ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตอนที่ 86 (เรื่องสั้น) _ สลัด...สะบัด



สลัด...สะบัด

     "กินอะไรดีน้อ เมนูที่อยากกินก็ดันไม่มาขาย ไม่ได้วางแผนเผื่อไว้ซะด้วยสิ" ผมกำลังเดินเลือกซื้อข้าวเย็นกลับไปกินที่ห้องหลังจากที่เลิกงานแล้ว จริงๆวันนี้ผมวางแผนไว้ว่าจะกินข้าวต้มร้านพี่คนสวย แต่พอมาถึงสถานที่ขายอาหาร อ้าว...ร้านข้าวต้มพี่คนสวยไม่มาขาย ซวยล่ะทีนี้ เพราะผมไม่ได้วางแผนเผื่อไว้ซะด้วยสิ ว่าถ้าร้านข้าวต้มพี่คนสวยไม่มาขาย จะซื้ออะไรไปกินแทน

     สถานที่ขายอาหารตรงนี้เป็นทางเท้า หรือฟุตบาทข้างถนน มีร้านรถเข็นมาขายกันมากอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นไก่ทอด ปลาทอด ปลาเผา บะหมี่เป็ด ส้มตำ ลาบ น้ำตก ข้าวต้ม สลัด ลูกชิ้นทอด ลูกชิ้นปิ้ง ผลไม้ ฯลฯ ทางเท้าระยะเพียงแค่ประมาณ 50 เมตร แต่ร้านค้าสองข้างทางก็ถือว่าเยอะมากเลยทีเดียว

     ถึงแม้ว่าร้านค้าจะเยอะ แต่ผมก็เลือกกินแค่ไม่กี่อย่างเอง เพราะผมวางแผนการใช้เงินแต่ละวันไม่เกิน 150 บาท แบ่งเป็นค่าเดินทาง 50 บาท ค่าอาหาร 100 บาท  เช้า-เที่ยง มื้อละ 30 บาท มื้อเย็นก็เหลือแค่ 40 บาท จึงเลือกกินได้ไม่กี่อย่าง ที่ผมต้องทำแบบนี้ก็เพื่อออมเงินไว้ลงทุนในอนาคตล่ะครับ

     "ข้าวต้มไม่ขาย ก็เป็นบะหมี่เป็ดแทนก็แล้วกัน 40 บาทพอดี" ผมตัดสินใจเลือกกินบะหมี่เป็ดแทน เพราะเห็นว่าเป็นน้ำเหมือนกัน น่าจะกินง่ายลื่นคอพอๆกัน แล้วที่สำคัญไม่เกินงบที่ตั้งไว้ด้วย

     "ข้าวต้มปลาครับพี่คนสวย" วันนี้ผมก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะกินข้าวต้มเหมือนเดิม แล้วก็ได้กินในที่สุด เพราะร้านข้าวต้มพี่คนสวยมาขายแล้ว

     "สักครู่นะคะ พอดีมีอีก 4 คิวค่ะ" เจ้าของร้านวัยสี่สิบต้นๆ แต่หน้าตายังดูเหมือนพึ่งแค่สามสิบต้นๆบอกกับผม แล้วก็รีบทำข้าวต้มให้กับลูกค้าที่ยืนรออยู่ที่หน้าร้านอย่างคล่องแคล่ว

     "ทุกอย่างถุงหนึ่งค่ะ" เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งแว่วมาเข้าหูผม เสียงของเธอฟังดูสดใส และมีความน่ารักอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าในเวลานี้คือ เวลาหลังจากเลิกงานแล้วก็ตาม เสียงของเธอทำให้ผมต้องตัดสินใจหันไปมอง ว่าเธอมีรูปร่าง หน้าตาเป็นยังไง ทำไมเสียงถึงยังฟังดูสดใสจริงๆ

     "หือ เสียงของสาวประเภทสองเหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อเลย ว่าเสียงจะสดใสเหมือนผู้หญิงได้ขนาดนี้" ผมยืนรอข้าวต้มอยู่ที่หน้าร้านข้าวต้ม แล้วหันไปมองร้านสลัดทางขวามือ ผมเห็นสาวประเภทสองคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าร้านสลัด ผมแทบจะไม่อยากเชื่อเลยว่า เสียงที่ได้ยินเมื่อกี้จะเป็นเสียงของเธอ เพราะเสียงที่ได้ยินมันเหมือนเสียงของผู้หญิงมากๆ

