เมื่อการประหารชีวิตกลับมาอีกครั้ง
19 มิถุนายน 2561
ในวันนี้ประเด็นที่ร้อนแรงสุดๆ คงหนีไม่พ้นประเด็นที่มีการกลับมาใช้การลงโทษขั้นสูงสุดอีกครั้งนั่นก็คือ การประหารชีวิตนั่นเองครับ แต่ประเด็นการประหารชีวิตที่ว่าแน่ๆ ยังต้องแพ้ให้กับประเด็นที่ว่า มันกลุ่มๆหนึ่งซึ่งผมไม่ขอเอ่ยชื่อนะครับ ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านโทษประหารชีวิตนั่นเอง
แน่นอนว่าการออกมาเคลื่อนไหวนั่นทำได้แน่นอนตามกฏหมาย แต่ก็มีบางส่วนมองว่า ในเมื่อกฏหมายตัดสินโทษขั้นสูงสุดให้ประหารชีวิต แล้วทำไมถึงไม่เคารพกฏหมาย ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านทำไม หรือนี่คือ พวกคุณไม่เคารพกฏหมาย
อีกหลายๆส่วน หรืออาจจะเป็นส่วนมากเสียด้วยซ้ำที่ออกมาเห็นต่างกับกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการประหารชีวิต ซึ่งผมก็คงเก็บประเด็นมาไม่หมดนะครับ แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่ผมสนใจก็คือ คำพูดของกลุ่มๆที่บอกว่า "มีการสำรวจออกมาว่า การประหารชีวิต ไม่ช่วยให้อาชญากรรมลดลง"
ผมก็ไม่รู้นะว่า ใครสำรวจ ใครวิจัย ใครเก็บข้อมูล แล้วเขาทำการสำรวจที่ไหน ประเทศอะไร แต่ที่แน่ๆคือ ผมคิดว่ามันน่าจะมีผลอยู่นะ ที่จะช่วยลดอาชญากรรมเนี่ย เพราะทุกวันนี้ฆ่าคนตาย อย่างมากก็ไปชิลๆอยู่คุก กูยังไม่ตาย อาจจะได้ชีวิตใหม่ แนวทางใหม่ๆก็ได้ ยังไงมันก็ไม่ตาย แล้วจะกลัวทำไมถ้าจะฆ่าใครสักคน
อีกอย่างนะ ถ้าคนเราไม่กลัวตายจริงๆ ทำไมเวลาฆ่าคนตาย แล้วโดนจับได้ โดนดำเนินคดี ต้องให้มีทนายมาช่วยเหลือให้รอดพ้นจากการโดนโทษประหารชีวิตล่ะ คำตอบง่ายๆก็คือ มันกลัวตายนั่นแหละ ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่า โทษประหารชีวิต มันน่าจะช่วยลดคดีอาชญากรรมลงได้บ้างล่ะ คนที่จะฆ่าใครน่าจะยั้งมือฉุกคิดขึ้นมาบ้างล่ะว่า ถ้ากูฆ่ามัน กูก็ตาย มันไม่คุ้มๆ
จะว่าไปแล้ว กลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวตอนนี้ก็เปรียบเสมือน แม่ที่กำลังทำร้ายลูกอยู่นะครับ เช่น ลูกทำผิด แม่ก็มองว่าลูกไม่ผิด, ลูกขโมยของ แม่ก็บอกว่าของแค่นี้เดี๋ยวชดใช้ให้, ลูกทำร้ายร่างกายคนอื่น แม่ก็มองว่าลูกฉันก็บาดเจ็บนะ หรือแม้กระทั่ง ลูกฆ่าคนตาย แม่ก็ยังบอกว่า ลูกฉันเป็นคนดีไม่น่าทำแบบนั้นได้ เห็นมั้ยครับว่า แม่ที่ทำร้ายลูกนั่นเป็นยังไง
กลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวตอนนี้ก็ไม่ต่างกันครับ ฆาตกรฆ่าคน พวกท่านก็ยังออกมาปกป้องไม่ให้ประหารชีวิต แล้วสมมุติว่ามีฆาตกรที่ต้องโทษประหาร 100 คน ท่านจะออกมาคัดค้านครบ 100 คนเลยมั้ย ถ้าท่านตอบว่าครบ นั่นก็แสดงว่า ท่านกำลังเลี้ยงคนไทยแบบผิดๆ ท่านกำลังทำร้ายคนไทยด้วยกันเอง ด้วยการยกโทษให้ฆาตกรที่สมควรได้รับการประหาร ให้มีโอกาสได้ออกมาทำร้ายคนอื่นต่อในอนาคต แม้ท่านจะบอกว่า เขาอาจจะกลับตัวเป็นคนดีก็ได้ แต่ท่านคงลืมมองไปว่า ประวัติของแต่ละคนนั่นไม่เหมือนกัน
เอาเป็นว่าบทความนี้ก็ขอบ่นเล็กๆน้อยๆเท่านี้พอแล้วนะครับ ส่วนใครที่จะโดนโทษประหารชีวิตนั้น ผมเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรม และศาลได้พิจารณาดีแล้วล่ะครับ ท่านศาลถึงได้ตัดสินเช่นนั้น
อีกนิดๆก่อนจบ ถ้าฆาตกรฆ่าคนในครอบครัวของท่าน อยากรู้จักเล้ยยย ว่าท่านจะออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการประหาร หรือจะออกมาสนับสนุน ?
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
ตอนที่ 148 (บทความ) _ sex toy กับสื่อลามก แยกให้ออก อันไหนน่าห่วงกว่ากัน
sex toy กับสื่อลามก แยกให้ออก อันไหนน่าห่วงกว่ากัน
9 มิถุนายน 2561
เปิดหัวข้อประเด็นนี้ขึ้นมา เพราะอยู่ๆช่วงนี้ข่าว sex toy ออกมาหลายข่าวอย่างน่าแปลกใจครับ หลังจากที่ได้อ่านๆข่าวดูแล้ว ก็แน่นอนล่ะครับว่ามีทั้งคนที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย กับการที่จะให้มีร้านขาย sex toy อย่างถูกกฏหมายในประเทศไทย
ผมจะข้ามประเด็นที่ว่า ควรให้ขายเซ็กส์ทอยถูกกฏหมายดีหรือไม่ไปนะครับ เพราะผมว่าเรื่องนี้ต้องมีการถกเถียงกันอีกยาวล่ะครับ กว่าจะได้คำตอบคงอีกนานนนนนนน ผมเลยจะไปที่ประเด็นที่ว่า เซ็กส์ทอย กับสื่อลามก อันไหนน่าห่วงมากกว่ากันแทนนะครับ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้เราเข้าถึงหนังโป๊ คลิปโป๊ คลิปหลุด รวมไปถึงการไลฟ์สดๆคนร่วมเพศกันได้อย่างง่ายดาย นั่นก็เพราะว่าโลกของเรามีอินเตอร์เน็ตที่สามารถเข้าถึงได้นั่นเอง ต่างจากเซ็กส์ทอยที่ถ้าจะเข้าถึงได้ต้องโน้นเลยครับ สั่งซื้อจากเว็บไซต์ กว่าจะได้ของแต่ละอันมาใช้งาน ก็รอกันนานหน่อย แถมยังสั่งได้ทีละอันอีก ไม่ใช่มีข้อห้ามอะไรนะ แต่มันแพง ฮ่าๆๆ
แล้วพอสื่อลามกมันเข้าถึงง่าย วันๆหนึ่งผู้ชายคนหนึ่งอาจจะดูคลิปโป๊เป็น 10-20 คลิปเลยก็ได้ อาจจะดูรูปหลุดๆเด็กมหาลัย เด็กมัธยมแล้วเกิดอารมณ์ทางเพศ สติแตกออกไปก่อคดีก็ได้นะครับ เพราะว่าเขาเบื่อแม่นางทั้งห้าของเขาแล้ว (แม่นางทั้งห้า ก็มือนี่แหละครับ มีห้านิ้วไง)
หรือสมมุติว่าเขาดูสื่อลามกแล้ว ช่วยตัวเองเสร็จไปแล้ว แต่บังเอิญว่าไปกินเหล้า เมา เกิดอารมณ์หื่นขึ้นมา ดันไปเจอสาวนุ่งสั้น ภาพต่างๆของสื่อลามกผุดขึ้นมาในหัว อยากจะเอาไอ้นี่ ไปเสียบไอ้นั่นของสาวคนนั้น อยากเห็นว่ามันเป็นยังไง เลยก่อคดีข่มขื่นสาวซะอย่างงั้นขึ้นมา จะทำไงล่ะทีนี้
นี่ไม่ได้เชียร์ให้เซ็กส์ทอยขายถูกกฏหมายนะ จริงจริ๊งงงงง (เสียงสูงมาก) ที่ยกตัวอย่างไป 2 ข้อข้างบนนั่น ก็แค่จะบอกว่าเซ็กส์ทอยน่ะ ไม่ได้ทำให้ผู้ชายอยากก่อคดีข่มขืนหรอก แต่เป็นสื่อลามกต่างหากล่ะ ดีไม่ดีในทางตรงกันข้าม เซ็กส์ทอยจะช่วยลด หรือช่วยไม่ให้คดีเพิ่มขึ้นซะด้วยซ้ำ เพราะผู้ชายรู้ดีว่า ชักว่าวด้วยมือนานๆ มันก็เบื่อเนอะ มันก็อยากมีของแปลกๆใหม่ๆบ้าง แล้วถ้ามีของแปลกๆใหม่ๆมาช่วยระบายความหื่น มันก็น่าจะดีกว่าการอยากไปลองของจริงมั้ยล่ะครับ
ทางฝั่งผู้หญิงก็เช่นกันนะครับ รู้นะครับว่าชอบดูสื่อลามกไม่แพ้พวกผู้ชายหรอกครับ แล้วพอคันหูขึ้นมาทำยังไงกันล่ะครับ บางคนก็ระงับอยู่ แต่บางคนก็ต้องมีตัวช่วย เช่น นิ้วมือ ฝักบัว ลามไปถึง แตงกวา มะเขือยาว มะระ (ใหญ่ไปมั้ย) หรือหนักข้อไปเลยก็คือ ไปอ่อยผู้ชายให้มาแทงๆ หรือหนักเข้าไปอีกคือ หาใครก็ได้ ข้างห้องก็เอา มีเมียกูก็จะเอา ก็คันๆๆๆๆ ก็อาจจะเป็นได้นะครับ
แต่หากมีเซ็กส์ทอย หรือจู๋เทียม ที่มาช่วยระบายความหื่นลงได้บ้าง ผมว่ามันก็จะช่วยให้ผู้หญิงคนนั้นให้รอดปลอดภัยจากการไปมีอะไรกับคนอื่นแบบผิดๆได้เหมือนกันนะครับ
แน่นอนว่าเซ็กส์ทอยมันมีทั้งข้อดี และข้อเสีย แต่คนที่จะตัดสินได้ว่า มันดีพอที่จะให้ขายถูกกฏหมายได้หรือไม่ก็คงไม่ใช่คนๆเดียว มันต้องหลายๆหัวช่วยกันครับ
เซ็กส์ทอย vs สื่อลามก มองให้ดีๆครับ ว่าอันไหนกันแน่ที่น่าห่วงกับสังคมไทยมากกว่ากัน เคยมีนักวิชาการของต่างประเทศออกมาวิเคราะห์ว่า เซ็กส์ทอย คือตัวอันตรายที่จะให้มนุษย์สูญพันธุ์ เพราะอะไร ทำไมเขาถึงคิดเช่นนั้น ลองคิดดูครับ แล้วก็หมุนตามโลกได้แล้วครับ ยุค 4.0 ยังจะหัวโบราณมองว่าเรื่องเพศมันต่ำ ควรปกปิดไว้อยู่ได้ (เดี๋ยวๆๆ อารมณ์มาเต็ม แล้วตกลงจะเอาประเด็นไหนแน่ ชักงงๆนะ)
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
9 มิถุนายน 2561
เปิดหัวข้อประเด็นนี้ขึ้นมา เพราะอยู่ๆช่วงนี้ข่าว sex toy ออกมาหลายข่าวอย่างน่าแปลกใจครับ หลังจากที่ได้อ่านๆข่าวดูแล้ว ก็แน่นอนล่ะครับว่ามีทั้งคนที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย กับการที่จะให้มีร้านขาย sex toy อย่างถูกกฏหมายในประเทศไทย
ผมจะข้ามประเด็นที่ว่า ควรให้ขายเซ็กส์ทอยถูกกฏหมายดีหรือไม่ไปนะครับ เพราะผมว่าเรื่องนี้ต้องมีการถกเถียงกันอีกยาวล่ะครับ กว่าจะได้คำตอบคงอีกนานนนนนนน ผมเลยจะไปที่ประเด็นที่ว่า เซ็กส์ทอย กับสื่อลามก อันไหนน่าห่วงมากกว่ากันแทนนะครับ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้เราเข้าถึงหนังโป๊ คลิปโป๊ คลิปหลุด รวมไปถึงการไลฟ์สดๆคนร่วมเพศกันได้อย่างง่ายดาย นั่นก็เพราะว่าโลกของเรามีอินเตอร์เน็ตที่สามารถเข้าถึงได้นั่นเอง ต่างจากเซ็กส์ทอยที่ถ้าจะเข้าถึงได้ต้องโน้นเลยครับ สั่งซื้อจากเว็บไซต์ กว่าจะได้ของแต่ละอันมาใช้งาน ก็รอกันนานหน่อย แถมยังสั่งได้ทีละอันอีก ไม่ใช่มีข้อห้ามอะไรนะ แต่มันแพง ฮ่าๆๆ
แล้วพอสื่อลามกมันเข้าถึงง่าย วันๆหนึ่งผู้ชายคนหนึ่งอาจจะดูคลิปโป๊เป็น 10-20 คลิปเลยก็ได้ อาจจะดูรูปหลุดๆเด็กมหาลัย เด็กมัธยมแล้วเกิดอารมณ์ทางเพศ สติแตกออกไปก่อคดีก็ได้นะครับ เพราะว่าเขาเบื่อแม่นางทั้งห้าของเขาแล้ว (แม่นางทั้งห้า ก็มือนี่แหละครับ มีห้านิ้วไง)
หรือสมมุติว่าเขาดูสื่อลามกแล้ว ช่วยตัวเองเสร็จไปแล้ว แต่บังเอิญว่าไปกินเหล้า เมา เกิดอารมณ์หื่นขึ้นมา ดันไปเจอสาวนุ่งสั้น ภาพต่างๆของสื่อลามกผุดขึ้นมาในหัว อยากจะเอาไอ้นี่ ไปเสียบไอ้นั่นของสาวคนนั้น อยากเห็นว่ามันเป็นยังไง เลยก่อคดีข่มขื่นสาวซะอย่างงั้นขึ้นมา จะทำไงล่ะทีนี้
นี่ไม่ได้เชียร์ให้เซ็กส์ทอยขายถูกกฏหมายนะ จริงจริ๊งงงงง (เสียงสูงมาก) ที่ยกตัวอย่างไป 2 ข้อข้างบนนั่น ก็แค่จะบอกว่าเซ็กส์ทอยน่ะ ไม่ได้ทำให้ผู้ชายอยากก่อคดีข่มขืนหรอก แต่เป็นสื่อลามกต่างหากล่ะ ดีไม่ดีในทางตรงกันข้าม เซ็กส์ทอยจะช่วยลด หรือช่วยไม่ให้คดีเพิ่มขึ้นซะด้วยซ้ำ เพราะผู้ชายรู้ดีว่า ชักว่าวด้วยมือนานๆ มันก็เบื่อเนอะ มันก็อยากมีของแปลกๆใหม่ๆบ้าง แล้วถ้ามีของแปลกๆใหม่ๆมาช่วยระบายความหื่น มันก็น่าจะดีกว่าการอยากไปลองของจริงมั้ยล่ะครับ
ทางฝั่งผู้หญิงก็เช่นกันนะครับ รู้นะครับว่าชอบดูสื่อลามกไม่แพ้พวกผู้ชายหรอกครับ แล้วพอคันหูขึ้นมาทำยังไงกันล่ะครับ บางคนก็ระงับอยู่ แต่บางคนก็ต้องมีตัวช่วย เช่น นิ้วมือ ฝักบัว ลามไปถึง แตงกวา มะเขือยาว มะระ (ใหญ่ไปมั้ย) หรือหนักข้อไปเลยก็คือ ไปอ่อยผู้ชายให้มาแทงๆ หรือหนักเข้าไปอีกคือ หาใครก็ได้ ข้างห้องก็เอา มีเมียกูก็จะเอา ก็คันๆๆๆๆ ก็อาจจะเป็นได้นะครับ
แต่หากมีเซ็กส์ทอย หรือจู๋เทียม ที่มาช่วยระบายความหื่นลงได้บ้าง ผมว่ามันก็จะช่วยให้ผู้หญิงคนนั้นให้รอดปลอดภัยจากการไปมีอะไรกับคนอื่นแบบผิดๆได้เหมือนกันนะครับ
แน่นอนว่าเซ็กส์ทอยมันมีทั้งข้อดี และข้อเสีย แต่คนที่จะตัดสินได้ว่า มันดีพอที่จะให้ขายถูกกฏหมายได้หรือไม่ก็คงไม่ใช่คนๆเดียว มันต้องหลายๆหัวช่วยกันครับ
เซ็กส์ทอย vs สื่อลามก มองให้ดีๆครับ ว่าอันไหนกันแน่ที่น่าห่วงกับสังคมไทยมากกว่ากัน เคยมีนักวิชาการของต่างประเทศออกมาวิเคราะห์ว่า เซ็กส์ทอย คือตัวอันตรายที่จะให้มนุษย์สูญพันธุ์ เพราะอะไร ทำไมเขาถึงคิดเช่นนั้น ลองคิดดูครับ แล้วก็หมุนตามโลกได้แล้วครับ ยุค 4.0 ยังจะหัวโบราณมองว่าเรื่องเพศมันต่ำ ควรปกปิดไว้อยู่ได้ (เดี๋ยวๆๆ อารมณ์มาเต็ม แล้วตกลงจะเอาประเด็นไหนแน่ ชักงงๆนะ)
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
ตอนที่ 147 (บทความ) _ ประสบการณ์การวิ่งออกกำลังกายครั้งแรก
ประสบการณ์การวิ่งออกกำลังกายครั้งแรก
05 มิถุนายน 2561
จากการที่ดูใครต่อใครวิ่งออกกำลังกายบ้าง วิ่งมาราธอนตามงานต่างๆบ้าง ทำให้เกิดอาการอยากวิ่งขึ้นมาบ้าง อาจจะตามกระแสคนที่วิ่งๆกันอยู่ แต่จริงๆแล้วอยากจะวิ่งเพื่อสุขภาพซะมากกว่า ว่าแล้วก็จัดการซื้ออุปกรณ์วิ่งสิครับ
วันนั้นไปบริจาคเลือดที่เดอะมอลล์ บางกะปิ ไปถึงห้างเช้าเลยครับ กดคิวเสร็จ กรอกรายละเอียดใบขอบริจาคเสร็จ เวลาเหลือเพียบครับ เพราะตอนนั้น 10 โมงกว่าๆ แต่เขาเริ่มเปิดรับบริจาคตอนเที่ยงตรง เวลาเหลือๆก็เลยไปหาซื้ออุปกรณ์วิ่งล่ะครับ เดินเลือกซื้อรองเท้า ถุงเท้า เสื้อ กางเกง วนไปวนมาอยู่นานเลย จนได้ของมาครบในที่สุด พร้อมสำหรับการวิ่งออกกำลังกายแล้ว
จะว่าตื่นเต้นมันก็ตื่นเต้นนะครับ สำหรับหน้าใหม่ที่จะไปออกกำลังกาย เพราะคนหน้าเก่าๆเขาก็คงคุ้นๆหน้ากันมาบ้าง แต่พอเราไปหน้าใหม่ มันก็ต้องมีคนมองบ้างล่ะ เพราะไอ้นี่ไม่คุ้นหน้า เอ...หรือจะคิดมากไป ใครจะมาสนใจคนหน้าตาดีๆแบบเรากันล่ะ (ใครหน้าตาดี ไอ้หลงตัวเองงงงง)
วันจันทร์เลิกงานกลับถึงบ้าน เปลี่ยนชุดพร้อมลุยเลยครับ สถานที่ที่ผมไปวิ่งคือที่ สวน 60 พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ แถวๆเคหะร่มเกล้าครับ แว๊นมอเตอร์ไซค์ไปครับ พอไปถึงก็มึนๆงงๆครับ หาที่จอดรถ เพราะนี่คือ ครั้งแรกเลยที่ขี่รถเข้าไปในสวน ก็โอเคครับ หาที่จอดรถไม่ยาก พอจอดรถเสร็จ มองไปรอบๆ โอ้โห นี่คนมาออกกำลังกายเยอะขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย มองจากสายตาคร่าวๆน่าจะเป็น 100 ล่ะครับ เวลาที่ผมไปถึงประมาณ 18.40 น.
ลงจากรถเดินเข้าบนถนนที่ใช้สำหรับวิ่ง แหม เขินๆครับ เพราะคนที่วิ่งเขาก็วิ่งกันอยู่เยอะแยะเลย ไอ้เราก็หน้าใหม่ มองคนที่วิ่งเหงือโชกอยู่ แหมมมม...กูจะเป็นแบบนั้นมั้ยวะ ไปยืนมึนๆทำใจอยู่พักหนึ่ง ก็เอาวะ มันต้องเริ่มแล้วล่ะ ว่าแล้วก็วิ่ง 100 เมตรโชว์เลยครับ แหะๆ ตกใจล่ะสิ ล้อเล่นน่าาาาา ใครจะไปบ้าทำแบบนั้น นอกจากจะโดนด่าแล้ว อาจจะเจ็บตัวอีกต่างหาก เพราะยังไม่ได้วอร์มเลย
เริ่มต้นผมก็เดินวอร์มอัพก่อนครับ ลองเดินดูว่า ถนนที่ใช้วิ่งออกกำลังเนี่ย มันระยะทางเท่าไหร่ เดินครบแล้วใช้แอปสำหรับนักวิ่งจับระยะทางดู ได้ระยะทาง 1.2 กม. ก็ถือว่ากำลังดีครับ เดินวอร์มอัพเสร็จ ก็แวะยืดเส้นยืดสายก่อนสักแปป แล้วก็ออกวิ่งจริงๆกันล่ะครับ
สำหรับมือใหม่จริงๆ ควรศึกษาการวิ่ง การก้าวขา การแกว่งแขน รวมไปถึงการหายใจด้วยนะครับ เพราะจะช่วยให้การวิ่งมีประสิทธิภาพดีขึ้น ที่บอกเนี่ย เพราะผมไม่ได้ศึกษาเลยยยย ไม่อยากให้มาเลียนแบบผม (แนะนำคนอื่นซะดิบดี ตัวเองดันไม่ทำ) ผมคิดเองเออเองหมดครับ ผมแบ่งช่วงวิ่งเป็น 3 ช่วง วิ่งๆไป หยุดเดินๆๆๆ แล้วก็วิ่งๆต่อ ผมทำแบบนี้ 3 ช่วงในวันแรกของการวิ่ง ซึ่งผมคิดว่า มันไม่น่าจะถูกต้องหรอก ฮ่าๆๆ แต่ก็ช่างมัน ผมไม่แคร์
ผมวิ่งตามแบบของผมไปทั้งหมด 3 รอบถ้วน ร่างกายมันค่อยๆปรับตัวนะครับ ผมรู้สึกได้เลยว่าวิ่งรอบแรก มันเหนื่อยเร็ว มันปวดขาเร็วมาก พอมารอบที่ 2 มันเริ่มเหนื่อยช้าลง ปวดขาช้าลง ยิ่งรอบที่ 3 ยิ่งเหนื่อยช้าครับ แต่ก็พอจะรู้ตัวนะครับว่า รอบที่ 3 เนี่ย คือ พีคสุดของร่างกายในวันนี้แล้ว ขืนวิ่งรอบที่ 4 มีหวังไม่รอด มันเหนื่อยหอบแบบรู้ตัวเองเลยล่ะครับ หลังจากวิ่งเสร็จ ก็เดินต่ออีกครึ่งรอบครับ เพื่อเป็นการคลูดาวน์ หลังจากนั้นก็ยืดเส้นยืดสายเพื่อผ่อนคลาย เป็นอันเสร็จพิธีในวันแรกครับ
สรุปเลยวันแรกเดินไป 1.2 กม. วิ่งไปอีก 3 รอบ ก็ 3.6 กม. ก็เหนื่อยใช่ย่อยนะครับ ผมต้องฝึกไปเรื่อยๆอยากจะวิ่งให้ได้วันละ 10 กม.เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้รึเปล่านะครับ เอาใจช่วยผมด้วยนะครับ (ใครจะเอาใจช่วยมึง แหมๆๆ มึงนี่ คิดเข้าข้างตัวเองจริงๆ) เอาน่า เรื่องของกู
ก่อนจบบทความอยากจะแนะนำนักวิ่งไว้นะครับว่า การวอร์มอัพ การยืดเส้นก่อนวิ่ง การคลูดาวน์ และการยืดเส้นหลังวิ่ง เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆครับ ควรทำทุกครั้งที่ออกกำลังกายนะครับ
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
05 มิถุนายน 2561
จากการที่ดูใครต่อใครวิ่งออกกำลังกายบ้าง วิ่งมาราธอนตามงานต่างๆบ้าง ทำให้เกิดอาการอยากวิ่งขึ้นมาบ้าง อาจจะตามกระแสคนที่วิ่งๆกันอยู่ แต่จริงๆแล้วอยากจะวิ่งเพื่อสุขภาพซะมากกว่า ว่าแล้วก็จัดการซื้ออุปกรณ์วิ่งสิครับ
วันนั้นไปบริจาคเลือดที่เดอะมอลล์ บางกะปิ ไปถึงห้างเช้าเลยครับ กดคิวเสร็จ กรอกรายละเอียดใบขอบริจาคเสร็จ เวลาเหลือเพียบครับ เพราะตอนนั้น 10 โมงกว่าๆ แต่เขาเริ่มเปิดรับบริจาคตอนเที่ยงตรง เวลาเหลือๆก็เลยไปหาซื้ออุปกรณ์วิ่งล่ะครับ เดินเลือกซื้อรองเท้า ถุงเท้า เสื้อ กางเกง วนไปวนมาอยู่นานเลย จนได้ของมาครบในที่สุด พร้อมสำหรับการวิ่งออกกำลังกายแล้ว
จะว่าตื่นเต้นมันก็ตื่นเต้นนะครับ สำหรับหน้าใหม่ที่จะไปออกกำลังกาย เพราะคนหน้าเก่าๆเขาก็คงคุ้นๆหน้ากันมาบ้าง แต่พอเราไปหน้าใหม่ มันก็ต้องมีคนมองบ้างล่ะ เพราะไอ้นี่ไม่คุ้นหน้า เอ...หรือจะคิดมากไป ใครจะมาสนใจคนหน้าตาดีๆแบบเรากันล่ะ (ใครหน้าตาดี ไอ้หลงตัวเองงงงง)
วันจันทร์เลิกงานกลับถึงบ้าน เปลี่ยนชุดพร้อมลุยเลยครับ สถานที่ที่ผมไปวิ่งคือที่ สวน 60 พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ แถวๆเคหะร่มเกล้าครับ แว๊นมอเตอร์ไซค์ไปครับ พอไปถึงก็มึนๆงงๆครับ หาที่จอดรถ เพราะนี่คือ ครั้งแรกเลยที่ขี่รถเข้าไปในสวน ก็โอเคครับ หาที่จอดรถไม่ยาก พอจอดรถเสร็จ มองไปรอบๆ โอ้โห นี่คนมาออกกำลังกายเยอะขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย มองจากสายตาคร่าวๆน่าจะเป็น 100 ล่ะครับ เวลาที่ผมไปถึงประมาณ 18.40 น.
