hostneverdie

weltrade

siamfocus

ตอนที่ 82 (บทความ) _ ภาษากาย



ภาษากาย

     ต่อจากบทความที่ผ่านมานะครับ ที่เรื่อง รักครั้งใหม่ ผมยังคงประเด็นหลักคือ ความรักที่มีอันต้องเลิกรา หย่าร้างด้วยสาเหตุจากมือที่สาม

     ภาษาใจ ใครๆก็รู้นะครับ ว่ามันอยู่ที่ความเข้าใจกัน มันถึงจะอยู่กันยืด แล้วภาษากายคืออะไร ใครพอจะเดาออกบ้าง บางคนรู้ บางคนไม่รู้นะครับ ส่วนผมเหรอ...ผมไม่รู้ อ้าว...ยังไงล่ะเนี่ย แต่ผมขอเดาว่ามันคือ รูป รส กลิ่น เสียง นั่นเองครับ

     คุณเคยจับมือใครรึเปล่า เคยกอดใครรึเปล่า เคยมองเห็นคนที่เค้าดูดีจนอยากเก็บเอาไว้คนเดียวรึเปล่า หรือเคยได้ยินเสียงใครสักคน แล้วอยากฟังซ้ำๆบ้างรึเปล่า ผมคิดว่านั่นแหละครับ คือ ภาษากาย

     เชื่อหรือไม่ว่า ภาษากาย มันอาจจะอยู่ในความทรงจำของเราได้นานกว่าภาษาใจซะอีก เคยจับมือแฟนคนแรกเมื่อหลายปีก่อน ป่านนี้บางคนก็ยังจำได้ เคยกอดกับเพื่อนๆ เมื่อตอนประสบความสำเร็จอะไรสักอย่าง ความรู้สึกที่เคยกอด บางคนก็ยังจำได้

     แล้วภาษากายเกี่ยวข้องกับมือที่สามยังไง ผมว่าไม่ต้องบอกก็คงเดาออกกันนะครับ ว่าภาษากายที่ว่ามันหมายถึงอะไร...ถูกต้องครับ ภาษากายที่ว่าก็คือ เซ็กส์ ซึ่งมันมีทั้ง รูป รส กลิ่น เสียง ครบสมบูรณ์แบบเลย แต่เซ็กส์อาจจะไม่ใช่รัก มันอาจจะเป็นแค่หลง หลงในกายของอีกคน แต่ไม่ใช่เพราะความหลงนี้เหรอ ที่ทำให้ความรักที่เคยมีมาก่อนนั้น ต้องพังทะลายลง

     หลายต่อหลายคู่ ความรักพังเพราะมือที่สาม แล้วหลายต่อหลายคู่ มือที่สามหน้าตา ท่าทาง ก็ไม่ได้ดูดีไปกว่าคนที่จะโดนทิ้งเลย บางทียังดูแย่กว่าด้วยซ้ำไป แต่ก็นะ บางทีคนที่จะทิ้งเขาหลงภาษากายของใหม่มากๆ มากซะจนอยากเลิกกับภาษากายของเก่า เจอแบบนี้เข้าไป คนที่ถูกทิ้งคงหลอนไปอีกนานเลยล่ะครับ

     จริงๆแล้วก่อนที่ภาษากายจะเกิดขึ้นได้ มันก็ต้องเริ่มมาจากภาษาใจก่อนนะ พอต่างฝ่ายต่างคุยกันถูกใจ ความรู้สึกชอบค่อยๆก่อตัวขึ้น หรืออาจจะข้ามขึ้นไปถึงความรู้สึกรักเลยก็ได้ แต่ตราบใดที่ยังไม่เคยได้ขับรถสปอร์ตคันละหลายล้าน ผมเชื่อว่า ยังพอมีโอกาสหันกลับได้ เพราะภาษากายยังไม่เกิด แต่ถ้าเมื่อไหร่ได้ลองขับรถสปอร์ตคันละหลายล้านแล้วล่ะก็นะ งานนี้มีโอกาสแตกหักกับรถจักรยานคันเก่าที่บ้านสูงมาก (รถสปอร์ต กับรถจักรยานคืออะไร กลับไปอ่านบทความก่อนหน้านี้ "รักครั้งใหม่" นะครับ)

     บางคนนะครับ ไม่ได้เกิดจากความชอบ ความรักอะไรเล้ยยย แต่เกิดจากความบังเอิญครับ บังเอิญมือชนกัน บังเอิญเดินชนกัน บังเอิญล้มทับกัน (ละครน้ำเน่าละ) หรือรวมไปถึง บังเอิญเมาแล้วได้กัน รสเซ็กส์เลยโคตรมันส์ หลงหนักเลย

     สงสัยใช่มั้ยล่ะครับ บังเอิญมันเป็นภาษากาย นำพาให้ความรักพังได้ยังไง

     บังเอิญมือชนกัน กายชนกาย สัมผัสความนุ่มกระทบความรู้สึก เกิดการคุยกัน สานต่อ งามใส้เลย

     บังเอิญเดินชนกัน กายชนกาย สัมผัสความนุ่ม ความแรง ส่วนสูง อาจจะมีกลิ่นตัวเพิ่มเข้าไปอีก เกิดการคุยกัน สานต่อ งามใส้เลย (ชักเริ่มแถแล้วผม)

     บังเอิญได้คุยโทรศัพท์ติดต่อเรื่องงานกัน แต่เอ๊ะ เสียงที่ปลายสายเพราะจัง อยากได้ยินเสียงบ่อยๆซะแล้วสิ สานต่อ งามใส้เลย

     บังเอิญได้ชิมอาหารฝีมือใครสักคน แล้วแบบว่า อร่อยถูกปากมาก อยากให้เขาทำให้กินบ่อยๆจัง สานต่อ งามใส้เลย (ผมนี่แถไปเรื่อยได้จริงๆ)

     ชักจะเลอะเทอะแล้วผม เอาเป็นว่า ภาษากายมีผลกระทบรุนแรงพอๆกับภาษาใจนั่นแหละครับ แล้วเมื่อไหร่ที่ภาษาใจรวมกับภาษากายแล้ว มันก็มักจะเกิดการเปรียบเทียบขึ้น แล้วส่วนมากของใหม่มักจะได้เปรียบกว่าเสมอ

     ฝากไว้เหมือนเดิมนะครับว่า ไม่มีใครหยุดความวุ่นวายเรื่องความรักได้ นอกจากตัวเรา ใจเรานะครับ รู้จักพอ รู้จักหนักแน่น เรื่องวุ่นๆก็จะได้ไม่เกิดขึ้นให้เราปวดหัวนะครับ

ตอนที่ 81 (บทความ) _ รักครั้งใหม่



รักครั้งใหม่

     ณ วันที่ 28 ก.ย. 2557 ได้รับรู้ข่าวที่ว่า มีสาวพลัดตกตึกเสียชีวิต ในเนื้อข่าวคือ สาวที่พลัดตกตึกนั้น เป็นกิ๊กของชายคนหนึ่ง ซึ่งตกใจเพราะ ภรรยาของชายคนนั้น ทำเซอร์ไพร์สกลับมาหาสามีเร็วกว่าที่คิด

     ณ วันที่ 29 ก.ย. 2557 ข่าวได้มีความคืบหน้า ชายคนนั้นมีภรรยาอยู่แล้ว และภรรยาได้กลับบ้านไปคลอดลูกคนที่ 2 ... ย้ำว่า ลูกคนที่ 2 แต่ระหว่างที่ภรรยากลับบ้านไปคลอดลูก ชายคนนั้นได้พากิ๊กเข้าไปหลับนอนที่ห้องของตน ต่อมามีเพื่อนบ้านเป็นพลเมืองดี ได้โทรไปบอกกับภรรยาของชายคนนั้นว่า สามีได้พาผู้หญิงมานอนด้วย (ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพื่อสังคมที่ดีขึ้น)

     ภรรยา พอทราบข่าวจากเพื่อนบ้าน ก็ได้มาซุ่มดูสามีตั้งแต่วันที่ 25 จนถึงวันเกิดเหตุ ก็หมายจะจับให้ได้คาหนังคาเขา จึงไปเคาะประตูห้องหลังจากที่ได้รู้ว่า สามีได้พากิ๊กสาวเข้าไปนอนในห้องด้วยแล้ว จนเกิดเหตุสลดขึ้นในที่สุด

     ภายหลังจากเกิดเหตุแล้ว ทางสามีได้บอกว่า รักกิ๊กสาวคนนี้มาก จะออกค่าจัดงานศพให้ทั้งหมด และจะบวชหน้าไฟให้ด้วย (ขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย) แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ภรรยารับไม่ได้ และได้ทำการขอหย่าในที่สุด

     เรื่องราวความรักครั้งนี้ มีตัวละครหลัก 3 คน คือ สามี อายุ 30 ปี, ภรรยา อายุ 25 ปี และกิ๊กสาว อายุ 19 ปี แล้วก็มีตัวละครเสริมที่น่าสงสารอีก 2 คน ก็คือ ลูกของสามีภรรยาคู่นั้น

     ไม่น่าเชื่อนะครับว่า การมีลูกด้วยกันแล้วถึง 2 คน ความรักก็ยังคงไม่สมบูรณ์อีก แต่จะว่าไปแล้วเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นบนโลกนะครับ ที่สามีภรรยามีลูกด้วยกันแล้ว จะหย่าร้างกันด้วยสาเหตุของมือที่ 3

     ความรักเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก มันมีมากมายหลายแบบ ถึงมันจะเกิดขึ้นซ้ำๆๆกันนับครั้งไม่ถ้วนบนโลกใบนี้ แล้วมันก็อาจจะเกิดขึ้นทุกๆวินาทีเลยก็ได้ แต่มันก็แทบจะไม่เคยเหมือนกันเลย ความรักถ้าไม่เกิดกับตัวเอง

จะไม่มีทางเข้าใจเลย ว่าอะไร ทำไม...ทำไมเราต้องกลายเป็นแบบนั้น แบบนี้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น เราก็เคยเห็นตัวอย่างมาตั้งมากมาย เราเคยคิดว่า เราต้องไม่เป็นแบบนั้น ไม่ทำแบบนั้น แต่พอความรักแบบนั้นมันมาเกิดขึ้นกับตัวเรา ทำไมล่ะ ทำไมเราถึงเป็นแบบตัวอย่างเหล่านั้น ทำไมเราถึงหนีออกไปไม่ได้...นั่นน่ะสิ ทำไมนะ

     รักครั้งใหม่ สำหรับคนที่มีแฟน มีครอบครัวแล้วก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าเราจะได้รู้ ได้เห็นตัวอย่างมาพอสมควร ว่ามันไม่ดียังไงบ้าง แล้วมันต้องไม่เกิดกับเราแน่นอน แต่เชื่อเถอะว่ามีไม่น้อยเลย ที่พอเจอเข้ากับตัวเองแล้ว ก็ห้ามใจไม่ค่อยจะได้ เอาตัวก็ไม่ค่อยจะรอด ยอมที่จะเลิกรากับแฟน ยอมที่จะหย่าร้างกับภรรยา แล้วไปสร้างรักครั้งใหม่กับคนใหม่ที่เข้ามา โดยเหตุผลหนึ่งอาจจะคือ ผมเจอเนื้อคู่ที่แท้จริงแล้ว (คิดได้เนอะ)

     ถามว่าทำไมล่ะ อยู่ด้วยกันมาเป็น 10-20 ปี มีลูกด้วยกัน 2-3 คนแล้ว ความรักมันยังไม่พออีกเหรอ...ผมคิดว่า ความรักมันพอแล้วล่ะครับ เพียงแต่ว่าความรักบางทีมันก็แพ้ความน่าค้นหา ความเบื่อ ความเฉื่อยชา ความใหม่ การเปรียบเทียบ ฯลฯ (กิเลสไม่ขอพูดถึง เพราะมันเป็นจำเลยบ่อยละ)

     คนเราชอบเปรียบเทียบนะครับ แรกรัก ภรรยาเก่าเหมือนรถสปอร์ตคันละหลายล้าน ใครห้ามยุ่ง และเราก็ไม่มองใคร แต่งงานกันไป อยู่กินกันไป 10-20 ปี ภรรยาเก่าจากรถสปอร์ตคันละหลายล้าน เหลือเป็นเพียงจักรยานคันละไม่ถึงพัน ไม่มีอะไรน่าค้นหา น่าตื่นเต้น มองแปปๆก็เบื่อ

     แล้วพอไปเจอคนใหม่ ความรู้สึกเดิมๆมันกลับมา รถสปอร์ตคันละหลายล้านกลับมาอีกครั้ง เมื่อเอาไปเทียบกับจักรยานคันละไม่ถึงพันที่บ้าน แน่นอนว่ารถสปอร์ตกินขาด...ก็มันเป็นซะแบบนี้แหละครับ รักครั้งใหม่บางทีมันก็ไม่ได้เหมาะสมเลย เพียงแต่ว่า "ถูกผิดรู้หมด แต่มันก็หยุดไม่ได้" โลกเรามันเลยวุ่นวายซะเหลือเกิน