     ผมยืนมองเธอไปก็คิดสงสัยไปว่า ทำไมเสียงของเธอถึงได้ใสเหมือนเสียงของผู้หญิงจริงๆเลย หรือว่าเพราะเธอกินสลัด หรือว่าเพราะเธอเป็นผู้หญิงจริงๆที่เหมือนสาวประเภทสอง หรือเพราะอะไรกันนะ

     ในระหว่างที่ผมกำลังคิดอยู่นั้น เธอก็พูดขึ้นอีกครั้ง "ขอบคุณค่ะ" แล้วเธอก็จ่ายเงินค่าสลัด ก่อนจะเดินหิ้วถุงสลัดออกไปจากหน้าร้าน

     "เฮ้ย เดี๋ยวนะๆ มันไม่ใช่เสียงนี้นี่ งั้นเมื่อกี้มันเสียงใครล่ะ หรือเสียงจากร้านอื่น นี่เราหลงทิศทางของเสียงเหรอเนี่ย" ผมตกใจถึงกับสติหลุด หลังจากที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ว่าทำไมเสียงของสาวประเภทสองคนนั้นถึงได้เสียงเหมือนผู้หญิงมากๆ แต่พอเธอพูดอีกครั้งเท่านั้นแหละ มันกลับไม่ใช่เสียงที่ได้ยินก่อนหน้านี้ ผมงงกับตัวเองมาก นี่ผมหลงทิศทางของเสียงหรือยังไงกันแน่

     ก่อนที่ผมจะสับสนไปมากกว่านี้ ก็ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินมาที่ร้านสลัด แล้วก็มายืนรอเฉยๆไม่พูดไม่จาอะไรเลย ตอนนั้นผมก็คิดว่า หรือจะเป็นเสียงของเธอ แล้วเมื่อกี้เธอเดินไปไหน ทำไมผมไม่ทันเห็นว่าเธอเดินออกไปจากหน้าร้านสลัด หรือว่าเราจะหันไปมองช้าเกินไป หรือยังไงกันแน่

     ผมยืนรอข้าวต้มของผมซึ่งผ่านไปแล้ว 2 คิว เหลืออีก 2 คิวจะถึงคิวของผม ระหว่างนั้นผมก็มองหญิงสาวที่ยืนรอสลัดอยู่ที่หน้าร้านสลัดไปด้วย แล้วผมก็คิดว่า...

     "เออ...แล้วนี่เราจะไปอยากรู้ อยากสนใจเจ้าของเสียงเมื่อกี้ทำไมกันล่ะเนี่ย" ผมคิดทบทวนความคิดของตัวเอง เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมก็ตัดสินใจจะเลิกสนใจเจ้าของเสียงที่ได้ยินเมื่อกี้ แล้วตั้งหน้าตั้งตารอข้าวต้มจะดีกว่า

     "ขอบคุณค่ะ" แต่ทันทีที่ผมได้ยินเสียงที่ฟังดูสดใสนั้นอีกครั้ง ผมก็หันขวับไปมองโดยไม่ทันได้คิดอะไรในทันที และแล้วผมก็ได้พบกับเจ้าของเสียง ซึ่งเจ้าของเสียงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน หญิงสาวที่ยืนรอซื้อสลัดคนนั้นนั่นเอง

     เธอจ่ายเงินค่าสลัดเสร็จแล้ว เธอก็เดินมาทางร้านข้าวต้มซึ่งมีผมยืนอยู่ แล้วเหมือนว่าเธอจะรู้ว่าผมมองเธออยู่ เพราะเธอมองหน้าผม แล้วก็ยิ้มให้ผมแบบอายๆ ก่อนที่จะละสายตาไปจากผม แล้วเดินผ่านผมไปในระยะประชิด จนทำให้ผมต้องหมุนตัว 180 องศา เพื่อมองตามเธอไป ว่าเธอเดินไปไหนต่อ

     ตอนนี้ใจผมเต้นแรงมาก รู้สึกร้อนไปทั้งหน้า นี่ผมโดนผู้หญิงเปิดเกมรุกจู่โจมจนรู้สึกตื่นเต้นเหรอเนี่ย หลังจากที่เรียนจบมา ผมก็ไม่เคยโดนผู้หญิงเปิดเกมรุกท้าทายแบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรก และคนแรกที่กล้าเปิดเกมรุกใส่ผม เพราะก่อนหน้านี้ผมจะเป็นฝ่ายบุกตลอด ด้วยหน้าตาที่ดูไม่ได้ขี้เหร่อะไร ทำให้ผมสามารถเป็นฝ่ายบุกอยู่ตลอด จนมีครั้งนี้แหละ ที่ต้องตกเป็นฝ่ายตั้งรับ จนผมทำตัวไม่ถูกเลย

