครูแอน

     ผมดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรก งง ครับ (ขอใช้คำว่า หนัง แทน ภาพยนตร์นะครับ เพราะเขียนสั้นกว่า) เพราะว่าทั้งสองคนเป็นครูสอนที่โรงเรียนเดียวกัน แต่ทำไมถึงไม่เคยเจอกันเลย เอ๊ะ จะว่าสอนกันคนละวิชา ก็ไม่ใช่ หรือว่าจะสอนสลับกันคนละอาทิตย์  ก็ยังไม่ใช่อีก สรุปว่าผมดูจบรอบแรกไปแล้ว ก็ยัง งงๆ อยู่ว่า ทำไมทั้งสองคนถึงไม่เจอกันเลย

     ผมตัดสินใจดูรอบสองเพื่อหาว่า ทำไมครูสอง และครูแอนถึงไม่เจอกันเลย (ตอนนี้ผมดูไปสามรอบแล้ว เพราะดูแล้วเพลิน) ดูไปได้ประมาณ 5 นาที ก็ถึงบางอ้อทันที ว่าทำไมทั้งสองคนถึงไม่เคยเจอกันเลย ก็แหม...ก็ทั้งสองคนเป็นครูสอนกันคนละเทอมนั่นเอง ผมพลาดไปแค่จุดเล็กๆ จุดเดียว ทำเอา งง ไปทั้งเรื่องเลย

     หนังเรื่องนี้มีความสนุกที่ สมุดบันทึกของครูแอน ที่เขียนบันทึกเป็นเหมือนไดอารี่เอาไว้ แล้วคาดว่าครูแอนคงลืมเอากลับไปด้วย ตอนที่เลิกสอนที่โรงเรียนแห่งนี้ พอครูสองมาเจอเข้า ก็เปิดอ่านๆๆ พอครูสองอ่านถึงตอนสำคัญๆ ตัวหนังก็จะตัดฉากไปที่ครูแอน ทำให้ทั้งครูสอง และครูแอน มีบทเด่นพอๆกัน

     โรงเรียนที่หนังเรื่องนี้เลือกใช้เป็นต้นแบบในการแสดงคือ โรงเรียนบ้านก้อจัดสรร (สาขาเรือนแพ) อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ซึ่งตั้งอยู่เหนือเขื่อนภูมิพล โดยทางทีมงานได้สร้างโรงเรียนที่คล้ายกับโรงเรียนบ้านก้อจัดสรรขึ้นมา แล้วให้ชื่อว่า โรงเรียนบ้านแก่งวิทยา ส่วนบทของครูสองนั้น ก็ได้บทชีวิตจริงๆ (เฉพาะบทที่โรงเรียนนะครับ บทบาทด้านความรักไม่เกี่ยว) มาจาก ครูสามารถ ซึ่งเป็นครูที่สอนอยู่ที่โรงเรียนบ้านก้อจัดสรร จริงๆอีกนั่นแหละครับ (ข้อมูลทั้งหมด มาจากรายการ คนค้นฅน นะครับ)

     ในหนังจะมีเด็กนักเรียนแค่ไม่กี่คน (ในชีวิตจริงๆ มีเยอะกว่านั้นพอสมควรเลย) บทของครูแอน มี 6+1 คน ส่วนบทของครูสองจะเหลือแค่ 4+1 คน เพราะครูแอนสอนก่อนครูสอง คาดว่าเด็กนักเรียนน่าจะจบ ป.6 ไป 2 คน จึงเหลือให้ครูสองสอนน้อยลง แต่ +1 คืออะไร ใครอยากรู้ต้องไปดูเอาเองนะครับ

     บทของคุณครูที่ต้องกิน นอน อยู่กับเด็กๆตลอดทั้ง 5 วัน คือวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ ทำให้ครูในเรื่องนี้ เป็นมากกว่าครู แต่ต้องเป็นเหมือนผู้ปกครองคนที่สอง ต่อจากพ่อ และแม่ไปด้วย ดูแล้วเราจะรู้สึกถึงความผูกพันของครู และเด็กนักเรียนอย่างมาก