     สิ่งที่จะหยุดเรื่องวุ่นๆพวกนี้ได้ ก็มีเพียงแค่ตัวเรา และใจเราเท่านั้นแหละครับ รู้จักพอ รู้จักหนักแน่น ทุกอย่างก็จบครับ...แต่ก็อย่างที่บอกนะครับ ความรัก ถ้าไม่เจอกับตัว ก็ไม่ทีทางรู้หรอกครับ ว่ามันหยุดยากแค่ไหนเพราะขนาดตัวผมเอง ยังเคยผิดพลาดมาแล้ว แต่ดีที่ว่าตั้งสติดีๆได้เร็ว เรื่องเลยจบแบบไม่มีเรื่องร้ายแรงครับ

     ติดตามบทความต่อไปด้วยนะครับ เพราะมันต่อเนื่องกัน ในชื่อบทความที่ว่า...ภาษากาย

ตอนที่ 80 (เรื่องสั้น) _ ฉันนั่งตกปลาอยู่ริมตลิ่ง


ฉันนั่งตกปลาอยู่ริมตลิ่ง

     ณ ดินแดนชนบทแห่งหนึ่ง ที่อยู่ไกลจากตัวเมืองหลวงเพียง 30 กิโลเมตร ณ ที่แห่งนี้ยังมีกลิ่นอายของความเป็นลูกทุ่งอยู่มาก แม้ว่าตอนนี้ความเจริญของเมืองหลวงจะค่อยๆเข้ามาพัฒนาให้ชนบทแห่งนี้เปลี่ยนไป แต่คนที่นี่ก็ยังคงพยายามรักษาความเป็นลูกทุ่งเอาไว้ให้ได้นานที่สุด

     ชนบทแห่งนี้ยังมีความเป็นธรรมชาติอยู่อย่างสมบูรณ์ เป็นที่หมายปองของนายทุนจากในเมืองหลวงที่คิดจะเข้ามาซื้อที่ดิน เพื่อนำไปทำเป็นรีสอร์ท แต่ด้วยความที่เจ้าของที่ดินรุ่นใหม่ๆ ถูกปลูกฝังโดยคนรุ่นเก่าว่าให้รักในธรรมชาติ ทีดินของที่นี่จึงยังไม่ถูกนายทุนซื้อเอาไปง่ายๆ

     "จอดตรงนี้แหละสวย จอดๆ จอดเลย" มิ้ง กระเทยไทยใจเกินร้อยแห่งหมู่บ้านนี้ บอกให้ สวย ซึ่งเป็นเพื่อนของเธอจอดรถมอเตอร์ไซค์ที่ขับซ้อนสามกันมา ผ่านถนนลูกรังที่หากพลาดรถล้มลงไป มีเจ็บหนักแน่ๆ เพราะถนนไม่ได้เรียบสวยสักเท่าไหร่ แล้วก้อนหินก็เยอะด้วย

     "ตรงนี้เลยเหรอมิ้ง มันเปลี่ยวเกินไปรึเปล่า" เพ็ญ เพื่อนของมิ้งกับสวยที่ซ้อนสามกันมา ลงจากรถมอเตอร์ไซค์แล้วเดินมาดูทำเลของคลองที่มิ้งบอกให้จอดตรงนี้แหละ

     "ตรงนี้แหละเพ็ญ เปลี่ยวๆยิ่งดี ยิ่งสงบ ฉันมาดูทำเลตรงนี้หลายทีแล้ว เงียบสงบมากๆ ไม่ค่อยมีคนผ่านมาสักเท่าไหร่ หรือถ้าจะมีผ่านมา ส่วนมากก็เป็นป้าๆ สบายใจได้" มิ้ง อธิบายให้เพ็ญเข้าใจ

     "ไม่ต้องพูดมากทั้งสองคน ลุยกันเลยละกัน" สวย ซึ่งเป็นคนขับรถมอเตอร์ไซค์มา พอจอดรถเสร็จ ก็เดินมาหาเพื่อนทั้งสองคน แล้วก็บอกให้ลุยกันเลย

     "สวย หน้าอกใหญ่ขึ้นรึเปล่า ไปทำอะไรมา" มิ้ง สังเกตหน้าอกของเพื่อนทั้งสองคน ซึ่งของเพ็ญดูจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ของสวยนั้นดูใหญ่ขึ้น

     "บ้าสิ มันจะไปใหญ่ขึ้นได้ยังไงอีก นี่ก็โตจนอายุ 24-25 กันแล้วนะ มันหยุดขยายแล้ว" สวย ยืดอกให้ทั้งสองคนดู ว่าน่าจะคิดไปเองว่ามันใหญ่ขึ้น

     "สงสัยจะคิดไปเอง หรือไม่ก็เพราะชุด หรือไม่ก็...เพราะฉันอิจฉาหน้าอกของเธอ เลยคิดว่ามันใหญ่ขึ้น" มิ้ง มองที่หน้าอกของสวย แล้วก็ทำท่าพิจารณาอยู่นาน สวยก็ไม่ยอมแพ้ ยืดอกให้มิ้งพิจารณาอย่างเต็มตา

     "โห สามสาวนุ่งชุดว่ายน้ำ เล่นน้ำให้คลองกันเลยเหรอ มันไม่เข้ากันเลยนะนั่น" ป้าคนหนึ่งขับรถออกมาจากไร่ของเขา แล้วมาเจอกับสามสาวเล่นน้ำในคลองกันอยู่ โดยแต่ละคนแทนที่จะนุ่งผ้าถุงตีโป่งกัน กลับกลายเป็นว่าใส่ชุดว่ายน้ำแบบคนในเมืองหลวง ทำให้ป้าอดแวะแซวไม่ได้

     "นิดนึงน่าป้าสา ก็บ้านเรามันไม่มีสระว่ายน้ำนี่ เลยต้องมาแอบใส่เล่นกันในคลองแบบนี้แหละ" มิ้ง เป็นคนตะโกนตอบป้าสา

     "อ่อ สวยๆ เซ็กซี่กันทั้งสามคนเลย โดยเฉพาะมิ้ง ถ้าไม่ติดว่าเป็นกระเทยนะ ป้าจะให้ลูกชายป้ามาขอเลยนะเนี่ย ป้าไปละ ดูแลตัวเองกันด้วยล่ะ" ก่อนไป ป้าสาก็ยังมีการแซวกระเทยไทยใจเกินร้อยแห่งหมู่บ้านให้ได้ขำกัน

     สองสาว กับอีกหนึ่งเกือบสาว ขับรถมอเตอร์ไซค์ซ้อนสามกันมา เพื่อหาที่เล่นน้ำคลายร้อนกัน โดยตอนนี้ทั้งสามคนได้ใส่ชุดว่ายน้ำแบบทูพีช หรืออาจจะเรียกว่า บิกินี่ ก็ได้ ลงเล่นน้ำในคลองแถวๆทางเข้าไร่ของชาวบ้าน ซึ่งทางแถวนี้ไม่ค่อยมีคนผ่านสักเท่าไหร่นอกจากคนไปทำไร่ แล้วคนทำไร่ส่วนมากก็เป็นป้าๆมากกว่าผู้ชาย เพราะพวกผู้ชายจะทำงานรับจ้างกันมากกว่าทำไร่ ทำให้การลงเล่นน้ำที่นี่ปลอดภัยค่อนข้างมากทีเดียว

     "ใครมาโวยวาย ตะโกนคุยกับใครแถวนี้ล่ะเนี่ย กำลังหลับเพลินๆเลย" ชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่กำลังนอนหลับอยู่แถวๆที่สามสาวกำลังเล่นน้ำกันอยู่ตกใจตื่นขึ้น เพราะเสียงของป้าสาตะโกนคุยกับสามสาว

     "อุ๊บ!!! อะไรกันเนี่ย นางฟ้าลงมาเล่นน้ำรึไงกัน" ชายหนุ่ม กำลังจะออกไปดูว่าเมื่อกี้ใครคุยกับใคร แต่โชคดีที่เขาไม่พุ่งออกไปทีเดียว เขาค่อยๆสอดส่ายสายตาดูตามช่องของต้นไม้ใบไม้ จนไปเจอกับภาพของสามสาวกำลังเล่นน้ำกันอยู่ในชุดบิกินี่ เขาตกตะลึงมากกับภาพที่เห็น

     "นั่นมันเพ็ญ กับกระเทยมิ้งนี่หน่า มาใส่ชุดแบบนี้เล่นน้ำกันแถวนี้ได้ยังไง ไม่กลัวใครมาเห็นเข้ารึไงกัน เอ๊ะ...ถ้าเป็นเพ็ญกับมิ้ง งั้นอีกคนก็..." หลังจากที่ชายหนุ่มแอบดูอยู่เงียบๆว่าทั้งสามคนเป็นใคร เขาก็ได้รู้ว่าสองคนที่หันหน้ามาทางเขาคือ เพ็ญ กับกระเทยมิ้ง เขาสงสัยว่าอีกคนคือใคร แต่แล้วเข้าก็ต้องใจเต้นแรงเมื่อนึกได้ว่า เพ็ญกับมิ้ง มีเพื่อนสนิทอีกคนคือ สวย ซึ่งสวยก็คือคนที่เขาแอบชอบอยู่นั่นเอง เขาแอบดูอยู่แบบลุ้นระทึก จนกระทั่ง...

     "สวย จริงๆด้วย" สามสาวเล่นน้ำกันจนมีจังหวะที่สวยได้หันหน้ามาทางเขาพอดีจนได้ เขาตกใจมากทำอะไรแทบไม่ถูก ใจเต้นแรง ตื่นเต้นกับภาพที่ได้เห็น สวย สาวที่เขาแอบชอบอยู่ กำลังใส่ชุดบิกินี่เล่นน้ำตรงหน้าเขา สวยดูเซ็กซี่มากในชุดบิกินี่สีชมพู ทุกอย่างดูดีไปหมด จนเขาแทบจะไม่อยากละสายตาจากสวยเลย

     "สวย วันนี้ดูยอดเค้ามองเธอแปลกๆนะ" เพ็ญ มาเดินตลาดกับสวยสองคน แล้วจังหวะที่ทั้งสองคนเดินผ่านแผงขายปลาของยอด เพ็ญก็ได้สังเกตเห็นสายตาของยอดที่มองเพื่อนของเธอแปลกๆ

     "แปลกยังไงล่ะเพ็ญ" สวย ไม่ได้หันไปมองที่แผงขายปลาของยอด แต่ถามเพ็ญดูว่าแปลกยังไง

     "ก็ดูยอดเค้ามองเธอแบบ...อายๆนะ มองแปปๆก็หลบสายตา แถมยังดูหน้าแดงๆอีกด้วยนะ" เพ็ญ อธิบายให้สวยเข้าใจ

     สวย ลองหันไปมองที่แผงขายปลาของยอด เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ยอดกำลังเหม่อลอยมองไปที่ตูดของสวยพอดี สวยเห็นเข้าเลยหันหน้ามาไปทางยอด ทำให้ยอดตกใจได้สติ แล้วก็ละสายตาจากจุดเดิมไปมองที่หน้าของสวย ก่อนที่จะหลบสายตาหันไปมองทางอื่นด้วยท่าทางอายๆ

     "ฉันว่ามันแปลกๆนะเพ็ญ เข้าไปถามดูเลยดีรึเปล่า" สวย เริ่มสงสัย เลยจะชวนเพ็ญเข้าไปถามยอดให้รู้เรื่องกันไปเลย ว่าทำไมถึงมองเธอแปลกๆ

     "อย่าพึ่งเลยสวย เดี๋ยวรอคนที่เก่งที่สุดในพวกเราก่อนดีกว่า ให้มิ้งจัดการดีกว่า" เพ็ญ ยกหน้าที่นี้ให้มิ้ง กระเทยไทยใจเกินร้อยแห่งหมู่บ้านเป็นคนจัดการ

     "จะบอกดีๆ หรือจะบอกด้วยน้ำตา ว่าทำไมถึงมองเพื่อนฉันด้วยสายตาแปลกๆ" สามสาวได้ไปที่แผงขายปลาของยอดตอนตลาดใกล้วาย ทำให้ผู้คนไม่ค่อยมีแล้ว เป็นจังหวะที่ยอดกำลังเก็บของอยู่พอดี มิ้งเลยไปคว้ามีด แล้วทำท่าจะสับลงไปที่ปลาบนแผงขายปลา เพื่อสับปลาที่ยอดเอาไว้ขาย เพื่อเป็นการข่มขู่หาความจริง ว่าทำไมยอดถึงมองสวยแปลกๆ

     "เดี๋ยวนะๆ อย่าพึ่งทำอะไรปลา ฉันจะบอกให้ก็ได้ ว่าทำไมฉันถึงมองเพื่อนเธอแปลกๆ" ยอด ตกใจที่อยู่ๆทั้งสามสาวก็มาข่มขู่หาความจริงกันแบบนี้ที่แผงขายปลาเลย