ลงจากรถเดินเข้าบนถนนที่ใช้สำหรับวิ่ง แหม เขินๆครับ เพราะคนที่วิ่งเขาก็วิ่งกันอยู่เยอะแยะเลย ไอ้เราก็หน้าใหม่ มองคนที่วิ่งเหงือโชกอยู่ แหมมมม...กูจะเป็นแบบนั้นมั้ยวะ ไปยืนมึนๆทำใจอยู่พักหนึ่ง ก็เอาวะ มันต้องเริ่มแล้วล่ะ ว่าแล้วก็วิ่ง 100 เมตรโชว์เลยครับ แหะๆ ตกใจล่ะสิ ล้อเล่นน่าาาาา ใครจะไปบ้าทำแบบนั้น นอกจากจะโดนด่าแล้ว อาจจะเจ็บตัวอีกต่างหาก เพราะยังไม่ได้วอร์มเลย
เริ่มต้นผมก็เดินวอร์มอัพก่อนครับ ลองเดินดูว่า ถนนที่ใช้วิ่งออกกำลังเนี่ย มันระยะทางเท่าไหร่ เดินครบแล้วใช้แอปสำหรับนักวิ่งจับระยะทางดู ได้ระยะทาง 1.2 กม. ก็ถือว่ากำลังดีครับ เดินวอร์มอัพเสร็จ ก็แวะยืดเส้นยืดสายก่อนสักแปป แล้วก็ออกวิ่งจริงๆกันล่ะครับ
สำหรับมือใหม่จริงๆ ควรศึกษาการวิ่ง การก้าวขา การแกว่งแขน รวมไปถึงการหายใจด้วยนะครับ เพราะจะช่วยให้การวิ่งมีประสิทธิภาพดีขึ้น ที่บอกเนี่ย เพราะผมไม่ได้ศึกษาเลยยยย ไม่อยากให้มาเลียนแบบผม (แนะนำคนอื่นซะดิบดี ตัวเองดันไม่ทำ) ผมคิดเองเออเองหมดครับ ผมแบ่งช่วงวิ่งเป็น 3 ช่วง วิ่งๆไป หยุดเดินๆๆๆ แล้วก็วิ่งๆต่อ ผมทำแบบนี้ 3 ช่วงในวันแรกของการวิ่ง ซึ่งผมคิดว่า มันไม่น่าจะถูกต้องหรอก ฮ่าๆๆ แต่ก็ช่างมัน ผมไม่แคร์
ผมวิ่งตามแบบของผมไปทั้งหมด 3 รอบถ้วน ร่างกายมันค่อยๆปรับตัวนะครับ ผมรู้สึกได้เลยว่าวิ่งรอบแรก มันเหนื่อยเร็ว มันปวดขาเร็วมาก พอมารอบที่ 2 มันเริ่มเหนื่อยช้าลง ปวดขาช้าลง ยิ่งรอบที่ 3 ยิ่งเหนื่อยช้าครับ แต่ก็พอจะรู้ตัวนะครับว่า รอบที่ 3 เนี่ย คือ พีคสุดของร่างกายในวันนี้แล้ว ขืนวิ่งรอบที่ 4 มีหวังไม่รอด มันเหนื่อยหอบแบบรู้ตัวเองเลยล่ะครับ หลังจากวิ่งเสร็จ ก็เดินต่ออีกครึ่งรอบครับ เพื่อเป็นการคลูดาวน์ หลังจากนั้นก็ยืดเส้นยืดสายเพื่อผ่อนคลาย เป็นอันเสร็จพิธีในวันแรกครับ
สรุปเลยวันแรกเดินไป 1.2 กม. วิ่งไปอีก 3 รอบ ก็ 3.6 กม. ก็เหนื่อยใช่ย่อยนะครับ ผมต้องฝึกไปเรื่อยๆอยากจะวิ่งให้ได้วันละ 10 กม.เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้รึเปล่านะครับ เอาใจช่วยผมด้วยนะครับ (ใครจะเอาใจช่วยมึง แหมๆๆ มึงนี่ คิดเข้าข้างตัวเองจริงๆ) เอาน่า เรื่องของกู
ก่อนจบบทความอยากจะแนะนำนักวิ่งไว้นะครับว่า การวอร์มอัพ การยืดเส้นก่อนวิ่ง การคลูดาวน์ และการยืดเส้นหลังวิ่ง เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆครับ ควรทำทุกครั้งที่ออกกำลังกายนะครับ
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
ตอนที่ 146 (บทความ) _ เรื่องลิงๆ ที่ในอยากเอาออก คนนอกเป็นห่วง
เรื่องลิงๆ ที่ในอยากเอาออก คนนอกเป็นห่วง
21 พฤษภาคม 2561
ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดไหนบนโลกใบนี้ ถ้าหากมันก่อความรำคาญให้กับมนุษย์เรา สัตว์ชนิดนั้นมักจะถูกกำจัด ยกตัวอย่างเช่น ยุง กัดดีนัก ตบซะ, แมลงวัน ตอมดีนัก ตบซะ หรือจะเป็นหนู สกปรกนักเหรอ จับเชือดซะ เป็นต้น
ล่าสุดมีข่าวเกี่ยวกับญาติห่างๆของเรา นั่นก็คือ ลิงนั่นเองครับ ลิงหลายๆที่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้คนที่อาศัยอยู่แถวนั้น ไม่ว่าจะเป็นการขโมยของ ทำลายข้าวของ เสื้อผ้าตากไว้มันก็ยังเอาไปเลย
พอมันเกิดปัญหา แน่นอนว่าการแก้ปัญหามันก็ต้องมีล่ะครับ ซึ่งการแก้ปัญหาที่เสนอกันอยู่ตอนนี้คือ จะพาลิงไปปล่อยเกาะ เอาลิงในเมืองไปปล่อยเกาะมันซะเลยครับ สร้างความเดือดร้อนให้คนในเมืองดีนัก
แต่ว่า...พอมีการเสนอการเอาลิงไปปล่อยเกาะขึ้นมา แน่นอนว่าต้องมีคนที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย คนที่เห็นด้วย 100% เลยก็คือ คนที่อยู่ที่เดียวกับลิง คนที่โดนลิงสร้างความลำบากในการใช้ชีวิตล่ะครับ ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนนอกพื้นที่ ที่ไม่เคยได้รับความเดือดร้อนจากลิง มองว่าลิงมันจะสร้างความเดือดร้อนอะไรนักหนา เห็นมันก็น่ารักดีออก น่าจะประมาณนี้
ยังมีคนที่ไม่เห็นด้วยอีกส่วนนะครับ นั่นก็คือ คนที่อาศัยอยู่ใกล้ๆเกาะ เพราะเขาห่วงว่าลิงจะมาสร้างความเสียหายให้เกาะ ให้ระบบนิเวศบนเกาะพัง อันนี้ผมเข้าใจดีเลยครับ ข้อนี้ผมเห็นด้วยกับคนที่รักเกาะนี้ รักธรรมชาติบนเกาะเลยครับ
แต่กับอีกส่วนที่ไม่เห็นด้วย เพราะกลัวลิงลำบากนี่ อืม...คุณห่วงลิง มากกว่าห่วงคนด้วยกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ คนลำบากช่างมัน ปรับตัวสิ อะไรที่กลัวหาย กลัวพัง ก็เก็บดีๆสิ อืม...แล้วก็ปล่อยลิงให้ยึดอำนาจที่นั่น ให้มันทำอะไรก็ได้ เป็นใหญ่ที่นั่นเลยสินะครับ ว่าแล้วก็ทำไมไม่ย้ายเข้าไปอยู่กับพวกมันด้วยเลยล่ะครับ แล้วก็ปรับตัวดีๆนะ ผมเอาใจช่วย
ผมก็ไม่รู้นะครับว่า ปัญหานี้จะแก้ไขยังไง จบลงที่ไหน แต่ผมเห็นด้วยอยู่อย่างหนึ่งครับว่า ควรลดประชากรลิงลงได้แล้วครับ จำกัดจำนวนมันให้ได้ อย่าปล่อยมันเยอะจนกระทบคนที่อาศัยแถวนั้นเลยครับ แล้วพวก...ตัวเงินตัวทอง หรือเหี้ยเนี่ย จะรักมันอะไรนักหนา กำจัดบ้างก็ได้ ไม่เห็นมันจะมีประโยชน์อะไรเลย มีแต่ทำให้คนกลัว คนเดือดร้อน เฮ้ออออ อนุรักษ์อะไรแปลกๆนะคนไทย
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
21 พฤษภาคม 2561
ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดไหนบนโลกใบนี้ ถ้าหากมันก่อความรำคาญให้กับมนุษย์เรา สัตว์ชนิดนั้นมักจะถูกกำจัด ยกตัวอย่างเช่น ยุง กัดดีนัก ตบซะ, แมลงวัน ตอมดีนัก ตบซะ หรือจะเป็นหนู สกปรกนักเหรอ จับเชือดซะ เป็นต้น
ล่าสุดมีข่าวเกี่ยวกับญาติห่างๆของเรา นั่นก็คือ ลิงนั่นเองครับ ลิงหลายๆที่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้คนที่อาศัยอยู่แถวนั้น ไม่ว่าจะเป็นการขโมยของ ทำลายข้าวของ เสื้อผ้าตากไว้มันก็ยังเอาไปเลย
พอมันเกิดปัญหา แน่นอนว่าการแก้ปัญหามันก็ต้องมีล่ะครับ ซึ่งการแก้ปัญหาที่เสนอกันอยู่ตอนนี้คือ จะพาลิงไปปล่อยเกาะ เอาลิงในเมืองไปปล่อยเกาะมันซะเลยครับ สร้างความเดือดร้อนให้คนในเมืองดีนัก
แต่ว่า...พอมีการเสนอการเอาลิงไปปล่อยเกาะขึ้นมา แน่นอนว่าต้องมีคนที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย คนที่เห็นด้วย 100% เลยก็คือ คนที่อยู่ที่เดียวกับลิง คนที่โดนลิงสร้างความลำบากในการใช้ชีวิตล่ะครับ ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนนอกพื้นที่ ที่ไม่เคยได้รับความเดือดร้อนจากลิง มองว่าลิงมันจะสร้างความเดือดร้อนอะไรนักหนา เห็นมันก็น่ารักดีออก น่าจะประมาณนี้
ยังมีคนที่ไม่เห็นด้วยอีกส่วนนะครับ นั่นก็คือ คนที่อาศัยอยู่ใกล้ๆเกาะ เพราะเขาห่วงว่าลิงจะมาสร้างความเสียหายให้เกาะ ให้ระบบนิเวศบนเกาะพัง อันนี้ผมเข้าใจดีเลยครับ ข้อนี้ผมเห็นด้วยกับคนที่รักเกาะนี้ รักธรรมชาติบนเกาะเลยครับ
แต่กับอีกส่วนที่ไม่เห็นด้วย เพราะกลัวลิงลำบากนี่ อืม...คุณห่วงลิง มากกว่าห่วงคนด้วยกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ คนลำบากช่างมัน ปรับตัวสิ อะไรที่กลัวหาย กลัวพัง ก็เก็บดีๆสิ อืม...แล้วก็ปล่อยลิงให้ยึดอำนาจที่นั่น ให้มันทำอะไรก็ได้ เป็นใหญ่ที่นั่นเลยสินะครับ ว่าแล้วก็ทำไมไม่ย้ายเข้าไปอยู่กับพวกมันด้วยเลยล่ะครับ แล้วก็ปรับตัวดีๆนะ ผมเอาใจช่วย
ผมก็ไม่รู้นะครับว่า ปัญหานี้จะแก้ไขยังไง จบลงที่ไหน แต่ผมเห็นด้วยอยู่อย่างหนึ่งครับว่า ควรลดประชากรลิงลงได้แล้วครับ จำกัดจำนวนมันให้ได้ อย่าปล่อยมันเยอะจนกระทบคนที่อาศัยแถวนั้นเลยครับ แล้วพวก...ตัวเงินตัวทอง หรือเหี้ยเนี่ย จะรักมันอะไรนักหนา กำจัดบ้างก็ได้ ไม่เห็นมันจะมีประโยชน์อะไรเลย มีแต่ทำให้คนกลัว คนเดือดร้อน เฮ้ออออ อนุรักษ์อะไรแปลกๆนะคนไทย
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
ตอนที่ 145 (บทความ) _ ความจังไรของผู้ชายวัยใกล้เลข 4 (ไม่ทุกคนหรอกนะ)
ความจังไรของผู้ชายวัยใกล้เลข 4 (ไม่ทุกคนหรอกนะ)
8 พฤษภาคม 2561
เมื่อก่อนสมัยเป็นวัยรุ่นอายุสัก 18-19 ปี ตอนนั้นเรียนอยู่ระดับชั้น ปวส. มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่รู้จักกัน หน้าตาน่ารักเลยทีเดียว เป็นที่หมายปองของผู้ชายหลายคน ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษากันเอง หรือแม้กระทั่งอาจารย์ยังหมายปองกับเขาด้วย แล้วบทสรุปที่จบลงคือ ไม่มีใครได้สักคน ฮ่าๆๆ เพราะน้องคนนั้นดันไปเอาผู้ชายแก่ๆคนหนึ่ง อายุน่าจะสัก 30 กว่าๆแล้ว ที่สำคัญคือ เป็นเมียน้อยเขาซะงั้น
เมื่อก่อนก็ไม่เข้าใจน้องมันหรอก ทำไมแม่งคิดสั้นจังวะ ผู้ชายโสดๆ หน้าตาดีมีตั้งเยอะแยะ ทำไมมันไม่เอา ไปเอาทำไมคนแก่ๆรุ่นพ่อเลยนะนั่น แถมยังเป็นเมียน้อยเขาอีก ไอ้บ้าาาาา
พอมาถึงวันนี้ วันที่ตัวผมเองนี่แหละที่อายุ 30 กว่าๆใกล้เลข 4 แล้ว ทำให้เข้าใจเลยว่า ทำไมวันนั้นน้องสาวคนนั้นถึงเลือกคนแก่ แถมยังยอมเป็นเมียน้อยอีก คำตอบง่ายๆคือ คนแก่มันจ่ายได้ และมันอบอุ่นแบบผู้ใหญ่ไม่งี่เง่าเหมือนวัยรุ่นนั่นเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะชอบนะครับ มันเป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น เหมือนที่ผู้ชายวัยใกล้ 40 บางคนนั่นแหละ ที่มันมีความจังไรบังเกิดขึ้นแล้ว...
ความจังไรที่ว่าคือยังไง ก็ประมาณว่าแก่แล้ว บางคนมีเมียแล้ว แต่ยังเกิดอาการอยากมีเด็กสาวในครอบครองนั่นเอง อาการนี้มันเกิดขึ้นเพราะว่า บางคนทำงานเหนื่อยๆ ก็อยากจะมีคนที่คอยรับฟังโดยไม่โต้เถียงอะไรเลย ซึ่งส่วนมากแล้ว มันก็จะไปตกอยู่ที่เด็กสาวทั้งหลาย ตั้งแต่มหาลัย ลงไปยันวัยมัธยมเลยทีเดียว
สาเหตุที่ทำไมเป้าหมายคือวัยพวกนั้น นั่นก็เพราะว่า เด็กพวกนี้สั่งได้ ไม่ค่อยงอแง และที่สำคัญคือ วัยนี้ยังรู้จักลูกอ้อน ซึ่งมันทำให้ป๋าๆ (ขอใช้คำว่า "ป๋า" ไปเลยละกันนะครับ ไหนๆก็แก่ละ) มีความสุขจากความออดอ้อนนั่นเอง จึงไม่แปลกเลยที่ทำไมทั้งป๋า และทั้งเด็กๆวัยนี้ ถึงเชื่อมต่อกันง่ายเหลือเกิน ป๋าได้มีความสุขจากลูกอ้อน การที่สั่งได้ และการได้จ่ายเพื่อเด็ก ส่วนเด็กๆก็มีความสุขจากการที่ป๋าตามใจแทบทุกอย่างนั้นเอง วินๆทั้งคู่
ประสบการณ์จากคนใกล้ตัวก็มีนะครับ ตอนนั้นน่าจะสักอายุ 35 กันอยู่ เพื่อนผมมันมีลูกมีเมียแล้ว แต่ก็ดันไปถูกใจเด็กสาวเข้าให้ แน่นอนว่าเจอลูกอ้อนของเด็กสาวเข้าไป มันก็หลุดสิครับ จังไรขึ้นมาเลยทีเดียว เลี้ยงเด็กไปเรื่อยๆจนความแตก เมียจับได้ บ้านแทบแตก แต่สุดท้ายมันก็ประคองตัวจนรอดถึงฝั่ง ครอบครัวยังอยู่ดีในที่สุด ผมไม่รู้ว่ามันเลิกจังไรได้รึยังนะครับ เพราะไอ้ความจังไรเนี่ย ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว มันก็เลิกยากอยู่เน้อ
หลังๆมานี่ผมว่าความจังไรนี้มันเริ่มไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กๆแล้วล่ะครับ เพราะวัยป๋ามันทำงานเหนื่อยกัน มันเลยขอแค่ใครก็ได้ที่คอยทำให้มีความสุขใจได้ก็พอ อายุใกล้กัน หรืออายุมากกว่าก็ไม่สนแล้ว ขอแค่ได้มีคนคุยให้สบายใจก็พอ อาจจะมีคนถามว่า แล้วทำไมไม่ไปคุยกับเมียล่ะ คำตอบคงแทบจะประสานเสียงแน่นอนครับว่า บ่นกับเมียไปก็เหมือนบ่นใส่ฟองน้ำ ซึมซับคำบ่นไปแล้วก็นิ่งๆ หันมาใช้งานเราเหมือนเดิม ฮ่าๆๆๆ
ป๋าบางคนนั้นจริงจังมาก ถึงขนาดที่ว่าบ้านแตกก็ช่างมัน ดีซะอีก จะได้ไปหาคนใหม่ที่แอบๆเลี้ยงอยู่แล้ว แต่ป๋าบางคนก็แค่อยากหาคนมาอ้อน และมีความสุขที่ได้ทำเพื่อเด็กที่เลี้ยงไว้ แต่ไม่ต้องการสานต่อแบบยืดยาว เพราะก็ยังรักครอบครัวอยู่ ป๋าก็มีอยู่หลายแบบเหมือนนะครับ อาจจะมีนอกเหนือจาก 2 แบบที่กล่าวมาด้วยนะ
ความจังไรนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทุกคนนะครับ แต่ถ้าเกิดขึ้นกับใครแล้ว ก็ยากที่จะห้ามไว้ เพราะมันเป็นเรื่องของใจล้วนๆเลย ความสุขใจใครๆก็อยากได้ใช่มั้ยล่ะครับ ตามประโยคที่บอกว่า "ถูกผิดรู้หมด แต่มันอดไม่ได้" นั่นแหละครับ
มาถึงความจังไรของคนเขียนกันบ้าง บทความนี้นี่เรียกว่าพลีชีพเลยนะครับ ถ้าเมียอ่านเจอนี่ โดนสอบสวนในห้องมืดแน่นอน แต่คงไม่ถึงกับบ้านแตก เพราะผมเป็นแบบอยากมีความสุขที่ได้ทำอะไรเพื่อเด็กแค่นั้น ไม่ได้ต้องการสานต่ออะไรทั้งนั้น
ผมก็ไม่รู้นะว่าความจังไรนี้มันเกิดขึ้นตอนไหน แต่พอรู้ตัวอีกที อ้าว เฮ้ย ทำไมรู้สึกดีกับเด็กบางคนจังวะ ทำไมอยากคุยด้วย อยากทำอะไรเพื่อเด็กคนนี้จัง ทั้งๆที่มันไม่ถูกไม่ควรแท้ๆ นึกไปนึกมา อ่อออ สงสัยความจังไรเข้ามาในชีวิตแล้วแน่ๆ ฮ่าๆๆ
ความรู้สึกอยากคุยด้วย อยากเห็นเด็กมีความสุข มีรอยยิ้ม อยากมีเด็กคนนี้คอยรับฟังเรา รวมๆแล้วมันก็เหมือนอาการคนอยากมีแฟนนั่นแหละครับ เพียงแต่ว่าอาการนี้มันจะเกิดขึ้นบ่อยกับใครก็ได้ เกิดขึ้นง่ายกับใครก็ได้อีกนั่นแหละเมื่อถึงวัยของมัน แต่สำหรับบางมันก็จะหายไปง่ายด้วยเช่นกัน ส่วนบางคนที่เกิดขึ้นแล้วไม่หาย ก็ระวังตัวเองให้ดีๆนะครับ (สำหรับผมเกิดง่าย เกิดบ่อย แต่ก็หายง่ายครับ)
สุดท้ายนี้ขอถามคุณผู้ชายที่อ่านมาถึงตรงนี้ว่า มีอาการข้างต้นที่อ่านมาบ้างรึยังครับ ถ้ามีแล้ว ก็จงระวังเถิด ความจังไร ความป๋า กำลังจะมาหาท่านแล้ว
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
8 พฤษภาคม 2561
เมื่อก่อนสมัยเป็นวัยรุ่นอายุสัก 18-19 ปี ตอนนั้นเรียนอยู่ระดับชั้น ปวส. มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่รู้จักกัน หน้าตาน่ารักเลยทีเดียว เป็นที่หมายปองของผู้ชายหลายคน ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษากันเอง หรือแม้กระทั่งอาจารย์ยังหมายปองกับเขาด้วย แล้วบทสรุปที่จบลงคือ ไม่มีใครได้สักคน ฮ่าๆๆ เพราะน้องคนนั้นดันไปเอาผู้ชายแก่ๆคนหนึ่ง อายุน่าจะสัก 30 กว่าๆแล้ว ที่สำคัญคือ เป็นเมียน้อยเขาซะงั้น
เมื่อก่อนก็ไม่เข้าใจน้องมันหรอก ทำไมแม่งคิดสั้นจังวะ ผู้ชายโสดๆ หน้าตาดีมีตั้งเยอะแยะ ทำไมมันไม่เอา ไปเอาทำไมคนแก่ๆรุ่นพ่อเลยนะนั่น แถมยังเป็นเมียน้อยเขาอีก ไอ้บ้าาาาา
พอมาถึงวันนี้ วันที่ตัวผมเองนี่แหละที่อายุ 30 กว่าๆใกล้เลข 4 แล้ว ทำให้เข้าใจเลยว่า ทำไมวันนั้นน้องสาวคนนั้นถึงเลือกคนแก่ แถมยังยอมเป็นเมียน้อยอีก คำตอบง่ายๆคือ คนแก่มันจ่ายได้ และมันอบอุ่นแบบผู้ใหญ่ไม่งี่เง่าเหมือนวัยรุ่นนั่นเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะชอบนะครับ มันเป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น เหมือนที่ผู้ชายวัยใกล้ 40 บางคนนั่นแหละ ที่มันมีความจังไรบังเกิดขึ้นแล้ว...