     เด็กๆในหนังช่วยสร้างสีสันได้ดีมากทีเดียว เด็กทุกคนแสดงได้ดีมาก หรืออาจจะเป็นความเป็นธรรมชาติของเด็กๆก็ไม่รู้นะครับ เพราะดูแล้วไหลลื่น ไม่มีอาการเกร็งให้เห็นเหมือนนักแสดงใหม่ที่โตๆกันแล้ว

     ในเรืองก็ยังมีบทรักๆ ที่ผิดหวังของครูทั้งสองคนด้วย ถึงแม้จะไม่มาก แต่ก็ทำให้ตัวหนังสามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างลงตัว

     อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนก็ยังคงสงสัย เอ๊ะ...แล้วคิดถึงวิทยา คืออะไร ยังไงกันแน่ เห็นเขียนถึงแต่ครู กับนักเรียน อืม...อันนี้ต้องไปดูเอาเองนะครับ บอกใบ้ให้นิดหนึ่งพอนะครับว่า คำเฉลยของ คิดถึงวิทยา คืออะไร จะอยู่ในช่วงท้ายๆของหนัง ตอนที่ครูสอง เขียนบันทึกของตัวเองลงในสมุดบันทึกของครูแอนครับ

     สุดท้ายของบทความนี้ หากใครดูหนังเรื่องนี้แบบยาวๆม้วนเดียวจบ แล้วตอนจบน้ำตาคลอ ผมขอแสดงความดีใจด้วยนะครับ คุณมีผมน้ำตาคลอเป็นเพื่อนแล้วครับ

     เดี๋ยวๆๆ ก่อนจะจบจริงๆ ผมอยากจะบอกว่า เพลงประกอบภาพยนตร์คิดถึงวิทยา ที่ใช้เพลง ไม่ต่างกัน ของ 25 Hours เพราะมากๆนะครับ ฟังแล้วอินเลย ส่วนดนตรีประกอบก็เพราะเช่นกันครับ ฟังแล้วอารมณ์ดีเลยทีเดียว จบครับ

ตอนที่ 70 (บทความ) _ ขึ้นเครื่องบิน



ขึ้นเครื่องบิน

     หลายคนเคยขึ้นเครื่องบินแล้ว แต่อีกหลายคนก็ยังไม่เคยขึ้น โดยคนที่ยังไม่เคยขึ้นก็ต่างที่มีเหตุผลต่างๆกันไป เช่น สถานที่ๆจะไปไม่มีสนามบิน ค่าเดินทางแพง หรือแม้กระทั่งกลัวการขึ้นเครื่องบิน ฯลฯ

     ทั้ง 3 เหตุผลที่กล่าวมา ผมประสบมาหมดแล้วล่ะครับ แต่จะเน้นหนักหน่อยก็ข้อที่ 2 ค่าเดินทางแพง ต้องยอมรับว่าค่าเดินทางโดยเครื่องบินนั้น แพงกว่าการเดินทางด้วยวิธีอื่นจริงๆ แต่ถ้ายอมจ่ายแพงหน่อย ก็จะเป็นการซื้อเวลาได้เยอะเลยทีเดียว เช่น เดินทางโดยรถทัวร์ กรุงเทพ - เชียงใหม่ ใช้เวลา 9 ชั่วโมง แต่ถ้าเดินทางโดยเครื่องบิน ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้มีเวลาเหลือมากมายเลย เมื่อไปถึงเชียงใหม่แล้ว แต่พอมีเวลา ก็อาจจะไม่มีตังค์ เพราะจ่ายค่าเครื่องบินไปหมดแล้ว มันก็ได้อย่าง เสียอย่างล่ะครับ

     อีกสาเหตุที่ทำให้หลายๆคนยังไม่เคยขึ้นเครื่องบินที่ว่า กลัวการขึ้นเครื่องบินนั้น อันนี้ผมก็เข้าใจดีครับ เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุทางการบินขึ้นมา โอกาสรอดมีเพียง 0.1 % เท่านั้นจริงๆ แต่ถ้าจะลองมองย้อนไปถึงอุบัติเหตุทางการบินจริงๆนั้น ในปีๆหนึ่ง เกิดขึ้นไม่น่าจะเกิน 5 ครั้งหรอกครับ แล้วส่วนมากก็ไม่ได้เป็นเครื่องบินตกด้วย แต่จะเป็นตอนลงจอดซะมากกว่า หากเทียบกับอุบัติเหตุทางพื้นดินแล้ว อุบัติเหตุทางอากาศเกิดขึ้นน้อยมากๆ จะต่างกันที่ความรุนแรงของอุบัติเหตุ และความเสียหายเท่านั้นเอง