     "ข้าวต้มได้แล้วจ้ารูปหล่อ แหม...มาซื้อข้าวต้มของพี่บ่อยๆเนี่ย ติดใจข้าวต้ม หรือแม่ค้ากันจ๊ะ" แม่ค้าข้าวต้มก็เป็นอีกคนที่ผมเป็นฝ่ายเปิดเกมรุกก่อน ถึงแม้ว่าเธอจะอายุปาเข้าไปสี่สิบต้นๆแล้ว แต่ด้วยหน้าตาที่ยังเด็กเกินวัย ก็ทำให้ผมอดที่จะพูดจาชมบ่อยๆไม่ได้ ว่าเธอนั้นน่ารัก ทำข้าวต้มเก่ง ถ้าได้เป็นแฟนก็คงดี แต่ก็เหมือนเธอจะรู้ว่าผมหยอกเล่น เธอกับผมเลยสนิทกันเหมือนเพื่อนที่มีอายุต่างกันซะมากกว่า

     ผมนั่งกินข้าวต้มไป ก็นึกถึงเธอคนนั้นไป ว่าเธอเป็นใครกันนะ เคยเจอ หรือเคยรู้จักกันรึเปล่า ทำไมเธอยิ้มให้ผมแบบอายๆ อีกอย่างหนึ่งคือ เธอเดินเข้าซอยเดียวกับซอยหอพักของผมด้วย แสดงว่าเธอก็น่าจะอยู่ใกล้ๆกับผมแน่ๆเลย เพราะในซอยนี้ก็มีหอพักอยู่หลายที่ แต่ละที่ก็อยู่ห่างกันไม่มากนัก ผมนึกถึงเธอมากไปจนกลายเป็นความคิดถึง คิดถึงเสียงใสๆ คิดถึงรอยยิ้มของเธอที่ทำให้ผมใจเต้นแรง คิดถึงเธอมากขนาดนี้ แล้วคืนนี้ผมจะนอนหลับหรือเปล่าล่ะเนี่ย

     วันนี้ผมตั้งใจจะดูหน้าเธออีกครั้ง ว่าเธอหน้าตาเป็นยังไง เป็นคนที่เคยเจอ หรือเคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่า ทำไมเธอต้องยิ้มให้ผมแบบอายๆด้วย เลิกงานเย็นวันนี้ผมได้เดินมาที่ทางเท้าที่ประจำสำหรับซื้อข้าวเย็น แต่วันนี้ผมยังไม่เข้าไปเลือกซื้อข้าวเย็น ผมเลือกที่จะซุ่มรอดูเธออยู่ห่างๆ โดยได้มายืนอยู่แถวๆปากซอยซึ่งอยู่ห่างๆร้านสลัดที่เจอเธอเมื่อวานนี้พอสมควร

     พอถึงเวลาเดิม เธอก็เดินมาซื้อสลัดตามคาดอีกครั้ง ผมมองหน้าเธออยู่ไกลพอสมควร ทำให้มองไม่ค่อยชัด ประกอบกับคนที่เดินเลือกซื้ออาหารค่อนข้างเยอะด้วย ทำให้มองไม่ถนัดนัก แต่ผมก็เชื่อว่า ผมไม่น่าจะเคยเจอ หรือเคยรู้จักเธอมาก่อนแน่นอน

     เธอซื้อสลัดเสร็จ เธอก็เดินมาทางผม เพราะผมยืนแอบดูเธออยู่ที่ปากซอย ผมเลยทำเป็นเดินสวนเธอเข้าไปเพื่อจะไปซื้อข้าวเย็น ดูว่าเธอจะยังมองมาที่ผมอีกหรือไม่

     พอเธอรู้ตัวว่าผมกำลังจะเดินสวนทางกับเธอ ปรากฏว่าเธอมองหน้าผม แล้วก็ยิ้มให้อีกแล้ว แต่คราวนี้เธอไม่มีอาการอายเลยแม้แต่น้อย กลายเป็นผมซะอีก ที่ใจเต้นแรงจนต้องเป็นคนหลบสายตาของเธอ เพราะความเขินอาย

     คืนนี้ผมนอนไม่หลับอีกแล้ว ในหัวสมองมีแต่เรื่องของเธอเต็มไปหมด นี่ขนาดไม่เคยคุยกันเลยสักครั้งนะ ทำไมผมถึงเป็นได้ถึงเพียงนี้ แล้วด้วยความที่ว่าผมเป็นฝ่ายบุกอยู่เป็นประจำ พอมาเจอเรื่องท้าทายแบบนี้ ผมก็เลยตัดสินใจแล้วว่า ถึงเวลาที่ผมต้องโต้กลับเธอบ้างแล้ว