ความจังไรที่ว่าคือยังไง ก็ประมาณว่าแก่แล้ว บางคนมีเมียแล้ว แต่ยังเกิดอาการอยากมีเด็กสาวในครอบครองนั่นเอง อาการนี้มันเกิดขึ้นเพราะว่า บางคนทำงานเหนื่อยๆ ก็อยากจะมีคนที่คอยรับฟังโดยไม่โต้เถียงอะไรเลย ซึ่งส่วนมากแล้ว มันก็จะไปตกอยู่ที่เด็กสาวทั้งหลาย ตั้งแต่มหาลัย ลงไปยันวัยมัธยมเลยทีเดียว
สาเหตุที่ทำไมเป้าหมายคือวัยพวกนั้น นั่นก็เพราะว่า เด็กพวกนี้สั่งได้ ไม่ค่อยงอแง และที่สำคัญคือ วัยนี้ยังรู้จักลูกอ้อน ซึ่งมันทำให้ป๋าๆ (ขอใช้คำว่า "ป๋า" ไปเลยละกันนะครับ ไหนๆก็แก่ละ) มีความสุขจากความออดอ้อนนั่นเอง จึงไม่แปลกเลยที่ทำไมทั้งป๋า และทั้งเด็กๆวัยนี้ ถึงเชื่อมต่อกันง่ายเหลือเกิน ป๋าได้มีความสุขจากลูกอ้อน การที่สั่งได้ และการได้จ่ายเพื่อเด็ก ส่วนเด็กๆก็มีความสุขจากการที่ป๋าตามใจแทบทุกอย่างนั้นเอง วินๆทั้งคู่
ประสบการณ์จากคนใกล้ตัวก็มีนะครับ ตอนนั้นน่าจะสักอายุ 35 กันอยู่ เพื่อนผมมันมีลูกมีเมียแล้ว แต่ก็ดันไปถูกใจเด็กสาวเข้าให้ แน่นอนว่าเจอลูกอ้อนของเด็กสาวเข้าไป มันก็หลุดสิครับ จังไรขึ้นมาเลยทีเดียว เลี้ยงเด็กไปเรื่อยๆจนความแตก เมียจับได้ บ้านแทบแตก แต่สุดท้ายมันก็ประคองตัวจนรอดถึงฝั่ง ครอบครัวยังอยู่ดีในที่สุด ผมไม่รู้ว่ามันเลิกจังไรได้รึยังนะครับ เพราะไอ้ความจังไรเนี่ย ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว มันก็เลิกยากอยู่เน้อ
หลังๆมานี่ผมว่าความจังไรนี้มันเริ่มไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กๆแล้วล่ะครับ เพราะวัยป๋ามันทำงานเหนื่อยกัน มันเลยขอแค่ใครก็ได้ที่คอยทำให้มีความสุขใจได้ก็พอ อายุใกล้กัน หรืออายุมากกว่าก็ไม่สนแล้ว ขอแค่ได้มีคนคุยให้สบายใจก็พอ อาจจะมีคนถามว่า แล้วทำไมไม่ไปคุยกับเมียล่ะ คำตอบคงแทบจะประสานเสียงแน่นอนครับว่า บ่นกับเมียไปก็เหมือนบ่นใส่ฟองน้ำ ซึมซับคำบ่นไปแล้วก็นิ่งๆ หันมาใช้งานเราเหมือนเดิม ฮ่าๆๆๆ
ป๋าบางคนนั้นจริงจังมาก ถึงขนาดที่ว่าบ้านแตกก็ช่างมัน ดีซะอีก จะได้ไปหาคนใหม่ที่แอบๆเลี้ยงอยู่แล้ว แต่ป๋าบางคนก็แค่อยากหาคนมาอ้อน และมีความสุขที่ได้ทำเพื่อเด็กที่เลี้ยงไว้ แต่ไม่ต้องการสานต่อแบบยืดยาว เพราะก็ยังรักครอบครัวอยู่ ป๋าก็มีอยู่หลายแบบเหมือนนะครับ อาจจะมีนอกเหนือจาก 2 แบบที่กล่าวมาด้วยนะ
ความจังไรนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทุกคนนะครับ แต่ถ้าเกิดขึ้นกับใครแล้ว ก็ยากที่จะห้ามไว้ เพราะมันเป็นเรื่องของใจล้วนๆเลย ความสุขใจใครๆก็อยากได้ใช่มั้ยล่ะครับ ตามประโยคที่บอกว่า "ถูกผิดรู้หมด แต่มันอดไม่ได้" นั่นแหละครับ
มาถึงความจังไรของคนเขียนกันบ้าง บทความนี้นี่เรียกว่าพลีชีพเลยนะครับ ถ้าเมียอ่านเจอนี่ โดนสอบสวนในห้องมืดแน่นอน แต่คงไม่ถึงกับบ้านแตก เพราะผมเป็นแบบอยากมีความสุขที่ได้ทำอะไรเพื่อเด็กแค่นั้น ไม่ได้ต้องการสานต่ออะไรทั้งนั้น
ผมก็ไม่รู้นะว่าความจังไรนี้มันเกิดขึ้นตอนไหน แต่พอรู้ตัวอีกที อ้าว เฮ้ย ทำไมรู้สึกดีกับเด็กบางคนจังวะ ทำไมอยากคุยด้วย อยากทำอะไรเพื่อเด็กคนนี้จัง ทั้งๆที่มันไม่ถูกไม่ควรแท้ๆ นึกไปนึกมา อ่อออ สงสัยความจังไรเข้ามาในชีวิตแล้วแน่ๆ ฮ่าๆๆ
ความรู้สึกอยากคุยด้วย อยากเห็นเด็กมีความสุข มีรอยยิ้ม อยากมีเด็กคนนี้คอยรับฟังเรา รวมๆแล้วมันก็เหมือนอาการคนอยากมีแฟนนั่นแหละครับ เพียงแต่ว่าอาการนี้มันจะเกิดขึ้นบ่อยกับใครก็ได้ เกิดขึ้นง่ายกับใครก็ได้อีกนั่นแหละเมื่อถึงวัยของมัน แต่สำหรับบางมันก็จะหายไปง่ายด้วยเช่นกัน ส่วนบางคนที่เกิดขึ้นแล้วไม่หาย ก็ระวังตัวเองให้ดีๆนะครับ (สำหรับผมเกิดง่าย เกิดบ่อย แต่ก็หายง่ายครับ)
สุดท้ายนี้ขอถามคุณผู้ชายที่อ่านมาถึงตรงนี้ว่า มีอาการข้างต้นที่อ่านมาบ้างรึยังครับ ถ้ามีแล้ว ก็จงระวังเถิด ความจังไร ความป๋า กำลังจะมาหาท่านแล้ว
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
ตอนที่ 144 (บทความ) _ ถ้าสมมุติว่า ผมจะเปิดห้องเช่ารายวัน
ถ้าสมมุติว่า ผมจะเปิดห้องเช่ารายวัน
03 พฤษภาคม 2561
ประสบการณ์ตรงล่าสุดจากการไปเที่ยวทะเลครับ ไปเช่าห้องราคา 2,500 บาท แต่ราคาไม่คุ้มเลยครับ พื้นที่ห้องค่อนข้างแคบ มีทีวี แต่ดันไม่มีตู้เย็น ไม่มีตู้เสื้อผ้า หรือราวแขวนผ้าเลย พรมเช็ดเท้าก็มีผื่นเดียวหน้าห้องน้ำ ไม่มีตรงประตูเข้าบ้าน สรุปเลยคือ ไม่ประทับใจเท่าไหร่ ให้ 5/10 คะแนนพอ
หลังจากความไม่ประทับใจครั้งนี้แล้ว ทำให้มีความคิดที่ว่า ถ้าหากผมมีโอกาสได้เปิดห้องเช่ารายวันบ้าง ผมจะยัดอะไรลงไปบ้างดีนะ ของบางอย่างมันจะจำเป็นมั้ย ของบางอย่างที่อื่นจะยัดไปมั้ย
มาดูทีละสเตปกันเลยดีกว่า ว่าผมจะยัดอะไรเข้าไปในห้องเช่ารายวันบ้าง เริ่มแรกเลยพอเข้าบ้านผมจะเอาพรมเช็ดเท้าไว้ตรงหน้าประตูเลย 1 ผืน เพราะแน่นอนว่าไปนอกห้องมา เท้าต้องเปื้อนฝุ่นบ้างล่ะ ต้องเช็ดเท้าก่อนเข้าห้อง
พอเข้าห้องแล้ว วางกระเป๋า หลายๆคนวิ่งเข้าห้องน้ำก่อนเลย พอเข้าห้องน้ำเสร็จ เท้าก็เปียก ผมก็จะวางพรมเช็ดเท้าอีก 1 ผืนตรงหน้าประตูห้องน้ำ เพราะคงไม่มีใครอยากเท้าเปียกเดินในห้องแน่ๆ
เสร็จแล้วก็มารื้อของออกจากกระเป๋า เสื้อผ้าบางตัวต้องแขวนไว้ ผมก็จะเอาราวตากผ้าเหล็กที่ราคา 199 บาทนั่นแหละ มาตั้งไว้ในห้องพร้อมไม้แขวนอีกสัก 12 อันหรือ 1 โหล สาเหตุที่ไม่เอาตู้เสื้อผ้าเพราะ ตู้มันย้ายยาก หรือย้ายไม่ได้ แต่ราวตากผ้าย้ายที่ได้ เผื่อคนมาเที่ยวต้องการพื้นที่ว่างตามมุมที่ตัวเองชอบ จะได้ย้ายราวตากผ้าได้ หรืออาจจะมีถึงขั้นยกออกไปตั้งที่ระเบียง เพื่อให้ในห้องได้พื้นที่เพิ่มก็ได้
ของใช้ส่วนตัวก็ต้องมี เพราะฉะนั้นแล้วชั้นวางของก็จำเป็น เอาชั้นวางของพลาสติก หรือชั้นไม้ก็ได้ ขนาดไม่ต้องใหญ่มาก แต่เลือกที่มันมี 2-3 ชั้น จะได้วางของใช้ได้เยอะๆหน่อย
สำหรับสาวๆแล้ว การแต่งสวยถือว่าจำเป็นมาก ผมจะติดกระจกสักบานไว้ในห้อง หามุมที่แสงไฟส่องกระทบสวยๆ จะได้แต่งหน้าทาแป้งออกมาไม่ขาววอก ถามว่าทำไมไม่เอาโต๊ะเครื่องแป้ง ก็เพราะว่าโต๊ะเครื่องแป้งเนี่ย กินพื้นที่ แล้วก็ย้ายยาก เลยไม่เอาดีกว่าครับ
พอเข้าห้องแล้ว จัดของเสร็จแล้ว รู้สึกว่าเดินแล้วสากๆเท้า ผมเลยจัดไม้กวาดพร้อมที่ตักผงไว้ให้ด้วย เพราะเท่าที่ไปเที่ยวมานะครับ ไม้กวาดหาไม่ได้เลย บางครั้งเดินแล้วสากเท้าจริงๆนะ จะกวาดก็ไม่มีไม้กวาด เลยเอากางเกงตัวเองนี่แหละ ปัดๆๆพื้นเอา อนาถจริงๆเลยครับ เพราะฉะนั้นห้องพักของผมต้องมีไม้กวาดครับ
สักพักน่าจะเริ่มง่วงกัน เพราะเดินทางมาไกล เตียง ที่นอน หมอน ผ้าห่ม เป็นสิ่งปกติที่ต้องมีอยู่แล้วครับ แต่ไหนก็มีขนาดนั้นแล้ว งั้นเพิ่มหมอนข้างให้ด้วยเลยละกัน เพราะบางคนติดนอนตะแคงกอดหมอนข้าง มาเที่ยวทั้งทีก็ต้องพักผ่อนให้มันสบายๆ จัดหมอนข้างไปให้เลยครับ
ก่อนนอนนึกขึ้นได้ เฮ้ย แบตฯโทรศัพท์จะหมด แบตฯกล้องลืมชาร์จ มองหาปลั๊ก เจออยู่ 2 รู แต่ดันมา 2 คน จะแย่งกันชาร์จยังไงล่ะ หรือบางทีดีหน่อย มีหลายๆรู หลายๆจุด แต่ตำแหน่งปล้๊กก็ไม่ถูกใจอีก งั้นผมเพิ่มนี่เลยครับ ปลั๊กพ่วง อยากลากไปไหนลากเลยยยยย
สำหรับทีวี ตู้เย็น ต้องมีอยู่แล้วครับ เพราะเป็นของจำเป็นพื้นฐาน ห้องแอร์ก็ต้องมีแอร์ ห้องพัดลมก็ต้องมีพัดลม ของใช้ในห้องน้ำสบู่ ยาสระผม หมวกคลุมผมต้องมีครับ แต่ยาสีฟัน กับแปรงฟัน 2 อย่างนี้ผมไม่ใส่ไปนะครับ เพราะถือเป็นของใช่ส่วนตัวที่ทำคนไม่น่าจะลืม หรือหาใช้ตามห้องเช่า
ของใช้อีกอย่างสำหรับสาวๆคือ ไดร์เป่าผมครับ เพราะสระผมแล้ว กว่าจะแห้งคงเหนื่อย ผมเลยต้องยัดเข้าไปด้วย
แล้วเผื่อใครรักความสะอาด อยากซักผ้า ผมก็จัดกะละมังให้ด้วยครับ จะได้ซักผ้ากันสนุกไปเลย (นี่ห้องพัก + ห้องน้ำ มันกว้างขนาดไหนเนี่ย ยัดอะไรไปเยอะแยะ)
ผมว่าภายในห้องของน่าจะครบแล้วนะ งั้นออกมานอกห้องที่ระเบียงกันบ้างดีกว่าครับ แม้ว่าระเบียงจะไม่กว้างมาก แต่สิ่งที่ต้องมีคือ โต๊ะ และเก้าอี้ครับ คงไม่มีใครอยากอยู่แต่ในห้องหรอก จริงมั้ยครับ เพราะฉะนั้นมันควรมีครับ เอาไว้นั่งชิลๆยามเย็น หรือชิลๆยามเช้าครับ ส่วนยามหลับนั้น มันอู้งานครับ (ทันมุกมั้ย ?)
กาต้มน้ำ แก้วน้ำ จานข้าว พวกนี้ผมก็จะยัดไปครับ เอาให้เหมือนอยู่บ้านกันไปเลย ฮ่าๆๆ โอยยยย ห้องพักผมต้องโคตรใหญ่แน่ๆเลยครับ ของเพียบ นี่พอถึงเวลาเช็คเอ้าท์ คงตรวจสอบกันนานเลย
เอาเป็นว่า เท่านี้ห้องเช่ารายวันผมก็คงน่าเช่าแล้วล่ะครับ มาๆๆ มาเช่ากันครับ
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
03 พฤษภาคม 2561
ประสบการณ์ตรงล่าสุดจากการไปเที่ยวทะเลครับ ไปเช่าห้องราคา 2,500 บาท แต่ราคาไม่คุ้มเลยครับ พื้นที่ห้องค่อนข้างแคบ มีทีวี แต่ดันไม่มีตู้เย็น ไม่มีตู้เสื้อผ้า หรือราวแขวนผ้าเลย พรมเช็ดเท้าก็มีผื่นเดียวหน้าห้องน้ำ ไม่มีตรงประตูเข้าบ้าน สรุปเลยคือ ไม่ประทับใจเท่าไหร่ ให้ 5/10 คะแนนพอ
หลังจากความไม่ประทับใจครั้งนี้แล้ว ทำให้มีความคิดที่ว่า ถ้าหากผมมีโอกาสได้เปิดห้องเช่ารายวันบ้าง ผมจะยัดอะไรลงไปบ้างดีนะ ของบางอย่างมันจะจำเป็นมั้ย ของบางอย่างที่อื่นจะยัดไปมั้ย
มาดูทีละสเตปกันเลยดีกว่า ว่าผมจะยัดอะไรเข้าไปในห้องเช่ารายวันบ้าง เริ่มแรกเลยพอเข้าบ้านผมจะเอาพรมเช็ดเท้าไว้ตรงหน้าประตูเลย 1 ผืน เพราะแน่นอนว่าไปนอกห้องมา เท้าต้องเปื้อนฝุ่นบ้างล่ะ ต้องเช็ดเท้าก่อนเข้าห้อง
พอเข้าห้องแล้ว วางกระเป๋า หลายๆคนวิ่งเข้าห้องน้ำก่อนเลย พอเข้าห้องน้ำเสร็จ เท้าก็เปียก ผมก็จะวางพรมเช็ดเท้าอีก 1 ผืนตรงหน้าประตูห้องน้ำ เพราะคงไม่มีใครอยากเท้าเปียกเดินในห้องแน่ๆ
เสร็จแล้วก็มารื้อของออกจากกระเป๋า เสื้อผ้าบางตัวต้องแขวนไว้ ผมก็จะเอาราวตากผ้าเหล็กที่ราคา 199 บาทนั่นแหละ มาตั้งไว้ในห้องพร้อมไม้แขวนอีกสัก 12 อันหรือ 1 โหล สาเหตุที่ไม่เอาตู้เสื้อผ้าเพราะ ตู้มันย้ายยาก หรือย้ายไม่ได้ แต่ราวตากผ้าย้ายที่ได้ เผื่อคนมาเที่ยวต้องการพื้นที่ว่างตามมุมที่ตัวเองชอบ จะได้ย้ายราวตากผ้าได้ หรืออาจจะมีถึงขั้นยกออกไปตั้งที่ระเบียง เพื่อให้ในห้องได้พื้นที่เพิ่มก็ได้
ของใช้ส่วนตัวก็ต้องมี เพราะฉะนั้นแล้วชั้นวางของก็จำเป็น เอาชั้นวางของพลาสติก หรือชั้นไม้ก็ได้ ขนาดไม่ต้องใหญ่มาก แต่เลือกที่มันมี 2-3 ชั้น จะได้วางของใช้ได้เยอะๆหน่อย
สำหรับสาวๆแล้ว การแต่งสวยถือว่าจำเป็นมาก ผมจะติดกระจกสักบานไว้ในห้อง หามุมที่แสงไฟส่องกระทบสวยๆ จะได้แต่งหน้าทาแป้งออกมาไม่ขาววอก ถามว่าทำไมไม่เอาโต๊ะเครื่องแป้ง ก็เพราะว่าโต๊ะเครื่องแป้งเนี่ย กินพื้นที่ แล้วก็ย้ายยาก เลยไม่เอาดีกว่าครับ
พอเข้าห้องแล้ว จัดของเสร็จแล้ว รู้สึกว่าเดินแล้วสากๆเท้า ผมเลยจัดไม้กวาดพร้อมที่ตักผงไว้ให้ด้วย เพราะเท่าที่ไปเที่ยวมานะครับ ไม้กวาดหาไม่ได้เลย บางครั้งเดินแล้วสากเท้าจริงๆนะ จะกวาดก็ไม่มีไม้กวาด เลยเอากางเกงตัวเองนี่แหละ ปัดๆๆพื้นเอา อนาถจริงๆเลยครับ เพราะฉะนั้นห้องพักของผมต้องมีไม้กวาดครับ
สักพักน่าจะเริ่มง่วงกัน เพราะเดินทางมาไกล เตียง ที่นอน หมอน ผ้าห่ม เป็นสิ่งปกติที่ต้องมีอยู่แล้วครับ แต่ไหนก็มีขนาดนั้นแล้ว งั้นเพิ่มหมอนข้างให้ด้วยเลยละกัน เพราะบางคนติดนอนตะแคงกอดหมอนข้าง มาเที่ยวทั้งทีก็ต้องพักผ่อนให้มันสบายๆ จัดหมอนข้างไปให้เลยครับ
ก่อนนอนนึกขึ้นได้ เฮ้ย แบตฯโทรศัพท์จะหมด แบตฯกล้องลืมชาร์จ มองหาปลั๊ก เจออยู่ 2 รู แต่ดันมา 2 คน จะแย่งกันชาร์จยังไงล่ะ หรือบางทีดีหน่อย มีหลายๆรู หลายๆจุด แต่ตำแหน่งปล้๊กก็ไม่ถูกใจอีก งั้นผมเพิ่มนี่เลยครับ ปลั๊กพ่วง อยากลากไปไหนลากเลยยยยย
สำหรับทีวี ตู้เย็น ต้องมีอยู่แล้วครับ เพราะเป็นของจำเป็นพื้นฐาน ห้องแอร์ก็ต้องมีแอร์ ห้องพัดลมก็ต้องมีพัดลม ของใช้ในห้องน้ำสบู่ ยาสระผม หมวกคลุมผมต้องมีครับ แต่ยาสีฟัน กับแปรงฟัน 2 อย่างนี้ผมไม่ใส่ไปนะครับ เพราะถือเป็นของใช่ส่วนตัวที่ทำคนไม่น่าจะลืม หรือหาใช้ตามห้องเช่า
ของใช้อีกอย่างสำหรับสาวๆคือ ไดร์เป่าผมครับ เพราะสระผมแล้ว กว่าจะแห้งคงเหนื่อย ผมเลยต้องยัดเข้าไปด้วย
แล้วเผื่อใครรักความสะอาด อยากซักผ้า ผมก็จัดกะละมังให้ด้วยครับ จะได้ซักผ้ากันสนุกไปเลย (นี่ห้องพัก + ห้องน้ำ มันกว้างขนาดไหนเนี่ย ยัดอะไรไปเยอะแยะ)
ผมว่าภายในห้องของน่าจะครบแล้วนะ งั้นออกมานอกห้องที่ระเบียงกันบ้างดีกว่าครับ แม้ว่าระเบียงจะไม่กว้างมาก แต่สิ่งที่ต้องมีคือ โต๊ะ และเก้าอี้ครับ คงไม่มีใครอยากอยู่แต่ในห้องหรอก จริงมั้ยครับ เพราะฉะนั้นมันควรมีครับ เอาไว้นั่งชิลๆยามเย็น หรือชิลๆยามเช้าครับ ส่วนยามหลับนั้น มันอู้งานครับ (ทันมุกมั้ย ?)
กาต้มน้ำ แก้วน้ำ จานข้าว พวกนี้ผมก็จะยัดไปครับ เอาให้เหมือนอยู่บ้านกันไปเลย ฮ่าๆๆ โอยยยย ห้องพักผมต้องโคตรใหญ่แน่ๆเลยครับ ของเพียบ นี่พอถึงเวลาเช็คเอ้าท์ คงตรวจสอบกันนานเลย
เอาเป็นว่า เท่านี้ห้องเช่ารายวันผมก็คงน่าเช่าแล้วล่ะครับ มาๆๆ มาเช่ากันครับ
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
ตอนที่ 143 (บทความ) _ เมื่อซองงานแต่ง แฝงความโหดร้าย
เมื่อซองงานแต่ง แฝงความโหดร้าย
26 เมษายน 2561
ไม่รู้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงฤกษ์ดีกันหรือยังไง ทำไมแต่งงานกันจัง แล้วพอมีงานแต่ง ก็ต้องมีการ์ดเชิญที่ใส่มาในซอง ซึ่งเราก็จะเรียกรวมๆไปเลยว่า "ซองงานแต่ง" แล้วตามธรรมเนียม ณ ปัจจุบันนี้ เราก็รู้ๆกันอยู่ว่าการใส่ซองถือเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่จะใส่เท่าไหร่นี่สิสำคัญกว่า จนมันกลายเป็นเรื่องปวดหัว ปัญหาโลกแตกสำหรับใครหลายๆคนเลยทีเดียว
การใส่ซองงานแต่ง เริ่มมากจากไหน? จริงๆผมก็ไม่รู้หรอกนะครับ แต่จากการที่หาข้อมูลในกูเกิลก็พอจะอธิบายได้ดังนี้ การแต่งงานเมื่อครั้งอดีตนั้น คนที่รับซองงานแต่ง เขาก็ไปร่วมงานแต่งเพื่อเป็นสักขีพยานให้แก่คู่บ่าวสาว โดยสมัยก่อนนั้นการ์ดเชิญคือ การ์ดเชิญจริงๆครับ ไม่ต้องเอาเงินใส่ในซองเพื่อให้คู่บ่าวสาวเลย เพราะความหมายของการ์ดเชิญ คือเชิญมาเป็นสักขีพยานจริงๆ ไม่ได้ต้องการเงิน
แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนที่ไปร่วมงานแต่งจะไปตัวเปล่านะครับ เขานำเอาของขวัญ หรือของใช้ต่างๆไปให้คู่บ่าวสาวด้วย ประมาณว่ามาร่วมยินดีด้วยตัวเองแล้ว ยังเอาของติดไม้ติดมือไปร่วมยินดีด้วย แต่ต่อมาคนไปร่วมงานเริ่มไม่รู้จะเอาของขวัญ หรือของใช้อะไรไปให้คู่บ่าวสาวแล้ว มันจึงกลายเป็นเอาเงินใส่ซองไปให้แทน เพื่อที่จะเป็นการช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ หรือเพื่อให้คู่บ่าวสาวเอาเงินไปซื้อของใช้เอง นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไมเวลามีงานแต่ง ต้องใส่ซองงานแต่ง (ไม่รู้จะถูกจริงๆรึเปล่านะครับ)
พอมีการเอาเงินใส่ซองงานแต่งกันเยอะขึ้นๆ มันก็กลายเป็นการทำตามๆกัน จนทุกวันนี้ก็เหมือนกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วล่ะครับ จนเจ้าธรรมเนียมนี้สร้างปัญหาให้กับคนที่ได้รับการ์ดเชิญไปงานแต่งนี่แหละครับ
ผมไม่รู้นะครับว่า คู่บ่าวสาวคู่ไหนบ้างที่จะจริงจังกับเงินที่จะได้จากซองงานแต่ง แต่สำหรับคู่ของผมที่ผ่านงานแต่งงานมาแล้วนั้น บอกเลยว่า ไม่เคยคิดถึงเงินที่จะได้จากซองงานแต่งเลยครับ มันจะได้เท่าไหร่ก็ช่างมัน เพราะสิ่งสำคัญทีผมคิดคือ ผมเชิญทุกคนมาเป็นสักขีพยานในงานแต่งเฉยๆครับ หรืออาจจะคิดเรื่องอื่นเยอะกว่าเรื่องงานที่จะได้ด้วยซ้ำเช่น อาหารจะพอมั้ย ที่นั่งจะพอมั้ย คนมางานจะร้อนกันมั้ย จะสนุกมั้ย กลัวเขาเบื่อ ฯลฯ สิ่งพวกนี้คือ สิ่งที่ผมคิดครับ
จบงานแต่งของทุกคู่ ก็ต้องมีการแกะซองนับเงินครับ สิ่งที่คู่ของผมทำคือ จดใส่สมุดไว้ว่าใครใส่ซองมากี่บาท เพื่อจะได้รู้ว่า ถ้าอนาคตข้างหน้าคนที่ใส่ซองให้เรา เขาแต่งงานบ้าง เราก็จะได้เพิ่มให้เขามากกว่าที่เขาให้เราครับ ไม่ได้สนใจเลยว่าใครจะใส่ซองให้เรากี่บาท (จริงๆก็แอบมีนินทาขำๆ แต่ก็ไม่ถึงกับสร้างปัญหาให้กับตัวเอง และคนใส่ซอง) ผมจำได้ว่ามีคนใส่ซอง 20 บาทหลายคนอยู่นะครับ ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดดูถูกอะไรเขา เพราะสิ่งที่เขาทำให้ผมมีค่ามากกว่านั้นครับ นั่นก็คือ เขาเป็นสักขีพยานให้ผมไงครับ
ก็อยากจะให้คู่บ่าวสาวที่จะแต่งงานกันในอนาคตข้างหน้า สนใจเรื่องอื่นๆในงานแต่งงาน มากกว่าเรื่องเงินที่จะได้จากซองงานแต่งนะครับ อย่ามองว่าเงินทีจะได้จากซองเป็นกำไร หรือจะเป็นเงินที่จะช่วยจ่ายค่าใช้จ่ายในงานแต่งเลยนะครับ อยากให้มองว่าเงินที่ได้จากซองงานแต่งนั้น เขายินดีมอบให้เรา เพื่อให้เรามีทุนสร้างชีวิตครับ แม้จะน้อยนิด 20 บาท มันก็มาจากความยินดีที่เขามอบให้นะครับ อย่าไปสร้างความแค้นเคืองอะไรกับคนใส่ซองเพียงเพราะว่าเขาใส่น้อยเลยครับ
เอาเป็นว่า ความหมายของซองงานแต่งมันคือ การเชิญ หรือการบอกกล่าวว่า เราได้แต่งงานกับคนนี้นะ เราทำถูกต้องตามประเพณีสากลแล้วนะ เราประกาศให้โลกรู้ว่า "เราจะอยู่กับคนๆนี้แล้วนะ" อะไรประมาณนั้นครับ
คำอธิบายเรื่องซองงานแต่งของผมก็จบไปแล้วข้างบนนะครับ ทีนี้มาพูดถึงว่า เราควรใส่ซองกี่บาทกันบ้างครับ ตามที่หาข้อมูลจากกูเกิลแล้ว ส่วนมากเลยมาตรฐานที่จะอยู่ที่ 1,000 บาทครับ ส่วนเหตุผลหลักๆที่ใส่ซองกัน 1,000 บาทก็เพราะว่า เขาใส่กัน, กลัวเพื่อนด่า และอยากช่วยค่างานแต่ง เหตุผล 2 ข้อแรกน่าเบื่อมากครับ ส่วนเหตุผลของสุดท้าย น่าชื่นชมครับ
เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า เพื่อนของเรา หรือเจ้าของงานแต่งจริงจังกับเงินในซองมากแค่ไหน เพราะเหตุนี้ คนใส่ซองจริงกลัวๆกล้าๆที่จะใส่ซองน้อยกว่า 1,000 บาท คิดวกไปวนมา จะใส่ 200 ได้มั้ย หรือ 500 ดีมั้ย หรือ 800 ดีล่ะ คิดๆๆ จนสุดท้ายเหตุผล เขาใส่กัน กับกลัวเพื่อนด่าก็ชนะเลิศ ใส่ไปเลย 1,000 บาท แล้วก็มาเจ็บเอง เงินไม่พอใช้ ไม่พอกิน จะโทษใครล่ะ โทษเพื่อนที่แต่งงานก็ไม่ได้ ต้องโทษตัวเองนี่แหละครับ ที่ไม่เข้มแข็งพอ ใส่ไปเล้ยยย 200 ครับ แล้วมาดูกันว่า เงิน 200 จะทำให้คำว่า เพื่อน สะเทือนหรือไม่
ท้ายบทความนี้ผมก็อยากจะบอกว่า ถ้าใส่ซองน้อย แล้วคำว่าเพื่อนพัง ก็ช่างมันครับ แต่ถ้าใส่ซองเยอะๆ แล้วเพื่อนเห็นเราสำคัญมากๆ ก็แสดงว่า เพื่อนแม่ง เห็นแก่เงินแล้วล่ะครับ
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
26 เมษายน 2561
ไม่รู้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงฤกษ์ดีกันหรือยังไง ทำไมแต่งงานกันจัง แล้วพอมีงานแต่ง ก็ต้องมีการ์ดเชิญที่ใส่มาในซอง ซึ่งเราก็จะเรียกรวมๆไปเลยว่า "ซองงานแต่ง" แล้วตามธรรมเนียม ณ ปัจจุบันนี้ เราก็รู้ๆกันอยู่ว่าการใส่ซองถือเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่จะใส่เท่าไหร่นี่สิสำคัญกว่า จนมันกลายเป็นเรื่องปวดหัว ปัญหาโลกแตกสำหรับใครหลายๆคนเลยทีเดียว
การใส่ซองงานแต่ง เริ่มมากจากไหน? จริงๆผมก็ไม่รู้หรอกนะครับ แต่จากการที่หาข้อมูลในกูเกิลก็พอจะอธิบายได้ดังนี้ การแต่งงานเมื่อครั้งอดีตนั้น คนที่รับซองงานแต่ง เขาก็ไปร่วมงานแต่งเพื่อเป็นสักขีพยานให้แก่คู่บ่าวสาว โดยสมัยก่อนนั้นการ์ดเชิญคือ การ์ดเชิญจริงๆครับ ไม่ต้องเอาเงินใส่ในซองเพื่อให้คู่บ่าวสาวเลย เพราะความหมายของการ์ดเชิญ คือเชิญมาเป็นสักขีพยานจริงๆ ไม่ได้ต้องการเงิน
แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนที่ไปร่วมงานแต่งจะไปตัวเปล่านะครับ เขานำเอาของขวัญ หรือของใช้ต่างๆไปให้คู่บ่าวสาวด้วย ประมาณว่ามาร่วมยินดีด้วยตัวเองแล้ว ยังเอาของติดไม้ติดมือไปร่วมยินดีด้วย แต่ต่อมาคนไปร่วมงานเริ่มไม่รู้จะเอาของขวัญ หรือของใช้อะไรไปให้คู่บ่าวสาวแล้ว มันจึงกลายเป็นเอาเงินใส่ซองไปให้แทน เพื่อที่จะเป็นการช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ หรือเพื่อให้คู่บ่าวสาวเอาเงินไปซื้อของใช้เอง นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไมเวลามีงานแต่ง ต้องใส่ซองงานแต่ง (ไม่รู้จะถูกจริงๆรึเปล่านะครับ)