     เขียนถึงการเดินทางโดยเครื่องบินแล้ว ก็ต้องเขียนถึงการเริ่มเดินทาง หรือขั้นตอนต่างๆก่อนขึ้นเครื่องบินนั้นเอง จากประสบการณ์ตรงของผม ผมไม่เคยไปซื้อตั๋วเครื่องบินที่หน้าเคาน์เตอร์หรอกนะครับ เพราะผมซื้อตั๋วผ่านหน้าเว็บไซต์ตลอดเลย สายการบินที่ผมใช้บริการมีแค่ 2 สายการบินก็คือ แอร์ เอเชีย และนกแอร์

     สำหรับ แอร์ เอเชีย แล้ว หลังจากจองตั๋ว ก็จะสามารถทำการเช็คอินผ่านหน้าเว็บไซต์ได้ล่วงหน้า 14 วัน ส่วนทาง นกแอร์ นั้น จะสามารถเช็คอินผ่านหน้าเว็บไซต์ได้เพียง 1 วันเท่านั้น (ข้อมูล ณ 07 / 08 / 2557)

     หลังจากเช็คอินแล้ว ก็ถือว่าเรายืนยันแล้วว่า เราจะเดินทางแน่นอน และเป็นการจองที่นั่งโดยสมบูรณ์แล้ว และด้วยความที่ว่า การขึ้นเครื่องบินไม่เหมือนการขึ้นรถทัวร์ ที่อยู่ๆจะไปถึงหมอชิต หิ้วกระเป๋า ไปรอที่ชานชาลาได้เลย เพราะกว่าจะไปขึ้นเครื่องได้นั้น ต้องผ่านด่านอีกนิดหน่อย

     ด่านแรกเลยก็คือ การสแกนกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ผมเดินทางครั้งแรกแบบบ้านนอกเข้ากรุงครับ ไปถึงดอนเมือง เข้าไปในอาคารผู้โดยสารขาออก ไปยืนงงๆอยู่ ว่าจะต้องไปทางไหน ก็โชคดีที่ว่า เคาน์เตอร์ของสายการบินเห็นค่อนข้างชัดเจน ก็เลยเดินไปถูกทาง พอเดินไปใกล้จะถึงเคาน์เตอร์ก็จะมีเครื่องสแกนกระเป๋าเดินทางอยู่  ผมก็โชว์บ้านนอกเลยครับ ถามคนที่อยู่ตรงเครื่องสแกน "ต้องสแกนกระเป๋ารึเปล่าครับ" โชคดีอีกที่ว่า คนที่ผมถามนั้นใจดีบอกว่า "ถ้าจะโหลดกระเป๋าลงใต้เครื่องก็สแกนครับ แต่ถ้าจะหิ้วขึ้นเครื่องด้วย ยังไม่ต้องสแกนครับ เดี๋ยวไปสแกนด้านในแทนครับ"

     ด่านที่สองก็คือ เคาน์เตอร์เช็คอิน หลังจากผ่านด่านสแกนกระเป๋าแล้ว ก็ต้องมาเช็คอินกันอีกรอบ เพื่อรับตั๋วตัวจริง โดยตั๋วใบนี้จะแจ้งว่า เราจะต้องไปขึ้นเครื่องที่ประตูไหนนั่นเองครับ และตั้งแต่ด้านนี้เป็นต้นไป จะต้องใช้ไอเทมเพิ่มคือ บัตรประจำตัวประชาชนนั่นเอง