     "อย่าพึ่งมัดปากถุงครับ ยังขาดอีกอย่างนะครับ" วันนี้ผมต้องโต้กลับเธอบ้างแล้ว ขืนปล่อยให้เธอบุกอยู่ฝ่ายเดียว มีหวังผมคงเสียเชิงชายหมดแน่ๆ ว่าแล้วผมก็โต้กลับเธอด้วยการเล่นมุขกับอาหารที่เธอชอบ นั่นก็คือ สลัดนั่นเอง ผมยืนรอเธออยู่ที่ปากซอยเหมือนเดิม จนเห็นเธอเดินมาซื้อสลัดอีกครั้ง พอพ่อค้าหยิบๆ ตักๆ ผักต่างๆใส่ถุงเรียบร้อย แล้วกำลังจะมัดปากถุง ผมก็รีบแสดงตัวเข้าไปห้ามไม่ให้พ่อค้ามัดปากถุงทันที

     "เออ...ขาดอะไรครับ" พ่อค้าชะงัก ก่อนจะมองหน้าผมแล้วเอ่ยถาม

     "ขาดความคิดถึงของผมยังไงล่ะครับ ถ้าขาดสิ่งนี้ไป ผมว่าเธอคงทานสลัดไม่อร่อยแน่ๆครับ" ผมยิงมุขเสี่ยวๆออกไปโดยไม่ให้เธอได้ตั้งตัว เธอตกใจทำหน้าอึ้ง แล้วก็หน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด

     "อูยยย..กล้าเล่นนะน้อง" พ่อค้าถึงกับร้อง เมื่อได้ยินมุขเสี่ยวของผม

     "นิดนึงครับ ถ้าไม่เล่นแบบนี้ ผมก็คิดไม่ออกล่ะครับ ว่าจะต้องทำยังไงถึงจะได้รู้จักสาวสวยคนนี้" ผมตอบพ่อค้า แล้วก็หันไปมองหน้าของเธอ

     "พี่ เอาสลัดให้ผมอีกุถงนะครับ" ผมหันไปบอกพ่อค้า ว่าขอสั่งสลัดเพิ่มอีกถุง ผมตั้งใจจะลองกินสลัดดู เพื่อที่จะได้มีเรื่องไว้คุยกับเธอเพิ่มขึ้น

     "อย่าลืมใส่ความคิดถึงของหนูลงไปด้วยนะคะ เดี๋ยวพี่เค้าจะทานไม่อร่อย" เธอพูดกับพ่อค้า แล้วหันมายิ้มให้ผม ผมไม่คิดว่าเธอจะกล้าเล่นมุขเดียวกับผมย้อนกลับมา ทำเอาผมรู้สึกว่า นี่ผมสู้เธอไม่ได้หรือยังไงกันแน่ เมื่อกี้ผมยังบุกอยู่เลย พอรู้ตัวอีกที อ้าว...ต้องตั้งรับอีกแล้วเหรอเนี่ย

     หลังจากที่ซื้อสลัดเสร็จแล้ว ผมกับเธอก็เดินเข้าซอยหอพักมาพร้อมกัน โดยที่เธอได้สลัดก่อนผม แล้วเธอก็เดินไปเข้าซอยทันที ผมคิดว่าเธอคงจะเดินไปไกลแล้วล่ะ กว่าผมจะได้สลัดแล้วเดินไปเข้าซอย แต่ปรากฏว่าพอผมเดินไปถึงปากซอย ผมกลับได้เจอเธอยืนรอผมอยู่แถวๆนั้น ผมดีใจปนสงสัย ว่าเธอวางแผนอะไรไว้กันแน่

     "เออ...ผมชื่อ บอย นะครับ ไม่ทราบว่าน้องชื่ออะไรเหรอครับ" ผมถามเธอ ระหว่างที่กำลังเดินเข้าซอยมาพร้อมกัน

     "ชื่อ เฟรม ค่ะ นี่พี่บอยจีบเฟรมอยู่รึเปล่าคะ" เธอบอกชื่อกับผม พร้อมกับคำถามที่ทำเอาผมอึ้ง ว่าทำไมเธอถึงต้องถามแบบนี้ด้วย