     "งั้นก็บอกมา ก่อนที่มีดจะสับลงไปที่ปลาเนี่ย" มิ้ง บอกให้ยอดรีบบอกมา

     "คือแบบนี้นะ วันนั้นฉันไปตกปลาแถวๆที่พวกเธอไปเล่นน้ำกันตั้งแต่สายๆแล้ว แต่ฉันข้ามไปตกปลาอีกฝั่งนะ ไม่ใช่ฝั่งถนน พอเที่ยงฉันก็กินข้าว แล้วเห็นบรรยากาศแถวนั้นกำลังดี ฉันก็เลยนอนกลางวันมันตรงนั้นเลย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีคนมาตะโกนคุยกันใกล้ๆ พอลุกมาดูก็เห็นพวกเธอเล่นน้ำนั่นแหละ แล้วฉันก็เห็น...(ยอดเริ่มหน้าแดง) สวยในชุดบิกินี่ แต่ๆๆ แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแอบดูนะ มันบังเอิญจริงๆ" ยอด พยายามอธิบายให้ทั้งสามสาวได้เข้าใจ

     "สวย เธอคิดว่ายังไง" มิ้ง ถามสวย หลังจากที่ยอดได้พยายามอธิบายแล้ว

     "จริงๆยอดเค้าก็ไม่ได้ผิดอะไรมากมายนะ คิดดูสิว่า ถ้าเราไปว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำ แล้วยอดแอบดูเรา มันก็เหมือนกับว่า เราเล่นน้ำในที่สาธารณะ แล้วใครก็แอบดูเราก็ได้ มันก็ยังดีกว่าที่ว่า มีคนมาตั้งหน้าตั้งตาดูเราเล่นน้ำเลยนะ" สวย บอกกับมิ้ง ที่กำลังพยายามทำความเข้าใจ

     "มันก็จริงนะ คงแล้วแต่มุมมองของใครด้วยแหละ" เพ็ญ พูดแทรกขึ้นมาในขณะที่มิ้งกำลังใช้ความคิด

     "อีกอย่าง ยอดเค้าก็ไม่ได้ทำอะไรให้เราเสียหาย ฉันว่าไม่ต้องไปเอาเรื่องเค้าหรอก ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่า เค้ามองฉันด้วยสายตาแปลกๆทำไม ปล่อยเค้าไปเถอะ" สวย พูดเสริม เพื่อให้มิ้งได้ตัดสินใจ

     "ก็ได้ ฉันไม่เอาเรื่องเค้าละ แต่มีข้อแม้นิดหน่อยนะ เพราะไหนๆเค้าก็ได้เห็นพวกเราสามคนเล่นน้ำกันแล้วนี่" มิ้ง ยอมไม่เอาเรื่องแล้ว แต่ก็มีข้อแม้นิดหน่อย

     "ข้อแม้อะไร" สวย ทำหน้าสงสัย

     "ให้เค้าไปเป็นบอดี้การ์ดให้เรา ตอนเราไปเล่นน้ำยังไงล่ะ" มิ้ง บอกข้อแม้ให้สองสาวได้ฟัง ทำเอาทั้งสองสาวอึ้งไปเลย

     "บ้าเหรอมิ้ง แบบนั้นฉันจะกล้าเล่นน้ำได้ยังไงล่ะ เล่นให้ผู้ชายมานั่งเฝ้า นั่งดูฉันเล่นน้ำเนี่ยนะ" เพ็ญ แย้งข้อเสนอของมิ้งทันที

     "เอาน่า เชื่อฉันเถอะ อย่างน้อยมันก็ทำให้เราสบายใจได้ไม่ใช่เหรอ ที่มีผู้ชายมาอยู่ด้วยอีกคน" มิ้ง ยิ้มแบบคนที่มีแผนการณ์อยู่ในหัว

     "ไงล่ะมิ้ง ไปๆมาๆ เหลือเราเล่นน้ำกันแค่สองคนเลย เพราะเธอเลย" เพ็ญ บ่นกับมิ้ง ที่กำลังเปลี่ยนชุดจะลงเล่นน้ำที่จุดเดิม

     "ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะ ว่าสวยมันจะยอมรับศึกษาดูใจกับยอด ถ้ารู้งี้นะ ไม่เอายอดมานั้งเฝ้าเป็นบอดี้การ์ดหรอก" มิ้ง ได้แต่บ่นๆ เพราะคาดไม่ถึงว่าสาวสวยระดับสวย จะยอมรับศึกษาดูใจกับพ่อค้าขายปลาหนุ่ม ที่ไม่ได้ดูน่าสนใจเลย

     "บ่นไปก็เท่านั้น โดดน้ำให้สบายใจดีกว่า" ว่าแล้วเพ็ญก็โดดลงน้ำทันที

     "ยอดๆ ปลากินเบ็ดแล้ว รีบยกเร็ว" สวย ที่นั่งเฝ้าคันเบ็ดไม้ไผ่นับสิบคันอยู่กับยอด สะกิดบอกให้ยอดรีบยกคันเบ็ด เพราะปลากินเบ็ดแล้ว

     "เยี่ยม ได้อีกตัวแล้ว วันนี้ได้หลายตัวเลย พรุ่งนี้คงขายได้เงินเยอะแน่ๆเลยเนอะสวย" ยอด พูดกับสวย ที่ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังศึกษาดูใจกันอยู่

     ก่อนหน้านี้ เมื่อราวๆสองเดือนก่อน...

     "เอาล่ะยอด นายนั่งอยู่ตรงนี้แหละ แล้วห้ามแอบดูพวกฉันเล่นน้ำนะ ไม่งั้นเจอดีแน่" มิ้ง หาเต๊นท์มากางให้ยอดนั่งอยู่ในเต๊นท์ เพื่อเป็นบอดี้การ์ดให้พวกเธอ แน่นอนว่าการอยู่ในเต๊นท์ทำให้มองข้างนอกไม่เห็น ซึ่งยอดก็ยอมทำตามแต่โดยดี เพราะเขารู้สึกว่า เขาได้อยู่ใกล้ และทำประโยชน์ให้สวย สาวที่เขาแอบชอบ

     สามสาวจะมาเล่นน้ำอาทิตย์ละครั้ง จนเวลาผ่านไปสองเดือน สามสาวกับยอดก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น โดยความรู้สึกของยอดที่มีกับสวยก็เริ่มมีผล เมื่อสวยเองก็รับรู้ได้ว่า ยอดมักจะแอบมองเธอ และหวังดีกับเธอมากกว่าเพื่อนอีกสองคน แต่สวยก็ไม่แสดงอาการอะไรให้เพื่อนทั้งสองคนสงสัย เพราะกลัวเพื่อนทั้งสองคนจะไม่พอใจ

     จนวันหนึ่ง หลังจากที่สามสาวเล่นน้ำกันเสร็จ สามสาวกับยอดก็ไปแยกย้ายกันกลับบ้านที่ตลอดเหมือนทุกๆครั้ง แต่วันนี้ยอดได้รีบไปดักรอสวยที่ระหว่างทางกลับบ้าน

     "สวย ยอดขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ" หลังจากที่ยอดได้ไปดักรอสวยที่ระหว่างทางกลับบ้าน สวยก็มาถึงที่ยอดดักรออยู่

     "ได้สิ" สวย มีอาการเขินเล็กน้อย ที่ยอดมาดักรอเพื่อคุยด้วย

     "ยอด กับสวย ก็รู้จักหน้าตากันมานานนะ แต่ว่าไม่ค่อยได้คุยกันเลย นอกเสียจากว่าสวยจะมาซื้อปลาไปทำอาหาร แล้วตอนที่ยอดไปเป็นบอดี้การ์ดให้ ก็ไม่ค่อยได้คุยกันเหมือนเดิม เพราะส่วนมากมิ้งจะขโมยบทไปหมดเลย แต่สวยก็รับรู้ได้ใช่รึเปล่า ว่ายอดมีความรู้สึกดีๆให้กับสวย สวยเป็นคนเรียนเก่ง พอได้ทำงานก็ขยันทำงาน ที่บ้านก็มีฐานะดี เราสองคนโตมาที่หมู่บ้านนี้พร้อมๆกัน..." ยอด พูดจบประโยคแล้วก็เงียบไป ปล่อยให้สวยนิ่งอึ้งอยู่

     "แล้ว...?" สวย ยังคงงงๆ ว่ายอดหยุดพูดทำไม ก่อนที่จะพูดออกไปหนึ่งคำด้วยความสงสัย

     ยอด สบตากับสวย "พ่อค้าขายปลา จะขอลองศึกษาดูใจกับข้าราชการสาวได้รึเปล่า"

     สวยอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบไปว่า "ได้สิ แต่ทำไม..." สวย ตอบเสร็จก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมยอดถึงมาพูดแบบนี้

     "ก็อย่างที่ยอดบอกสวยนะ เราโตมาที่นี่ด้วยกัน ยอดรู้หมดนะ ว่าสวยขยันเรียน ขยันทำงาน จนไม่เคยสนใจผู้ชายที่เข้ามาจีบเลย แต่ตอนนี้สวยก็อายุเยอะแล้ว จะ 25 อยู่แล้วนะ ยอดคิดว่าถ้ายอดเข้ามาในจังหวะนี้ ยอดน่าจะมีลุ้น...กับการได้คบกับสวย วันนี้ยอดรวบรวมความกล้าได้สำเร็จ หลังจากที่ได้ติดตามไปเป็นบอดี้การ์ดให้สวยกับเพื่อนๆกว่าสองเดือน จนยอดรู้สึกว่าสวยก็เริ่มดูจะมีใจให้ยอดบ้างแล้ว ยอดกลัวว่าถ้าปล่อยเวลาให้เนินนานไปกว่านี้ อะไรๆมันอาจจะผิดพลาดได้ วันนี้ยอดก็เลย...มาคุยกับสวยนี่แหละ" ยอด พูดจบก็ยิ้มอย่างมีความสุข เหมือนคนที่ได้ปลดปล่อยความรู้สึกอึดอัดออกจากใจได้สำเร็จ

     "ยอด พรุ่งนี้เราไปตกปลากันนะ" สวย ยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนที่ขอตัวกลับบ้าน

ตอนที่ 79 (บทความ) _ ข้าว


ข้าว

     เวลาผมกินข้าวทีไร มักจะมีคนแซวผมบ่อยๆว่า "กินจนหมาร้องเลยนะ" อ่านแล้วเข้าใจรึเปล่าครับ ว่ากินจนหมาร้องเป็นยังไง

     กินจนหมาร้องก็คือ กินจนเกลี้ยงไงล่ะครับ ข้าวสักเม็ดก็แทบจะไม่ให้เหลือ กินแบบนี้หมาได้แต่ทำหน้าละห้อย ร้องหงิงๆ ล่ะครับ  ไม่แบ่งข้าวกูกินบ้างเลย

     แล้วทำไมผมต้องกินให้เกลี้ยงขนาดนั่นล่ะครับ สงสัยรึเปล่าครับ อะ...จะสงสัย หรือไม่สงสัย ผมก็อยากจะบอก (แล้วจะถามทำไมเนอะ) ที่ผมชอบที่จะกินข้าวจนเกลี้ยงแทบไม่เหลือสักเม็ดก็เพราะว่า ข้าว เป็นสิ่งที่สูงค่า เป็นสิ่งที่ต้องกินทุกวันเพื่อดำรงชีวิตไงครับ อาจจะมีคนเถียงว่า ไม่กินข้าวก็กินอย่างอื่นแทนสิ ไม่เห็นจะยาก...ใช่ครับ ผมไม่เถียง แต่ผมอยากจะบอกว่า ประเทศไทยมีข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ และปลูกยาก การกินข้าวให้หมด ถือเป็นการสนับสนุนพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย และเป็นการให้กำลังใจเกษตรกร ที่เขาเหนื่อยยาก กว่าจะปลูกข้าวให้เราได้กินกัน (อันนี้เรียกว่าเถียงรึเปล่าหว่า)

     ข้าวปลูกยากนะครับ อย่างแรกเลยคือ ต้องใช้พื้นที่เยอะ เพราะถ้าใช้พื้นที่น้อย ก็ปลูกได้น้อย ปริมาณข้าวที่ไหนก็จะไม่พอกิน พอขาย

     อย่างที่สองคือ ต้องใช้น้ำปริมาณมากๆ เพราะข้าวเป็นพืชที่ต้องการน้ำในการเจริญเติบโตค่อนข้างมาก ถ้าน้ำน้อยข้าวอาจจะไม่สวย หรือถ้าน้ำมากเกินไป ข้าวก็จะจมน้ำตายอีก แต่ทุกวันนี้ประเทศไทยแล้งมากขึ้นทุกวันๆ ปริมาณน้ำที่ใช้ทำนาปลูกข้าวก็ลดลงไปด้วย การปลูกข้าวก็ยิ่งลำบากขึ้นไปอีก