     ด่านที่สาม คือ สาวสวยตรวจบัตร ผมไม่รู้ว่าพวกเธอเป็นใคร ทำหน้าที่อะไรกันแน่ แต่ผมรู้แค่ว่า พวกเธอแต่งตัวคล้ายตำรวจ และจะต้องขอดูบัตรประจำตัวประชาชนของทุกคนเลย ก่อนที่จะปล่อยให้เข้าไปในด่านที่สี่ (จริงๆน่าจะมีผู้ชายด้วยนะครับ แต่ไม่รู้ว่าทำไมส่วนใหญ่เจอแต่ผู้หญิง)

     ด่านที่สี่ คือ การสแกนครั้งใหญ่ มันครั้งใหญ่ยังไงน่ะเหรอ มันก็คือ การสแกนทุกๆอย่างที่ติดตัวเรามานั้นแหละครับ กระเป๋า โทรศัพท์มือถือ และสิ่งของต่างๆ เราต้องเอาผ่านเครื่องสแกนทั้งหมด โดยเราจะเดินผ่านประตูตัวเปล่าไม่มีสัมภาระติดตัวเลย แล้วก็จะมีคนมาสแกนตัวเราด้วยอีกต่างหาก ที่ด่านนี้มีกฎอยู่ 2 ข้อใหญ่คือ ห้ามนำอาวุธขึ้นเครื่อง และห้ามของเหลวเกิน 100 cc. ขึ้นเครื่อง ซึ้งในครั้งแรกนี้ผมก็โชว์บ้านนอกอีกตามเคย มีดคัตเตอร์ กับโลชั่นขวดใหญ่ ต้องเอาทิ้งไว้ที่ด่านนี้นั้นเอง

     มาถึงด่านสุดท้ายกันสักที ด่านที่ห้า ด่านนี้ไม่มีอะไรมาก ก็แค่ยื่นบัตรประจำตัวประชาชน กับตั๋วเดินทางให้สาวสวยที่รอเราตรงทางเดินไปขึ้นเครื่องนั่นเองครับ พอพวกเธอตรวจเสร็จ เราก็เดินไปตามทางเดินเรื่อยๆ จนไปถึงทางเดินที่เรียกว่า ทางเดินงวงช้าง เพื่อขึ้นเครื่องนั่นเองครับ

     ถึงตรงนี้บางคนยังไม่จบนะครับ เพราะบางคนยังต้องเจอด่านพิเศษปิดท้ายอีก จะเรียกว่าด่านโบนัสก็ไม่ใช่ ต้องเรียกว่าด่านบอสกันล่ะครับ เอ...แล้วด่านบอสนี่มันคืออะไรล่ะ คำตอบคือ ด่านผู้โดยสารมนุษย์ป้านั่นเอง (ณ เพลานี้ อะไรๆก็มนุษย์ป้า งั้นผมขอใช้บ้างล่ะกัน) โดยผู้โดยสารประเภทนี้จะชอบแย่งที่นั่งของเราครับ โดยเฉพาะที่นั่งแถวที่ติดหน้าต่างนี่ จะเจอบอสบ่อยกว่าที่นั่งแถวอื่นๆ ทางแก้โดยไม่ต้องพูดให้เปลืองน้ำลาย ให้เราใช้สายตา และการมองครับ ตามสเตปดังนี้

     มองบอส(มนุษย์ป้า) มองแอร์คนสวย(ให้แอร์มองที่เราด้วยนะครับ) มองตั๋วในมือของเรา มองแอร์คนสวยอีกครั้ง แล้วก็จบที่มองบอส เพียงเท่านี้ แอร์คนสวยก็ใช้วิชา เสียงสวรรค์ จัดการบอสให้ทันทีครับ (ขอบคุณเทคนิคดีๆนี้จาก น้องสาวคนสวยของผม)

     เอาล่ะครับ อ่านมาถึงตรงนี้ก็น่าจะพอเข้าใจแล้วนะครับ ว่าการขึ้นเครื่องบินเดินทางนั้น สนุกขนาดไหน ใครที่ยังไม่เคยเดินทางโดยเครื่องบินเลย ก็น่าจะลองดูนะครับ แล้วจะติดใจในความรวดเร็วแน่นอนครับ