พอมีการเอาเงินใส่ซองงานแต่งกันเยอะขึ้นๆ มันก็กลายเป็นการทำตามๆกัน จนทุกวันนี้ก็เหมือนกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วล่ะครับ จนเจ้าธรรมเนียมนี้สร้างปัญหาให้กับคนที่ได้รับการ์ดเชิญไปงานแต่งนี่แหละครับ
ผมไม่รู้นะครับว่า คู่บ่าวสาวคู่ไหนบ้างที่จะจริงจังกับเงินที่จะได้จากซองงานแต่ง แต่สำหรับคู่ของผมที่ผ่านงานแต่งงานมาแล้วนั้น บอกเลยว่า ไม่เคยคิดถึงเงินที่จะได้จากซองงานแต่งเลยครับ มันจะได้เท่าไหร่ก็ช่างมัน เพราะสิ่งสำคัญทีผมคิดคือ ผมเชิญทุกคนมาเป็นสักขีพยานในงานแต่งเฉยๆครับ หรืออาจจะคิดเรื่องอื่นเยอะกว่าเรื่องงานที่จะได้ด้วยซ้ำเช่น อาหารจะพอมั้ย ที่นั่งจะพอมั้ย คนมางานจะร้อนกันมั้ย จะสนุกมั้ย กลัวเขาเบื่อ ฯลฯ สิ่งพวกนี้คือ สิ่งที่ผมคิดครับ
จบงานแต่งของทุกคู่ ก็ต้องมีการแกะซองนับเงินครับ สิ่งที่คู่ของผมทำคือ จดใส่สมุดไว้ว่าใครใส่ซองมากี่บาท เพื่อจะได้รู้ว่า ถ้าอนาคตข้างหน้าคนที่ใส่ซองให้เรา เขาแต่งงานบ้าง เราก็จะได้เพิ่มให้เขามากกว่าที่เขาให้เราครับ ไม่ได้สนใจเลยว่าใครจะใส่ซองให้เรากี่บาท (จริงๆก็แอบมีนินทาขำๆ แต่ก็ไม่ถึงกับสร้างปัญหาให้กับตัวเอง และคนใส่ซอง) ผมจำได้ว่ามีคนใส่ซอง 20 บาทหลายคนอยู่นะครับ ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดดูถูกอะไรเขา เพราะสิ่งที่เขาทำให้ผมมีค่ามากกว่านั้นครับ นั่นก็คือ เขาเป็นสักขีพยานให้ผมไงครับ
ก็อยากจะให้คู่บ่าวสาวที่จะแต่งงานกันในอนาคตข้างหน้า สนใจเรื่องอื่นๆในงานแต่งงาน มากกว่าเรื่องเงินที่จะได้จากซองงานแต่งนะครับ อย่ามองว่าเงินทีจะได้จากซองเป็นกำไร หรือจะเป็นเงินที่จะช่วยจ่ายค่าใช้จ่ายในงานแต่งเลยนะครับ อยากให้มองว่าเงินที่ได้จากซองงานแต่งนั้น เขายินดีมอบให้เรา เพื่อให้เรามีทุนสร้างชีวิตครับ แม้จะน้อยนิด 20 บาท มันก็มาจากความยินดีที่เขามอบให้นะครับ อย่าไปสร้างความแค้นเคืองอะไรกับคนใส่ซองเพียงเพราะว่าเขาใส่น้อยเลยครับ
เอาเป็นว่า ความหมายของซองงานแต่งมันคือ การเชิญ หรือการบอกกล่าวว่า เราได้แต่งงานกับคนนี้นะ เราทำถูกต้องตามประเพณีสากลแล้วนะ เราประกาศให้โลกรู้ว่า "เราจะอยู่กับคนๆนี้แล้วนะ" อะไรประมาณนั้นครับ
คำอธิบายเรื่องซองงานแต่งของผมก็จบไปแล้วข้างบนนะครับ ทีนี้มาพูดถึงว่า เราควรใส่ซองกี่บาทกันบ้างครับ ตามที่หาข้อมูลจากกูเกิลแล้ว ส่วนมากเลยมาตรฐานที่จะอยู่ที่ 1,000 บาทครับ ส่วนเหตุผลหลักๆที่ใส่ซองกัน 1,000 บาทก็เพราะว่า เขาใส่กัน, กลัวเพื่อนด่า และอยากช่วยค่างานแต่ง เหตุผล 2 ข้อแรกน่าเบื่อมากครับ ส่วนเหตุผลของสุดท้าย น่าชื่นชมครับ
เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า เพื่อนของเรา หรือเจ้าของงานแต่งจริงจังกับเงินในซองมากแค่ไหน เพราะเหตุนี้ คนใส่ซองจริงกลัวๆกล้าๆที่จะใส่ซองน้อยกว่า 1,000 บาท คิดวกไปวนมา จะใส่ 200 ได้มั้ย หรือ 500 ดีมั้ย หรือ 800 ดีล่ะ คิดๆๆ จนสุดท้ายเหตุผล เขาใส่กัน กับกลัวเพื่อนด่าก็ชนะเลิศ ใส่ไปเลย 1,000 บาท แล้วก็มาเจ็บเอง เงินไม่พอใช้ ไม่พอกิน จะโทษใครล่ะ โทษเพื่อนที่แต่งงานก็ไม่ได้ ต้องโทษตัวเองนี่แหละครับ ที่ไม่เข้มแข็งพอ ใส่ไปเล้ยยย 200 ครับ แล้วมาดูกันว่า เงิน 200 จะทำให้คำว่า เพื่อน สะเทือนหรือไม่
ท้ายบทความนี้ผมก็อยากจะบอกว่า ถ้าใส่ซองน้อย แล้วคำว่าเพื่อนพัง ก็ช่างมันครับ แต่ถ้าใส่ซองเยอะๆ แล้วเพื่อนเห็นเราสำคัญมากๆ ก็แสดงว่า เพื่อนแม่ง เห็นแก่เงินแล้วล่ะครับ
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
ตอนที่ 142 (บทความ) _ เมื่อ AI และเครื่องจักรครองโลก แล้วเราจะมีเงินได้อย่างไร
เมื่อ AI และเครื่องจักรครองโลก แล้วเราจะมีเงินได้อย่างไร
24 เมษายน 2561
ไม่รู้ว่าผมจะคิดมากไปเองคนเดียวรึเปล่านะครับ แต่ว่ามันก็อดคิดไม่ได้จริงๆแหละ เพราะทุกวันนี้ระบบ AI หรือ Artificial Intelligence (อาร์ตทิฟิคอล อินทอลนิจิน) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ และเครื่องจักรนั้นกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดซะเหลือเกิน บางคน บางอาชีพ ก็เริ่มได้รับผลกระทบบ้างแล้ว
ผมคงไม่ยกตัวอย่างอาชีพที่โดน AI และเครื่องจักรแบ่งสัดส่วนงานไปนะครับ เพราะบทความวันนี้ผมจะพูดถึงว่า เมื่อ AI และเครื่องจักรเอางานของเราไปแล้ว แล้วเราจะไปหางานอะไรทำแทนดีล่ะ ที่มันทำแล้วได้เงินมาใช้เนี่ย
ก่อนที่จะไปเขียนถึงว่า แล้วจะหางาน หาเงินยังไง ผมขอแวะเขียนถึงว่า ในอนาคตถ้า AI และเครื่องจักรทำงานแทนเราเกือบหมด แล้วเราจะมีเงินไปซื้อของที่ AI และเครื่องจักรผลิตออกมาได้ยังไงก่อนนะครับ ลองคิดดูนะครับว่า ถ้าโรงงานแต่ละโรงงาน ใช้ AI และเครื่องจักรในระบบงานผลิตหมด ตั้งแต่เริ่มต้น ยันส่งออกขาย สินค้าออกมาจำหน่ายมากมาย แต่คนดันไม่มีงาน ไม่มีเงิน แล้วสินค้าเหล่านั้นจะขายให้ใคร จะขายออกได้อย่างไร ผมว่าอันนี้ก็น่าคิดนะครับ แล้วมันก็อาจจะเป็นปัญหาในอนาคตก็ได้นะ
ระบบ AI และเครื่องจักรเป็นสิ่งที่ดีนะครับ เพราะบางอย่างมันก็ทำงานได้ดีกว่าคน มันไม่โกง ไม่เหนื่อย ไม่บ่น ไม่เรื่องมาก ไม่อู้ เงินเดือนก็ไม่ต้องจ่าย ลงทุนครั้งเดียว แล้วก็มีค่าซ่อมบำรุงตามสภาพ ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าของงานย่อมอยากได้มากกว่าคนแหละครับ ถ้าผมเป็นเจ้าของงานที่สามารถใช้ระบบ AI และเครื่องจักรผมก็คงยอมลงทุนล่ะครับ แน่นอนว่ามันดีต่อระบบงานของเรา แต่มันก็น่าห่วงว่า มันจะกระทบยอดขายของที่เราผลิตรึเปล่า
ผลิตของออกไปขาย แต่คนตกงาน ไม่มีงาน ไม่มีเงิน แล้วของๆเรา จะขายให้ใครล่ะครับ คำตอบบางคนอาจจะตอบว่า คนตกงาน มันก็ต้องหางานใหม่อยู่แล้ว ไม่ปล่อยให้ตัวเองลำบากไม่มีงาน ไม่มีเงินหรอก หรือไม่ก็อาจจะตอบว่า คิดมากไปรึเปล่า ระบบ AI และเครื่องจักรมันแทนที่คนได้ไม่เยอะหรอก ยังไงๆคนก็ต้องมีงานทำ มีเงินใช้อยู่แล้ว ครับ...ไม่ว่าใครจะคิดยังไง ตอบยังไง แต่บทความนี้ผมจะมาลองมองหางานกันดีกว่าครับ (เขียนไปเขียนมา ผมว่า ผมเริ่มจะเขียนไม่รู้เรื่องละ ฮ่าๆๆ)
ณ ตอนนี้ผมทำงานเป็นพนักงานเขียนแบบอาคารอยู่นะครับ (แล้วก็แอบเขียนบทความ และเรื่องสั้นด้วย) สมมุติว่า วันหนึ่งระบบ AI และเครื่องจักรมันสามารถทำให้เอ็นจิเนียเขียนแบบได้ และเขียนได้รวดเร็ว ถูกต้องกว่าผมขึ้นมา ผมว่าตำแหน่งของผมก็คงต้องโดนโละทิ้งแน่นอนครับ เพราะเจ้าของบริษัทคงไม่อยากจ้างงานซ้ำซ้อน เพราะในเมื่อเอ็นจิเนียก็สามารถออกแบบ พร้อมๆกับเขียนแบบไปได้พร้อมกันแล้ว ตำแหน่งพนักงานเขียนแบบจึงหมดความหมายไป
พอตกงาน ก็ต้องมองหางานใหม่สิครับ เริ่มแรกอาจจะมองหาบริษัทที่ยังไม่ใช้ระบบ AI และเครื่องจักรที่ให้เอ็นจิเนียทำงานรวบหมดซะก่อน พอลองๆหาแล้ว ต่างคนต่างแย่งกัน แล้วเราดันไม่ได้งานซะงั้น ยุ่งล่ะสิ ต้องหางานที่ไม่ใช่งานเขียนแบบซะแล้ว หางานอะไรดีล่ะครับ ?
คนที่พอจะมีความสามารถมากหน่อย ก็น่าจะหางานได้ง่ายหน่อย แต่สำหรับคนธรรมดาๆอย่างผม คงเหนื่อยนะ เพราะถ้าอนาคตตำแหน่งพนักงานเขียนแบบโดน AI และเครื่องจักรแบ่งงานไปได้ ก็คงแสดงว่า ตำแหน่งงานอื่นๆก็คงโดน AI และเครื่องจักรแบ่งงานไปไม่น้อยเลยล่ะ แล้วเราจะไปหางานอะไรทำดี การจะค้าขายส่วนตัวผมว่าก็เสี่ยง เพราะอย่างที่บอกครับ คนตกงานเยอะ คนก็ไม่มีเงินกันเยอะ ค้าขายอะไร ก็คงขายยาก เหมือนที่โรงงานให้ AI และเครื่องจักรผลิตของออกมาขาย แล้วขายไม่ได้นั่นแหละครับ
เขียนไปเขียนมาเริ่มงงตัวเองจริงๆนะครับ จับประเด็นของตัวเองแทบไม่ได้เลย ฮ่าๆๆ (บ้าไปแล้ว)
เอาเป็นว่า ผมเป็นห่วงอนาคตของมนุษย์จริงๆครับ ว่าถ้า AI และเครื่องจักรมันครองโลกจริงๆ มนุษย์อย่างเราๆ จะหางานอะไรทำที่มันได้เงินดีล่ะ แล้วระบบเศรษฐกิจจะมีเงินหมุนเวียนยังไง ถ้ามนุษย์ไม่มีเงินจับจ่ายสินค้าที่ AI และเครื่องจักรผลิตออกมา หรือว่า...ในอนาคตจะเกิดอาชีพใหม่ๆขึ้น อาชีพที่เกิดมาเพื่อมนุษย์โดยเฉพาะ ซึ่ง AI และเครื่องจักรไม่สามารถแทนที่ได้ เช่น...คิดไม่ออกแฮะ ขนาดมีเซ็ก AI และเครื่องจักรยังทำได้เล้ยยยย ความเร็ว ความแรงสม่ำเสมอด้วยนะ ฮ่าๆๆ ยอมๆๆ
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
24 เมษายน 2561
ไม่รู้ว่าผมจะคิดมากไปเองคนเดียวรึเปล่านะครับ แต่ว่ามันก็อดคิดไม่ได้จริงๆแหละ เพราะทุกวันนี้ระบบ AI หรือ Artificial Intelligence (อาร์ตทิฟิคอล อินทอลนิจิน) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ และเครื่องจักรนั้นกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดซะเหลือเกิน บางคน บางอาชีพ ก็เริ่มได้รับผลกระทบบ้างแล้ว
ผมคงไม่ยกตัวอย่างอาชีพที่โดน AI และเครื่องจักรแบ่งสัดส่วนงานไปนะครับ เพราะบทความวันนี้ผมจะพูดถึงว่า เมื่อ AI และเครื่องจักรเอางานของเราไปแล้ว แล้วเราจะไปหางานอะไรทำแทนดีล่ะ ที่มันทำแล้วได้เงินมาใช้เนี่ย
ก่อนที่จะไปเขียนถึงว่า แล้วจะหางาน หาเงินยังไง ผมขอแวะเขียนถึงว่า ในอนาคตถ้า AI และเครื่องจักรทำงานแทนเราเกือบหมด แล้วเราจะมีเงินไปซื้อของที่ AI และเครื่องจักรผลิตออกมาได้ยังไงก่อนนะครับ ลองคิดดูนะครับว่า ถ้าโรงงานแต่ละโรงงาน ใช้ AI และเครื่องจักรในระบบงานผลิตหมด ตั้งแต่เริ่มต้น ยันส่งออกขาย สินค้าออกมาจำหน่ายมากมาย แต่คนดันไม่มีงาน ไม่มีเงิน แล้วสินค้าเหล่านั้นจะขายให้ใคร จะขายออกได้อย่างไร ผมว่าอันนี้ก็น่าคิดนะครับ แล้วมันก็อาจจะเป็นปัญหาในอนาคตก็ได้นะ
ระบบ AI และเครื่องจักรเป็นสิ่งที่ดีนะครับ เพราะบางอย่างมันก็ทำงานได้ดีกว่าคน มันไม่โกง ไม่เหนื่อย ไม่บ่น ไม่เรื่องมาก ไม่อู้ เงินเดือนก็ไม่ต้องจ่าย ลงทุนครั้งเดียว แล้วก็มีค่าซ่อมบำรุงตามสภาพ ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าของงานย่อมอยากได้มากกว่าคนแหละครับ ถ้าผมเป็นเจ้าของงานที่สามารถใช้ระบบ AI และเครื่องจักรผมก็คงยอมลงทุนล่ะครับ แน่นอนว่ามันดีต่อระบบงานของเรา แต่มันก็น่าห่วงว่า มันจะกระทบยอดขายของที่เราผลิตรึเปล่า
ผลิตของออกไปขาย แต่คนตกงาน ไม่มีงาน ไม่มีเงิน แล้วของๆเรา จะขายให้ใครล่ะครับ คำตอบบางคนอาจจะตอบว่า คนตกงาน มันก็ต้องหางานใหม่อยู่แล้ว ไม่ปล่อยให้ตัวเองลำบากไม่มีงาน ไม่มีเงินหรอก หรือไม่ก็อาจจะตอบว่า คิดมากไปรึเปล่า ระบบ AI และเครื่องจักรมันแทนที่คนได้ไม่เยอะหรอก ยังไงๆคนก็ต้องมีงานทำ มีเงินใช้อยู่แล้ว ครับ...ไม่ว่าใครจะคิดยังไง ตอบยังไง แต่บทความนี้ผมจะมาลองมองหางานกันดีกว่าครับ (เขียนไปเขียนมา ผมว่า ผมเริ่มจะเขียนไม่รู้เรื่องละ ฮ่าๆๆ)
ณ ตอนนี้ผมทำงานเป็นพนักงานเขียนแบบอาคารอยู่นะครับ (แล้วก็แอบเขียนบทความ และเรื่องสั้นด้วย) สมมุติว่า วันหนึ่งระบบ AI และเครื่องจักรมันสามารถทำให้เอ็นจิเนียเขียนแบบได้ และเขียนได้รวดเร็ว ถูกต้องกว่าผมขึ้นมา ผมว่าตำแหน่งของผมก็คงต้องโดนโละทิ้งแน่นอนครับ เพราะเจ้าของบริษัทคงไม่อยากจ้างงานซ้ำซ้อน เพราะในเมื่อเอ็นจิเนียก็สามารถออกแบบ พร้อมๆกับเขียนแบบไปได้พร้อมกันแล้ว ตำแหน่งพนักงานเขียนแบบจึงหมดความหมายไป
พอตกงาน ก็ต้องมองหางานใหม่สิครับ เริ่มแรกอาจจะมองหาบริษัทที่ยังไม่ใช้ระบบ AI และเครื่องจักรที่ให้เอ็นจิเนียทำงานรวบหมดซะก่อน พอลองๆหาแล้ว ต่างคนต่างแย่งกัน แล้วเราดันไม่ได้งานซะงั้น ยุ่งล่ะสิ ต้องหางานที่ไม่ใช่งานเขียนแบบซะแล้ว หางานอะไรดีล่ะครับ ?
คนที่พอจะมีความสามารถมากหน่อย ก็น่าจะหางานได้ง่ายหน่อย แต่สำหรับคนธรรมดาๆอย่างผม คงเหนื่อยนะ เพราะถ้าอนาคตตำแหน่งพนักงานเขียนแบบโดน AI และเครื่องจักรแบ่งงานไปได้ ก็คงแสดงว่า ตำแหน่งงานอื่นๆก็คงโดน AI และเครื่องจักรแบ่งงานไปไม่น้อยเลยล่ะ แล้วเราจะไปหางานอะไรทำดี การจะค้าขายส่วนตัวผมว่าก็เสี่ยง เพราะอย่างที่บอกครับ คนตกงานเยอะ คนก็ไม่มีเงินกันเยอะ ค้าขายอะไร ก็คงขายยาก เหมือนที่โรงงานให้ AI และเครื่องจักรผลิตของออกมาขาย แล้วขายไม่ได้นั่นแหละครับ
เขียนไปเขียนมาเริ่มงงตัวเองจริงๆนะครับ จับประเด็นของตัวเองแทบไม่ได้เลย ฮ่าๆๆ (บ้าไปแล้ว)
เอาเป็นว่า ผมเป็นห่วงอนาคตของมนุษย์จริงๆครับ ว่าถ้า AI และเครื่องจักรมันครองโลกจริงๆ มนุษย์อย่างเราๆ จะหางานอะไรทำที่มันได้เงินดีล่ะ แล้วระบบเศรษฐกิจจะมีเงินหมุนเวียนยังไง ถ้ามนุษย์ไม่มีเงินจับจ่ายสินค้าที่ AI และเครื่องจักรผลิตออกมา หรือว่า...ในอนาคตจะเกิดอาชีพใหม่ๆขึ้น อาชีพที่เกิดมาเพื่อมนุษย์โดยเฉพาะ ซึ่ง AI และเครื่องจักรไม่สามารถแทนที่ได้ เช่น...คิดไม่ออกแฮะ ขนาดมีเซ็ก AI และเครื่องจักรยังทำได้เล้ยยยย ความเร็ว ความแรงสม่ำเสมอด้วยนะ ฮ่าๆๆ ยอมๆๆ
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
ตอนที่ 141 (เรื่องสั้น) _ เป็นคำตอบที่...ถูกต้องนะคร้าบบบบ
เป็นคำตอบที่...ถูกต้องนะคร้าบบบบ
20 เมษายน 2561
ขณะที่ผมกำลังนั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์อยู่ที่ห้องอย่างจริงจัง ก็ได้มีข้อความไลน์เด้งขึ้นมาในโทรศัพท์ของผม ซึ่งวางอยู่ข้างๆจอคอมพิวเตอร์
(สติ๊กเกอร์สวัสดี) ทางโน้นส่งสติ๊กเกอร์สวัสดีมาทักทายก่อน
(สติ๊กเกอร์สวัสดี) เพื่อความยุติธรรม ผมก็ส่งสติ๊กเกอร์สวัสดีกลับไป
"เย็นนี้ว่างมั้ย พาไปกินข้าวหน่อยสิ" ทางโน้นถามคำถามที่ผมรู้สึกหนักใจมา
ผมดูเวลาบนโทรศัพท์ แล้วถามกลับไป "ตอนนี้บ่าย 2 เจอกันกี่โมงดีล่ะ"
"เอาเย็นๆหน่อย แดดจะได้ไม่ร้อนมาก สัก 6 โมงละกัน" ทางโน้นเลือกเวลาที่ต้องการมา
"โอเค ได้เลย ว่าแต่จะให้พาไปกินอะไรล่ะ" พอได้เวลานัดแล้ว ต่อไปก็ต้องถามถึงว่าจะกินอะไรล่ะ ซึ่งนี่เป็นคำถามโลกแตกมากๆ
"คิมอยากกินอะไรล่ะ นุชกินอะไรก็ได้ ตามใจคิมเลย" นุชเริ่มสร้างความปวดหัวให้ผมแล้วสิ
"เอ้า ก็นุชชวนคิมนะ ก็นึกว่านุชมีอะไรที่อยากกินแล้วซะอีก" ผมเริ่มคิดหนักว่าจะกินอะไรดีล่ะ ถ้าเกิดว่านุชย้ำว่า...แล้วแต่คิม
"ยังไม่ได้คิดเลย แต่อยากไปกินข้าวข้างนอก แล้วแต่คิมเลือกเลย" นั่นไงล่ะ ความปวดหัวมาแล้ว
ผมเลิกเล่นเกมก่อน เพื่อใช้สมองในการคิดว่า เย็นนี้จะพานุชไปกินอะไรดี ผมต้องคิด วิเคราะห์ แยกแยะอย่างหนัก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาหลังจากที่บอกนุชว่าจะไปกินอะไร หลังจากที่คิดได้สักพัก ก็พอจะคิดออกว่าจะพานุชไปกินอะไรดี
"กินอะไร คิดออกรึยัง" นุชไลน์ถามอีกครั้ง
"เดี๋ยวก่อนสิ ขอคิดแปปหนึ่ง" ผมขอเวลาอีกนิดเพื่อความชัวร์
"อย่าช้าสิ รีบๆเลย นุชจะได้เลือกชุดออกไปกินข้าวถูก" นุชกดดันผมอย่างต่อเนื่อง
"งั้นเอาเป็นสุกี้ละกัน กินแล้วไม่น่าจะอ้วน" ผมเสนอเมนูนี้ออกไป เพราะนุชชอบบ่นอยู่บ่อยๆว่า กางเกงคับบ้าง เสื้อใส่แล้วพุงปลิ้นดูน่าเกลียดบ้าง เผื่อว่านุชจะอยากกินแล้วรู้สึกว่าไม่อ้วนขึ้น
"ไม่เอาล่ะ กินสุกี้ก็ต้องไปกินบนห้าง แล้วกินบนห้างทีไร ต้องมีเดินช็อปปิ้งเสียตังค์ซื้ออย่างอื่นทุกที ช่วงนี้ต้องประหยัดหน่อย" นุชปฏิเสธ พร้อมอธิบายเหตุผล ซึ่งมันก็จริงของนุช เพราะเข้าห้างทีไร มีอันต้องเดินช็อปปิ้งทุกที เหมือนเป็นกลไลอัตโนมัติ เข้าห้องแล้วต้องช็อปปิ้ง ไม่งั้นเหมือนมาไม่ถึง
"งั้นสเต็กมั้ย ร้านนอกห้างก็มี" ผมเสนอไปอีก 1 เมนู เพราะกินสเต็กทีไร ต้องมีสั่งสลัดผักมากินด้วย ก็น่าจะถือว่าโอเคอยู่นะ
"สเต็กเหรอ มันจะเหมือนหมูปิ้งเมื่อเช้าน่ะสิ เมื่อเช้ากินหมูปิ้งไป 4 ไม้แน่ะ" นุชอธิบายซะผมงงเลย
"หมูปิ้ง กับสเต็ก มันเกี่ยวกันตรงไหนเนี้ย" ผมสงสัยมาก เลยต้องถามนุชเลยทีเดียว
"เกี่ยวสิ ก็หมูเหมือนกัน ปิ้งกับย่างก็คล้ายๆกัน แล้วเมื่้อเช้าเพิ่งกินปิ้งไป จะให้กินย่างตอนเย็นอีกเหรอ" นุชพิมพ์มาซะยาว แล้วเหมือนจะมีพลังงานอะไรบางอย่างปนมากับข้อความนี้ซะด้วย
"ก็กินเนื้อแทนสิ" ผมคิดว่าสเต็กเนื้อก็มี เลยแนะนำไป
"กินเนื้อมื้อเย็นไม่ดีนะ ลืมไปแล้วเหรอ" นุชส่งข้อความมาสั้นๆ แต่ทำไมรู้สึกถึงความโมโหก็ไม่รู้
"อ่อ แบบนี้นี่เอง อืม...งั้นหมูกระทะละกัน" ผมเสนอไปอีกเมนู ถึงแม้ว่ามันจะขัดแย้งกับ 2 เมนูที่กินแล้วไม่อ้วนตอนแรกก็เถอะ แล้วมันก็เป็นหมูคล้ายๆหมูปิ้งด้วย
"จริงๆมันก็คล้ายๆหมูปิ้ง กับสเต็กนะ แต่มันน่ากินกว่า" นุชพูดแบบนี้ แสดงว่าน่าจะจบที่หมูกระทะแน่ แต่ผิดคาด ยังไม่จบ "แต่ไม่เอาล่ะ ขี้เกียจสระผม กินหมูกระทะทีไร หัวเหม็นจนต้องสระผมตอนดึกทุกที ไม่เอาดีกว่า" นุชยังคงปฏิเสธเมนูที่ผมเสนอไป
"โห กินอะไรดีล่ะเนี่ย ช่วยคิดหน่อยสิ" ผมเริ่มคิดไม่ออกแล้วว่า จะพาไปกินอะไรดี จนต้องขอให้นุชช่วยคิด
"อะไรก็ได้ ตามใจคิมเลย" นุชยังยืนยันคำเดิม แต่ผมเสนออะไรไปก็ไม่กิน มันชักจะยังไงๆแล้วนะ
สุกี้ไม่กิน เพราะมันอยู่ในห้าง แล้วร้านที่ชอบไปกินส่วนใหญ่ก็อยู่ในห้างซะด้วยสิ ไม่ว่าจะเป็นร้านยำ ร้านพิซซ่า ร้านไก่ทอด ร้านปิ้งย่าง เมนูอะไรที่อยู่ในห้องตัดไปได้เลย
สเต็ก กับหมูกระทะ รวมไปถึงทะเลเผา ก็คงหมดสิทธิ์ เพราะกินแล้วหัวเหม็น นี่น่าจะรวมไปถึงร้านผัดไทที่ไปกินประจำด้วนสินะ เพราะร้านนั้นไปกินทีไร กลับมาต้องสระผมด้วยเหมือนกัน อืม...ถ้างั้นก็ต้องที่นี่แล้วล่ะ
"ไปกินร้านปลาเผาละกัน กำลังอยากกินปลาเผาพอดีเลย" ผมเสนอร้านอาหารร้านประจำที่ชอบไปกินกันในวันพิเศษๆ หรือวันหยุดยาวๆก็ชอบไปนั่งกิน เพราะวันหยุดยาวคนมักจะออกไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือไม่ก็กลับบ้านต่างจังหวัดกัน ทำให้ร้านมีคนไม่เยอะ
"วันนี้วันเสาร์ธรรมดานะคิม ไม่ได้หยุดยาว คนต้องเยอะแน่ๆเลย อีกอย่างนะ มันก็ไม่ใช่วันพิเศษอะไรของเราเลย คิมจะไปกินจริงๆเหรอ" นุชแย้งมาทุกข้อตามที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด
"ก็วันเกิดอยากกินไง นี่แหละวันพิเศษของเรา" แต่ผมก็เตรียมคำตอบแก้ทางไว้แล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า
"โห มุกนี้เลยเหรอคิม แต่ไม่เอาดีกว่า เก็บไว้วันพิเศษจริงๆค่อยไปกินร้านนี้ดีกว่า" นุชก็ยังคงปฏิเสธข้อเสนอของผมอีกครั้ง
ตอนนี้ผมเริ่มหนักหัวละ ต้องเอามือท้าวคาง แล้วก็มองบนเพดานแล้ว เผื่อว่าจะมีเมนูอะไรปิ๊งออกมา ระหว่างที่ผมกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ก็มีคนมาเคาะประตูห้องผม
"ก๊อกๆๆ" เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ผมจึงต้องหยุดคิด แล้วลุกเดินไปเปิดประตู
"อ้าว นุช อะไรเนี่ย ใจร้อนเหรอ มาถึงห้องเชียว" คนที่มาหาผมก็คือ นุชนั่นเอง
"ขี้เกียจพิมพ์ไลน์ละ เหนื่อย มาคุยถึงห้องกันเลยดีกว่า" จริงๆแล้วห้องผม กับห้องนุช อยู่ชั้นเดียวกันในอพาร์ทเม้นท์นี่แหละครับ แต่ด้วยความขี้เกียจลุกจากเตียงของนุช ทำให้นุชชอบไลน์มาคุยกับผมซะมากกว่า
"ฮ่าๆๆ เอาไงว่ามาโลด" ผมอดขำไม่ได้ที่นุชยอมเอาชนะความขี้เกียจลุกมาหาผมถึงห้อง สงสัยความขี้เกียจพิมพ์จะชนะความขี้เกียจลุกจากเตียง
"เอาไงล่ะ ก็มารอให้คิมเลือกนี่แหละ ว่าจะกินอะไร นี่ก็จะบ่ายสามละนะ คุยกันมาเกือบชั่วโมง ยังไม่รู้จะกินอะไรเลย" นุชมาถึงก็บ่นๆๆ
[ก็ใครล่ะ ที่ทำให้ยาก] ผมแอบบ่นในใจ
"งั้นเอางี้ มีร้านอาหารที่เราเคยบอกว่าอยากจะไปกินไง จำได้มั้ย" ผมถามนุช ดูว่านุชจะจำได้มั้ย ซึ้งนุชพยักหน้า "นั่นแหละๆ เราไปร้านนั้นกัน ไปลองกินดู" เมื่อนุชพยักหน้าจำได้ มันก็เข้าทางผมล่ะ ผมเลยเสนอร้านนั้นซะเลย
"แต่ร้านนั้นท่าทางคนจะเยอะนะ ที่เราเล็งๆไว้ว่าจะไปกิน แต่ก็ไม่ได้ไปกินสักที ก็เพราะคนมันน่าจะเยอะไม่ใช่เหรอ" นุชเริ่มแย้งอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ปฏิเสธจนผมต้องถาม "แล้ว..." นุชทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า "ไม่ดีกว่า"
โน้นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา ผมเริ่มโมโหแล้วเหมือนกัน แต่ก็ยังควบคุมอารมณ์ได้อยู่ แล้วก็คิดต่อไปว่าจะกินอะไร แล้วอยู่ๆเหมือนมีคนทำอาหารแถวๆนั้น กลิ่นอาหารลอยมาแตะจมูก ทำให้ผมอยากกิน...