     อย่างที่สามคือ แรงงานครับ การทำนาปลูกข้าว ทำคนเดียวไม่ไหวนะครับ เพราะที่นากว้างมาก ต้องมีการจ้างแรงงานมาช่วยกันทำ ในการปลูกอาจจะพอทำคนเดียวได้ แต่ตอนเก็บเกี่ยวนี่สิ คนเดียวไม่มีทางทันแน่นอนครับ (ยกเว้นจะใช้เครื่องจักร อันนั้นทันเหลือเฟือ) แล้วสมัยนี้การลงแขกเกี่ยวข้าวก็ไม่ค่อยมีให้เห็น เนื่องจากลูกๆหลานๆส่วนมากก็เข้ามาทำงานในเมืองกันหมด จึงต้องมีการจ้างแรงงานไปเก็บเกี่ยว ก็ทำให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้นอีก

     ประเด็นการปลูกข้าวจะยาก หรือจะง่ายมากน้อยแค่ไหน ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนะครับ เพราะผมก็ไม่เคยทำนาปลูกข้าวเลยสักครั้ง แต่เท่าที่ดูจากสารคดีต่างๆ ผมว่ามันก็ยากอยู่นะครับ ถ้าใจไม่รักจริง อาจจะถอดใจทิ้งเอาได้ง่ายๆเหมือนกัน

     ปัญหาของข้าว และเกษตรกรไทย ผมว่าหลายคนก็คงรู้ๆกันอยู่นะครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทีดิน ที่นา เรื่องสภาพอากาศที่ค่อนข้างจะแปรปรวน เรื่องแรงงานที่เหลือทำการปลูก และเก็บเกี่ยว รวมไปถึงเรื่องราคาข้าว ฯลฯ ไม่ว่าปัญหาจะมีมากมายขนาดไหน สิ่งที่คนธรรมดาๆแบบเราทำได้ก็คือ การกินข้าวให้คุ้มค่านั่นเอง

     การกินข้าวให้คุ้มค่าเป็นยังไง ก็ง่ายๆครับ...กินยังไงก็ได้ ไม่ให้ข้าวเหลือทิ้งยังไงล่ะครับ กินน้อยก็ตักน้อย กินมากก็ตักมาก หรือตักให้กินพออิ่มนั่นแหละครับ

     อย่างที่บอกนะครับ ข้าว เป็นสิ่งที่สูงค่านะครับ ใครได้กินข้าวอิ่มทุกมื้อ ถือว่าโชคดีแล้ว ผิดกับบางคนที่กว่าจะได้กินข้าวอิ่มๆสักมื้อ มันช่างยากเย็นแสนเข็น คนพวกหลังนี่ จะรู้จักบุญคุณของข้าวมากครับ เขาจะกินจนหมดไม่ให้เหลือเลย ผิดกับคนพวกแรกที่กินเหลือก็ทิ้ง เพราะจะซื้อกินอีกเมื่อไหร่ก็ได้ (แต่คนดีๆก็มีนะครับ ไม่ได้เหมารวมไปซะหมด)

     สุดท้ายของบทความนี้ ผมอยากให้ทุกคนกินข้าวกันให้หมดนะครับ หรือถ้ากินไม่หมด ก็ขอให้เหลือทิ้งน้อยที่สุด เพราะข้าวสูงค่า ปลูกยาก กว่าจะได้ข้าวมา ชาวนาเหนื่อยกันมาก ถ้าเรากินทิ้งกินขว้าง แล้วเกิดวันหนึ่งชาวนาหมดกำลังใจขึ้นมา แล้วเราจะเอาข้าวที่ไหนกินกันล่ะครับ (คงต้องปลูกเองซะล่ะมั้ง)

     อ่อ...ทิ้งท้ายอีกนิดนึง ไม่รู้ว่าจะมีใครทำแบบผมบ้างรึเปล่านะครับ ทุกครั้งที่ผมกินข้าวไม่หมดจริงๆ เพราะยัดไม่ลงแล้ว ก่อนที่ผมจะทิ้งข้าว ผมจะยกมื้อไหว้ข้าวทุกครั้งเพื่อเป็นการเคารพ และขอโทษที่กินไม่หมดน่ะครับ

ตอนที่ 78 (เรื่องสั้น) _ ทำไมถึงทำกับฉันได้


ทำไมถึงทำกับฉันได้

     "พี่... น้องขอถีบพี่สักทีจะได้รึเปล่า" หญิงสาวร่างเล็กคนหนึ่ง ที่อยู่ในอารมณ์โกรธ และเสียใจในเวลาเดียวกัน พูดกับผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนคุยกับเธออยู่

     "หือ อะไรนะ..." ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าของหญิงสาว ทำท่าทางมึนงง ว่าทำไมหญิงสาวถึงพูดแบบนั้น แต่ยังไม่ทันที่ผู้ชายคนนั้นจะพูดอะไรต่อ ก็โดน...

     "โครมมมมม...!!!" หญิงสาวยกเท้าขวาขึ้นมา ถีบไปที่ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธออย่างเต็มแรง เท่าที่แรงของเธอจะมีอยู่

     "ขอบคุณ" แล้วหญิงสาวก็เดินจากไป ปล่อยให้ผู้ชายที่โดนถีบ นอนเจ็บอยู่ข้างถังขยะที่เขากระเด็นไปชนล้มระเนระนาด ด้วยแรงถีบของหญิงสาว

     ย้อนกลับไปเมื่อสามเดือนก่อนหน้านี้ ที่ผับแห่งหนึ่ง

     "ขอนั่งด้วยได้รึเปล่าครับ" ชายคนหนึ่งซึ่งมาเที่ยวผับแห่งนี้ และอยู่ในอาการมึนเล็กน้อยเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ มาขอนั่งที่โต๊ะของหญิงสาว

     "อ่อ ค่ะ เชิญค่ะ ทำไมเหลืออยู่คนเดียวล่ะคะ" หญิงสาวตอบรับให้ชายคนนั้นนั่งด้วย เพราะตัวของหญิงสาวเองก็ได้สังเกตโต๊ะของกลุ่มชายคนนั้นไว้บ้างแล้ว ว่ามากันหลายคน หน้าตาดีๆกันก็หลายคน จนเริ่มดึกโต๊ะของชายคนนั้นก็เริ่มทะยอยกลับ จนเหลือเพียงสองคน

     "กลับกันไปจะหมดแล้วครับ เหลือผมกับเพื่อนแค่สองคน เพื่อนผมไปเข้าห้องน้ำ เหลือผมคนเดียว เลยมาขอนั่งด้วยนี่แหละครับ" ชายคนนั้นอธิบายกับสองสาวที่เขามาขอนั่งที่โต๊ะด้วย

     "อ่อ ค่ะ นั่งด้วยกันแปปนึงก็ได้ค่ะ เดี๋ยวก็กลับกันแล้วค่ะ" หญิงสาวบอกกับชายคนที่มาขอนั่งด้วย พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

     ชายคนนั้นนั่งคุยกับหญิงสาวทั้งสองคนสักพัก เพื่อนของเขาก็กลับมาจากที่ไปเข้าห้องน้ำ แล้วทั้งสี่คนก็นั่งคุยกัน นั่งดื่มอีกสักพัก ก็แลกเบอร์กันไว้ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ

     "เค้กอร่อยจังค่ะพี่ติ๊ก" หญิงสาวบอกกับชายที่พาเธอมากินเค้กราคาแพงที่ร้านหรูบนห้างดัง

     "ถ้าอร่อย ปายก็กินให้หมดนะ แล้วจะพามากินอีก" ชายคนนั้นบอกกับหญิงสาวที่เขาชวนมาเดินเที่ยวที่ห้างหรู แล้วก็พามากินเค้กที่แสนอร่อย

     หลังจากที่แลกเบอร์กันก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับที่ผับคืนนั้น ติ๊กชายวัย 40 ปลายๆ ก็โทรหาปาย หญิงสาววัย 31 ปลายๆ ในตอนสายๆของวันถัดมา เพื่อชวนไปเดินเที่ยวห้าง และกินข้าวด้วยกัน แน่นอนว่าปายก็ตอบตกลง เพราะเธอก็อายุปาเข้าไปเลข 3 แล้ว ก็ยังโสดอยู่ เมื่อมีคนมาจีบ ก็ย่อมต้องรีบคว้าโอกาสเอาไว้ก่อน

     "พี่ติ๊กมาเดินห้างนี้บ่อยเหรอคะ" ปาย ถามพี่ติ๊กก่อนที่จะตักเค้กเข้าปากด้วยความอร่อย

     "อ่อ ไม่บ่อยหรอก นานๆจะมาสักทีน่ะ ที่มาก็ไม่ได้มาเดินเล่น หรือซื้ออะไรหรอกนะ  แต่มาเจอลูกค้าน่ะ" ติ๊ก อธิบายให้ปายเข้าใจ

     "งานแบบพี่ติ๊ก มีนัดลูกค้าที่ห้างแบบนี้ด้วยเหรอ แปลกดีเนอะ" ปาย ทำหน้าสงสัย

     "มีสิ ต้องเรียกว่า มีนัดทุกที่เลยก็ว่าได้ ตามแต่ลูกค้าจะสะดวกนัดเราน่ะ" ติ๊ก เป็นสถาปนิกออกแบบบ้าน เลยมีลูกค้านัดคุยเรื่องแบบอยู่บ่อยๆ ตามสถานที่ต่างๆ

     "เย็นนี้ ปายมีนัดไปไหนรึเปล่า" ติ๊ก ถามปายที่กำลังเดินดูเสื้อผ้า หลังจากที่ออกมาจากร้านเค้กแล้ว

     "ไม่มีค่ะ ทำไมเหรอคะ" ปาย หันมาถามพี่ติ๊ก

     "งั้นเย็นนี้ เราไปกินข้าวกันต่อนะ" ติ๊ก ชวนปายให้อยู่ด้วยกันทั้งวัน เพื่อไปกินข้าวเย็นกันต่อ

     "ก็ได้ค่ะ" ปาย ตอบตกลง เพราะเธอก็ไม่มีนัดกับใครที่ไหน แล้วก็ดีซะอีกจะได้พัฒนาความสัมพันธ์ อายุเริ่มเยอะแล้ว จะได้รีบๆมีคู่ชีวิตสักที

     "น้องปายอย่าทิ้งไอ้ติ๊กมันนะ สงสารมัน ดูมันสิอายุจะ 41 ละ ยังไม่มีครอบครัวสักที แฟนเก่ามันก็โดนแย่งไป พี่ล่ะโคตรสงสารมันเลย...นะน้องปายนะ อย่าทิ้งมันนะ รีบๆแต่งเลยละกัน สิ้นปีนี้แต่งเลย" กอล์ฟ เพื่อนสนิทของติ๊กพูดขึ้นในวงข้าวเย็นที่ร้านลาบแห่งหนึ่ง ซึ่งติ๊กพาปายมากินข้าวเย็นด้วยนั่นเอง

     ที่ร้านลาบแห่งนี้ คือร้านประจำของกลุ่มเพื่อนติ๊ก แล้วในวันนี้ติ๊กก็พาปายมาด้วย เหมือนกับเป็นการเปิดตัวของปายก็ว่าได้ ซึ่งจริงๆแล้ว ปายก็ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก เพราะพึ่งรู้จักกันเมื่อคืน แต่พี่ติ๊กดันพามาเปิดตัวซะแล้ว แต่จะถอยตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว เพราะถลำมาพอตัวแล้ว

     "ปายไม่รู้ว่า ใครจะทิ้งใครน่ะสิพี่กอล์ฟ เพราะปายก็ใช่ว่าจะเป็นผู้หญิงที่ดีเลิศเลอ จนพี่ติ๊กทิ้งไม่ลงนะ"  ปาย ตอบพี่กอล์ฟ ที่อยู่ในอาการมึนๆเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์

     "ไอ้กอล์ฟ แกก็พูดเกินไป อย่าไปกดดันน้องปายเค้าสิวะ" ติ๊ก มีบทขึ้นในวงข้าวเย็นที่นั่งกินกันอยู่ร่วม 10 คน เพื่อเบรคเพื่อนของตัวเอง กลัวจะไปสร้างความกดดันให้ปาย

     หลังจากวันนั้นมาได้ราวๆสองอาทิตย์ ติ๊กก็พาปายไปเที่ยวบ้านของเขา ซึ่งที่บ้านของเขาจริงๆแล้วคือ โฮมออฟฟิต ชั้นล่างคือ ที่ทำงาน ส่วนชั้นบนคือ ที่พัก โฮมออฟฟิตแห่งนี้กลางวันจะมีคนมาทำงานหลายคน ส่วนกลางคืนจะมีเพียงแต่ติ๊กคนเดียวที่พักอยู่ที่นี่

     ความสัมพันธ์ของปายกับพี่ติ๊กพัฒนาไปค่อนข้างเร็ว ผ่านไปหนึ่งเดือน ปายก็เริ่มขนเสื้อผ้า และของใช้ส่วนตัวมาไว้ที่บ้านพี่ติ๊กบ้างแล้ว เพราะจะแวะมานอนที่บ้านพี่ติ๊กบ้าง ตามแต่จะสะดวก จนปายแอบวาดฝันถึงอนาคตกับพี่ติ๊กบ้างแล้ว