     ทิ้งท้ายกับการจองตั๋วเครื่องบินนะครับ การจองแบบปกติๆ ราคาจะแพงมากครับ ควรจองช่วงที่มีโปรโมชั่นครับ จะได้ตั๋วที่ราคาถูกลงมากๆ หรืออาจจะจองข้ามปีก็ดีครับ เพราะจะได้ราคาถูกเหมือนกัน น้องผมจองเดินทาง กรุงเทพ - เชียงใหม่ (แบบไป - กลับ) เสียค่าตั๋วไม่ถึง 500 บาทครับ เพราะจองช่วงโปรโมชั่น และจองข้ามปี 300 กว่าวัน เลยได้ราคาถูกสุดๆ

ตอนที่ 69 (บทความ) _ เพศศึกษา อันตราย ?


เพศศึกษา อันตราย ?

     ณ โลกโลกาภิวัตน์ในปัจจุบันนี้ ปัญหาอย่างหนึ่งที่แก้ยังไงก็ไม่เคยจะลดลงเลย และยังมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นซะด้วยซ้ำไป นั่นก็คือ ปัญหาเรื่องเพศ ไม่ว่าจะเป็นชิงสุกก่อนห่าม ข่มขืนทุกรูปแบบ รักสนุกไม่ผูกมัด หรืออื่นๆอีกมากมาย

     ทำไมปัญหาเรื่องเพศไม่ลดลง แต่กลับยิ่งรุนแรงขึ้น คำตอบข้อหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ โลกออนไลน์ที่เปิดกว้างนั่นเอง การเข้าถึงเรื่องเพศง่ายขึ้น มีการโชว์เรื่องเพศต่างๆนาๆในเว็บไซต์ เรื่องที่ไม่น่าเกิดก็เกิด เช่น คนในครอบครัวมีเซ็กส์กัน การสวิงกิ้ง การลักหลับ การมีชู้กับแฟนเพื่อน และอีกมากมาย

     ผมเชื่อว่าปัญหาพวกนี้เราแก้กันที่ปลายเหตุไม่ได้ผลหรอกครับ ปลายเหตุที่ว่าคือ จิตใจที่มองเห็นว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ใครๆก็ทำกัน นี่แหละคือ ปลายเหตุของเรื่องเพศ จนนำไปสู่การกระทำเรื่องเพศที่ผิดๆ

     การจะไปไล่ปิดเว็บไซต์มันก็ยาก เพราะ ปิดทางนี้ ก็เปิดทางโน้นแทน สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆก็เยอะ จะห้ามไม่ให้ขาย มันก็เป็นการรังแกสื่อเกินไป สื่อโทรทัศน์ ละครอีกมากมายที่ชวนให้เลียนแบบ เวลามีฉากเลิฟซีน ก็จะมีข้อความขึ้นว่า ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำ แล้วจะมีบทเลิฟซีนมาเพื่อ...?

     แล้วทางแก้ไขอยู่ตรงไหนล่ะ คำตอบคือ...ผมไม่รู้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้เลย 100% ซะเมื่อไหร่ เพราะทางแก้ไขส่วนหนึ่งที่ทำได้ผมว่าก็คือ การสอนเรื่องเพศให้เด็ก และเยาวชน ในวิชาเพศศึกษานั่นเอง นี่อาจจะเป็นการแก้ที่ต้นเหตุของเรื่องเพศเลยก็ได้นะครับ

     ถึงตรงนี้ หลายๆคนเห็นด้วย และอีกหลายๆคนก็ไม่เห็นด้วย ผมว่าคงแบ่งเป็น 50-50 เลยทีเดียว เพราะมันเป็นดาบสองคมมากสำหรับเรื่องเพศศึกษา แต่หากว่าเราไม่สอนเลย "ดาบเล่มนั้นที่ตัวเด็ก ก็อาจจะถูกตีขึ้นในด้านคมที่ผิด เพียงด้านเดียวก็ได้นะครับ" แต่หากว่าเราสอนแล้ว แต่เด็กนำด้านที่ผิดไปใช้ ก็อาจจะเป็นความผิดของเรา แล้วถ้าหากว่าเราสอนแล้ว เด็กนำด้านดีๆไปใช้ล่ะ สังคมจะน่าอยู่กว่าเดิมรึเปล่า 

     ถ้าเราจะลองเจาะลึกลงไปสักนิด เกี่ยวกับเรื่องเพศศึกษาที่สอนกันได้ มันจะมีอะไรบ้าง ผมอาจจะเดาไม่ถูกไปซะหมดหรอกนะครับ แต่ก็ขอเดาว่าน่าจะมีดังนี้...