"หอมจริงๆเลย ใครปิ้งไก่แถวนี้เนี่ย ว่าแล้วก็ไปร้านลาบมั้ย ลาบ น้ำตก ส้มตำ ไก่ย่าง แจ่มเลยนะ" ผมพูดไปน้ำลายไหลไป หวังว่านุชจะตอบตกลง เพราะมีกลิ่นมาแตะจมูกขนาดนี้แล้ว
"วันก่อนเพิ่งไปกินกับไอ้เก๋มา ยังไม่อยากกินเลยน่ะ กินอย่างอื่นเถอะ" นุชปฏิเสธอีกครั้ง ทำเอาผมแทบหมดหนทางเดินต่อ
"กินอะไรเนี่ย โน้นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่กิน ไหนว่ากินอะไรก็ได้ตามใจคิมไง" ผมเริ่มโมโหจนต้องพูดให้นุชเข้าใจบ้างแล้ว
"อะไรคิม แค่นี้ก็โมโหแล้วเหรอ เอางี้ละกัน เดี๋ยวคิมแต่งตัวรอนะ หกโมงตรง นุชจะมาเรียก แล้วเราก็ออกไปกินข้าวกัน เดี๋ยวนุชจัดการเอง คิมไม่ต้องละ" นุชบอกผมด้วยอารมณ์นิ่งๆ ไม่ได้โมโหอะไร แถมเหมือนจะแอบอารมณ์ดีอีกต่างหาก ทำเอาผมงงไปเหมือนกัน
"โอเค ได้เลย แล้วให้แต่งตัวยังไงล่ะ" ผมโล่งใจขึ้นเยอะเลย ที่ไม่ต้องคิดแล้วว่าเย็นนี้จะพานุชไปกินอะไรดี
"เสื้อยืด เกงยีนส์นี่แหละ ขาสั้นก็ได้นะ ถ้าใส่ขายาวแล้วร้อนน่ะ" นุชอธิบายการแต่งตัวให้ผมฟัง
"ห๊ะ มันแต่งตัวสบายๆขนาดนั้นเชียวเหรอเนี่ย" ผมสงสัยหนักเลยทีเดียว ว่าจะชวนผมไปกินอะไร ทำไมให้แต่งตัวสบายๆเหลือเกิน
"เอาน่ะ ไปละ หกโมงเจอกัน" แล้วนุชก็กลับห้องไป
ผมก็ยังคงงงๆอยู่ว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น จะมาก็มา จะไปก็ไป แล้วเสนออะไรไปก็ไม่เอา ปฏิเสธอย่างเดียว แล้วอยู่ๆบอกว่าไม่ต้องละ เดี๋ยวพาไปกินเอง ผมคิดไปคิดมาก็งง แต่ไหนๆเวลาก็ยังเหลือ ผมเลยเล่นเกมต่อดีกว่า
"ก๊อกๆๆ" เสียงเคาะประตูดังขึ้น นุชคงมาแล้ว ผมเลยไปเปิดประตูให้
"โว๊ะ ใส่ชุดราตรีทำไมเนี่ย" ผมตกใจเมื่อเห็นนุชอยู่ในชุดราตรีที่เป็นเดรสสีม่วงอ่อน
"เปิดตู้หาชุดใส่ แล้วบังเอิญเจอชุดนี้ อยู่ๆก็อยากใส่ ก็เลยหยิบมาใส่มันซะเลยน่ะ" นุชพูดไปยิ้มไป ดูหน้าตามีความสุขมาก
"แบบนี้คิมต้องเปลี่ยนชุดมั้ยเนี่ย" ตอนนี้ผมใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น แทบจะเป็นชุดอยู่บ้านเลยทีเดียว
"ไม่ต้องๆ ใส่แบบนี้แหละ ปะ ไปกันเลย หิวละ" ว่าแล้วนุชก็ลากผมออกจากห้องอย่างรวดเร็ว
หลังจากเดินลงมาจากอพาร์ทเม้นท์ ผมก็กำลังจะเดินไปที่จอดรถ แต่นุชกลับบอกว่าไม่ต้องเอารถไปหรอก ผมก็ตามใจ สงสัยไม่อยากให้ขับรถไป คงกลัวไม่มีที่จอดรถ ผมเดินตามนุชออกไปถึงประตูรั้วของอพาร์ทเม้นท์ เห็นรถแท็กซี่เปิดไฟว่างมาพอดี กำลังจะโบกรถ นุชหันมาบอกว่าไม่ต้องโบกนะ ผมยิ่งงงไปกันใหญ่ แล้วนุชก็ชี้ไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวปลาซึ่งเป็นร้านตึกแถวอยู่ติดกับอพาร์ทเม้นท์
"ก๋วยเตี๋ยวปลาเนี่ยนะ" ผมถามนุชด้วยความสงสัยสุดๆ
"ใช่ ก๋วยเตี๋ยวปลา ทำไม ไม่กินเหรอ ถ้าไม่กินก็กลับกันเลยนะ" นุชทำท่าทางเหมือนจะไม่พอใจผม จนผมไม่กล้าปฏิเสธ และถามอะไรอีก
ผมกับนุชไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวปลา ซึ่งร้านจะเป็นตึกแถว บริเวณทำก๋วยเตี๋ยวจะอยู่ตรงหน้าตึกพอดี ภายในตึกก็จะมีโต๊ะอยู่ 5 โต๊ะ ส่วนหน้าตึกหรือหน้าร้านจะมีอยู่ 3 โต๊ะ นุชเลือกที่จะนั่งเด่นเป็นสง่าด้วยชุดราตรีเดรสสีม่วงอ่อนที่โต๊ะหน้าร้าน
ระหว่างที่กำลังกินก๋วยเตี๋ยวปลากันไป ผมก็สังเกตเห็นคนแอบมองผมกับนุชกันหลายคนเลย เขาคงคิดว่าหมาวัดจะเด็ดดอกฟ้า หรือไม่ก็เจ้านายสาวสวยกับคนขับรถรึเปล่าน้อ เพราะการแต่งตัวของผมกับนุชมันช่างต่างกันเหลือเกิน
"นุช ถามอะไรหน่อย" ผมถามขึ้นระหว่างที่นุชกำลังคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก
"อืมๆ มีไร" นุชเคี้ยวเส้นก๋วยเตี๋ยวแล้วพยายามถามผมกลับ
"ประจำเดือนมาปะเนี่ย" อยู่ๆผมก็เกิดสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมา
"ใช่ ทำไมเหรอ" นุชตอบผม แล้วมองหน้าผมแบบงงๆ
[นั่นไงกูว่าแล้ว] ผมคิดในใจ
"ไม่มีอะไร กินต่อๆ อิ่มมั้ยน่ะ เบิ้ลอีกชามปะ" ผมกลัวนุชจะไม่อิ่ม เลยถามเบิ้ลให้เลย ซึ่งแน่นอนว่า นุชไม่ปฏิเสธ
20 เมษายน 2561
ขณะที่ผมกำลังนั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์อยู่ที่ห้องอย่างจริงจัง ก็ได้มีข้อความไลน์เด้งขึ้นมาในโทรศัพท์ของผม ซึ่งวางอยู่ข้างๆจอคอมพิวเตอร์
(สติ๊กเกอร์สวัสดี) ทางโน้นส่งสติ๊กเกอร์สวัสดีมาทักทายก่อน
(สติ๊กเกอร์สวัสดี) เพื่อความยุติธรรม ผมก็ส่งสติ๊กเกอร์สวัสดีกลับไป
"เย็นนี้ว่างมั้ย พาไปกินข้าวหน่อยสิ" ทางโน้นถามคำถามที่ผมรู้สึกหนักใจมา
ผมดูเวลาบนโทรศัพท์ แล้วถามกลับไป "ตอนนี้บ่าย 2 เจอกันกี่โมงดีล่ะ"
"เอาเย็นๆหน่อย แดดจะได้ไม่ร้อนมาก สัก 6 โมงละกัน" ทางโน้นเลือกเวลาที่ต้องการมา
"โอเค ได้เลย ว่าแต่จะให้พาไปกินอะไรล่ะ" พอได้เวลานัดแล้ว ต่อไปก็ต้องถามถึงว่าจะกินอะไรล่ะ ซึ่งนี่เป็นคำถามโลกแตกมากๆ
"คิมอยากกินอะไรล่ะ นุชกินอะไรก็ได้ ตามใจคิมเลย" นุชเริ่มสร้างความปวดหัวให้ผมแล้วสิ
"เอ้า ก็นุชชวนคิมนะ ก็นึกว่านุชมีอะไรที่อยากกินแล้วซะอีก" ผมเริ่มคิดหนักว่าจะกินอะไรดีล่ะ ถ้าเกิดว่านุชย้ำว่า...แล้วแต่คิม
"ยังไม่ได้คิดเลย แต่อยากไปกินข้าวข้างนอก แล้วแต่คิมเลือกเลย" นั่นไงล่ะ ความปวดหัวมาแล้ว
ผมเลิกเล่นเกมก่อน เพื่อใช้สมองในการคิดว่า เย็นนี้จะพานุชไปกินอะไรดี ผมต้องคิด วิเคราะห์ แยกแยะอย่างหนัก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาหลังจากที่บอกนุชว่าจะไปกินอะไร หลังจากที่คิดได้สักพัก ก็พอจะคิดออกว่าจะพานุชไปกินอะไรดี
"กินอะไร คิดออกรึยัง" นุชไลน์ถามอีกครั้ง
"เดี๋ยวก่อนสิ ขอคิดแปปหนึ่ง" ผมขอเวลาอีกนิดเพื่อความชัวร์
"อย่าช้าสิ รีบๆเลย นุชจะได้เลือกชุดออกไปกินข้าวถูก" นุชกดดันผมอย่างต่อเนื่อง
"งั้นเอาเป็นสุกี้ละกัน กินแล้วไม่น่าจะอ้วน" ผมเสนอเมนูนี้ออกไป เพราะนุชชอบบ่นอยู่บ่อยๆว่า กางเกงคับบ้าง เสื้อใส่แล้วพุงปลิ้นดูน่าเกลียดบ้าง เผื่อว่านุชจะอยากกินแล้วรู้สึกว่าไม่อ้วนขึ้น
"ไม่เอาล่ะ กินสุกี้ก็ต้องไปกินบนห้าง แล้วกินบนห้างทีไร ต้องมีเดินช็อปปิ้งเสียตังค์ซื้ออย่างอื่นทุกที ช่วงนี้ต้องประหยัดหน่อย" นุชปฏิเสธ พร้อมอธิบายเหตุผล ซึ่งมันก็จริงของนุช เพราะเข้าห้างทีไร มีอันต้องเดินช็อปปิ้งทุกที เหมือนเป็นกลไลอัตโนมัติ เข้าห้องแล้วต้องช็อปปิ้ง ไม่งั้นเหมือนมาไม่ถึง
"งั้นสเต็กมั้ย ร้านนอกห้างก็มี" ผมเสนอไปอีก 1 เมนู เพราะกินสเต็กทีไร ต้องมีสั่งสลัดผักมากินด้วย ก็น่าจะถือว่าโอเคอยู่นะ
"สเต็กเหรอ มันจะเหมือนหมูปิ้งเมื่อเช้าน่ะสิ เมื่อเช้ากินหมูปิ้งไป 4 ไม้แน่ะ" นุชอธิบายซะผมงงเลย
"หมูปิ้ง กับสเต็ก มันเกี่ยวกันตรงไหนเนี้ย" ผมสงสัยมาก เลยต้องถามนุชเลยทีเดียว
"เกี่ยวสิ ก็หมูเหมือนกัน ปิ้งกับย่างก็คล้ายๆกัน แล้วเมื่้อเช้าเพิ่งกินปิ้งไป จะให้กินย่างตอนเย็นอีกเหรอ" นุชพิมพ์มาซะยาว แล้วเหมือนจะมีพลังงานอะไรบางอย่างปนมากับข้อความนี้ซะด้วย
"ก็กินเนื้อแทนสิ" ผมคิดว่าสเต็กเนื้อก็มี เลยแนะนำไป
"กินเนื้อมื้อเย็นไม่ดีนะ ลืมไปแล้วเหรอ" นุชส่งข้อความมาสั้นๆ แต่ทำไมรู้สึกถึงความโมโหก็ไม่รู้
"อ่อ แบบนี้นี่เอง อืม...งั้นหมูกระทะละกัน" ผมเสนอไปอีกเมนู ถึงแม้ว่ามันจะขัดแย้งกับ 2 เมนูที่กินแล้วไม่อ้วนตอนแรกก็เถอะ แล้วมันก็เป็นหมูคล้ายๆหมูปิ้งด้วย
"จริงๆมันก็คล้ายๆหมูปิ้ง กับสเต็กนะ แต่มันน่ากินกว่า" นุชพูดแบบนี้ แสดงว่าน่าจะจบที่หมูกระทะแน่ แต่ผิดคาด ยังไม่จบ "แต่ไม่เอาล่ะ ขี้เกียจสระผม กินหมูกระทะทีไร หัวเหม็นจนต้องสระผมตอนดึกทุกที ไม่เอาดีกว่า" นุชยังคงปฏิเสธเมนูที่ผมเสนอไป
"โห กินอะไรดีล่ะเนี่ย ช่วยคิดหน่อยสิ" ผมเริ่มคิดไม่ออกแล้วว่า จะพาไปกินอะไรดี จนต้องขอให้นุชช่วยคิด
"อะไรก็ได้ ตามใจคิมเลย" นุชยังยืนยันคำเดิม แต่ผมเสนออะไรไปก็ไม่กิน มันชักจะยังไงๆแล้วนะ
สุกี้ไม่กิน เพราะมันอยู่ในห้าง แล้วร้านที่ชอบไปกินส่วนใหญ่ก็อยู่ในห้างซะด้วยสิ ไม่ว่าจะเป็นร้านยำ ร้านพิซซ่า ร้านไก่ทอด ร้านปิ้งย่าง เมนูอะไรที่อยู่ในห้องตัดไปได้เลย
สเต็ก กับหมูกระทะ รวมไปถึงทะเลเผา ก็คงหมดสิทธิ์ เพราะกินแล้วหัวเหม็น นี่น่าจะรวมไปถึงร้านผัดไทที่ไปกินประจำด้วนสินะ เพราะร้านนั้นไปกินทีไร กลับมาต้องสระผมด้วยเหมือนกัน อืม...ถ้างั้นก็ต้องที่นี่แล้วล่ะ
"ไปกินร้านปลาเผาละกัน กำลังอยากกินปลาเผาพอดีเลย" ผมเสนอร้านอาหารร้านประจำที่ชอบไปกินกันในวันพิเศษๆ หรือวันหยุดยาวๆก็ชอบไปนั่งกิน เพราะวันหยุดยาวคนมักจะออกไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือไม่ก็กลับบ้านต่างจังหวัดกัน ทำให้ร้านมีคนไม่เยอะ
"วันนี้วันเสาร์ธรรมดานะคิม ไม่ได้หยุดยาว คนต้องเยอะแน่ๆเลย อีกอย่างนะ มันก็ไม่ใช่วันพิเศษอะไรของเราเลย คิมจะไปกินจริงๆเหรอ" นุชแย้งมาทุกข้อตามที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด
"ก็วันเกิดอยากกินไง นี่แหละวันพิเศษของเรา" แต่ผมก็เตรียมคำตอบแก้ทางไว้แล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า
"โห มุกนี้เลยเหรอคิม แต่ไม่เอาดีกว่า เก็บไว้วันพิเศษจริงๆค่อยไปกินร้านนี้ดีกว่า" นุชก็ยังคงปฏิเสธข้อเสนอของผมอีกครั้ง
ตอนนี้ผมเริ่มหนักหัวละ ต้องเอามือท้าวคาง แล้วก็มองบนเพดานแล้ว เผื่อว่าจะมีเมนูอะไรปิ๊งออกมา ระหว่างที่ผมกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ก็มีคนมาเคาะประตูห้องผม
"ก๊อกๆๆ" เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ผมจึงต้องหยุดคิด แล้วลุกเดินไปเปิดประตู
"อ้าว นุช อะไรเนี่ย ใจร้อนเหรอ มาถึงห้องเชียว" คนที่มาหาผมก็คือ นุชนั่นเอง
"ขี้เกียจพิมพ์ไลน์ละ เหนื่อย มาคุยถึงห้องกันเลยดีกว่า" จริงๆแล้วห้องผม กับห้องนุช อยู่ชั้นเดียวกันในอพาร์ทเม้นท์นี่แหละครับ แต่ด้วยความขี้เกียจลุกจากเตียงของนุช ทำให้นุชชอบไลน์มาคุยกับผมซะมากกว่า
"ฮ่าๆๆ เอาไงว่ามาโลด" ผมอดขำไม่ได้ที่นุชยอมเอาชนะความขี้เกียจลุกมาหาผมถึงห้อง สงสัยความขี้เกียจพิมพ์จะชนะความขี้เกียจลุกจากเตียง
"เอาไงล่ะ ก็มารอให้คิมเลือกนี่แหละ ว่าจะกินอะไร นี่ก็จะบ่ายสามละนะ คุยกันมาเกือบชั่วโมง ยังไม่รู้จะกินอะไรเลย" นุชมาถึงก็บ่นๆๆ
[ก็ใครล่ะ ที่ทำให้ยาก] ผมแอบบ่นในใจ
"งั้นเอางี้ มีร้านอาหารที่เราเคยบอกว่าอยากจะไปกินไง จำได้มั้ย" ผมถามนุช ดูว่านุชจะจำได้มั้ย ซึ้งนุชพยักหน้า "นั่นแหละๆ เราไปร้านนั้นกัน ไปลองกินดู" เมื่อนุชพยักหน้าจำได้ มันก็เข้าทางผมล่ะ ผมเลยเสนอร้านนั้นซะเลย
"แต่ร้านนั้นท่าทางคนจะเยอะนะ ที่เราเล็งๆไว้ว่าจะไปกิน แต่ก็ไม่ได้ไปกินสักที ก็เพราะคนมันน่าจะเยอะไม่ใช่เหรอ" นุชเริ่มแย้งอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ปฏิเสธจนผมต้องถาม "แล้ว..." นุชทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า "ไม่ดีกว่า"
โน้นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา ผมเริ่มโมโหแล้วเหมือนกัน แต่ก็ยังควบคุมอารมณ์ได้อยู่ แล้วก็คิดต่อไปว่าจะกินอะไร แล้วอยู่ๆเหมือนมีคนทำอาหารแถวๆนั้น กลิ่นอาหารลอยมาแตะจมูก ทำให้ผมอยากกิน...