     "แพร ฉันว่ามันเริ่มมีอะไรแปลกๆแล้วล่ะ ไลน์ไปก็ไม่อ่าน หรือบางทีอ่านแล้ว แต่ไม่ตอบ โทรไปก็ไม่ค่อยรับ หรือถ้ารับก็บอกงานยุ่ง แล้วรีบวาง" ปาย โทรไปปรึกษากับเพื่อนสาวที่ชื่อแพร ถึงความเปลี่ยนแปลงไปของพี่ติ๊ก

     "พี่ติ๊กเค้ามีใครรึเปล่า เธอลองสืบดูดีๆนะ เพราะฉันว่ามันก็แปลกไปจริงๆแหละ" แพร เป็นห่วงเพื่อนมาก เพราะดูเหมือนจะไปได้ดี แต่ทำไมอยู่ๆ ถึงมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้

     "แต่เท่าที่ฉันสังเกตพี่ติ๊ก เค้าก็ไม่เคยนอกใจฉันนะ ไปไหนมาไหนก็พาฉันไปด้วยตลอดเลย จะมีเปลี่ยนไปบ้างก็อย่างที่บอกนั่นแหละ" ปาย อธิบายให้เพื่อนฟัง

     "มันก็ไม่แน่นะเธอ ตอนอยู่ด้วยกันเค้าก็ดีแหละ แต่พอห่างกัน ต่างคนต่างทำงาน เธอไลน์ไปหา โทรไปหา เค้าก็ไม่ค่อยสนใจเลย มันก็แปลกๆอยู่นะ" แพร พยายามจะให้เพื่อนสืบหาสาเหตุของความเปลี่ยนแปลง

     "อืม...มันก็จริงของเธอนะ งั้นฉันว่าฉันคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ" ปาย เริ่มคิดแผนการสืบหาสาเหตุของความเปลี่ยนแปลง

     "อะไรของพี่เนี่ยพี่ติ๊ก นัดสี่โมงเย็น โผล่มาสี่ทุ่ม ไลน์ไปก็อ่าน แต่ไม่ตอบ โทรไปก็ไม่รับ มันคืออะไร" ปาย ระเบิดอารมณ์โกรธใส่พี่ติ๊ก ที่นัดจะมารับพาไปกินข้าวตอนสี่โมง แต่โผล่มาจริงๆปาเข้าไปสี่ทุ่ม แถมยังติดต่อไม่ได้อีก

     "พี่ขอโทษ พอดีไปบ้านลูกค้าน่ะสิ คุยงานกันยาวเลย เครียดด้วย เลยไม่ได้ไลน์ หรือโทรบอกปายเลย" ติ๊ก อธิบายเพื่อให้ปายหายโกรธ

     "อย่าให้มีอีกนะพี่ติ๊ก ปายไม่ชอบ นัดต้องเป็นนัดสิ ถ้าคิดว่านัดแล้วทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องนัดนะ" ปาย อารมณ์เย็นลง แต่ก็ยังมีโมโหอยู่

     "ตกลงๆ พี่จะพยายามทำเรื่องนี้ให้ดีขึ้นนะ แต่ตอนนี้พี่ขอโทษนะ เราไปกินข้าวกันนะ" ติ๊ก ขอโทษปาย แล้วก็พาปายไปกินข้าวได้สำเร็จ หลังจากใช้เวลาง้ออยู่ราวครึ่งชั่วโมง

     "อะไรของพี่เนี่ยพี่ติ๊ก บอกจะมาหาสี่ทุ่ม แล้วนี่มันกี่โมงแล้วพี่ ตีสี่แล้วนะ แล้วพี่จะมาทำไม ไปๆ ไปเลย กลับบ้านของพี่ไปเลย" ปาย ต้องเจอเหตุการณ์ผิดนัดเป็นครั้งที่สองในรอบสองเดือนที่คบกับพี่ติ๊ก ทำให้ตอนนี้ปายโกรธอย่างมาก

     "พี่ขอโทษ พอดีติดลมไปหน่อย ไอ้กอล์ฟน่ะสิ ชวนกินต่อไม่ยอมให้พี่กลับสักที นี่ก็ตีสี่แล้ว พี่ขอนอนที่ห้องปายก่อนละกัน พอสว่างพี่ค่อยกลับ" ติ๊ก อธิบายให้ปายฟัง แล้วก็ขอนอนพักที่ห้องปาย เพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุดไม่ต้องทำงาน

     "พี่จะนอนที่นี่ พี่ก็นอนไป ปายจะไปนอนบ้านเพื่อน" ปาย อยู่ในอารมณ์โกรธอย่างมาก เดินออกจากห้องของตัวเองไป เพื่อไปนอนที่บ้านเพื่อน แล้วจะปล่อยให้พี่ติ๊กนอนที่ห้องของตัวเองไปคนเดียว

     "ไม่เอาน่า......" ติ๊ก ใช้ความพยายามขอโทษ และง้อปายให้ยกโทษให้ราวๆครึ่งชั่วโมง จึงประสบความสำเร็จ

     "พี่กอล์ฟ นี่ปายนะ เมื่อคืนพี่กอล์ฟไปกินเหล้ากับพี่ติ๊กที่ไหน แล้วกลับกันกี่โมง" เช้าวันต่อมา ระหว่างที่พี่ติ๊กยังคงนอนหลับอยู่ ปายก็ได้โทรไปหาพี่กอล์ฟ เพื่อสืบหาความจริงบางอย่าง

     "หือ เมื่อคืนเหรอ...เมื่อคืนพี่ไม่ได้ไปไหนนะ พี่ไม่สบาย อยู่บ้านทั้งคืนเลย ไอ้ติ๊กมันบอกว่าไปกับพี่เหรอ" กอล์ฟ เกิดความสงสัย

     "อ้าว นั่นไง พี่ติ๊กโกหกสินะ......" แล้วปายก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้พี่กอล์ฟฟัง ซึ่งกอล์ฟที่เป็นเพื่อนสนิทของติ๊ก ก็แทบจะไม่เชื่อว่าเพื่อนสนิทของตัวเองจะทำอะไรแบบนั้น

     "พี่ติ๊ก...ปายขอถีบพี่สักทีจะได้รึเปล่า" ปาย ที่อยู่ในอารมณ์โกรธ และเสียใจในเวลาเดียวกัน พูดกับพี่ติ๊กที่ยืนคุยกับเธออยู่

     "หือ อะไรนะ..." ติ๊ก ทำท่าทางมึนงง ว่าทำไมปายถึงพูดแบบนั้น แต่ยังไม่ทันที่ติ๊กจะพูดอะไรต่อ ก็โดน...

     "โครมมมมม...!!!" ปาย ยกเท้าขวาขึ้นมา ถีบไปที่พี่ติ๊กอย่างเต็มแรง เท่าที่แรงของเธอจะมีอยู่

     "ขอบคุณ" แล้วปายก็เดินจากไป ปล่อยให้พี่ติ๊ก นอนเจ็บอยู่ข้างถังขยะที่เขากระเด็นไปชนล้มระเนระนาด ด้วยแรงถีบของปาย

     "อูย...อะไรกันเนี่ย อยู่ๆปายมาถีบฉันทำไมเนี่ยไอ้กอล์ฟ" ติ๊ก พูดกับเพื่อนที่เข้ามาช่วยประคองให้ลุกขึ้นจากกองถังขยะ

     "ก็แกมันเลวเองนี่หว่าไอ้ติ๊ก สมควรโดนแล้ว ไปหลอกน้องเค้าซะขนาดนั้น" กอล์ฟ พูดหน้าตายบอกติ๊ก

     "หลอกอะไร ยังไง แกว่ามาสิ ดูเหมือนแกจะรู้เรื่องนะ" ติ๊ก ลุกขึ้นมาได้สำเร็จ ก็เกิดความสงสัยในคำพูดของเพื่อน

     "ก็ที่แกไปหลอกให้น้องเค้ามีความหวังไง หลอกแม้กระทั่งเพื่อนสนิทของแกอย่างฉันด้วย หลอกให้น้องเค้าเข้ามาในชีวิตของแก เพื่อให้น้องเค้าเป็นเครื่องมือพิสูจน์ความรักของแกกับ...เจ้านายสาวของแกเนี่ย เลวจริงๆเลยแกเนี่ย วิธีพิสูจน์ความรักมีตั้งเยอะตั้งแยะไม่ใช้ มาใช้ความรัก ความหวัง แล้วก็อนาคตของผู้หญิงคนหนึ่งมาล้อเล่น โถ่...ไอ้เพื่อนเลว ดีนะที่น้องเค้าไหวตัวทัน ปล่อยให้แกหลอกได้แค่สามเดือนกว่าๆ ไม่งั้นก็คงจะเจ็บมากกว่านี้ แล้วฉันที่เป็นเพื่อนสนิทของแก ก็คงโดนแกหลอกไปอีกนานด้วย" กอล์ฟ ร่ายยาวจนติ๊กอึ้ง

     "แล้วปายรู้ความลับของเราได้ยังไงล่ะเนี่ย" ติ๊ก บ่นพึมพำคนเดียวเบาๆ แต่บังเอิญว่ากอล์ฟดันหูดี ได้ยินเข้า

     "ก็แกทำตัวมีพิรุธเองนี่ ไลน์ก็ไม่ค่อยสนใจ โทรศัพท์ก็ไม่ค่อยสนใจ ผิดนัดบ่อยอีก น้องเค้าเลยเปิดดูโทรศัพท์ของแกไง ทั้งสายโทรเข้า โทรออก ทั้งไลน์ ทั้งไอดีเกม ไอดีต่างๆ จนรู้ความจริงทุกอย่าง แล้วขอบอกนะว่า น้องเค้าโทรไปคุยกับเจ้านายสาวของแกเรียบร้อยแล้วด้วย" กอล์ฟ พูดจบ ก็เดินจากไป

     "โอ้ว...ม่ายยยยย..." ติ๊ก ที่ลุกขึ้นมายืนได้แล้ว ทรุดตัวลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง แล้วก็ล้มลงไปนอนกับกองถึงขยะอีกจนได้ ชายวัย 40 ปลายๆ ที่คิดทำชั่วล้อเล่นกับความรักของหญิงสาวคนหนึ่ง เพื่อให้ได้มาซึ่งความรักของหญิงสาวที่เขาหมายปอง ผลกรรมที่ได้รับ ช่างรุนแรงเหลือเกิน แบบนี้เขาก็คงต้องโสดไปอีกนาน หรือไม่ก็อาจจะ...ตลอดชีวิต

ตอนที่ 77 (บทความ) _ เล่าสู่กันฟัง


เล่าสู่กันฟัง

     ช่วงหลังๆมานี้ ทั้งเพื่อน ทั้งพี่น้องของผมในโลกโซเชียล เริ่มจะมีการโพสเกี่ยวกับการทำบุญไหว้พระ ใส่บาตร รวมไปถึงการบริจาคสิ่งของให้มูลนิธิต่างๆกันมากขึ้น ผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเทรนด์อะไรหรือเปล่านะครับ แต่ผมมองว่ามันเป็นสิ่งที่ดี ที่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างมากกว่าการโพสว่า "ตอนนี้ฉันกินเหล้า เมาอยู่ที่ไหน"

     สำหรับการโพสในเรื่องที่ดีๆ ผมก็ทำมานานพอสมควร จนผมหลงตัวเองไปว่า เพื่อน พี่น้องที่โพสๆกันอยู่ทุกวันนี้ มองผมเป็นตัวอย่างที่ดีแน่ๆเลย สิ่งที่ผมโพสอยู่บ่อยๆก็คือ พอถึงวันพระ ผมก็โพสบอกทุกคนในเฟสว่า วันนี้วันพระนะ ให้ทุกคนได้รู้ว่า ควรทำดีในวันพระกันนะ หลังจากนั้นหลายเดือนต่อมา เชื่อหรือไม่ครับว่า มีคนทำตามผม คือ โพสบอกให้ทุกคนรู้ว่า วันนี้วันพระ บางคนก็เริ่มโพสว่า ใส่บาตรมานะ บางคนก็โพสว่าไปวัดมานะ จนเหมือนเริ่มเป็นกระแสแข่งกันทำบุญในวันพระ

     อีกเรื่องที่ผมทำ และโพสลงในเฟสก็คือ การรับบริจาคสิ่งของ เครื่องใช้ และเสื้อผ้ามือสอง เพื่อเอาไปบริจาคที่มูลนิธิกระจกเงาครับ ใครเอาอะไรมาบริจาคที่ผม ผมก็จะถ่ายรูป แล้วก็โพสลงเฟสให้ทุกคนได้รู้ และชื่นชมคนที่เอาของมาบริจาค พอผมรวบรวมของบริจาคได้จำนวนหนึ่ง ก็เอาไปบริจาคที่มูลนิธิกระจกเงา แล้วก็ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปมาโพสด้วยว่า เอาไปบริจาคแล้วนะ