     1. เพศชาย / เพศหญิง มีลักษณะอวัยวะเพศอย่างไร
     2. อารมณ์เมื่อเกิดความต้องการทางเพศเป็นอย่างไร
     3. ถ้าเราเกิดอารมณ์ความต้องการทางเพศ ควรจะระบายอย่างไร
     4. การสืบพันธุ์ ทำอย่างไร
     5. ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของเพศชาย / เพศหญิง เป็นอย่างไร

     ผมเดาเอาคร่าวๆว่าน่าจะมีประมาณนี้นะครับ และหากว่าดูตาม 5 ข้อที่ผมว่ามานั้น มันก็ไม่น่าเป็นการส่งเสริมเรื่องเพศ ให้มีการมีเซ็กส์กันตรงไหนเลยนะครับ

     แต่จริงๆแล้ว แน่นอนว่าเมื่อเรียนไปแล้ว ผู้ชายก็ต้องเริ่มอยากเห็นอะไรๆของผู้หญิง เช่นเดียวกันผู้หญิงก็คงอยากเห็นอะไรๆของผู้ชาย และแน่นอนที่สุดว่า ทั้งชาย และหญิง อาจจะอยากลองมีเซ็กส์กัน แต่หากว่าเราสอนเรื่องเพศศึกษาถึงผลกระทบของการมีเซ็กส์ก่อนวัยอันควรล่ะ มันจะดีกว่าให้เด็กไปลองศึกษากันเองรึเปล่า หรือหากว่าเราสอนถึงวิธีป้องกันโรค และการตั้งครรภ์ล่ะ เด็กน่าจะรู้จักป้องกันรึเปล่า

     ถึงตรงนี้ถามว่า เรื่องเพศศึกษาอันตรายรึเปล่า ก็ยังคงตอบไม่ได้ครับ บางทีมันก็อยู่ที่ตัวบุคคล อยู่ที่ครอบครัว อยู่ที่การเสพสื่อต่างๆด้วยครับ

     แต่หากว่าเรากลัวเรื่องนี้จะเป็นอันตราย ผมขอเสนอว่า หลังจากสอนวิชาเพศศึกษาเสร็จแล้ว ก็ต่อด้วยวิชาพุทธศาสนาในการดำรงชีวิตไปเลยก็แล้วกันครับ จะได้ขัดเกลาจิตใจให้สงบลง และรู้จัก ผิด ชอบ ชั่ว-ดี เผื่อว่าอะไรๆอาจจะดีขึ้น

     ทุกอย่างที่เขียนมา ไม่มีคำตอบว่ามันจะดี หรือไม่ดี แต่ถ้าเราไม่ "เริ่มเสี่ยง" ทำอะไรเลย ทุกอย่างมันก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรอกครับ

ตอนที่ 68 (บทความ) _ เมื่อผมเกรียน


เมื่อผมเกรียน

     บทความนี้ อาจจะเกรียน และขวางโลกนิดหน่อยนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

     เมื่อวันก่อน ผมคุยกับน้องสาวคนหนึ่ง น้องสาวคนนั้นบ่นว่าร้อน เพราะใส่เสื้อแขนยาว และกางเกงขายาวมาทำงาน โดยสาเหตุที่ใส่แบบนั้นก็เพราะ นึกว่าฝนจะตก แต่ดันไม่ตก แถมยังแดดเปรี้ยงอีกต่างหาก (ปกติน้องใส่กระโปรงมาทำงานทุกวัน) คุยไปคุยมาเลยไปโดน

ประเด็นที่ว่า บ้านเราก็ร้อนจะตาย ทำไมไม่ให้ใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้นทำงานกันนะ อืม...นั่นน่ะสิ ใครกันนะเป็นคนกำหนดกฏเกณฑ์การแต่งตัว ว่าแต่งแบบไหนดูดี แต่งแบบไหนดูไม่ดี