"หอมจริงๆเลย ใครปิ้งไก่แถวนี้เนี่ย ว่าแล้วก็ไปร้านลาบมั้ย ลาบ น้ำตก ส้มตำ ไก่ย่าง แจ่มเลยนะ" ผมพูดไปน้ำลายไหลไป หวังว่านุชจะตอบตกลง เพราะมีกลิ่นมาแตะจมูกขนาดนี้แล้ว
"วันก่อนเพิ่งไปกินกับไอ้เก๋มา ยังไม่อยากกินเลยน่ะ กินอย่างอื่นเถอะ" นุชปฏิเสธอีกครั้ง ทำเอาผมแทบหมดหนทางเดินต่อ
"กินอะไรเนี่ย โน้นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่กิน ไหนว่ากินอะไรก็ได้ตามใจคิมไง" ผมเริ่มโมโหจนต้องพูดให้นุชเข้าใจบ้างแล้ว
"อะไรคิม แค่นี้ก็โมโหแล้วเหรอ เอางี้ละกัน เดี๋ยวคิมแต่งตัวรอนะ หกโมงตรง นุชจะมาเรียก แล้วเราก็ออกไปกินข้าวกัน เดี๋ยวนุชจัดการเอง คิมไม่ต้องละ" นุชบอกผมด้วยอารมณ์นิ่งๆ ไม่ได้โมโหอะไร แถมเหมือนจะแอบอารมณ์ดีอีกต่างหาก ทำเอาผมงงไปเหมือนกัน
"โอเค ได้เลย แล้วให้แต่งตัวยังไงล่ะ" ผมโล่งใจขึ้นเยอะเลย ที่ไม่ต้องคิดแล้วว่าเย็นนี้จะพานุชไปกินอะไรดี
"เสื้อยืด เกงยีนส์นี่แหละ ขาสั้นก็ได้นะ ถ้าใส่ขายาวแล้วร้อนน่ะ" นุชอธิบายการแต่งตัวให้ผมฟัง
"ห๊ะ มันแต่งตัวสบายๆขนาดนั้นเชียวเหรอเนี่ย" ผมสงสัยหนักเลยทีเดียว ว่าจะชวนผมไปกินอะไร ทำไมให้แต่งตัวสบายๆเหลือเกิน
"เอาน่ะ ไปละ หกโมงเจอกัน" แล้วนุชก็กลับห้องไป
ผมก็ยังคงงงๆอยู่ว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น จะมาก็มา จะไปก็ไป แล้วเสนออะไรไปก็ไม่เอา ปฏิเสธอย่างเดียว แล้วอยู่ๆบอกว่าไม่ต้องละ เดี๋ยวพาไปกินเอง ผมคิดไปคิดมาก็งง แต่ไหนๆเวลาก็ยังเหลือ ผมเลยเล่นเกมต่อดีกว่า
"ก๊อกๆๆ" เสียงเคาะประตูดังขึ้น นุชคงมาแล้ว ผมเลยไปเปิดประตูให้
"โว๊ะ ใส่ชุดราตรีทำไมเนี่ย" ผมตกใจเมื่อเห็นนุชอยู่ในชุดราตรีที่เป็นเดรสสีม่วงอ่อน
"เปิดตู้หาชุดใส่ แล้วบังเอิญเจอชุดนี้ อยู่ๆก็อยากใส่ ก็เลยหยิบมาใส่มันซะเลยน่ะ" นุชพูดไปยิ้มไป ดูหน้าตามีความสุขมาก
"แบบนี้คิมต้องเปลี่ยนชุดมั้ยเนี่ย" ตอนนี้ผมใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น แทบจะเป็นชุดอยู่บ้านเลยทีเดียว
"ไม่ต้องๆ ใส่แบบนี้แหละ ปะ ไปกันเลย หิวละ" ว่าแล้วนุชก็ลากผมออกจากห้องอย่างรวดเร็ว
หลังจากเดินลงมาจากอพาร์ทเม้นท์ ผมก็กำลังจะเดินไปที่จอดรถ แต่นุชกลับบอกว่าไม่ต้องเอารถไปหรอก ผมก็ตามใจ สงสัยไม่อยากให้ขับรถไป คงกลัวไม่มีที่จอดรถ ผมเดินตามนุชออกไปถึงประตูรั้วของอพาร์ทเม้นท์ เห็นรถแท็กซี่เปิดไฟว่างมาพอดี กำลังจะโบกรถ นุชหันมาบอกว่าไม่ต้องโบกนะ ผมยิ่งงงไปกันใหญ่ แล้วนุชก็ชี้ไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวปลาซึ่งเป็นร้านตึกแถวอยู่ติดกับอพาร์ทเม้นท์
"ก๋วยเตี๋ยวปลาเนี่ยนะ" ผมถามนุชด้วยความสงสัยสุดๆ
"ใช่ ก๋วยเตี๋ยวปลา ทำไม ไม่กินเหรอ ถ้าไม่กินก็กลับกันเลยนะ" นุชทำท่าทางเหมือนจะไม่พอใจผม จนผมไม่กล้าปฏิเสธ และถามอะไรอีก
ผมกับนุชไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวปลา ซึ่งร้านจะเป็นตึกแถว บริเวณทำก๋วยเตี๋ยวจะอยู่ตรงหน้าตึกพอดี ภายในตึกก็จะมีโต๊ะอยู่ 5 โต๊ะ ส่วนหน้าตึกหรือหน้าร้านจะมีอยู่ 3 โต๊ะ นุชเลือกที่จะนั่งเด่นเป็นสง่าด้วยชุดราตรีเดรสสีม่วงอ่อนที่โต๊ะหน้าร้าน
ระหว่างที่กำลังกินก๋วยเตี๋ยวปลากันไป ผมก็สังเกตเห็นคนแอบมองผมกับนุชกันหลายคนเลย เขาคงคิดว่าหมาวัดจะเด็ดดอกฟ้า หรือไม่ก็เจ้านายสาวสวยกับคนขับรถรึเปล่าน้อ เพราะการแต่งตัวของผมกับนุชมันช่างต่างกันเหลือเกิน
"นุช ถามอะไรหน่อย" ผมถามขึ้นระหว่างที่นุชกำลังคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก
"อืมๆ มีไร" นุชเคี้ยวเส้นก๋วยเตี๋ยวแล้วพยายามถามผมกลับ
"ประจำเดือนมาปะเนี่ย" อยู่ๆผมก็เกิดสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมา
"ใช่ ทำไมเหรอ" นุชตอบผม แล้วมองหน้าผมแบบงงๆ
[นั่นไงกูว่าแล้ว] ผมคิดในใจ
"ไม่มีอะไร กินต่อๆ อิ่มมั้ยน่ะ เบิ้ลอีกชามปะ" ผมกลัวนุชจะไม่อิ่ม เลยถามเบิ้ลให้เลย ซึ่งแน่นอนว่า นุชไม่ปฏิเสธ
ตอนที่ 140 (บทความ) _ ควันหลงหลังวันสงกรานต์
ควันหลงหลังวันสงกรานต์
17 เมษายน 2561
ผ่านไปแล้ววันสงกรานต์ และวันหยุดยาว เป็นยังไงกันบ้างล่ะครับ ได้พักผ่อนเติมพลังกันบ้างมั้ยครับ บางคนก็ได้พักเนอะ แต่บางคนก็ยังต้องทำงาน ยิ่งสายการรักษาแล้ว น่าจะยิ่งเหนื่อยนะครับ ยังก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนนะครับ
สำหรับตัวผมนั้นก็ได้หยุดยาวพักผ่อนครับ ตั้งแต่วันที่ 10 ยาวถึง 16 เลยทีเดียว ต้องบอกว่าได้พักใจครับ เพราะร่างกายเหมือนไม่ได้พักเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าเอาแต่เที่ยวจนร่างกายไม่ได้พักนะครับ แต่เป็นเพราะต้องสู้รบกับลูกชายต่างหากล่ะครับ ไม่ได้พักเลย ฮ่าๆๆ
เช้ามืดวันที่ 10 ตื่นตั้งแต่ตี 5 เพราะต้องขึ้นเครื่องบินกลับเชียงรายเวลา 7 โมงเช้า ไปลงที่เชียงรายเสร็จ ประมาณ 9 โมง แฟนก็มารับด้วยมอเตอร์ไซค์ หลังจากนั้นก็แว๊นมอเตอร์ไซค์กลับบ้านอีกประมาณ 1 ชั่วโมงครับ ถึงบ้านก็ง่วงๆ เพลียๆอยากนอนสักงีบ แต่ด้วยความที่เป็นพ่อคนเนอะ เจ้าลูกชายก็เลยไม่มีเวลาให้พ่อมันได้พักผ่อนหรอก เจอหน้ากันก็ชวนเล่นนั่นเล่นนี่แทบจะตลอดเวลาครับ กว่าจะมืด กว่าจะได้นอนก็ดึกเลย นานๆเจอกันที เจ้าลูกชายก็ดีใจมาก จนไม่ยอมหลับยอมนอน บอกเลยว่าเพลียครับ
วันต่อๆมาก็ต้องตื่นเช้าครับ เพราะแถวบ้านยังคงยึดวิถีชาวบ้านไว้อยู่ ไปวัดตอนเช้าๆ สายๆก็ไปไร่ไปสวน ไม่มีหรอกครับที่จะได้พักแบบคนในเมืองที่นอนดึกตื่นสาย ผู้ใหญ่แถวบ้านก็วิถีชาวบ้านไปครับ ส่วนตัวผมก็วิถีคนเป็นพ่อครับ ทั้งวันวุ่นอยู่กับลูกชายวัย 6 ขวบ อยู่ด้วยกันทั้งวันจริงๆนะครับ ตื่นมาก็วิ่งมานั่งตักพ่อมันก่อนละ อ้อนนั่นอ้อนนี่ ชวนเล่นอะไรไปเรื่อย ไม่มีเวลาพักจริงๆครับ แล้วลูกชายดันดื้อซะด้วยสิ พูดอะไร ห้ามอะไรก็ไม่ค่อยฟัง เหนื่อยคูณสองไปเลยครับ
เจ้าลูกชายบอกว่า อยากได้แท็บเล็ต เพราะลูกพี่ลูกน้องข้างบ้านมีแท็บเล็ตเอามาเล่นโชว์ อยากได้ใหญ่เลยครับ มาบอกผมว่าให้ซื้อให้หน่อย ผมก็บอกว่า เดี๋ยวจะแอบไปซื่้อให้ แต่จริงๆผมซื้อมาแล้วครับ แค่ยังไม่ให้เท่านั้นเอง กะจะเอาให้ตอนวันเกิดครับ วันเกิดลูกชายวันที่ 13 ครับ เกิดวันดีจริงๆ ถ้ามันโตมา มันคงได้ฉลองวันเกิดพร้อมสงกรานต์เมาสุดเหวี่ยงแน่นอน พ่อมันคิดล่วงหน้าแล้วกลุ้มใจรอเลยนะครับเนี่ย
พอผมบอกว่าจะแอบไปซื้อแท็บเล็ตให้เท่านั้นแหละ ถามผมทั้งวันเลยครับ เมื่อไหร่จะแอบไปซื้อสักที เพราะคงเห็นผมอยู่บ้านเล่นด้วยตลอดล่ะมั้งครับ เลยถามแล้วถามอีก แถมมีบังคับพ่อมันด้วยนะ พ่อไปซื้อสิ ไปซื้อเลย ไม่ต้องแอบ ฮ่าๆๆ ก็คนมันอยากได้อะเนอะ ไล่ไปซื้อซะเลย ผมก็ได้แต่บอกว่า เดี๋ยวก่อนๆ เดี๋ยวจะแอบไป
ถึงวันที่ 13 วันเกิด ผมบอกว่า ถ้าเป่าเค้กเสร็จ จะเอาแท็บเล็ตให้ คืนนั้นมีงานเลี้ยงวันเกิดครับ ข้าวไม่ยอมกินครับ ถามหาเค้กใหญ่เลย จะเอามาเป่าเลย ฮ่าๆๆ ก็บอกแล้วคนมันอยากได้ รีบใหญ่เลย ผมก็แกล้งสิครับ ดึงเวลาไปซะจนเกือบ 3 ทุ่ม แล้วมีจังหวะที่ผมได้ไปนั่งใกล้แม่ยายครับ แม่ยายบอกว่า ลูกชายมาคุยด้วย บอกว่า สงสัยพ่อจะโกหกที่บอกว่าจะซื้อแท็บเล็ตให้ เพราะไม่เห็นพ่อจะแอบไปซื้อเลย ผมนี่ขำเลยครับ แต่ในความขำ มันมีเรื่องจริงจังอยู่นะครับ เพราะใครที่สัญญาอะไรไว้กับลูก ควรทำตามสัญญานะครับ เพราะเราคือแบบอย่างที่ลูกจะจำจดและทำตาม ดังนั้นเราควรเป็นแบบอย่างที่ดีนะครับ อย่าไปสัญญาอะไรส่งๆไป เพราะถ้าลูกจำจดว่า เราชอบโกหก ลูกก็จะเป็นเด็กขี้โกหกได้นะครับ
ถ้าถึงเวลาส่งมอบแท็บเล็ต หน้าตางี้โคตรดีใจเลยครับ มีความสุขนะครับ เวลาเห็นลูกดีใจ แต่ก็ต้องมีขัดใจลูกชายเล็กน้อย เพราะผมตั้งเวลาให้เล่นได้ครั้งละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าจะเล่นอีก ก็ต้องใส่รหัสผ่าน ถึงจะเพิ่มได้อีก 1 ชั่วโมง ผมฝากรหัสผ่านไว้ที่แม่ยาย ก็หวังว่าลูกชายจะไม่แอบรู้รหัสแล้วเอาไปใส่เองนะ การตั้งเวลาเล่นไว้ก็ดีนะครับ ลูกจะได้รู้จักบริหารเวลา ว่าใน 1 ชั่วโมง ควรเล่นอันไหนก่อน ควรดูอันไหนก่อน ไม่ใช่เล่นทุกอย่าง เบื่ออันนั้นไปเล่นอันนี้ เบื่ออันนี้ย้อนกลับไปเล่นอันนั้น เล่นจนไม่รู้ว่าอันไหนสำคัญ เล่นจนไม่รู้จักบริหารเวลา
ช่วงที่ผมอยู่ด้วยอีกหลายวัน ผมก็เป็นคนดูแลแท็บเล็ตล่ะครับ ผมให้เล่นครั้งละ 1 ชั่วโมง พัก 1 ชั่วโมงสลับกันไป แต่ถ้าดื้อกับพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่คนอื่น ผมก็จะเพิ่มเวลาพักครับ ดื้อ 1 ครั้ง เพิ่ม 10 นาที แล้วมีช่วงจังหวะเล่นน้่ำสงกรานต์ ลูกชายก็เล่นสนุกเกิน เอาปืนฉีดน้ำมาไล่ฉีดคนในบ้านครับ เจอเพิ่มเวลาไป 40 นาทีได้พักเล่นแท็บเล็ตยาวเลยครับ พอเล่นน้ำเสร็จ ก็วิ่งมาถามพ่อมันใหญ่เลย ใกล้หมดเวลารึยังๆๆ เจอเวลาพักไป 1 ชั่วโมง 40 นาที คงใจจะขาดล่ะครับ ยิ่งกำลังเห่อของใหม่อยู่ด้วย มาเจอยืดเวลาแบบนี้ ใจจะขาด ฮ่าๆๆ
ดีหน่อยว่าลูกชายยังไม่ค่อยติดเกมครับ เท่าที่ดูลูกเลย เหมือนกับว่ายังขี้เกียจคิดน่ะครับ เวลาเล่นตรงไหนไม่ผ่าน ก็จะโยนให้พ่อเล่นให้ผ่านหน่อย พอพ่อมันไม่เล่นให้ หรือเล่นแล้วไม่ผ่าน (เกมเด็ก แต่ผู้ใหญ่เล่นไม่ผ่าน เกมอะไรยากจริงๆ) ก็จะเลิกเล่นเกมนั้นไปก่อน เหมือนขี้เกียจหาวิธีชนะ แล้วก็หันไปดูการ์ตูนในยูทูปแทน ผมว่าเด็กดูการ์ตูนน่าจะดีกว่าเด็กเล่นเกมนนะครับ เพราะได้ฝึกจินตนาการ แล้วก็ฝึกจำด้วย การ์ตูนบางเรื่องผมเห็นลูกซ้ำทุกวันนะครับ ดูจนจำได้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น อืม...ก็ดีนะ ฝึกจำ แต่เล่นเกมก็ดีไปอีกแบบ ฝึกการหาวิธีชนะ สรุปคือ มันดีทั้ง 2 แบบนั่นแหละครับ แต่ควรให้อยู่ในเวลาที่พอเหมาะซะมากกว่า เพราะถ้าอะไรมากเกินไป ผมเกรงว่า สมองจะล้าจนเด็กเบลอนะ
พอถึงวันที่ผมต้องกลับมาทำงานต่อที่เชียงราย แน่นอนว่ามันก็ต้องมีเศร้ากันบ้าง ลูกชายนี่เศร้าเห็นได้ชัดเลยครับ จากที่ดื้อๆ วิ่งเล่นซนๆ กลายเป็นไม่ดื้อ ไม่ค่อยวิ่งไปไหนเท่าไหร่ วนๆเวียนๆอยู่เงียบๆกับพ่อมันนี่แหละ พอผมจะกลับ ลูกชายก็มาหอมแก้มผม แล้วก็ให้พ่อมันหอมแก้มคืนด้วยครับ ซึ่งอันนี้ต้องบอกว่าเซอร์ไพรส์มากครับ เพราะปกติกว่าผมจะหอมแก้มลูกได้นี่ ยากมากกกก เพราะไม่ยอมให้หอม แต่นี่มาหอมพ่อมันก่อนเลย แล้วยังให้พ่อมันหอมคืนด้วย จังหวะนั้นน้ำตาแทบไหล เพราะต้องจากกันสักระยะอีกแล้ว ที่น้ำตาจะไหลก็เพราะเราเป็นห่วงลูกนั่นแหละครับ จะเล่นกับใคร อยู่ยังไง ใครจะสอนอะไรให้ เพราะตอนผมอยู่ด้วย ผมพยายามสอนเรื่องการใช้ชีวิตกับคนอื่นเยอะมากนะครับ สอนเรื่องสังคม มารยาท ไม่รู้ว่าจะจำมั้ย แต่ก็พยายามสอนไป ดีกว่าไม่สอนเลย
ณ เพลาที่นั่งเขียนบทความอยู่นี่ ก็เวลาทำงานแล้วล่ะครับ ได้พักใจ ก็มีแรงใจขึ้นมาครับ แต่ต้องยอมรับว่า กายยังเหนื่อยอยู่ เหมือนไม่ได้พักจริงๆนะครับ ใครที่มีลูกซนๆดื้อๆ น่าจะพอเข้าใจ ฮ่าๆๆ
เอาเป็นว่า ขอจบบทความเพียงเท่านี้ครับ ขอให้มีแรงทำงานกันทุกคนนะครับ
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
17 เมษายน 2561
ผ่านไปแล้ววันสงกรานต์ และวันหยุดยาว เป็นยังไงกันบ้างล่ะครับ ได้พักผ่อนเติมพลังกันบ้างมั้ยครับ บางคนก็ได้พักเนอะ แต่บางคนก็ยังต้องทำงาน ยิ่งสายการรักษาแล้ว น่าจะยิ่งเหนื่อยนะครับ ยังก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนนะครับ
สำหรับตัวผมนั้นก็ได้หยุดยาวพักผ่อนครับ ตั้งแต่วันที่ 10 ยาวถึง 16 เลยทีเดียว ต้องบอกว่าได้พักใจครับ เพราะร่างกายเหมือนไม่ได้พักเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าเอาแต่เที่ยวจนร่างกายไม่ได้พักนะครับ แต่เป็นเพราะต้องสู้รบกับลูกชายต่างหากล่ะครับ ไม่ได้พักเลย ฮ่าๆๆ
เช้ามืดวันที่ 10 ตื่นตั้งแต่ตี 5 เพราะต้องขึ้นเครื่องบินกลับเชียงรายเวลา 7 โมงเช้า ไปลงที่เชียงรายเสร็จ ประมาณ 9 โมง แฟนก็มารับด้วยมอเตอร์ไซค์ หลังจากนั้นก็แว๊นมอเตอร์ไซค์กลับบ้านอีกประมาณ 1 ชั่วโมงครับ ถึงบ้านก็ง่วงๆ เพลียๆอยากนอนสักงีบ แต่ด้วยความที่เป็นพ่อคนเนอะ เจ้าลูกชายก็เลยไม่มีเวลาให้พ่อมันได้พักผ่อนหรอก เจอหน้ากันก็ชวนเล่นนั่นเล่นนี่แทบจะตลอดเวลาครับ กว่าจะมืด กว่าจะได้นอนก็ดึกเลย นานๆเจอกันที เจ้าลูกชายก็ดีใจมาก จนไม่ยอมหลับยอมนอน บอกเลยว่าเพลียครับ
วันต่อๆมาก็ต้องตื่นเช้าครับ เพราะแถวบ้านยังคงยึดวิถีชาวบ้านไว้อยู่ ไปวัดตอนเช้าๆ สายๆก็ไปไร่ไปสวน ไม่มีหรอกครับที่จะได้พักแบบคนในเมืองที่นอนดึกตื่นสาย ผู้ใหญ่แถวบ้านก็วิถีชาวบ้านไปครับ ส่วนตัวผมก็วิถีคนเป็นพ่อครับ ทั้งวันวุ่นอยู่กับลูกชายวัย 6 ขวบ อยู่ด้วยกันทั้งวันจริงๆนะครับ ตื่นมาก็วิ่งมานั่งตักพ่อมันก่อนละ อ้อนนั่นอ้อนนี่ ชวนเล่นอะไรไปเรื่อย ไม่มีเวลาพักจริงๆครับ แล้วลูกชายดันดื้อซะด้วยสิ พูดอะไร ห้ามอะไรก็ไม่ค่อยฟัง เหนื่อยคูณสองไปเลยครับ
เจ้าลูกชายบอกว่า อยากได้แท็บเล็ต เพราะลูกพี่ลูกน้องข้างบ้านมีแท็บเล็ตเอามาเล่นโชว์ อยากได้ใหญ่เลยครับ มาบอกผมว่าให้ซื้อให้หน่อย ผมก็บอกว่า เดี๋ยวจะแอบไปซื่้อให้ แต่จริงๆผมซื้อมาแล้วครับ แค่ยังไม่ให้เท่านั้นเอง กะจะเอาให้ตอนวันเกิดครับ วันเกิดลูกชายวันที่ 13 ครับ เกิดวันดีจริงๆ ถ้ามันโตมา มันคงได้ฉลองวันเกิดพร้อมสงกรานต์เมาสุดเหวี่ยงแน่นอน พ่อมันคิดล่วงหน้าแล้วกลุ้มใจรอเลยนะครับเนี่ย
พอผมบอกว่าจะแอบไปซื้อแท็บเล็ตให้เท่านั้นแหละ ถามผมทั้งวันเลยครับ เมื่อไหร่จะแอบไปซื้อสักที เพราะคงเห็นผมอยู่บ้านเล่นด้วยตลอดล่ะมั้งครับ เลยถามแล้วถามอีก แถมมีบังคับพ่อมันด้วยนะ พ่อไปซื้อสิ ไปซื้อเลย ไม่ต้องแอบ ฮ่าๆๆ ก็คนมันอยากได้อะเนอะ ไล่ไปซื้อซะเลย ผมก็ได้แต่บอกว่า เดี๋ยวก่อนๆ เดี๋ยวจะแอบไป
ถึงวันที่ 13 วันเกิด ผมบอกว่า ถ้าเป่าเค้กเสร็จ จะเอาแท็บเล็ตให้ คืนนั้นมีงานเลี้ยงวันเกิดครับ ข้าวไม่ยอมกินครับ ถามหาเค้กใหญ่เลย จะเอามาเป่าเลย ฮ่าๆๆ ก็บอกแล้วคนมันอยากได้ รีบใหญ่เลย ผมก็แกล้งสิครับ ดึงเวลาไปซะจนเกือบ 3 ทุ่ม แล้วมีจังหวะที่ผมได้ไปนั่งใกล้แม่ยายครับ แม่ยายบอกว่า ลูกชายมาคุยด้วย บอกว่า สงสัยพ่อจะโกหกที่บอกว่าจะซื้อแท็บเล็ตให้ เพราะไม่เห็นพ่อจะแอบไปซื้อเลย ผมนี่ขำเลยครับ แต่ในความขำ มันมีเรื่องจริงจังอยู่นะครับ เพราะใครที่สัญญาอะไรไว้กับลูก ควรทำตามสัญญานะครับ เพราะเราคือแบบอย่างที่ลูกจะจำจดและทำตาม ดังนั้นเราควรเป็นแบบอย่างที่ดีนะครับ อย่าไปสัญญาอะไรส่งๆไป เพราะถ้าลูกจำจดว่า เราชอบโกหก ลูกก็จะเป็นเด็กขี้โกหกได้นะครับ
ถ้าถึงเวลาส่งมอบแท็บเล็ต หน้าตางี้โคตรดีใจเลยครับ มีความสุขนะครับ เวลาเห็นลูกดีใจ แต่ก็ต้องมีขัดใจลูกชายเล็กน้อย เพราะผมตั้งเวลาให้เล่นได้ครั้งละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าจะเล่นอีก ก็ต้องใส่รหัสผ่าน ถึงจะเพิ่มได้อีก 1 ชั่วโมง ผมฝากรหัสผ่านไว้ที่แม่ยาย ก็หวังว่าลูกชายจะไม่แอบรู้รหัสแล้วเอาไปใส่เองนะ การตั้งเวลาเล่นไว้ก็ดีนะครับ ลูกจะได้รู้จักบริหารเวลา ว่าใน 1 ชั่วโมง ควรเล่นอันไหนก่อน ควรดูอันไหนก่อน ไม่ใช่เล่นทุกอย่าง เบื่ออันนั้นไปเล่นอันนี้ เบื่ออันนี้ย้อนกลับไปเล่นอันนั้น เล่นจนไม่รู้ว่าอันไหนสำคัญ เล่นจนไม่รู้จักบริหารเวลา
ช่วงที่ผมอยู่ด้วยอีกหลายวัน ผมก็เป็นคนดูแลแท็บเล็ตล่ะครับ ผมให้เล่นครั้งละ 1 ชั่วโมง พัก 1 ชั่วโมงสลับกันไป แต่ถ้าดื้อกับพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่คนอื่น ผมก็จะเพิ่มเวลาพักครับ ดื้อ 1 ครั้ง เพิ่ม 10 นาที แล้วมีช่วงจังหวะเล่นน้่ำสงกรานต์ ลูกชายก็เล่นสนุกเกิน เอาปืนฉีดน้ำมาไล่ฉีดคนในบ้านครับ เจอเพิ่มเวลาไป 40 นาทีได้พักเล่นแท็บเล็ตยาวเลยครับ พอเล่นน้ำเสร็จ ก็วิ่งมาถามพ่อมันใหญ่เลย ใกล้หมดเวลารึยังๆๆ เจอเวลาพักไป 1 ชั่วโมง 40 นาที คงใจจะขาดล่ะครับ ยิ่งกำลังเห่อของใหม่อยู่ด้วย มาเจอยืดเวลาแบบนี้ ใจจะขาด ฮ่าๆๆ
ดีหน่อยว่าลูกชายยังไม่ค่อยติดเกมครับ เท่าที่ดูลูกเลย เหมือนกับว่ายังขี้เกียจคิดน่ะครับ เวลาเล่นตรงไหนไม่ผ่าน ก็จะโยนให้พ่อเล่นให้ผ่านหน่อย พอพ่อมันไม่เล่นให้ หรือเล่นแล้วไม่ผ่าน (เกมเด็ก แต่ผู้ใหญ่เล่นไม่ผ่าน เกมอะไรยากจริงๆ) ก็จะเลิกเล่นเกมนั้นไปก่อน เหมือนขี้เกียจหาวิธีชนะ แล้วก็หันไปดูการ์ตูนในยูทูปแทน ผมว่าเด็กดูการ์ตูนน่าจะดีกว่าเด็กเล่นเกมนนะครับ เพราะได้ฝึกจินตนาการ แล้วก็ฝึกจำด้วย การ์ตูนบางเรื่องผมเห็นลูกซ้ำทุกวันนะครับ ดูจนจำได้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น อืม...ก็ดีนะ ฝึกจำ แต่เล่นเกมก็ดีไปอีกแบบ ฝึกการหาวิธีชนะ สรุปคือ มันดีทั้ง 2 แบบนั่นแหละครับ แต่ควรให้อยู่ในเวลาที่พอเหมาะซะมากกว่า เพราะถ้าอะไรมากเกินไป ผมเกรงว่า สมองจะล้าจนเด็กเบลอนะ
พอถึงวันที่ผมต้องกลับมาทำงานต่อที่เชียงราย แน่นอนว่ามันก็ต้องมีเศร้ากันบ้าง ลูกชายนี่เศร้าเห็นได้ชัดเลยครับ จากที่ดื้อๆ วิ่งเล่นซนๆ กลายเป็นไม่ดื้อ ไม่ค่อยวิ่งไปไหนเท่าไหร่ วนๆเวียนๆอยู่เงียบๆกับพ่อมันนี่แหละ พอผมจะกลับ ลูกชายก็มาหอมแก้มผม แล้วก็ให้พ่อมันหอมแก้มคืนด้วยครับ ซึ่งอันนี้ต้องบอกว่าเซอร์ไพรส์มากครับ เพราะปกติกว่าผมจะหอมแก้มลูกได้นี่ ยากมากกกก เพราะไม่ยอมให้หอม แต่นี่มาหอมพ่อมันก่อนเลย แล้วยังให้พ่อมันหอมคืนด้วย จังหวะนั้นน้ำตาแทบไหล เพราะต้องจากกันสักระยะอีกแล้ว ที่น้ำตาจะไหลก็เพราะเราเป็นห่วงลูกนั่นแหละครับ จะเล่นกับใคร อยู่ยังไง ใครจะสอนอะไรให้ เพราะตอนผมอยู่ด้วย ผมพยายามสอนเรื่องการใช้ชีวิตกับคนอื่นเยอะมากนะครับ สอนเรื่องสังคม มารยาท ไม่รู้ว่าจะจำมั้ย แต่ก็พยายามสอนไป ดีกว่าไม่สอนเลย