     เชื่อหรือไม่ครับว่า หลังจากนั้นหลายเดือน มีคนทำแบบผมอีกหลายคนเลย คือ ขอรับบริจาคสิ่งของต่างๆ แล้วนำไปบริจาค ทั้งที่มูลนิธิต่างๆ โรงพยาบาล สถานสงเคราะห์ ฯลฯ จนเหมือนจะกลายเป็นกระแสช่วยกันทำดีเพื่อคนอื่นไปเลยครับ

     ทั้งหมดที่เขียนมาเห็นได้ชัดว่านี่คือ การจรรโลงสังคม ที่มีการเลียนแบบต่อๆกันในด้านที่ดีๆ และเมื่อมีการจรรโลงสังคม ก็ต้องมีการสะท้อน หรือเสียดสีสังคม

     หากจะพูดถึงการสะท้อนสังคม หรือเสียดสีสังคม ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของละครล่ะครับ อาจจะพูดได้ว่า ละครไทยชาติเดียวเลยก็ได้ เพราะละครของต่างประเทศผมยังไม่ค่อยได้เห็นการสะท้อนสังคมสักเท่าไหร่ (ละครต่างประเทศอาจจะถูกคัดกรองมาแล้วก็ได้ เลยไม่ค่อยได้เห็น จะยกเว้นก็แต่พวกนักร้องที่ไม่ค่อยจะจรรโลงสังคมสักเท่าไหร่ แต่งตัวน่ากลัวมาก)

     ละครไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หากจะเทียบกันระหว่างละครสะท้อนสังคม กับละครที่จรรโลงสังคมแล้ว อย่างแรกน่าจะเยอะกว่าแน่นอน อาจจะเพราะเรียกเรตติ้งได้ดีกว่า และในบทสรุปสุดท้าย คนทำไม่ดีก็ได้รับผลกรรมชัดเจนกว่าละครอย่างหลังที่อาจจะ ทำดีมาทั้งเรื่อง แต่บทสรุปสุดท้าย ก็แค่ได้ดี หรือจบแบบเฉยๆ เรตติ้งก็อาจจะไม่ดีอีกต่างหาก

     ละครสะท้อนสังคมมีเยอะครับ ในอดีตก็มีแย่งสามี ภรรยากัน บทสรุปสุดท้าย ตัวร้ายก็ได้รับผลกรรม ถ้าไม่บ้า ก็ตาย ถ้าไม่ตาย ก็ติดคุก ถ้าไม่ติดคุก ก็เสร็จตัวร้ายด้วยกันเอง ในปัจจุบันก็จะมีละครสังคมในรูปแบบของวัยรุ่นวัยเรียนมากขึ้น ยิ่งบวกกับละครสะท้อนสังคมรูปแบบเก่าที่ยังคงมาอยู่ด้วยแล้ว ก็ไม่รู้ว่าสะท้อนแล้วสังคมจะดีขึ้นรึเปล่า

     แต่ผมอยากให้มีละครจรรโลงสังคมเยอะขึ้นนะครับ เพราะการทำดีต่อๆกัน มันก็จะช่วยให้สังคมดีขึ้นเรื่อยๆ ต่างกับละครสะท้อนสังคม ที่คนดูก็รู้ทั้งรู้ว่า ตอนจบของการทำไม่ดีเป็นยังไง แต่ก็ยังทำตามละครกันอยู่ เพราะมีตัวอย่างในละครให้ดู แล้วก็คิดไปว่า ถ้าทำไม่ดีแบบนี้ ก็หาทางแก้ไขไว้ก่อนสิ ตอนจบของเราก็จะไม่เหมือนในละครแล้ว ก็คิดกันซะแบบนี้แหละ ละครสะท้อนสังคมก็เลยมีผลกระทบที่ตรงกันข้ามกับที่ต้องการ และก็อาจจะร้ายแรงพอสมควรเลย เมื่อเทียบกับละครจรรโลงสังคม ที่มองเห็นแต่สิ่งที่ดีๆ

     ละครทั้งสองแบบมีจุดประสงค์ที่ดีครับ บางทีก็อยู่ที่คนเสพ ว่าจะเลือกทำตัวแบบไหนเมื่อดูละครจบแล้ว คิดเป็นก็ดีไป แต่ถ้าคิดไม่เป็น สังคมก็แย่หน่อย

     ทิ้งท้ายบทความนี้ไว้ว่า ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่วล่ะครับ แม้จะไม่ 100% แต่ก็ขอให้ทำดีกันเถอะครับ "ทำดีไม่ต้องอาย ทำดีได้ไม่ต้องเดี๋ยว" นะครับ

ตอนที่ 76 (บทความ) _ โดราเอม่อน


โดราเอม่อน

     Doraemon ถ้าจะอ่านกันจริงๆจะอ่านว่า โอราเอม่อน แต่อาจจะเพราะ มันยาวเกินไปนิดนึง หรืออาจจะเพราะ คำว่า รา + เอ กลายเป็น เร หรืออาจจะเพราะ อ่านแบบภาษาอังกฤษ ก็ไม่รู้นะครับ จากโดราเอม่อน เลยกลายเป็น โดเรม่อน ที่คุ้นหูกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ แต่จริงๆก็ใช้ทั้ง 2 ชื่อนะครับ แล้วแต่คนจะเลือกใช้นะครับ

     ประวัติความเป็นมา รูปร่าง หน้าตา รวมไปถึงความสามารถของโดเรม่อน ผมคงไม่ต้องพูดถึงนะครับ เพราะหลายคนรู้กันอยู่แล้ว หรือหากไม่รู้ ก็ถามอากู๋ (กูเกิล) ดูนะครับ

     ที่ผมเขียนบทความถึงโดเรม่อนครั้งนี้ จะขอเขียนถึง "ของวิเศษ" ของโดเรม่อนครับ โดเรม่อนเป็นหุ่นยนต์แมวที่มีของวิเศษเยอะมากๆ บางชิ้นก็น่าสนใจ แต่บางชิ้นก็อดสงสัยไม่ได้ว่า จะมีทำไม หากพูดถึงของวิเศษของโดเรม่อนแล้วล่ะก็นะ มันต้องมีของวิเศษที่ต่างคนต่างชอบอยู่แน่ๆ สำหรับผมชอบอยู่ 4 ชิ้นครับ

     ชิ้นแรกเลย เป็นของวิเศษที่เห็นได้บ่อยๆ นั่นก็คือ คอปเตอร์ไม้ไผ่ ลักษณะมีใบพัด 2 แฉก ทุกคนก็คงจะคุ้นตากันดีนะครับ ที่ผมชอบเพราะ มันบินได้นี่แหละ เวลาไปไหนใกล้ๆจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องรถติด อีกอย่างดีซะอีก เวลาบินไปสูงๆ อากาศน่าจะดี มองเห็นวิวทิวทัศน์ บินไปกันหลายๆคน คงสนุกน่าดูเลย แต่มันก็น่ากลัวอยู่นะ ถ้าอยู่ดีๆมันหลุดจากหัว มันพังเอาดื้อๆ หรือแบตหมดกลางอากาศ คงมีตกลงมาเจ็บหนัก หรือไม่ก็ตายแน่ๆเลย

     ชิ้นที่สอง ชิ้นนี้ก็เห็นได้บ่อยๆ นั่นก็คือ ประตูไปที่ไหนก็ได้ เป็นประตูสีชมพู เปิดไปที่ไหนก็ได้ ทุกคนก็คงจะคุ้นตากันอีกแล้วใช่รึเปล่าล่ะครับ ตามข้อมูลความสามารถของประตูนี้ คือ สามารถไปที่ไหนก็ได้ที่มีในแผนที่ แต่ไม่ไกลมากเกินไป  (ข้ามดาวก็ไม่ไหวนะ) แค่เราระบุลงไปว่าจะไปที่ไหน มันก็ไปได้เลย เพราะฉะนั้นก็เอาไว้ไปเที่ยวไกลๆ เที่ยวรอบโลกกันไปเลย หรืออาจจะเอาไว้ย่นระยะเวลาเดินทางก็สุดยอดมากครับ ทำงาน 8 โมงที่กรุงเทพ แต่ตื่นตอน 7 โมงครึ่งที่เชียงใหม่ เปิดประตูทีเดียวถึงที่ทำงานเลย สะดวก รวดเร็วสุดๆ แต่มันก็เสี่ยงตรงที่ว่า ถ้าประตูพังขึ้นมา ก็กลับไม่ได้น่ะสิ

     ชิ้นที่สาม นานๆจะออกมาสักที แล้วก็ชอบออกมาเป็นแพ๊คคู่ นั่นก็คือ ผ้าคลุมกาลเวลา จะมาคู่กับ ไฟฉายย่อส่วน อยู่บ่อยๆ ผ้าคลุมกาลเวลาจะเป็นผ้าผืนไม่ใหญ่มาก มีรูปนาฬิกาอยู่เต็มผืน คงพอจะนึกออกกันนะครับ ที่ชอบของวิเศษชิ้นนี้ก็เพราะว่า เผื่อว่าทำของอะไรพังเสียหาย จะได้เอาผ้าคลุมกาลเวลา คลุมย้อนเวลาให้ของสิ่งนั้น ย้อนกลับไปให้มีสภาพดีเหมือนเดิมก่อนที่มันจะพังนั่นเอง ส่วนที่ชอบมาเป็นแพ๊คคู่กับไฟฉายย่อส่วนก็เพราะ บางทีของที่มันพังชิ้นใหญ่กว่าผ้าคลุม เลยต้องเอาไฟฉายส่องขยายผ้าคลุมให้ผืนใหญ่ขึ้นนั่นเอง (ไฟฉายย่อส่วน แต่ทำไมขยายได้)

     ชิ้นที่สี่ ชิ้นนี้ออกมาน้อยมาก หรืออาจจะมาแค่ตอนเดียวก็ไม่แน่ใจ เพราะมันเป็นของวิเศษที่ขี้โกงสุดๆ ของชิ้นนั้นก็คือ นาฬิกาหยุดเวลา ผมจำไม่ได้ว่าเนื้อเรื่องของตอนที่ใช้นาฬิกาหยุดเวลาเป็นยังไงนะครับ แต่ผมจำได้ขึ้นใจแค่ว่า ของวิเศษชิ้นนี้ ดีที่สุดในโลก เพราะต่อให้เอา นารูโตะ โทริโกะ หรือซุน หงอคง มาแข่งต่อสู่กับโดเรม่อนที่มีนาฬิกาหยุดเวลาเป็นอาวุธแล้วล่ะก็นะ โดเรม่อนชนะขาดเห็นๆ เพราะมันหยุดเวลาได้ กดปุ๊ป ทุกอย่าง ทุกคนหยุดนิ่งหมด ไม่ชนะก็ให้มันรู้ไปสิ ขี้โกงสุดๆเลยของวิเศษชิ้นนี้ จะยกเว้นก็แต่ถ้า โดเรม่อนจะกดนาฬิกาหยุดเวลาไม่ทัน อันนั้นโดเรม่อนคงจะพังภายใน 1 วินาทีแน่นอน ฮ่าๆๆ

     สำหรับนาฬิกาหยุดเวลา คงไม่ต้องพูดถึงนะครับว่า ผมจะเอาไปใช้ทำอะไร อะจึ๊ยๆ หึหึ อย่าคิดไปไกลนะครับ ผมแค่อยากเอาไปใช้ช่วยงานของทหาร และตำรวจน่ะครับ มีเหตุร้ายอะไรก็หยุดเวลามันซะเลย ทุกคนหยุดนิ่ง ก็จับคนร้ายได้แบบง่ายๆเลยล่ะครับ แต่ถ้านาฬิกาอยู่กับคนร้ายล่ะ ... คิดไม่ออกเลย

     ของวิเศษที่ดีๆ เด็ดๆ ของโดเรม่อนยังมีอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ไทม์แมชชีน ปืนใหญ่อัดอากาศ ห่วงผ่านตลอด วุ้นแปลภาษา ฯลฯ ก็ไม่รู้ว่าท่านผู้อ่านจะชอบชิ้นไหนกันบ้างนะครับ สุดท้ายนี้อยากให้ท่านผู้อ่านเลียนแบบความมีน้ำใจของโดเรม่อนเอาไว้นะครับ แล้วก็จะมีแต่คนรัก คนคิดถึงครับ

ตอนที่ 75 (บทความ) _ มนุษย์ยุง


มนุษย์ยุง

     อ่านชื่อบทความแล้วเกิดความสงสัยใช่รึเปล่าล่ะครับ ว่ามนุษย์ยุงคืออะไร มาจากไหน แล้วมันมีด้วยรึ บางคนก็อาจจะคิดไปว่า คงเป็นคนที่ใส่ชุดยุงลายออกงานรณรงค์ป้องกันโรคไข้เลือดออกรึเปล่า ถ้าอยากรู้ ต้องอ่านต่อด้านล่างเลยครับ

     กระทู้ (จากเว็บไซต์ พันทิป) : ถ้าเรากินลูกน้ำเข้าไปจะเป็นอะไรมั้ย ??? จะกลายเป็นมนุษย์ยุงรึป่าว !!!

