ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตอนที่ 88 (บทความ) _ ไดอารี่



ไดอารี่

     รู้จักรึเปล่าไดอารี่ บางคนไม่รู้จักนะครับว่ามันคืออะไร ถ้าไม่รู้จักนะครับ ผมบอกให้ก็ได้ ไดอารี่ก็คือ...คืออะไรหว่า เปิดกูเกิลแปป...ไม่ใช่ละ จะเอาฮาไปไหน ความหมายของไดอารี่ก็แล้วแต่คนจะให้ความหมายของมันนะครับ สำหรับผมแล้ว ไดอารี่ คือ เรื่องราวต่างๆที่เราอยากจดบันทึกไว้ในแต่ละวันครับ มันเป็นการเขียนบันทึกลงสมุดสักเล่มหนึ่งในทุกๆวัน เพื่อให้ได้รู้ว่า ในวันนั้นๆเราทำอะไรบ้าง เจออะไรบ้าง แล้ววันดีคืนดี พอเราคิดถึงอดีต ก็หยิบสมุดไดอารี่มาอ่าน แล้วก็นั่งอมยิ้ม หรือร้องไห้คนเดียวได้

     การจะเขียนไดอารี่ได้ ต้องเป็นคนที่ชอบเขียนมากๆครับ เพราะถ้าเป็นคนไม่ชอบการเขียน มันจะเขียนไม่ออก หรือเขียนได้เพียงสั้นๆครับ เมื่อตอนที่ผมเริ่มลองเขียนดู ผมก็ว่าเออ...จริงแฮะ มันเขียนไม่ออกจริงๆนะครับ แม้ว่าเราจะจำอะไรได้หมด ว่าวันนี้เราทำอะไร เจออะไรมาบ้าง แต่มันก็เขียนได้แค่สั้นๆ เขียนเหมือนบันทึกประจำวันตอนไปแจ้งความกับตำรวจน่ะครับ ผมใส่ไข่เติมแต่งความทรงจำของผมไม่เป็น จนพอนานวันเข้า เขียนบ่อยๆ ก็ค่อยๆเขียนได้ยาวขึ้น เติมแต่งสีสันให้กับความทรงจำของตัวเองได้เยอะขึ้น เขียนได้เป็นหน้าๆเลยครับ

     อุปสรรคของการเขียนไดอารี่ นอกจากการที่ต้องรักการเขียนแล้ว ยังมีอีก 2 อย่าง

     อย่างแรกคือ ความคิด ความจำ คุณจำได้หรือเปล่า ว่าวันนี้คุณทำอะไรไปบ้าง คุณตื่นสายมั้ย คุณเจอใครบ้าง คุณคุยอะไรบ้าง คุณกินอะไรบ้าง และอีกมากมาย ถามสั้นๆว่า...คุณน่ะ จำได้มั้ย แล้วพอคุณจำได้ คุณจะสามารถเขียนมันออกมาให้เป็นความทรงจำในรูปแบบของตัวหนังสือได้หรือไม่ (อันนี้วกไปในเรื่องการรักการเขียน)

     เรื่องราวต่างๆมากมายในแต่ละวัน ส่วนมากแล้วมันก็จะซ้ำๆกัน คนในวัยเรียนก็จะมี ตื่น ไปเรียน เลิกเรียน กลับบ้าน คนในวัยทำงานก็เช่นกัน ตื่น ไปทำงาน เลิกงาน กลับบ้าน ชีวิตมันจะวนอยู่แค่นี้ในสถานการณ์หลักๆ แต่เชื่อเถอะครับว่า ในแต่ละวันนั้นมันจะมีรายละเอียดเล็กๆที่ซ่อนอยู่ ถ้าคุณนึกออก จำได้ คุณก็จะเขียนไดอารี่ไว้อ่านในอนาคตได้ ยิ่งบวกกับความสามารถในการเขียนที่ผ่านการฝึกฝนแล้ว ไดอารี่ของคุณก็จะยิ่งน่าอ่านมากเลยทีเดียว

     อุปสรรคอีกอย่างในการเขียนไดอารี่ก็คือ ความขี้เกียจนี่แหละครับ ผมยอมรับเลยว่า ทุกวันนี้ผมไม่ได้เขียนไดอารี่แล้ว โดยสาเหตุุก็เพราะ ตัวขี้เกียจนั่นแหละครับ ผมเลิกงานกลับถึงห้องก็ปาเข้าไปทุ่มกว่าแล้ว ไหนจะกินข้าว รายการทีวี ออกกำลังกาย เล่นเกม รวมไปถึงแชทอีก ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ดึงดูดความสนใจทั้งสิ้น จนกลายเป็นว่า มันทำให้เราขี้เกียจไปโดยอัตโนมัติ (เคยฮึดสู้กับมันอยู่ช่วงหนึ่ง แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ไม่เป็นท่า)