ณ เพลาที่นั่งเขียนบทความอยู่นี่ ก็เวลาทำงานแล้วล่ะครับ ได้พักใจ ก็มีแรงใจขึ้นมาครับ แต่ต้องยอมรับว่า กายยังเหนื่อยอยู่ เหมือนไม่ได้พักจริงๆนะครับ ใครที่มีลูกซนๆดื้อๆ น่าจะพอเข้าใจ ฮ่าๆๆ
เอาเป็นว่า ขอจบบทความเพียงเท่านี้ครับ ขอให้มีแรงทำงานกันทุกคนนะครับ
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
บทความ(เฉพาะกิจ) _ การแก้ไขของนักเขียนยามคิดเรื่องไม่ออก
เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักเขียนแทบจะทุกคน สำหรับการคิดเรื่องไม่ออก ไม่รู้ว่าจะแต่งเรื่องราวอะไรออกไปให้ผู้คนได้อ่าน ทั้งที่กำหนดส่งงานที่ได้ตั้งไว้ก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ แต่จะปล่อยให้สมองโล่ง ๆ อยู่อย่างนั้นก็คงไม่ดีแน่ ดังนั้นก็ต้องหาทางแก้ เพื่อให้สามารถสร้างสรรค์ชิ้นงานออกไปได้
มีวิธีแก้อยู่วิธีนึงที่เคยได้รับเป็นโจทย์จากอาจารย์ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยในสาขาวารสารศาสตร์ โจทย์คือให้เขียนเรื่องสั้นขึ้นมา 1 เรื่อง โดยหยิบเอา 10 คำที่เห็นจากหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ หรือว่าหน้าปกของนิตยสารก็ได้ เลือกมาแค่ 10 คำเท่านั้น และใช้ทั้ง 10 คำที่ได้มานี้เอามาแต่งเรื่องราวให้ได้ภายในหนึ่งหน้ากระดาษ จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ โดยมีข้อแม้เพียงแค่งานเขียนชิ้นนี้ ต้องมีครบทั้ง 10 คำที่ได้เลือกไว้ และในเวลาส่งก็ให้เอาคำที่เลือกมาทั้งหมด ต้นฉบับที่เลือกมา (หน้าแรกของหนังสือพิมพ์นั้นหรือหน้าปกนิตยสาร ถ่ายรูปแล้วปรินต์ส่ง) แล้วก็งานที่เขียน
นี่ก็เป็นอีกวิธีนึงที่ช่วยให้เราจุดประกายไอเดียที่บรรเจิดออกมาได้ จากที่ตอนแรกไม่มีเรื่องอะไรอยู่ในหัวเลย นึกไม่ออกเลยสักนิดว่าจะเขียนอะไรออกไปดี อย่างเช่นบางทีเห็นคำว่าเมฆฝน ก็สามารถเอาไปเขียนเป็นเรื่องสั้นที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของความรัก หรืออาจจะเป็นนิยายประหลาดแนวไซไฟได้เฉย ดังนั้นจึงช่วยได้มากทีเดียวสำหรับวิธีนี้
และอย่าลืมบวกคำอื่น ๆ เพิ่มจากตัวคีย์เวิร์ดหลักของเราไปด้วย อย่างเช่นบางครั้งใช้คีย์เวิร์ดหลักว่า ลูกเต๋า ส่วนอีก 9 คำที่เหลืออาจจะหาคำอื่น ๆ มาช่วยเสริมเรื่องราว อย่างการเพิ่มคำว่ามอเตอร์ไซค์กับไร่ข้าวโพด เท่านี้ก็จะพอทำให้เรามีเรื่องราวผุดขึ้นมาให้เห็นในหัวอยู่บ้างแล้ว แม้แต่คำที่เป็นชื่อเว็บอย่าง VRSCR888 ก็ใช้ได้
มีวิธีแก้อยู่วิธีนึงที่เคยได้รับเป็นโจทย์จากอาจารย์ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยในสาขาวารสารศาสตร์ โจทย์คือให้เขียนเรื่องสั้นขึ้นมา 1 เรื่อง โดยหยิบเอา 10 คำที่เห็นจากหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ หรือว่าหน้าปกของนิตยสารก็ได้ เลือกมาแค่ 10 คำเท่านั้น และใช้ทั้ง 10 คำที่ได้มานี้เอามาแต่งเรื่องราวให้ได้ภายในหนึ่งหน้ากระดาษ จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ โดยมีข้อแม้เพียงแค่งานเขียนชิ้นนี้ ต้องมีครบทั้ง 10 คำที่ได้เลือกไว้ และในเวลาส่งก็ให้เอาคำที่เลือกมาทั้งหมด ต้นฉบับที่เลือกมา (หน้าแรกของหนังสือพิมพ์นั้นหรือหน้าปกนิตยสาร ถ่ายรูปแล้วปรินต์ส่ง) แล้วก็งานที่เขียน
นี่ก็เป็นอีกวิธีนึงที่ช่วยให้เราจุดประกายไอเดียที่บรรเจิดออกมาได้ จากที่ตอนแรกไม่มีเรื่องอะไรอยู่ในหัวเลย นึกไม่ออกเลยสักนิดว่าจะเขียนอะไรออกไปดี อย่างเช่นบางทีเห็นคำว่าเมฆฝน ก็สามารถเอาไปเขียนเป็นเรื่องสั้นที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของความรัก หรืออาจจะเป็นนิยายประหลาดแนวไซไฟได้เฉย ดังนั้นจึงช่วยได้มากทีเดียวสำหรับวิธีนี้
และอย่าลืมบวกคำอื่น ๆ เพิ่มจากตัวคีย์เวิร์ดหลักของเราไปด้วย อย่างเช่นบางครั้งใช้คีย์เวิร์ดหลักว่า ลูกเต๋า ส่วนอีก 9 คำที่เหลืออาจจะหาคำอื่น ๆ มาช่วยเสริมเรื่องราว อย่างการเพิ่มคำว่ามอเตอร์ไซค์กับไร่ข้าวโพด เท่านี้ก็จะพอทำให้เรามีเรื่องราวผุดขึ้นมาให้เห็นในหัวอยู่บ้างแล้ว แม้แต่คำที่เป็นชื่อเว็บอย่าง VRSCR888 ก็ใช้ได้
ตอนที่ 139 (บทความ) _ วิทยาศาสตร์ กับความเชื่อ ที่ก็ยังต้องคู่กันต่อไป
วิทยาศาสตร์ กับความเชื่อ ที่ก็ยังต้องคู่กันต่อไป
4 เมษายน 2561
ก็สารภาพกันตรงๆเลยว่า จริงๆไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรดี แต่ก็ตั้งใจไว้ว่า ต้องเขียนบทความสัปดาห์ละ 1 บทความ ก็เลยเอาวะ เปิดข่าวเว็บสนุกดู เจอข่าวไหน ก็เขียนบทความในแนวคิดตัวเองละกัน และวันนี้ก็เจอข่าว "บาตรน้ำมนต์มรณะ" ทำสาว 18 ดับ
แม้ว่าในยุคนี้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปมากขนาดไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่าความเชื่อเดิมๆเมื่อครั้งสมัยก่อน ก็ยังคงอยู่คู่กับปัจจุบันอยู่ดี แล้วก็เชื่อว่าจะคงอยู่ไปอีกนานในอนาคตเลยทีเดียว
ผมจะไม่พูดประเด็นความเชื่อ ความคิด ความสมัยใหม่ หรืออะไรต่างๆนาๆที่จะทำให้เกิดข้อดราม่านะครับ แต่ผมจะมาพูดถึงว่า ความลงตัวของวิทยาศาสตร์ กับความเชื่อ ที่มันอยู่ด้วยกันได้
หากใครได้ดูภาพยนตร์เรื่อง พิงค์ แพนเธอร์ แฮร่ ไม่ใช่สิ แบล็ค แพนเธอร์ จะได้เห็นความลงตัวของสุดยอดเทคโนโลยี อยู่กับกันวิถีความเชื่อได้อย่างลงตัวเลยล่ะครับ เมืองวากานด้า มีแร่ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลมาเวล มีเทคโนโลยีที่สุดยอดความล้ำหน้าไว้ใช้งาน แต่ก็ยังคงพิธีกรรมต่างๆตามความเชื่อไว้ มันช่างลงตัวเหลือเกินครับ
กลับมาสู่โลกของความเป็นจริง ในทุกวันนี้เทคโนโลยีเราก็ก้าวหน้าไปมากนะครับ แต่ความเชื่อก็ยังไม่หายไป ลองคิดดูนะครับว่า ในวันสิ้นปีของแต่ละปีทุกวันนี้ มีเรื่องความเชื่อที่เกิดขึ้นบ่อยขึ้น และเยอะขึ้นเรื่อยๆคืออะไรครับ อย่าเสียเวลาทายเลย เฉลยเลยดีกว่า ปิ๊ง สวดมนต์ข้ามปีไงครับ นี่คือความเชื่อที่มีมาแต่สมัยก่อน ส่วนเทคโนโลยีที่เข้ามาเกี่ยวข้องก็เช่น การถ่ายทอดสด หรือการ Live ผ่านช่องทางต่างๆ นี่แหละครับ มันอยู่กันได้ มันอยู่ที่มุมมอง
หรือจะเอาแบบความเป็นความตายล่ะครับ สมมุติว่าใกล้สอบแล้ว เราก็อ่านหนังสือจากตำรา หาความรู้เพิ่มจากอินเตอร์เน็ต วิดีโอคอลกับเพือนๆเป็นกลุ่ม หรือคอลกับคุณครูไปเล้ย ตอนนี้ความรู้แน่นปึ๊ก แต่ก็เอาน่ะ เพื่อความสบายใจ ทำไงๆ...ไปไหว้พระขอพรด้วยละกัน นี่ไงครับ ถึงบอกว่าเทคโนโลยี กับความเชื่อยังไปด้วยกันได้ แล้วมันก็เป็นความเป็นความตายของคนสอบด้วยนะ ลุ้นระทึกเลยล่ะ ฮ่าๆๆ
หรือยกตัวอย่างอีกสักเหตุการณ์ คนป่วย ป่วยหนักเลย วิทยาศาสตร์ที่เข้ามาช่วยคือ ยา และความรู้ต่างๆเกี่ยวกับร่างกาย เพื่อให้เราดูแลตัวเอง แต่รักษาอยู่นาน ก็ไม่ดีขึ้นสักที วันดีคืนดีคนป่วยมุ่งสู่ความเชื่อ ไปหาหมอชาวบ้าว หมอชาวบ้านบอกว่า เอาอันนั้น อันนี้ไปต้มกินนะ พอคนป่วยลองทำตาม อ้าวเฮ้ย ดีขึ้นจริงๆด้วย แล้วพอเอาอันนั้น อันนี้ที่หมอชาวบ้านแนะนำไปพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ เอ้า ไม่เห็นจะน่ามีผลอะไรเลย ซึ่งอันนี้ผมก็คิดว่า บางทีความเชื่อ ก็มีแรงใจด้วยส่วนหนึ่ง มันเลยทำให้เกิดอะไรแปลกๆได้นะครับ หรือตัวยาอาจจะมีผลจริงๆก็ได้ ซึ่งผมก็ไม่รู้
ทั้ง 2 เรื่องเป็นเรื่องใกล้ตัวนะครับ แทบทุกคนมีความเชื่อ และใช้เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ต่างๆกันไป หากมีใครผิดพลาดอะไร จากเรื่องอะไรก็ตาม ก็ไม่ควรไปดูถูก หรือยกเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาข่มกันนะครับ เพราะยังไงแล้ว ทั้ง 2 เรื่องนี้ ก็ต้องอยู่ควบคู่กันไปอีกนานครับ
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
4 เมษายน 2561
ก็สารภาพกันตรงๆเลยว่า จริงๆไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรดี แต่ก็ตั้งใจไว้ว่า ต้องเขียนบทความสัปดาห์ละ 1 บทความ ก็เลยเอาวะ เปิดข่าวเว็บสนุกดู เจอข่าวไหน ก็เขียนบทความในแนวคิดตัวเองละกัน และวันนี้ก็เจอข่าว "บาตรน้ำมนต์มรณะ" ทำสาว 18 ดับ
แม้ว่าในยุคนี้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปมากขนาดไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่าความเชื่อเดิมๆเมื่อครั้งสมัยก่อน ก็ยังคงอยู่คู่กับปัจจุบันอยู่ดี แล้วก็เชื่อว่าจะคงอยู่ไปอีกนานในอนาคตเลยทีเดียว
ผมจะไม่พูดประเด็นความเชื่อ ความคิด ความสมัยใหม่ หรืออะไรต่างๆนาๆที่จะทำให้เกิดข้อดราม่านะครับ แต่ผมจะมาพูดถึงว่า ความลงตัวของวิทยาศาสตร์ กับความเชื่อ ที่มันอยู่ด้วยกันได้
หากใครได้ดูภาพยนตร์เรื่อง พิงค์ แพนเธอร์ แฮร่ ไม่ใช่สิ แบล็ค แพนเธอร์ จะได้เห็นความลงตัวของสุดยอดเทคโนโลยี อยู่กับกันวิถีความเชื่อได้อย่างลงตัวเลยล่ะครับ เมืองวากานด้า มีแร่ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลมาเวล มีเทคโนโลยีที่สุดยอดความล้ำหน้าไว้ใช้งาน แต่ก็ยังคงพิธีกรรมต่างๆตามความเชื่อไว้ มันช่างลงตัวเหลือเกินครับ
กลับมาสู่โลกของความเป็นจริง ในทุกวันนี้เทคโนโลยีเราก็ก้าวหน้าไปมากนะครับ แต่ความเชื่อก็ยังไม่หายไป ลองคิดดูนะครับว่า ในวันสิ้นปีของแต่ละปีทุกวันนี้ มีเรื่องความเชื่อที่เกิดขึ้นบ่อยขึ้น และเยอะขึ้นเรื่อยๆคืออะไรครับ อย่าเสียเวลาทายเลย เฉลยเลยดีกว่า ปิ๊ง สวดมนต์ข้ามปีไงครับ นี่คือความเชื่อที่มีมาแต่สมัยก่อน ส่วนเทคโนโลยีที่เข้ามาเกี่ยวข้องก็เช่น การถ่ายทอดสด หรือการ Live ผ่านช่องทางต่างๆ นี่แหละครับ มันอยู่กันได้ มันอยู่ที่มุมมอง
หรือจะเอาแบบความเป็นความตายล่ะครับ สมมุติว่าใกล้สอบแล้ว เราก็อ่านหนังสือจากตำรา หาความรู้เพิ่มจากอินเตอร์เน็ต วิดีโอคอลกับเพือนๆเป็นกลุ่ม หรือคอลกับคุณครูไปเล้ย ตอนนี้ความรู้แน่นปึ๊ก แต่ก็เอาน่ะ เพื่อความสบายใจ ทำไงๆ...ไปไหว้พระขอพรด้วยละกัน นี่ไงครับ ถึงบอกว่าเทคโนโลยี กับความเชื่อยังไปด้วยกันได้ แล้วมันก็เป็นความเป็นความตายของคนสอบด้วยนะ ลุ้นระทึกเลยล่ะ ฮ่าๆๆ
หรือยกตัวอย่างอีกสักเหตุการณ์ คนป่วย ป่วยหนักเลย วิทยาศาสตร์ที่เข้ามาช่วยคือ ยา และความรู้ต่างๆเกี่ยวกับร่างกาย เพื่อให้เราดูแลตัวเอง แต่รักษาอยู่นาน ก็ไม่ดีขึ้นสักที วันดีคืนดีคนป่วยมุ่งสู่ความเชื่อ ไปหาหมอชาวบ้าว หมอชาวบ้านบอกว่า เอาอันนั้น อันนี้ไปต้มกินนะ พอคนป่วยลองทำตาม อ้าวเฮ้ย ดีขึ้นจริงๆด้วย แล้วพอเอาอันนั้น อันนี้ที่หมอชาวบ้านแนะนำไปพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ เอ้า ไม่เห็นจะน่ามีผลอะไรเลย ซึ่งอันนี้ผมก็คิดว่า บางทีความเชื่อ ก็มีแรงใจด้วยส่วนหนึ่ง มันเลยทำให้เกิดอะไรแปลกๆได้นะครับ หรือตัวยาอาจจะมีผลจริงๆก็ได้ ซึ่งผมก็ไม่รู้
ทั้ง 2 เรื่องเป็นเรื่องใกล้ตัวนะครับ แทบทุกคนมีความเชื่อ และใช้เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ต่างๆกันไป หากมีใครผิดพลาดอะไร จากเรื่องอะไรก็ตาม ก็ไม่ควรไปดูถูก หรือยกเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาข่มกันนะครับ เพราะยังไงแล้ว ทั้ง 2 เรื่องนี้ ก็ต้องอยู่ควบคู่กันไปอีกนานครับ
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
ตอนที่ 138 (บทความ) _ เพศศึกษา และถุงยาง
เพศศึกษา และถุงยาง
30 มีนาคม 2561
ผมได้ไปเจอประเด็นดราม่ามาอีกแล้วครับ ซึ่งมันคือประเด็น การจะให้มีตู้จำหน่ายถุงยางอนามัยในสถานศึกษา แน่นอนได้ถ้ามันจะดราม่า มันต้องมี 2 ความคิดเห็นที่เห็นต่างใช่มั้ยล่ะครับ ผมก็ลองอ่านๆความคิดของแต่ละฝ่ายดู มันก็ถูกทั้ง 2 ฝ่ายนั่นแหละครับ แต่ท่านเดาออกมั้ยครับว่า ผมอยู่ฝ่ายไหน...ผมลองเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานดู ซึ่งคำตอบที่ได้คือ อยู่ฝ่ายสนับสนุนครับ
ถามว่าทำไมผมสนับสนุนล่ะ ผมก็ขอแบ่งปัจจัยที่ทำให้มีผลต่อเซ็กไว้ 2 ปัจจัยใหญ่ครับ คือ ปัจจัยที่ยอมรับเซ็ก กับ ปัจจัยที่ปฏิเสธเซ็ก
มาว่ากันถึงปัจจัยที่ยอมรับเซ็กกันก่อน ซึ่งมันก็จะแยกย่อยได้อีก 5 ข้อ
1. สัญชาตญาณของการสืบพันธุ์
2. สัญชาตญาณของความอยากรู้อยากลอง
3. สัญชาตญาณความเป็นเจ้าของ
4. สื่อลามกที่เข้าถึงง่าย
5. แอลกอฮอล์
สัญชาตญาณของการสืบพันธุ์ อันนี้ทุกคนน่าจะเข้าใจนะครับ ไม่ว่ายังไงๆคนเราก็ต้องอยากมีทายาทอยู่แล้ว ถ้าถึงจุดใดจุดหนึ่ง และจุดนั้นสัญชาตญาณมันแรงมากๆ คงเอาอะไรมาห้ามยากแน่ๆครับ ยอมรับเซ็กไปเถอะ
สัญาตญาณของความอยากรู้อยากลอง อันนี้ก็แน่นอนล่ะครับว่า อะไรที่เรายังไม่รู้ เรายังไม่เคย เราย่อมอยากลองให้มันสาแก่ใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกิน การเที่ยว รวมไปถึงการมีเซ็ก ถ้าคนเราชอบพอกัน แม้จะอยู่ในวัยเพียง 12-13 ขวบ ถ้ามันอยากลอง มันก็ต้องลองล่ะครับ ไม่งั้นมันก็คาใจสิ ว่าเอ...มันดียังไง ทำไมผู้ใหญ่เข้ามีเซ็กกัน บวกกับสัญชาตญาณการสืบพันธุ์เข้าไปอีก งานนี้มีไม่รอด ยอมรับมีเซ็กแน่นอน
สัญชาตญาณความเป็นเจ้าของ คงจะได้ยินคำพูดที่ว่า หมาคาบไปแดก กันใช่มั้ยล่ะครับ เอาง่ายๆตรงๆเลยนะครับ ถ้าไม่มีเซ็กกับเธอในวันนี้ แล้ววันหน้าเธอดันไปมีเซ็กกับคนอื่น แล้วใจเธอเปลี่ยนไป เอ้า หมาคาบไปแดกซะละ นี่เลยทำให้เวลาชอบพอกับใคร เลยต้องพาไปสร้างหลักฐานความเป็นเจ้าของก่อน หรือที่เรียกว่า ตีตราจองนั่นแหละครับ ขืนมัวช้า ระวังหมาคาบไปแดกจริงๆนะเออ ทั้ง 2 คนคิดแบบเดียวกัน จึงยอมรับเซ็กกันในที่สุด
สื่อลามกที่เข้าถึงง่าย ต้องอธิบายหัวข้อนี้ด้วยมั้ยครับ ไม่ต้องก็ได้มั้ง น่าจะเข้าใจกันละ ถ้าใครไม่เข้าใจนะ ลองเปิด google แล้วพิมพ์คำว่า เย็ด แล้วกดค้นหาครับ พรึ่บบบบ!!! จบนะ
แอลกอฮอล์ อันนี้จริงๆมีผลไม่มากครับ แต่ใครที่เคยเมา คงพอจะเข้าใจนะครับ ว่าพอเมาแล้ว ความต้องการมันแรงกล้ามาก "เพื่อนก็เพื่อนเถอะ ขอสักที กูไม่ไหวแล้ววววว ตั้มๆๆๆ" บางคนก็ได้เพื่อนเป็นแฟน บางคนก็เสียเพื่อนไปเลย แต่บางคนก็เพื่อนกันมันส์ดี แน่นอนว่าแอลกอฮอล์ทำให้ขาดสติได้ และแอลกอฮอล์นี่แหละ ทำให้ 4 ข้อข้างบนถูกมัดรวมกันเป็นก้อนเดียวได้ สร้างเป็นความยอมรับเซ็กไปโดยปริยาย
หลังจากอ่านปัจจัยที่ยอมรับเซ็กกันไปแล้ว พอจะเข้าใจใช่มั้ยครับว่า ทำไมถึงต้องมีตู้จำหน่ายถุงยางในสถานศึกษา บางทีมันก็ไม่ได้เป็นการสนับสนุนให้มีเซ็ก 100% นะครับ แต่มันคือ การสนับสนุนให้มีเซ็กอย่างปลอดภัยซะมากกว่า ห้ามไม่ได้ ก็ป้องกันสิเฮ้ย รออะไรล่ะ
มาถึงปัจจัยที่ปฏิเสธเซ็กกันบ้าง ซึ่งผมแยกย่อยได้แค่ 3 ข้อเท่านั้น
1. สามัญสำนึก
2. การสอนที่ดีเยี่ยม
3. ความกลัว
สามัญสำนึก หากคนเรามีสามัญสำนึกที่ดีต่อคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ เพื่อน รวมถึงคนที่ชอบพอด้วยแล้ว ตัวเราก็จะปฏิเสธเซ็กไปเองโดยอัตโนมัติ แล้วเราก็จะรอจนถึงเวลาที่เหมาะสม เราถึงจะยอมมีเซ็กกับคนที่เราชอบพอ นี่รวมไปถึงพวกที่มีเซ็กแบบ one night stand ด้วยนะครับ ถ้าคนๆนั้นมีสามัญสำนึกดี เขาก็จะไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่นอน เขาต้องรู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักที่จะห้ามใจตัวเองได้ ต่อให้มีคนยั่วขนาดไหน คนๆนั้นก็จะปฏิเสธเซ็กได้อย่างแน่นอน
การสอนที่ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการสอนที่โรงเรียน ให้รู้ถึงความน่ากลัวถ้าผิดพลาด ให้รู้จักรักนวลสงวนตัว ให้รู้จักหักห้ามใจรอเวลาที่เหมาะสม หรือจะเป็นการสอนของพ่อแม่ ให้ลูกรู้จักรักตัวเอง รู้จักรักษาน้ำใจคนอื่น ไม่ย่ำยีทางเพศคนอื่น แต่ไม่ว่าจะสอนดีขนาดไหน สิ่งสำคัญเลยคือ ตัวของเด็กเอง ว่าจะมีการรับรู้ และตีความสร้างเป็นสามัญสำนึกที่ดีได้หรือไม่ ถ้าเด็กสามารถสร้างได้ เด็กก็จะรู้จักการปฏิเสธเซ็กได้ตลอดลอดฝั่งจนถึงเวลาที่เหมาะสม
ความกลัว อันนี้มีเคสคนรู้จักครับ ทั้งผู้หญิง และผู้ชายเลย ทางผู้หญิงจะกลัวโรค กลัวท้อง ส่วนทางผู้ชายจะกลัวทำหญิงท้อง กลัวการรับผิดชอบ ทั้ง 2 ฝ่ายมีความกลัวที่ใกล้เคียงกัน แต่กลัวท้องนี่ เป็นทั้ง 2 ฝ่าย ความกลัวนี้เลยทำให้คนๆนั้นปฏิเสธเซ็กโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะโน้มน้าวยังไง ความกลัวก็จะยังชนะเลิศอยู่วันยังค่ำครับ
เป็นยังไงบ้างครับ 3 ข้อของการปฏิเสธเซ็ก พอจะฟังขึ้น แล้วหักห้ามใจจากเซ็กได้มั้ยครับ แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ผมอยู่ฝ่ายสนับสนุน ผมเลยหาข้อปฏิเสธได้ไม่มากครับ