     เนื้อหากระทู้ : คือวันนี้เราไปทำงานบ้านเพื่อน แล้วพอทำงานเสร็จ เราก็กินส้มตำซื้อกันมาก่อนหน้านั้น ด้วยความเผ็ดของส้มตำ เราก็กินน้ำไปอย่างเต็มที่ แล้วพอเพื่อนเราก็กำลังจะกินน้ำต่อ มันดันเหลือบไปเห็นลูกน้ำ เราก็ตกใจ แต่พอดูๆก็คิดว่ามันตายแล้ว แต่ที่ไหนได้พอไปดูอีกที มันกระดุกกระดิกกันอยู่ เราก็สงสัย และกลัว ว่าเราจะเป็นมนุษย์ยุงรึป่าว T T

     ผมอ่านจบอมยิ้มเล็กๆ ก่อนจะอดขำเบาๆไม่ได้ นี่ตั้งกระทู้เพราะ ความไร้เดียงสา ไม่รู้จริงๆ หรือตั้งกระทู้เอาฮากันแน่ แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ อะไรที่เราไม่รู้ เราย่อมจะกลัวไว้ก่อน อย่างเช่น ความไม่รู้ว่าในความมืดมีอะไรอยู่บ้าง เราก็กลัว ผีมีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่เราก็กลัว อนาคตเรายังกลัวเลย เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าเราจะเจออะไรบ้าง

     ผมล่ะอยากรู้จริงๆเลย ว่าคนตั้งกระทู้นี้ อายุเท่าไหร่ หรือว่าเขาจะดูหนังไซไฟ (Sci-Fi) มากไปรึเปล่า เลยคิดไปว่า ลูกน้ำมีพลังชีวิตที่แรงกล้า และมีพลังพิเศษอยู่ในตัว ทำให้คนที่กินเข้าไป จะกลายเป็นมนุษย์ยุง (แหม...อย่างกับหนังผีชีวะ)

     จากกระทู้ที่ชวนอมยิ้ม ทีนี้เรามาดูความคิดเห็นของคนที่เข้ามาตอบกันบ้าง มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นไม่มากครับ แต่ก็แอบมีฮา

     ความคิดเห็นที่ 1 : เห้ย ถ้ากินกุ้งเต้นเข้าไป อ้าก...กลายเป็นกุ้งเต้นงั้นเลย

     ความคิดเห็นที่ 2 : เป็นครับ ถ้าไม่อยากเป็น ต้องกินไบกอนตามเข้าไปฆ่ายุงครับ (ล้อเล่นนะครับ ไม่เป็นอะไรครับ ผมกินบ่อยไป ถ้าไปกินน้ำในโอ่งน้ำฝน)

     ความคิดเห็นที่ 3 : ยุงจะถูกย่อยเป็นโปรตีน มีแต่ได้ครับ ไม่มีอันตรายอะไร แต่ที่คนทั่วไปไม่กินลูกน้ำ เพราะมักจะอ้วกออกมาก่อน

     ความคิดเห็นที่ 4 : ระวัง!!! ภายใน 7 วัน คุณเริ่มมีปีกงอก ปากจะยาวขึ้น ... ไม่ใช่ละ

     ความคิดเห็นที่ 5 : จะกลายเป็นมนุษย์ปลากัดมากกว่า เป็นแล้วอย่าไปจ้องใครเค้าล่ะ ท้องหมด

     ความคิดเห็นที่ 6 : เจ็ดวัน จะมียุงบินออกมาจากปาก

     จะเห็นได้ว่ามีคนตอบมีสาระจริงๆแค่คนเดียว คือ ความคิดเห็นที่ 3 ส่วนที่เหลือก็ขำๆ บ้าๆกันไป เพราะคงคิดกันว่า เจ้าของกระทู้คงเอาฮาแน่นอน ไม่มีใครที่ไหนจะกล้าคิดจริงจังกับเรื่องแบบนี้แน่ๆ

     แต่ก็ดีนะครับ ไม่รู้ก็ถาม จะได้คลายข้อสงสัย ดีกว่าเก็บไว้คิดคนเดียว เกิดว่าคิดผิดๆขึ้นมา กลายเป็นบ้าได้นะเออ

     ไม่รู้ว่าป่านนี้ เจ้าของกระทู้จะเลิกกลัวรึยังนะครับ

ตอนที่ 74 (เรื่องสั้น) _ ฝนเอย ทำไมจึงตก


ฝนเอย ทำไมจึงตก

     "ตกอีกละ ตกได้ทุกวี่ทุกวัน ตกเช้าตอนออกไปทำงาน ตกเย็นตอนเลิกงาน เข้าใจเลือกเวลาตกเนอะ เฮ้อ..." ผมยืนอยู่ที่หน้าอพาร์ทเม้นท์ที่ผมพักอาศัยอยู่ ยืนบ่นเรื่องฝนที่ตกแบบขัดใจคนทำงานซะจริงๆ ตกเช้า ตกเย็น แต่พอกลางวันอยู่ในออฟฟิต ก็ดันไม่ตก

     "พรึ่บ!!!" ผมกางร่มลายโดราเอม่อนออก เพื่อกางเดินกันฝนไปขึ้นรถเมล์ที่ปากซอย ถึงผมจะเป็นผู้ชายหน้าตาเข้มๆสักหน่อย แต่ก็แอบมีน่ารักๆ ชอบโดราเอม่อนอยู่เหมือนกัน ถามว่าอายรึเปล่าที่กางร่มลายโดราเอม่อน ตอบได้เลยว่า...นิดหน่อย แต่ทำไงได้ล่ะครับ ก็ผมชอบของผมนี่

     ผมกางร่มเดินมาได้สักระยะ ก็มาถึงอพาร์ทเม้นท์อีกที่หนึ่ง ซึ่งอยู่ระหว่างทางที่ผมต้องเดินไปที่ป้ายรถเมล์ ผมเห็นหญิงสาวหน้าตาน่ารัก แต่งตัวน่ารัก ผิวขาว ดูมีออร่าความเป็นผู้ดี ยืนทำหน้าเซ็งๆอยู่ที่หน้าอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้ ผมไม่รู้ว่าเธอยืนรออะไร แต่เพราะความน่ารักของเธอ ทำให้ผมลืมตัว เดินเข้าไปหาเธอแบบสมองมึนๆ มันสั่งการอะไรของมันเนี่ย

     "มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าครับ" ผมเดินไปถึงเธอ ผมก็ถามเธอด้วยความเป็นห่วง เธอยิ้มทำตาปริบๆ แล้วก็ตอบว่า

     "ฝนตก ไปทำงานไม่ได้ เปียก สายแน่ ไม่มีร่ม" เธอตอบแบบคนตกใจ เพราะเธอพูดเป็นคำๆ เรียงประโยคแทบจะไม่ได้ แล้วก็จบด้วยรอยยิ้มที่แสนหวาน จนผมแทบจะละลายอยู่ตรงหน้าเธอ ผมคิดว่าเธอคงกำลังคิดว่าจะทำยังไงดีเพลินๆ แล้วผมเข้ามาทักเธอ คำตอบของเธอก็เลยฟังดูแปลกๆ

     "เออ...แล้วร่มไม่มีเหรอครับ" ผมสงสัย เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูฝน จริงๆเธอควรมีร่มติดตัวไว้

     "มันพังไปเมื่อวานค่ะ เจอลมพัดแรง ตูมเดียว ร่มพังเลย ฉันก็เปียกหมดเลย" เธอน่าจะหายตกใจ ตั้งสติได้แล้ว เพราะตอบคำถามของผมรู้เรื่องมากขึ้น แต่ก็ยังฟังดูแปลกๆอยู่

     "อ่อ ร่มพังนี่เอง ไปกับผมมั้ยล่ะครับ ผมจะเดินไปป้ายรถเมล์ คุณจะไปป้ายรถเมล์รึเปล่าครับ" ผมตัดบทถามให้เดินไปด้วยกันเลย เพราะขืนมัวยืนคุยกัน กลัวจะไปทำงานสาย

     "ไปค่ะ ไป รบกวนด้วยนะคะ" เธอมองหน้าผม แล้วก็ยิ้มแบบอายๆ

     "ข้าวผัดเนื้อไข่ดาว กับผัดไทกุ้งสดครับ" ผมสั่งอาหารที่ร้านอาหารตามสั่ง ที่อยู่ใกล้ๆกับอพาร์ทเม้นท์ของผมกับเธอ ผมเจอกับเธอเมื่อวันพุธ ส่วนตอนนี้คือ วันอาทิตย์ เราเริ่มรู้จักกัน คุยกัน ก็เลยชวนกันมากินข้าวที่ร้านประจำของทั้งผมและเธอ

     "มาด้วยกันได้ยังไงเนี่ย" ป้าเจ้าของร้านอาหารตามสั่ง เอาอาหารมาเสิร์ฟ พร้อมกับคำถาม เพราะป้าคงอดสงสัยไม่ได้ ว่าทำไมผมกับเธอถึงมานั่งกินข้าวที่ร้านของแกด้วยกันได้ เพราะร้านนี้คือร้านประจำของผมกับเธอ ป้าเจ้าของร้านคงจะเคยชินกับการที่เห็นผม หรือเธอมานั่งกินคนเดียวเป็นประจำ

     ผมมองหน้าป้าเจ้าของร้านแล้วบอกว่า "คืนนั้น...คืนนั้น..." ผมทำหน้าตาเสียใจจะร้องไห้

     "เพี๊ยะ!!!"

     "โอ๊ย!!!" เธอตีมือผมอย่างแรง พร้อมกับทำหน้าตาน่ากลัวใส่ผม

     "ล้อเล่นๆ..." ผมยิ้มให้เธอ แล้วก็เล่าความจริงให้ป้าเจ้าของร้านอาหารตามสั่งฟัง

     "จริงๆมันก็แปลกนะ เธอสองคนอยู่ที่นี่มานานหลายปีเลยนะ ตั้งแต่หลานสาวของป้ายังไม่เกิด จนตอนนี้มันอายุสามขวบ วิ่งเล่นได้ละ พวกเธอพึ่งจะเคยเจอกัน" ป้าเจ้าของร้านอาหารตามสั่ง พูดให้ผมกับเธอฟัง เพราะผมกับเธอต่างก็เป็นลูกค้าประจำของร้านแก แต่กลับไม่เคยมากินข้าวเวลาเดียวกันเลย แถมอยู่ในซอยเดียวกัน อพาร์ทเม้นท์ก็ไม่ได้ไกลกันมาก ก็ยังไม่เคยเจอกันเลย

     "หรือว่าตอนนั้นเธอยังไม่ขาว ไม่น่ารักแบบนี้มั้งครับ ผมอาจจะเคยเจอแล้ว แต่ไม่ได้สนใจ" ผมบอกป้าเจ้าของร้านอาหารตามสั่ง แล้วก็มองหน้าเธอแบบกวนๆ

     "เพี๊ยะ!!!" เธอตีมือผม และทำหน้าจริงจังใส่ผมอีกแล้ว

     "ก็ไม่นะ น้องเค้าขาว น่ารักแบบนี้ตั้งแต่แรกเห็นแล้ว แต่เพราะจังหวะไม่พอดีกันมากกว่า เธอก็เลยไม่เคยเจอกับน้องเค้าเลย จนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา พึ่งจะได้เจอนั่นแหละ" ป้าเจ้าของร้านอาหารตามสั่งอธิบาย

     "ถ้าร่มหนูไม่พัง เค้าก็คงไม่มีบุญได้เจอหนูหรอกค่ะ เชอะ!!!" เธอพูดเสียงกระแทกแบบงอนๆ แล้วก็สะบัดหน้า

     "กินข้าวๆ เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย" ผมขำเธอ แล้วก็ตัดบทชวนกินข้าว

     "สอง ช่วยแอนเก็บผ้าหน่อย เก็บคนเดียวเดี๋ยวไม่ทัน" ผ่านไปได้เดือนกว่าๆ สำหรับความสัมพันธ์ของผมกับเธอ ตอนนี้เธอยอมให้ผมขึ้นมาเที่ยวที่ห้องของเธอแล้ว แต่เธอยังไม่กล้าที่จะไปเที่ยวห้องของผม วันนี้เธอจะทำข้าวต้มหมูเป็นเมนูมื้อเที่ยง เธอเลยชวนผมมากินด้วย แต่ยังไม่ทันที่จะเริ่มเตรียมของทำข้าวต้ม ฝนก็เทลงมาซะก่อน เลยต้องรีบเก็บเสื้อผ้าของเธอที่ตากไว้ที่หลังห้องกันอย่างด่วน

     "อะโห จีสตริงเลยเหรอ แอบเซ็กซี่นะแอน" ด้วยความรีบของเธอ เธอคงลืมไปว่า เธอไม่ควรยื่นราวตากชุดชั้นในให้ผมไปเก็บ แต่มันช้าไปแล้ว เพราะตอนนี้ราวตากชุดชั้นในของเธอ อยู่ในมือของผมแล้ว ซึ่งพอผมได้เห็นทั้งราวที่ตากอยู่ ผมถึงกับตกใจ นี่เธอใส่แบบนี้ด้วยเหรอ

     "ไอ้บ้า เอามานี่ แล้วเอาอันนี้ไปเก็บ ไป๊!!!" เธอคงตกใจน่าดู เลยด่าผมเป็นไอ้บ้าซะอย่างงั้น แต่ผมก็แอบเห็นเธอยิ้มแบบอายๆ เธอคงไม่ได้โกรธอะไรผมหรอก ที่ผมแซวเธอไปแบบนั้น

     หลังจากที่รีบร้อนช่วยกันเก็บเสื้อผ้าของเธอเสร็จแล้ว ผมกับเธอก็มานั่งพักที่เตียงนอนด้วยกัน ทีแรกดูเหมือนจะไม่เหนื่อย แต่ก็เล่นเอาหอบอยู่เหมือนกัน เสียงหอบของทั้งคู่ บวกกับบรรยากาศฝนตก ฟ้าร้อง ตอนนี้บรรยากาศในห้องได้เปลี่ยนไป ผมกับเธอนั่งอยู่ด้วยกันบนเตียงนอน ผมหันไปมองสบตากับเธอ เธอสบตาผมกลับมา ผมทำตาปริบๆ เธอก็ทำตาปริบๆ ผมเม้มปาก แล้วเหมือนเธอจะรู้ว่าผมสื่อถึงอะไร เธอหลับตาลงช้าๆ ผมค่อยๆโน้มตัวเข้าไปหาเธอ ใกล้เข้าไปจนปากของผม ใกล้จะถึงปากของเธอ...