     ทำไมใส่สูท ผูกไท ถึงถือว่าดูดี และสุภาพ ใครเป็นคนคิด ใครเป็นคนกำหนด (อย่าบอกนะ ว่าให้ผมไปเสิร์ทถามกูเกิล ผมไม่ไป หุหุ) เสื้อเชิ้ต 1 ตัว เสื้อสูท 1 ตัว ไท 1 ชิ้น กางเกงสแลค 1 ตัว ถุงเท้า 1 คู่ รองเท้าหนัง 1 คู่ อืม...จะเยอะไปไหน แล้วทำไมถึงว่ามันดูดี มี

กาลเทศะ ใครคิดค้นขึ้น

     ถ้าโลกกลมๆใบนี้ เมื่อหลายร้อยปีก่อน หรือหลายพันปีก่อนก็ไม่แน่ใจ มีคนคิดค้นว่า การโชว์เนื้อหนังมากๆ แล้วใส่หมวกทรงสูงๆ สีชมพู ถือว่าเป็นการให้เกียรติกันมากๆ เราก็คงไม่ต้องใส่เสื้อผ้าให้มากชิ้นกันหรอกเนอะ ป่านนี้อารณ์ทางเพศของคนเราก็คงด้านไปหมดละ 

คดีชั่วๆ ก็คงไม่มี (มั้ง) บ้านเราร้อนก็ร้อน มันช่างไม่เหมาะกับการใส่สูท ผูกไทจริงๆเลย ให้ดิ้นตายสิ

     แล้วดูอย่างแฟชั่นสิ มีการจัดแสดงแฟชั่นกันยิ่งใหญ่ อลังการ บอกว่าแฟชั่นนี้ดีมาก หรูหรา ราคาแพง อืม...แฟชั่นบางชุด บางชิ้นราคาแพงหูฉีกเลย แต่ว่าเอาไปใส่แบบมีกาละเทศะไม่ได้ เพราะมันไม่สุภาพ อ้าว...แล้วจะมีชุดแฟชั่นไปทำไม คำตอบคือ เอาไว้ใส่ไปงานที่

ไม่ต้องเป็นทางการ เอ้า...แล้วใส่สูท ผูกไท ไปงานที่ไม่เป็นทางการผิดมั้ยล่ะ อืม...ไม่ผิด แต่คงไม่เหมาะ เอ้าๆๆๆ งงๆ มึนๆ กันต่อไป

     เฮ้อ...โลกกลมๆ ใครช่างคิด ช่างกำหนดกันนะว่า ชุดแบบไหน ควรใส่ไปงานแบบไหน

     ชุดแฟชั่น ที่ได้รับคำชื่นชมจากดีไซเนอร์ทั่วโลกว่า สวย ดูดี มีระดับ ใส่แล้วดูมีคุณค่ามากมาย ราคาเป็นแสนๆ แต่ใส่ไปงานที่เป็นทางการไม่ได้นะเออ มันไม่เหมาะ อ้าว...

     ชุดสูท ที่ใส่แล้วดูดี ดูมีระดับ มีคลาส ราคาเป็นแสนๆ แต่ใส่ไปงานเลี้ยงรุ่นไม่ได้นะเออ มันไม่เหมาะ อ้าว...

     ถ้าใส่ชุดนอนไปเดินห้าง รปภ. จะให้เข้ามั้ยนะ

     แล้วถ้าใส่ชุดนักเรียนไปทำงาน คนในบริษัทจะว่าเราบ้ารึเปล่า

     สุดท้ายนี้ความเกรียนลดลงแล้ว ก็อยู่บนโลกกลมๆที่มีคนต้ังกฎเกณฑ์ต่างๆต่อไป ในเมื่อเราไม่มีอำนาจอะไรที่จะตั้งกฎเกณฑ์อื่นๆ ก็จงอยู่อย่างสงบตามคนอื่นๆเขาต่อไป

     อย่าให้รู้นะว่า มีใครตื่นมาแล้วไม่ยอมแปรงฟัน แต่กินข้าวเช้าซะก่อน แล้วค่อยแปรงฟัน เพราะคุณกำลังทำแบบผมอยู่ คือ แหกกฎการแปรงฟันตอนเช้า หลังจากตื่นนอน ฮ่าาา