     "ทำไมเหรอครับ ถ้าจะจีบต้องบอกด้วยเหรอครับ" ผมสงสัย

     "ต้องบอกสิคะ เพราะเฟรมจะได้ให้คะแนนคนที่จีบถูกไงคะ ถ้าไม่จีบ เฟรมก็ไม่ให้คะแนน แล้วก็ไม่เปิดใจ แต่ถ้าจะจีบก็รีบบอกนะคะ เฟรมจะได้เปิดใจให้ แล้วก็ให้คะแนนด้วย รีบๆตัดสินใจนะคะ ขืนช้าเกินไป อดจีบนะคะ เพราะตอนนี้คนยื่นใบสมัครจีบเฟรมมีหลายคนเลยล่ะค่ะ" เธอตอบผมเหมือนกับสาวมั่น ที่มั่นใจว่าสวยเลือกได้ แต่เธอก็สวยจริงๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงบอกกับผมว่า ถ้าจะจีบก็รีบบอก

     "หือ...งั้นจีบครับ ขอสมัครจีบด้วยอีกคนหนึ่งครับ" ผมรีบบอกกับเธอทันทีเลยว่า จะขอจีบเธอด้วยอีกคน เพราะผมก็อยากรู้ว่า คนที่กล้าเปิดเกมรุกใส่ผมก่อนแบบเธอ จะมาไม้ไหน แล้วเธอมีดีอะไร ทำไมถึงกล้าท้าทายผู้ชายอย่างผมขนาดนี้

     "จะทำหรือไม่ทำคะพี่บอย ถ้าพี่บอยไม่ทำนะ เฟรมจะไม่ยอมเป็นแฟนกับพี่บอยเด็ดขาดเลย" ใครจะไปคิดล่ะครับว่า น้องเฟรมสาวสวยคนนี้ ก็คือยัยแว่นหน้าตาบ้านๆ คนที่กล้าเปิดเกมรุก บุกจู่โจมผมเมื่อตอนสมัยเรียน แน่นอนว่าตอนที่ผมเจอกับเธอครั้งแรก รวมไปถึงตอนที่ผมบอกว่า ผมจะจีบเธอ ผมจำเธอไม่ได้ ก็เพราะตอนนั้นเธอไม่ได้สวยขนาดนี้นี่ครับ แล้วตอนนั้นผมก็เคยพูดกับเธอไว้ด้วยว่า...

     "โห ยัยแว่นเอ้ย หน้าตาแบบเธอเนี่ยนะ จะมาขอเป็นแฟนกับพี่ ไปเลยไป ไปไกลๆเลย ถ้าเธอสวยกว่านี้ ฮอตกว่านี้นะ แล้วทำให้พี่พูดว่า พี่จะจีบเธอได้นะ พี่จะยอมลงคลานสี่ขาแบบสุนัขเลย พี่จะคลานรอบๆตัวเธอจนกว่าเธอจะพอใจ แล้วจะทำท่าสะบัดขนแถมให้ด้วยเอ้า ยังไม่พอๆ พี่จะยืนสองขาแบบสุนัข ขอเธอเป็นแฟนเลย...แต่เชื่อสิ มันไม่มีวันนั้นหรอก ยัยแว่น"

     "เอาจริงสิ ไม่ทำไม่ได้เหรอน้องเฟรม" ตอนนี้ผมตกที่นั่งลำบากกับคำพูดของตัวเองเมื่อตอนนั้นซะแล้ว

     "ก็ตามใจพี่บอยนะคะ ถ้าพี่ไม่ทำจริงๆ เฟรมก็คงจะยอมเป็นแฟนของพี่ไม่ได้หรอก" เธอพูดแล้วก็สะบัดหน้าเชิดใส่ผม

     "จ๊ะๆๆ ยอมแล้วจ้า พี่ยอมทำตามแล้ว" ผมยอมรับเลยว่า ผมพลาดจริงๆ ไม่คิดว่าพอเธอโตขึ้น หน้าตาของเธอจะดูดีขึ้นขนาดนี้ ยิ่งเปลี่ยนจากใส่แว่นไปใส่คอนแทคเลนส์ด้วยแล้ว หน้าเธอยิ่งสวยมาก อีกทั้งรูปร่างของเธอมันช่างสมส่วนซะจนหน้าหลงใหล จนตอนนี้ผมต้องกลายเป็นคนที่ขอเธอเป็นแฟนซะเอง

     ผมทำตามที่ผมเคยพูดไว้กับเธอทุกอย่าง ทั้งลงคลานสี่ขา ทั้งทำท่าสะบัดขน ทั้งยืนสองขาเพื่อขอเธอเป็นแฟน จนตอนนี้เหรอครับ...เธอตกลงยอมเป็นแฟนกับผมแล้วครับ

ความคิดเห็น