น้ำใจคนไทย
สิ่งหนึ่งที่เป็นทั้งข้อดี และข้อเสียของคนไทยโดยไม่รู้ตัวคือ น้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความขี้สงสาร ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นนี่แหละครับ ทำให้ในบางครั้งมันกลายเป็นการสร้างอาชีพขอทานขึ้นมา หรือสร้างคนที่ชอบลวงโลกขึ้นมาในประเทศไทยของเรา
ล่าสุดหากใครได้ติดตามข่าว คงจะยังจำกันได้ถึงกรณีชายชาวต่างชาติขาโตเหมือนคนพิการ นั่งขอทานอยู่ที่ถนนข้าวสาร เมื่อคนไทยไปเจอ ก็สงสาร ช่วยกันระดมเงินให้เขา เพื่อให้เขาได้ใช้เป็นค่าเดินทางกลับประเทศของเขา แต่โอ้...แม่เจ้า ชาวต่างชาติลวงโลกซะงั้น พอได้เงินแล้วเขาก็ไปเที่ยวพัทยา จนเงินที่คนไทยช่วยกันระดมให้หมดเกลี้ยง แล้วก็ไปนั่งขอทานใหม่ที่พัทยา
อาชีพขอทานก็เช่นกัน เป็นอาชีพที่อยู่คู่ประเทศไทยมาอย่างยาวนาน เมื่อคนไทยมีน้ำใจ เห็นคนลำบากนั่งขอทานก็ให้เงิน แล้วทีนี้มันก็ไม่หมดไปสักทีสิครับ เชื่อหรือไม่ครับว่า ขอทานไม่ได้จนนะครับ สมมุติว่า นั่งขอทานวันละ 8 ชั่วโมงเท่าเราทำงานประจำนี่แหละ ได้เงินชั่วโมงละ 30 บาท รวมแล้ว 1 วันก็ได้เงิน 240 บาท เดือนหนึ่งก็ 7,200 บาท นี่มีเงินใช้สบายๆ ไม่จนเลยนะครับ ผมเริ่มทำงานที่ต่างจังหวัด วุติ ป.ตรี เงินเดือนยังแค่ 5,900 - 6,500 บาทเองนะ แล้วนี่สมมุติแค่ชั่วโมงละ 30 บาทนะครับ สมมุติแค่นั่งขอวันละ 8 ชั่วโมงนะครับ ที่เหลือก็ลองคำนวณดูครับ ว่าขอทานน่าจะได้เท่าไหร่ งานสบายๆเลยนะนั่น
ขอทานที่เป็นขอทานจริงๆเลยมันก็มีครับ คนพวกนี้ก็น่าสงสาร น่าเห็นใจจริงๆ เพราะเขาไปทำอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ แต่ผมคิดว่ามันคงมีน้อยมากแหละครับ ถ้าจะเทียบกับขอทานที่ทำกันเป็นอาชีพ ที่มาล้อเล่นกับความมีน้ำใจของคนไทย เอาเถอะครับ ไม่ว่าอาชีพขอทานจะเป็นยังไงต่อไป ผมก็คงปล่อยให้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องจัดการจะดีกว่า
เขียนบ่นไปเยอะละ มาเข้าเรื่องที่คิดไว้แต่ต้นดีกว่า เรื่องที่คิดไว้ก็คือ น้ำใจคนไทย ที่ไม่เคยมีวันหมดไป ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคสิ่งของ หรือเงิน ให้กับผู้ยากไร้ตามสถานที่ที่รับบริจาคต่างๆ รวมไปถึงการเลี้ยงอาหารเด็กๆตามสถานสงเคราะห์ หรือการช่วยเหลือคนที่เดือนร้อนตามสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ฯลฯ
สำหรับผมแล้ว หลังจากที่ได้เคยนำเสื้อผ้า และของใช้มือสองไปบริจาคให้มูลนิธิกระจกเงาแล้ว ตอนนี้ผมก็กลายเป็นคนรับบริจาคสิ่งของจากคนรอบตัว เพื่อนำไปส่งต่อให้มูลนิธิกระจกเงาครับ สาเหตุที่ผมกลายเป็นคนรับบริจาคสิ่งของ ก็ไม่มีอะไรมากครับ ก็แค่คิดว่า คนไทยมีน้ำใจนี่แหละครับ ผมเลยรับอาสาเป็นคนกลาง
แล้วเท่าที่ผ่านมา ผมเชื่อแล้วครับว่า คนไทยยังเป็นคนที่มีน้ำใจอยู่มากจริงๆ ถึงแม้ว่าสิ่งของที่นำมาบริจาคจะเป็นของมือสอง แต่มันก็แสดงให้เห็นว่า พวกเขาเหล่านั้นพร้อมที่จะสละของที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ มีบางคนซื้อของใหม่บริจาคเลยก็มีนะครับ น้ำใจคนไทยยังมีเยอะแบบนี้ ผมก็คงรับหน้าที่เป็นคนกลางเพื่อการบริจาคสิ่งของไปอีกนานล่ะครับ ทำตรงนี้มีความสุขใจนะครับ ใครว่างๆมีแรงกำลัง ก็ลองทำตัวเป็นคนกลางรับบริจาคดูสิครับ แล้วจะรู้ว่า มันสุขจริงๆนะ
ล่าสุดที่ผ่านมา ผมไปเจอโครงการตุ๊กตาล้มได้ ลุกได้ ของมูลนิธิ รพ.เด็ก บริจาคเงิน 99 บาท เพื่อเป็นทุนจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ และรักษาผู้ป่วยโรคยุ่งยากซับซ้อน แล้วรับตุ๊กตาล้มลุก 1 ตัว ทีแรกผมคิดว่าคงไม่มีคนสนใจ แต่ที่ไหนได้ล่ะครับ ได้รับการตอบรับดีมากๆ คนร่วมบริจาคราวๆ 70 คนได้ อาจจะว่ามีตุ๊กตาเป็นสิ่งตอบแทน คนเลยสนใจก็ได้ แต่พอมาคิดดูอีกทีว่า ถ้าเราเอาตุ๊กตามาขายเฉยๆ ก็คงไม่มีคนสนใจ แต่พอเป็นการบริจาคแล้วได้ตุ๊กตา คนมีน้ำใจแบบคนไทยก็ไม่มีรีรอที่จะบริจาคกันเลยทีเดียว ผมว่านะ จริงๆแล้วบริจาคแต่ไม่ได้ตุ๊กตา คนไทยก็บริจาคแหละ แต่ก็แต่ได้ไม่ถึง 99 บาทเท่านั้นเอง
น้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเห็นอก ตกใจ!!! เอ้ย เห็นอกเห็นใจ เป็นสิ่งที่ดีนะครับ เพราะถ้ามีกันเยอะๆ สังคมก็จะน่าอยู่ แล้วประเทศไทยก็คงจะสงบสุขมากกว่านี้แน่ๆ เออ...ไม่นับอาชีพขอทานลวงโลกนะครับ แหม กำลังจะจบแบบซึ้งๆ ไอ้ขอทานมันแวบขึ้นมาทำไมเนี่ย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น