     ในปัจจุบันนี้สิ่งรบกวนสมาธิ และความจำมีเยอะครับ โดยเฉพาะโลกไซเชียลนี่ตัวดีเลย ถ้าได้สนใจในโลกโซเชียลแล้ว ร้อยทั้งร้อยครับ เขียนไดอารี่ไม่ได้ เพราะสมาธิในการเขียนไม่มี เรียกความทรงจำออกมาไม่ได้ หรือพอเรียกออกมาได้ แปปๆก็ลืม สุดท้ายก็เลยกลายเป็นความขี้เกียจ ทิ้งไดอารี่ เล่นโลกโซเชียลดีกว่า

     การเขียนไดอารี่เป็นการบันทึกความทรงจำลงในสมุดให้เป็นตัวหนังสือ โดยในการเขียนนั้น ผมจะทำเป็นเหมือนคุยกับตัวเอง ส่วนคนอื่นๆผมไม่รู้นะครับ ว่าเขาเขียนบันทึกกันในรูปแบบไหน ยกตัวอย่างการเขียนไดอารี่ในแบบของผมก็เช่น วันนี้ผมเจอแมวนอนสบายๆอยู่ตรงบันได ผมก็จะเขียนว่า...

     ประมาณบ่ายโมงนิดๆ จะเดินขึ้นไปชั้นสอง ไปหาหัวหน้าสักหน่อย ดันเจอแมวนอนหน้านิ่งๆ มีความสุข เห็นแล้วหมั่นใส้อยากเตะมันจริงๆ ทำหน้าเยาะเย้ยกูอีก ว่าแล้วก็เข้าไปตบหัวมันทีหนึ่ง แน่ะยังนิ่ง เอ้า...ไอ้แมวนี่ ตบหัวเสร็จแทนที่จะลุกหนี กันนอนหงายสบายใจกว่าเดิมอีก กะว่าจะให้กูเกาพุงให้ล่ะสิ ไม่มีทางซะหรอก ฝันไปเถอะ ขึ้นไปหาหัวหน้าดีกว่า ... นี่แหละครับ ตัวอย่างการเขียนไดอารี่ของผม เรื่องบางเรื่องเราก็ใส่ใข่เข้าไปบ้าง ให้ได้เหมือนว่าคุยกับตัวเอง แล้วพออนาคตเราหยิบสมุดไดอารี่มาอ่าน เราก็จะนึกขึ้นได้ ว่าวันนั้นๆมันเป็นแบบนี้นี่เอง แล้วเราก็จะมีรอยยิ้ม

     ใครที่อยากลองเขียนไดอารี่ดู ผมแนะนำว่าให้ลองมองหาซื้อสมุดไดอารี่ตามร้านหนังสือดูนะครับ ที่แนะนำแบบนี้ก็เพราะว่า สมุดไอดารี่น่ะ เขาจะทำมาแบบ 1 หน้าต่อ 1 วัน แล้วก็เล่มไม่ใหญ่เท่าไหร่ ผมอยากให้ค่อยๆลองฝึกเขียนดูให้ได้ครบ 1 หน้าต่อ 1 วันดูน่ะครับ เพราะอย่างที่ผมบอกไปว่า การเขียนไดอารี่ต้องรักในการเขียนด้วย ถ้าเริ่มเขียนจากสมุดขนาดปกติทั่วไป ผมกลัวว่ามันจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจในการเขียนน่ะครับ

     การเขียนไดอารี่เป็นการฝึกความจำอย่างหนึ่งนะครับ ช่วยให้สมองมีความจำที่ดีขึ้น เวลาเรียนก็จะจำได้ดีขึ้น เวลาทำงาน มีใครสั่งงานอะไรก็จะจำได้ดีขึ้น (จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมเดาเอานะครับ เอ...แล้วจะเขียนทำไม)

     เอาล่ะครับ ยาวมากแล้วครับ ทิ้งท้ายบทความนี้ไว้ว่า ไดอารี่ คือ ความทรงจำของเราที่ออกมาจากความคิด แล้วเขียนเป็นตัวหนังสือบันทึกลงในสมุด มันจะมีทั้งความสุข ความเศ้รา แต่ก็เป็นเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิต ที่เมื่อในอนาคตเราย้อนกลับมาเปิดอ่าน เราก็จะยิ้มได้ครับ

ความคิดเห็น