     "เปรี้ยง!!!"  "โป๊ก!!!"  "โอ๊ย!!!" ฟ้าผ่าในระยะใกล้ เสียงดังมาก เธอตกใจหัวโขกหัวผม ต่างคนก็ต่างเจ็บ บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไป แล้วก็ไม่เกิดอะไรขึ้นอีกเลยในวันนั้น นอกจากทำข้าวต้มหมู นั่งกินด้วยกัน

     ผ่านไปหนึ่งปี ผมกับเธอยังไม่เคยมีอะไรกันเลย นอกจากจับมือ โอบกอด และจุ๊บๆกัน สาเหตุที่ผมกับเธอยังไม่เคยมีอะไรกันเลยก็เพราะว่า เธอได้ขอร้องไว้ ว่าอย่าพึ่งทำอะไรเธอ ถ้ารักเธอจริงๆต้องรอได้ เธอไม่อยากเสียใจถ้าโดนผมทิ้ง แล้วเธอก็ไม่อยากให้แม่เสียใจด้วย ที่เธอไม่ฟังคำขอร้องของแม่ ที่แม่เคยขอร้องไว้ ว่าอย่ามีอะไรกับแฟนเด็ดขาด ก่อนที่แม่จะได้เจอกับแฟนของเธอ และมีอีกข้อที่สำคัญเลยคือ เธอบอกผมว่า ผมเป็นลูกผู้ชายพอรึเปล่า ถ้าเป็นลูกผู้ชายพอ ต้องไม่ทำร้ายผู้หญิง ทั้งร่างกาย และจิตใจ ผมเจอข้อนี้เข้าไป ผมเลยต้องกลายเป็นลูกผู้ชายตัวจริงไปเลยทีเดียว

     "เออ...นี่มันแบบสอบถาม หรือข้อสอบครับ" ฤดูฝนปีนี้ แม่ของเธอมาหาเธอที่อพาร์ทเม้นท์ เพราะเธอบอกแม่ว่า เธอมีแฟนแล้ว แม่ของเธอจึงหาเวลามาดูตัวผมถึงที่ ว่าผมจะสอบผ่านเป็นแฟนกับลูกสาวของเธอได้หรือไม่

     "จะทำหรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่ทำก็เลิกยุ่งเกี่ยวกับลูกสาวของฉันซะ" แม่ของเธอดูจริงจังมาก จนผมรู้สึกกดดัน แล้วฝนดันมาตกตอนนี้อีกนะ มีฟ้าร้องเหมือนในละครเลย ถ้าเป็นในละครผมคงโชคร้ายสอบไม่ผ่าน ต้องเดินตากฝนกลับห้องแน่ๆ อกหักเดินตากฝน เท่ไม่เบาเลย แต่นี่ไม่ใช่ละคร ผมต้องสอบให้ผ่าน ว่าแล้วก็จัดการทำข้อสอบของแม่เธอทันที

     ในข้อสอบของแม่เธอ ก็ถามเรื่องทั่วๆไป เหมือนกรอกใบสมัครงาน ชื่ออะไร เกิดเมื่อไหร่ ที่อยู่ๆที่ไหน ทำงานอะไร เงินเดือนเท่าไหร่ ความสามารถพิเศษ ฯลฯ แล้วก็มีถามถึงความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับลูกสาวของเธอด้วย เช่น วันเกิดลูกสาวเธอ สีที่ลูกสาวเธอชอบ อาหารที่ลูกสาวเธอชอบ ฯลฯ ผมใช้เวลาทำข้อสอบของแม่เธออยู่ประมาณยี่สิบนาทีก็เสร็จ

     "พักอยู่แถวนี้ใช่มั้ย" แม่ของเธอถามผม

     "ใช่ครับ อยู่อพาร์ทเม้นท์ใกล้ๆนี่แหละครับ" ผมรีบตอบอย่างตั้งใจ

     "กลับไปรอที่ห้องของเธอ จนกว่าลูกสาวของฉันจะโทรไปตาม" แม่ของเธอพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง จนผมไม่กล้าขัด

     "เอาล่ะ เธอสอบผ่านข้อเขียนแล้ว ต่อไปเป็นการสอบสัมภาษณ์" ผ่านไปประมาณ 45 นาที แม่ของเธอ ก็ให้เธอโทรตามผมกลับมาที่ห้องของเธออีกครั้ง ผมดีใจมากที่ผ่านการสอบข้อเขียนแล้ว แต่ก็ต้องลุ้นหนักอีก เมื่อต้องเจอกับด่านต่อไป

     "ข้อสอบของการสอบสัมภาษณ์มี 2 ข้อง่ายๆ พร้อมรึยัง" แม่ของเธอถามผมที่ดูจะยังเกร็งไม่หาย

     "พร้อมครับ" พร้อมไม่พร้อม ถึงวินาทีนี้มันก็ต้องพร้อมแล้วล่ะครับ

     "ในระยะเวลาที่คบกับแอนมาหนึ่งปี ทำไมถึงไม่ทำอะไรแอนเลย เพียงเพราะคำขอร้องของแอน หรือมีเหตุผลอื่น" แม่ของเธอยิงคำถามแรกออกมา ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะตอบยากสักหน่อย แต่สำหรับผมตอบได้ง่ายนิดเดียว เพราะหลังจากที่ผมได้เป็นแฟนกับเธอ ผมก็ได้โทรไปเล่า และปรึกษากับแม่ของผมบ่อยๆ ว่าผมควรทำตัวยังไงดี ถึงจะเหมาะสมกับการเป็นแฟนของผู้หญิงคนหนึ่ง

     "เพราะผู้หญิงไม่ใช่ของเล่น ผมเป็นผู้ชายควรให้เกียรติผู้หญิงครับ" ผมตอบไปสั้นๆได้ใจความ ทำเอาแม่ของเธออึ้งไปพักหนึ่ง ต้องขอบคุณแม่ของผมล่ะครับ ที่ให้คำสอนสั้นๆ แต่มีพลังมากมายกับผมแบบนี้ ผมเลยใจแข็งพอ ไม่ได้ล่วงเกินอะไรเธอเลย ยกเว้นก็แต่ จับมือ โอบกอด แล้วก็จุ๊บๆ เพราะเป็นความต้องการของเธอ ที่อยากให้ผมแสดงความรักต่อเธอบ้าง ผมเลยไม่กล้าขัด

     "งั้นข้อที่สอง เธอรักแอนเพราะอะไร" แม่ของเธอยิงคำถามของที่สองออกมา ข้อนี้ทำเอาผมนิ่งไปพักหนึ่ง เพราะไม่รู้จะตอบ จะอธิบายยังไงดี

     "เอ้าๆ อย่านิ่งสิ ฉันมีเวลาไม่มากนะ" ผมนิ่งคิดคำตอบนานไปหน่อย จนแม่ของเธอต้องเร่งผม

     "เออ...ผมรักแอน เพราะว่า...เพราะว่า...ผมสามารถทำให้แอนมีความสุขได้ครับ" ผมตอบเสร็จ ผมอึ้งกับคำตอบของตัวเอง ว่าตอบอะไรออกไปเนี่ย บ้ารึเปล่า สอบไม่ผ่านแน่ๆ

     ผมมองหน้าแม่ของเธอแบบเศร้าใจ แล้วแม่ของเธอก็บอกว่า "กลับไปรอที่ห้องของเธอ แล้วเดี๋ยวจะให้แอนโทรไปบอกคำตอบ" แม่ของเธอพูดแบบนี้ มันเหมือนกับตอนไปสัมภาษณ์งานเลย ให้เรากลับมารอคำตอบ แล้วก็เงียบหาบไปเลย สงสัยจะรอดยากแล้วเรา

     "เธอสองคนออกไปก่อน แม่จะสำรวจ และตรวจสอบความสะอาด และความเรียบร้อยของห้อง แม่อยากรู้ว่า แฟนของลูกเป็นคนแบบไหนอีกสักหน่อย" ผมดีใจมาก ที่แม่ของเธอดูจะยอมรับผมแล้ว คงเหลือเพียงอีกนิดหน่อยสำหรับการสำรวจ และตรวจสอบห้องของผม แต่ผมเชื่อว่า ผมคงผ่านได้ไม่ยาก เพราะผมก็เป็นคนมีระเบียบ มีความเรียบร้อยอยู่พอสมควร

     "สอง เธอสอบผ่าน แม่ยินดีที่จะให้สองเป็นแฟนกับแอนนะ เดี๋ยวแม่กลับไปรอที่ห้องของแอนนะ แม่เอาของสองอย่างวางไว้ในตู้เสื้อผ้า สองกับแอนไปเปิดดูนะ ทำภารกิจที่แม่มอบหมายให้เสร็จ แล้วเดี๋ยวมืดๆเจอกัน" แม่ของเธอออกมาจากห้องของผม หลังจากที่เข้าไปสำรวจ และตรวจสอบอยู่เพียงไม่กี่นาที

     ผมกับเธอสงสัยอย่างมาก ว่าภารกิจที่แม่มอบหมายไว้คืออะไร แล้วแม่เอาอะไรวางไว้ในตู้เสื้อผ้า แล้วทำไมแม่ต้องไปรอที่ห้องของเธอ แล้วทำไมต้องมืดๆค่อยเจอกัน ผมกับเธอรีบไปเปิดตู้เสื้อผ้าดู...

     "เพี๊ยะ!!!" เธอตีแขนผมซะเต็มแรง

     "ตีสองทำไมเนี่ยแอน" ผมลูบแขนตัวเอง เพราะเจ็บจากการตีของเธอ

     "เขินน่ะสิ เพี๊ยะ!!!" เธอตอบผม แล้วก็ตีแขนผมอีก

     "ชอบแบบรุนแรงก็ไม่บอก" ผมมองหน้าเธอ แล้วทำหน้าตาเจ้าเล่ห์

     "ห๊า ไม่นะ..." เธอทำหน้าตกใจ บิดตัวไปมาด้วยความเขิน

     "ฝนเอย ทำไมจึงตก..." ผมร้องเพลงให้เธอ 1 ท่อน

     "อ๊บ อ๊บ" เธอร้องตอบกลับมาแบบน่ารัก ก่อนที่ผมกับเธอจะ...แข่งกับเสียงฝนตก ฟ้าร้อง

     สิ่งที่แม่ของเธอวางไว้ในตู้เสื้อผ้า เป็นสิ่งที่ทำให้ผมมั่นใจได้เลยว่า ผมผ่านการสอบแล้วแน่นอน และผมก็สามารถเดินหน้าไปกับเธอได้อย่างเต็มที่ เพราะสิ่งที่แม่ของเธอวางไว้ก็คือ ชุดนอนซีทรูแบบบางเบา ใส่แล้วเซ็กซี่กระจาย คาดว่าใส่ชุดนอนนี้แล้ว จะไม่ได้นอนซะมากกว่า และถุงยางอนามัยอีก 2 กล่อง ... เฮ้ย ไม่ใช่ละ จริงๆแล้วมันคือ แหวนแต่งงาน และเช็คเงินสดอีกหนึ่งแสนบาท พร้อมกับกระดาษที่เขียนภารกิจเอาไว้ว่า "รีบๆมาขอลูกสาวแม่นะ แม่อยากอุ้มหลานตัวน้อยๆแล้ว"