     ปล. การแหกกฎมันเท่แค่ในบางมุมมองของคนบางกลุ่มเท่านั้น แต่ส่วนมากแล้ว การแหกกฎมันดูแย่มากในมุมมองของคนอื่นๆที่เยอะกว่าคนกลุ่มนั้นๆ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ขอร้องนะครับ อย่าแหกกฎกันเลย

ตอนที่ 67 (บทความ) _ เรื่องวุ่นๆ ของเจ้าหนี้


เรื่องวุ่นๆ ของเจ้าหนี้

     "ขอยืมหน่อยนะ พอดีช่วงนี้ไม่มีจริงๆน่ะ เดี๋ยวพอเงินเดือนออก หรือมีเงินเมื่อไหร่ จะคืนให้นะ" เป็นคำพูดทั่วๆไป ของคนที่รู้จักเรา และเราก็รู้จักเขา ตอนที่จะมาขอยืมเงินเรา แล้วก็แปรสภาพเป็นฐานะ "ลูกหนี้" ทันที

     "อะๆ ก็ได้ มีเงินเมื่อไหร่ แล้วรีบคืนก็แล้วกันนะ เพราะเราเองก็ไม่ได้มีเงินเยอะมากมาย" เป็นคำพูดทั่วๆไปของเราๆ ที่เวลามีคนมาขอยืมเงิน แล้วก็แปรสภาพเป็น "เจ้าหนี้"

     ตามหลักสากลทั่วทั้งโลกแล้ว เมื่อมีการยืม ก็ต้องมีการคืน แล้วเหตุไฉนพอถึงเวลาคืน ลูกหนี้ถึงไม่ยอมคืน จนเป็นเหตุให้ต้องเรียกลูกหนี้ว่า "ไอ้............เหนียวหนี้" (จงเติมคำในช่องว่าง ตามแต่อารมณ์ของเจ้าหนี้จะพาไป)

     ครั้นจะให้เจ้าหนี้ไปทวงเช้า ทวงเย็น มันก็ดูไม่งามสำหรับเจ้าหนี้ที่แสนจะใจดี ให้เขายืมเงินไป (ทวงเช้า ทวงเย็น ทวงทุกวัน ลูกหนี้ก็ไม่คืน อายมั้ยล่ะ ทวงอยู่ได้ อายมั้ยยยยยย)

     แต่ก็นะ ไอ้จะรอให้ลูกหนี้มีสามัญสำนึก คิดเองได้ว่า ยืมเงินเขามา แล้วต้องรีบคืน มันก็ยากแสนยากจริงๆ (ดักปล้นเลยซะดีมั้ย เอ๊ะ ไม่ดีๆ เดี๋ยวมันหมดตัว มันก็จะมาขอยืมเงินเราอีกสิ)

     หรือต้องให้เจ้าหนี้ใช้แผน หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ให้เจ้าหนี้ไปขอยืมเงินลูกหนี้ (มันจะมีให้ยืมมั้ยหว่า) แล้วพอถึงเวลาลูกหนี้มาขอเงินคืน ก็ตีเนียนไปว่า "จะคืนทำไม ก็ถือว่าเป็นเงินที่แก (เจ้าหนี้เริ่มมีโมโห) ยืมไป แล้วคืนมาก็แล้วกัน" 

     คงไม่ต้องถึงกับให้เจ้าหนี้ไปก้มกราบงามๆที่เท้าของลูกหนี้หรอกนะ ... คืนเงินผมเถอะ พลีสสสสส (ต้องทำตาปริบๆด้วยมั้ยนะ)

     เรื่องราวของเจ้าหนี้ กับ ลูกหนี้ แต่ละคู่จะจบยังไง ไม่มีใครรู้หรอก บางคู่จบดี แฮปปี้ทั้งคู่ แต่บางคู่ก็อย่างที่กล่าวมาข้างต้น

     อยากจะบอกลูกหนี้ทั้งหลายแค่ว่า "ลูกหนี้ที่ดี เจ้าหนี้ก็จะรัก" จบนะ