แต่ไม่ว่าจะยังไง การสอนเรื่องเพศถือเป็นเรื่องสำคัญครับ อยากปล่อยให้ธรรมชาติ และสัญชาตญาณในตัวมนุษย์ สอนเด็กเองเพียงลำพังเหมือนเมื่อก่อน ถ้าเราสามารถชี้แนะแนวทางที่ดีได้ เราความลงมือทำครับ เปิดใจสอนกันไปเลย รวมถึงสอนการป้องกันด้วย สอนสร้างความเคารพสิทธิในตัวผู้อื่น สอนสร้างความเห็นใจในตัวผู้อื่น และที่สำคัญ สอนสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองให้เด็กว่า การไม่มีเซ็กเมื่อมีโอกาส ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ตรงกันข้ามมันกลับน่าชื่นชม เพราะเธอนั้นได้สร้างความเชื่อถือให้ตัวเองแบบที่น่าชื่นชมสุดเลยล่ะ (งงมั้ย)
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะยังไง เซ็กมันสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายๆกรณี เราควรชี้ทางป้องกันให้เด็กจะดีกว่าครับ ยกเว้นแต่ สอนแล้ว บอกแล้ว ดันทะลึ่งอยากลองสดๆ ไม่ถุง แล้วพลาดท้อง อันนั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะครับ
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
30 มีนาคม 2561
ผมได้ไปเจอประเด็นดราม่ามาอีกแล้วครับ ซึ่งมันคือประเด็น การจะให้มีตู้จำหน่ายถุงยางอนามัยในสถานศึกษา แน่นอนได้ถ้ามันจะดราม่า มันต้องมี 2 ความคิดเห็นที่เห็นต่างใช่มั้ยล่ะครับ ผมก็ลองอ่านๆความคิดของแต่ละฝ่ายดู มันก็ถูกทั้ง 2 ฝ่ายนั่นแหละครับ แต่ท่านเดาออกมั้ยครับว่า ผมอยู่ฝ่ายไหน...ผมลองเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานดู ซึ่งคำตอบที่ได้คือ อยู่ฝ่ายสนับสนุนครับ
ถามว่าทำไมผมสนับสนุนล่ะ ผมก็ขอแบ่งปัจจัยที่ทำให้มีผลต่อเซ็กไว้ 2 ปัจจัยใหญ่ครับ คือ ปัจจัยที่ยอมรับเซ็ก กับ ปัจจัยที่ปฏิเสธเซ็ก
มาว่ากันถึงปัจจัยที่ยอมรับเซ็กกันก่อน ซึ่งมันก็จะแยกย่อยได้อีก 5 ข้อ
1. สัญชาตญาณของการสืบพันธุ์
2. สัญชาตญาณของความอยากรู้อยากลอง
3. สัญชาตญาณความเป็นเจ้าของ
4. สื่อลามกที่เข้าถึงง่าย
5. แอลกอฮอล์
สัญชาตญาณของการสืบพันธุ์ อันนี้ทุกคนน่าจะเข้าใจนะครับ ไม่ว่ายังไงๆคนเราก็ต้องอยากมีทายาทอยู่แล้ว ถ้าถึงจุดใดจุดหนึ่ง และจุดนั้นสัญชาตญาณมันแรงมากๆ คงเอาอะไรมาห้ามยากแน่ๆครับ ยอมรับเซ็กไปเถอะ
สัญาตญาณของความอยากรู้อยากลอง อันนี้ก็แน่นอนล่ะครับว่า อะไรที่เรายังไม่รู้ เรายังไม่เคย เราย่อมอยากลองให้มันสาแก่ใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกิน การเที่ยว รวมไปถึงการมีเซ็ก ถ้าคนเราชอบพอกัน แม้จะอยู่ในวัยเพียง 12-13 ขวบ ถ้ามันอยากลอง มันก็ต้องลองล่ะครับ ไม่งั้นมันก็คาใจสิ ว่าเอ...มันดียังไง ทำไมผู้ใหญ่เข้ามีเซ็กกัน บวกกับสัญชาตญาณการสืบพันธุ์เข้าไปอีก งานนี้มีไม่รอด ยอมรับมีเซ็กแน่นอน
สัญชาตญาณความเป็นเจ้าของ คงจะได้ยินคำพูดที่ว่า หมาคาบไปแดก กันใช่มั้ยล่ะครับ เอาง่ายๆตรงๆเลยนะครับ ถ้าไม่มีเซ็กกับเธอในวันนี้ แล้ววันหน้าเธอดันไปมีเซ็กกับคนอื่น แล้วใจเธอเปลี่ยนไป เอ้า หมาคาบไปแดกซะละ นี่เลยทำให้เวลาชอบพอกับใคร เลยต้องพาไปสร้างหลักฐานความเป็นเจ้าของก่อน หรือที่เรียกว่า ตีตราจองนั่นแหละครับ ขืนมัวช้า ระวังหมาคาบไปแดกจริงๆนะเออ ทั้ง 2 คนคิดแบบเดียวกัน จึงยอมรับเซ็กกันในที่สุด
สื่อลามกที่เข้าถึงง่าย ต้องอธิบายหัวข้อนี้ด้วยมั้ยครับ ไม่ต้องก็ได้มั้ง น่าจะเข้าใจกันละ ถ้าใครไม่เข้าใจนะ ลองเปิด google แล้วพิมพ์คำว่า เย็ด แล้วกดค้นหาครับ พรึ่บบบบ!!! จบนะ
แอลกอฮอล์ อันนี้จริงๆมีผลไม่มากครับ แต่ใครที่เคยเมา คงพอจะเข้าใจนะครับ ว่าพอเมาแล้ว ความต้องการมันแรงกล้ามาก "เพื่อนก็เพื่อนเถอะ ขอสักที กูไม่ไหวแล้ววววว ตั้มๆๆๆ" บางคนก็ได้เพื่อนเป็นแฟน บางคนก็เสียเพื่อนไปเลย แต่บางคนก็เพื่อนกันมันส์ดี แน่นอนว่าแอลกอฮอล์ทำให้ขาดสติได้ และแอลกอฮอล์นี่แหละ ทำให้ 4 ข้อข้างบนถูกมัดรวมกันเป็นก้อนเดียวได้ สร้างเป็นความยอมรับเซ็กไปโดยปริยาย
หลังจากอ่านปัจจัยที่ยอมรับเซ็กกันไปแล้ว พอจะเข้าใจใช่มั้ยครับว่า ทำไมถึงต้องมีตู้จำหน่ายถุงยางในสถานศึกษา บางทีมันก็ไม่ได้เป็นการสนับสนุนให้มีเซ็ก 100% นะครับ แต่มันคือ การสนับสนุนให้มีเซ็กอย่างปลอดภัยซะมากกว่า ห้ามไม่ได้ ก็ป้องกันสิเฮ้ย รออะไรล่ะ
มาถึงปัจจัยที่ปฏิเสธเซ็กกันบ้าง ซึ่งผมแยกย่อยได้แค่ 3 ข้อเท่านั้น
1. สามัญสำนึก
2. การสอนที่ดีเยี่ยม
3. ความกลัว
สามัญสำนึก หากคนเรามีสามัญสำนึกที่ดีต่อคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ เพื่อน รวมถึงคนที่ชอบพอด้วยแล้ว ตัวเราก็จะปฏิเสธเซ็กไปเองโดยอัตโนมัติ แล้วเราก็จะรอจนถึงเวลาที่เหมาะสม เราถึงจะยอมมีเซ็กกับคนที่เราชอบพอ นี่รวมไปถึงพวกที่มีเซ็กแบบ one night stand ด้วยนะครับ ถ้าคนๆนั้นมีสามัญสำนึกดี เขาก็จะไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่นอน เขาต้องรู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักที่จะห้ามใจตัวเองได้ ต่อให้มีคนยั่วขนาดไหน คนๆนั้นก็จะปฏิเสธเซ็กได้อย่างแน่นอน
การสอนที่ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการสอนที่โรงเรียน ให้รู้ถึงความน่ากลัวถ้าผิดพลาด ให้รู้จักรักนวลสงวนตัว ให้รู้จักหักห้ามใจรอเวลาที่เหมาะสม หรือจะเป็นการสอนของพ่อแม่ ให้ลูกรู้จักรักตัวเอง รู้จักรักษาน้ำใจคนอื่น ไม่ย่ำยีทางเพศคนอื่น แต่ไม่ว่าจะสอนดีขนาดไหน สิ่งสำคัญเลยคือ ตัวของเด็กเอง ว่าจะมีการรับรู้ และตีความสร้างเป็นสามัญสำนึกที่ดีได้หรือไม่ ถ้าเด็กสามารถสร้างได้ เด็กก็จะรู้จักการปฏิเสธเซ็กได้ตลอดลอดฝั่งจนถึงเวลาที่เหมาะสม
ความกลัว อันนี้มีเคสคนรู้จักครับ ทั้งผู้หญิง และผู้ชายเลย ทางผู้หญิงจะกลัวโรค กลัวท้อง ส่วนทางผู้ชายจะกลัวทำหญิงท้อง กลัวการรับผิดชอบ ทั้ง 2 ฝ่ายมีความกลัวที่ใกล้เคียงกัน แต่กลัวท้องนี่ เป็นทั้ง 2 ฝ่าย ความกลัวนี้เลยทำให้คนๆนั้นปฏิเสธเซ็กโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะโน้มน้าวยังไง ความกลัวก็จะยังชนะเลิศอยู่วันยังค่ำครับ
เป็นยังไงบ้างครับ 3 ข้อของการปฏิเสธเซ็ก พอจะฟังขึ้น แล้วหักห้ามใจจากเซ็กได้มั้ยครับ แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ผมอยู่ฝ่ายสนับสนุน ผมเลยหาข้อปฏิเสธได้ไม่มากครับ
แต่ไม่ว่าจะยังไง การสอนเรื่องเพศถือเป็นเรื่องสำคัญครับ อยากปล่อยให้ธรรมชาติ และสัญชาตญาณในตัวมนุษย์ สอนเด็กเองเพียงลำพังเหมือนเมื่อก่อน ถ้าเราสามารถชี้แนะแนวทางที่ดีได้ เราความลงมือทำครับ เปิดใจสอนกันไปเลย รวมถึงสอนการป้องกันด้วย สอนสร้างความเคารพสิทธิในตัวผู้อื่น สอนสร้างความเห็นใจในตัวผู้อื่น และที่สำคัญ สอนสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองให้เด็กว่า การไม่มีเซ็กเมื่อมีโอกาส ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ตรงกันข้ามมันกลับน่าชื่นชม เพราะเธอนั้นได้สร้างความเชื่อถือให้ตัวเองแบบที่น่าชื่นชมสุดเลยล่ะ (งงมั้ย)
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะยังไง เซ็กมันสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายๆกรณี เราควรชี้ทางป้องกันให้เด็กจะดีกว่าครับ ยกเว้นแต่ สอนแล้ว บอกแล้ว ดันทะลึ่งอยากลองสดๆ ไม่ถุง แล้วพลาดท้อง อันนั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะครับ
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
ตอนที่ 137 (เรื่องสั้น) _ จะออกไปเด็ดดอกฟ้า แต่เหมือนว่าโชคชะตาไม่เข้าใจ
จะออกไปเด็ดดอกฟ้า แต่เหมือนว่าโชคชะตาไม่เข้าใจ
26 มีนาคม 2561
"มึงเอาจริงดิ" ผมถามเพื่อนของผมเพื่อความแน่ใจ จะได้ไม่เข้าใจผิด
"เออ กูเอาจริงๆ กูชอบจริงๆนะเว้ย กูรู้สึกมีความสุขเวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆเธอ" เพื่อนของผมยืนยันหนักแน่น ว่ามันจริงจังกับผู้หญิงคนนี้
"โอเค ถ้ามึงยืนยันขนาดนี้ งั้นกูหลีกทางให้มึงก็ได้" ไอ้คนที่จริงจังขนาดนั้น มันก็เพื่อนผมนี่แหละ งั้นก็ใจๆกันไปเลย ผมยอมหลีกทางให้มันจีบน้องรินคนสวยที่ทั้งผม และเพื่อนของผม แอบมอง แอบสนใจมาสักระยะหนึ่งแล้ว
"มันต้องแบบนี้สิวะเพื่อน" มันดีใจใหญ่เลย ยกนิ้วโป้งให้ผมเลยทีเดียว
"สวัสดีค่ะ มาสมัครงานค่ะ" หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวทักทายประชาสัมพันธ์สาว ที่กำลังนั่งเขี่ยโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะประชาสัมพันธ์
"ตำแหน่งอะไรคะ" ประชาสัมพันธ์สาวละสายตาจากโทรศัพท์ แล้วแหงนหน้าถามหญิงสาวที่มาขอสมัครงาน
"ประชาสัมพันธ์ค่ะ" หญิงสาวผู้มาสมัครงานตอบด้วยรอยยิ้ม
"งั้นเชิญกรอกใบสมัครงานทางห้องขวามือนะคะ" ประชาสัมพันธ์สาวบอกกับหญิงสาว พร้อมกับชี้มือไปทางห้องทางขวา ซึ่งเป็นห้องสำหรับคนมาสมัครงาน
หญิงสาวเข้าไปในห้องสมัครงาน ซึ่งในห้องนั้นก็มีผู้ชาย 2 คนมานั่งกรอกใบสมัครงานอยู่ ทั้ง 2 คนมองเธอแล้วยิ้ม เธอยิ้มตอบแบบเขินๆ แล้วเธอก็ได้หาที่นั่งกรอกใบสมัครงานจนเสร็จ ในห้องมีกระดาษ A4 เขียนช้อความว่า "กรอกใบสมัครงานเสร็จแล้ว ส่งที่ประชาสัมพันธ์ค่ะ" เธออ่านแล้วก็ออกจากห้องสมัครงานไปที่ประชาสัมพันธ์
"พี่คะ ส่งใบสมัครงานค่ะ" ประชาสัมพันธ์สาวละสายตาจากโทรศัพท์อีกครั้ง แล้วกันมาสนใจหญิงสาว กับใบสมัครงาน
ประชาสัมพันธ์สาวอ่านข้อมูลในใบสมัครงานคร่าวๆ เพื่อพิจารณาเบื้องต้นว่าควรให้ฝ่ายบุคคลสัมภาษณ์งานหรือไม่ หลังจากอ่านจบแล้วประชาสัมพันธ์สาวก็ถามหญิงสาวว่า "สะดวกสัมภาษณ์งานวันนี้หรือไม่คะ"
"สะดวกค่ะ" หญิงสาวตอบพร้อมรอยยิ้ม และความตื่นเต้น เพราะไม่คิดว่ากรอกใบสมัครเสร็จแล้ว จะได้สัมภาษณ์งานเลย
"งั้นเดี๋ยวเชิญนั่งรอที่ห้องสมัครงานก่อนนะคะ" ประชาสัมพันธ์สาวเก็บใบสมัครงานไว้ เพื่อส่งให้ฝ่ายบุคคล พร้อมกับบอกให้หญิงสาวไปนั่งรอที่ห้องสมัครงานอีกครั้ง
"เฮ้ยๆ ไอ้โป้ง มึงดูนั่นๆ" ผมสะกิดไอ้โป้ง เพื่อนสนิทในที่ทำงานให้มันดูหญิงสาวคนหนึ่งในห้องสมัครงาน
"ดูเหี้ยไรวะ" ไอ้โป้งสงสัย พร้อมกับหันไปมองที่ในห้องสมัครงาน "เหี้ย เอ้ย ไม่ใช่เหี้ยสิ นั่นมันนางฟ้าชัดๆ" ไอ้โป้งถึงกับตะลึง เมื่อได้เห็นหญิงสาวในห้องสมัครงาน
ก็จะไม่ให้มันตะลึงได้ยังไงล่ะครับ เพราะหญิงสาวคนนั้นมีเสน่ห์มาก หน้าตาสะสวย ดูใสๆ ผมสั้นประบ่า แม้จะผิวไม่ขาวจนโอโม่ แต่ก็ถือว่าน่ามอง แต่งตัวเรียบร้อยแต่ก็ยังดูเซ็กซี่ได้ คือรวมๆแล้วมีเสน่ห์มากมาย น่ามอง น่าค้นหานั่นแหละครับ
"พวกมึง...ทำอะไรกัน" ระหว่างที่ผมกับไอ้โป้งกำลังดูสาวเพลินๆอยู่นั้น ก็มีเสียงปริศนาแทรกเข้ามาระหว่างผมกับไอ้โป้ง ไอ้โป้งหันไปดูแล้วตะโกนเสียงดัง "เหี้ย!!!"
สิ้นเสียงของไอ้โป้ง ตัวไอ้โป้งก็ถลาออกไปล้มกลิ้งอยู่บนพื้นด้วยแรงถีบของประชาสัมพันธ์สาว "เหี้ย พ่อมึงดิ กูอีจ๋าเพื่อนมึงนี่แหละ" พอจ๋าพูดจบ แทนที่บรรยากาศจะตึงเครียด มันกลับกลายเป็นเสียงหัวเราะของเราทั้ง 3 คนแทน และที่สำคัญคือ ผมสังเกตเห็นหญิงสาวที่อยู่ในห้องสมัครงาน ก็เหมือนจะแอบขำซะด้วย
"วันนี้กินอะไรจ๋า" ผมถามจ๋าถึงข้าวมื้อเที่ยง เพราะตอนนี้จ๋าทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์อยู่คนเดียว อีกคนเพิ่งลาออกไป ทำให้จ๋าไม่สามารถออกไปกินข้าวเที่ยงกับผม และไอ้โป้งได้เหมือนทุกที
"ผัดเผ็ดช้างไข่ดาวห้าฟอง" ยังไม่ทันที่จ๋าจะตอบว่ากินอะไร ไอ้โป้งก็ชิงสั่งข้าวเที่ยงแทนจ๋าซะแล้ว จ๋าหันไปมองหน้าไอ้โป้งแบบงงๆ "งงอะไรอีจ๋า แม่ง มึงถีบแรงอย่างกับช้างถีบ เห็นหุ่นนางแบบ หุ่นเพรียวๆแบบนี้ ไม่นึกเลยว่ามึงจะมีลูกถีบพลังช้างด้วย" ไอ้โป้งอธิบายจบ คราวนี้จ๋าง้างหมัดจะต่อยแทนการถีบแล้ว
"พอดิๆ รีบๆสั่งข้าวได้แล้ว ช้าเดี๋ยวคนเยอะ" ไอ้โป้งไม่สู้จ๋าแล้ว เพราะยังไงจ๋ามันก็เพื่อนของพวกผมเหมือนกัน และไม่ว่าจะมีเรื่องกันทีไร จ๋ามันก็ชนะพวกผมทุกทีสิน่า
"เอายำหมูยอมาให้กูละกัน ข้าวไม่ต้องนะ" จ๋าหันมาสั่งข้าวเที่ยงกับผม
"โอเค จัดให้ ว่าแต่สาวในห้องสมัครงานนั่น..." ผมรับออเดอร์จากจ๋า แล้วก็หันไปมองหญิงสาวในห้องสมัครงาน พร้อมกับคำถาม
"พวกมึงสองคนไปซื้อข้าวก่อน เดี๋ยวกลับมา กูจะเล่าให้ฟัง โอเค๊" เจ้าแม่จ๋าองค์ลงแล้ว ผมกับไอ้โป้งเลยต้องรีบออกไปซื้อข้าวเที่ยง ก่อนที่เจ้าแม่จ๋าจะพิโรธ
"ในใบสมัครงานน้องเขียนไว้ว่าชื่อ ริน มาสมัครตำแหน่งเดียวกับกูนี่แหละ ถ้าใครคิดจะจีบน้องริน ต้องเซ่นเจ้าแม่เยอะหน่อยนะเว้ย ไม่งั้นเจ้าแม่จะตัดกำลัง ไม่ช่วยนะเว้ย" นี่คือ คำตอบของจ๋า หลังจากที่ผมกับไอ้โป้งซื้อข้าวเที่ยงมาให้มันแล้ว แล้วที่ถามถึงหญิงสาวในห้องสมัครงานอีกครั้ง
"แต่ก่อนอื่นเลย ต้องให้น้องได้งานก่อน เราถึงจะมีโอกาสจีบน้องเขา" ผมพูดกับไอ้โป้ง เพราะกลัวว่าน้องจะไม่ผ่านการสัมภาษณ์
"พวกมึงไม่ต้องห่วงหรอก กูยืนยันร้อยเปอร์เซ็น พี่ศรีรับน้องเข้าทำงานแน่นอน" จ๋ายืนยันหนักแน่น พร้อมยกนิ้วโป้งแสดงความมั่นใจสุดๆ
"ทำไมวะ" ไอ้โป้งถามขึ้นด้วยความสงสัย
"โปรไฟล์ และความสามารถของน้อง แม่ง...เด็ดดวงว่ะ" จ๋าตอบด้วยความมั่นใจอีกครั้งหนึ่ง จนผมกับไอ้โป้งหมดคำถาม และเชื่อว่าน้องจะผ่านการสัมภาษณ์แน่นอน
"เฮ้ย ไอ้กร" ไอ้โป้งเรียกผม ขณะที่ผมกำลังทำงานอยู่ที่โต๊ะ ซึ่งโต๊ะทำงานของผม กับไอ้โป้งก็อยู่ตรงข้ามกันนี่แหละ ผมหันไปมองหน้ามันด้วยความสงสัย
"กูว่า กูขอจีบน้องรินได้มั้ยวะ มึงหลีกทางให้กูเถอะนะ" ไอ้โป้งยิงคำถามซะผมอึ้งเลย
"มึงเอาจริงดิ" ผมถามไอ้โป้งเพื่อความแน่ใจ จะได้ไม่เข้าใจผิด
"เออ กูเอาจริงๆ กูชอบจริงๆนะเว้ย กูรู้สึกมีความสุขเวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆน้องริน" ไอ้โป้งยืนยันหนักแน่น ว่ามันจริงจังกับน้องริน
"โอเค ถ้ามึงยืนยันขนาดนี้ งั้นกูหลีกทางให้มึงก็ได้" ไอ้คนที่จริงจังขนาดนั้น มันก็เพื่อนผมนี่แหละ งั้นก็ใจๆกันไปเลย ผมยอมหลีกทางให้มันจีบน้องรินคนสวยที่ทั้งผมและมัน แอบมอง แอบสนใจมาสักระยะหนึ่งแล้ว
"มันต้องแบบนี้สิวะเพื่อน" มันดีใจใหญ่เลย ยกนิ้วโป้งให้ผมเลยทีเดียว
"ไหนๆกูก็จีบน้องรินละ มึงก็จีบอีจ๋าบ้างสิวะไอ้กร" ไอ้โป้งแนะนำให้ผมจีบจ๋า ทั้งๆที่มันเพิ่งแย่งน้องรินไปจากผม
"ไม่เอาล่ะ" ผมปฏิเสธไป
"ทำไมล่ะวะ อีจ๋ามันก็น้องๆนางแบบเลยนะเว้ย หน้าสวย หุ่นเป๊ะ นี่ถ้าให้มันไปประกวดเวทีนางแบบ มันน่าจะติดหนึ่งในสิบคนสุดท้ายเลยนะเว้ย" ไอ้โป้งยังคงพยายามทำให้ผมสนใจจีบจ๋าให้ได้
"โอย ไอ้โป้ง มึงดีใจจนลืมอะไรปะเนี่ย มึงก็รู้นี่หว่าว่ากูกับมึงเนี่ย คิดกับอีจ๋าได้แค่เพื่อนจริงๆ ความรู้สึกมันเป็นแบบนั้น มันไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว จำได้มั้ยว่าเราสามคนเนี่ย ตอนเข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ๆ เมื่อหกปีก่อน มันเป็นยังไง..." ผมรื้อฟื้นความหลังกับไอ้โป้ง เผื่อว่ามันจะลืมไปแล้วว่าเราสามคน ผม โป้ง และจ๋า มันเป็นยังไง เจออะไรมาบ้าง
"ตอนนั้นเราสามคนเป็นเด็กใหม่ที่นี่ เข้ามาพร้อมกัน ก็เลยดูจะสนิทกัน กูกับมึงเคยคิดจะจีบอีจ๋า มึงจะได้ใช่มั้ย" ผมถามไอ้โป้ง มันพยักหน้าตอบ
"แล้วยังไงล่ะ อีจ๋าชอบพี่แมนโน้น มันมองเราสองคนเป็นแค่เพื่อน ตั้งแต่นั้นมาเราสองคนก็เลยคิดกับมันได้แค่เพื่อน ยิ่งตอนที่มันเลิกกับพี่แมน ตอนนั้นอีจ๋าดูมันจะอ่อนแอมาก เราสองคนเลยคิดว่า นี่แหละโอกาสพิชิตใจอีจ๋า แล้วสุดท้ายเป็นไงล่ะ อีจ๋าเบรคหัวทิ่มเลย มึงจำได้มั้ยว่ามันพูดว่าอะไร" ผมเล่าย้อนอดีตยาว พร้อมกับจบด้วยคำถามที่ผมคิดว่า ไอ้โป้งน่าจะจำได้ดี
"มึงสองคนคือ เพื่อนสนิทของกู กูจะไม่ยอมเป็นแฟนกับใครคนใดคนหนึ่ง เราสามคนจะอยู่กันแบบนี้ ไม่มีการที่สองคนได้เป็นคู่กัน แล้วทิ้งเพื่อนอีกคนไว้ข้างหลัง จำไว้!!! ถ้าจะมีแฟน ขอให้ไปจีบคนอื่น ที่ไม่ใช่กู" ไอ้โป้งพูดไปยิ้มไป ผมเชื่อว่ามันก็คงซึ้งในคำว่า"เพื่อน"ไม่น้อยไปกว่าผม
"เออว่ะ กูลืมไป กูดีใจเกินไปหน่อย โทษทีว่ะ" ไอ้โป้งขอโทษผม ที่มันลืมคำพูดของจ๋าเมื่อวันนั้น
"ว่าแต่ มึงจะจีบน้องรินยังไงวะ" ผมถามไอ้โป้ง เพราะไม่เคยเห็นมันจีบสาวคนไหนในบริษัทติดเลย มันกินแห้วมาแล้วประมาณ 4 รอบ
"อืม กูว่านะ งานนี้ต้องให้เจ้าแม่เปลี่ยนร่างเป็นแม่สื่อแล้วล่ะ มันน่าจะช่วยได้เยอะเลยล่ะ" ไอ้โป้งทำท่าทางมีแผนการอยู่ในหัวแล้ว
"เป็นไงบ้างน้องริน ทำงานมาสองเดือนแล้ว ไหวรึเปล่า พี่ว่าน่าจะผ่านโปรได้สบายๆนะเนี่ย" จ๋า ทักทายน้องรินในเช้าวันแรกของเดือนที่ 3
"สบายมากค่ะพี่จ๋า งานไม่หนักอย่างที่คิด" น้องรินตอบกลับจ๋าด้วยความสดใสเช่นเคย
"เก่งนะเราเนี้ย ทั้งการทำงาน ทั้งภาษา ไหนจะหน้าตาที่ดูดีจนพี่หมองแล้ว ยังจะเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆหลายคนเลยนะเนี่ย" จ๋าชื่นชมในตัวของน้องริน พร้อมกับแซวขำๆ
"ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ รินยังต้องฝึกอีกเยอะเลย แล้วเรื่องหน้าตานี่ รินว่าพี่จ๋ายังกินขาดรินอยู่เลยนะคะ ไหนจะหุ่นที่เพรียวเหมือนนางแบบอีก ดูขาพี่จ๋าสิ นี่มันขานางแบบชัดๆ หน้าอก สะโพก โอยยยย รินยังห่างพี่จ๋าเยอะค่ะ" น้องรินตอบกลับพี่จ๋าแบบถ่อมตัว
"ฮ่าๆๆ ก็ได้ๆ เรื่องหน้าตา เรื่องหุ่นพี่ชนะก็ได้ แต่เรื่องหนุ่มๆนี่ พี่ขอยอมแพ้นะ เพราะปกติตรงประชาสัมพันธ์นี่ ไม่ค่อยมีหนุ่มๆแวะเวียนมานะ แต่ตั้งแต่น้องรินเข้ามาที่นี่นะ โอ้โห หัวโต๊ะประชาสัมพันธ์ไม่แห้งเลย" จ๋าแซวน้องรินอีกครั้ง
"พี่จ๋าก็เวอร์ไป๊ เขาอาจจะมาหาพี่จ๋าก็ได้นะคะ" น้องรินทำท่าทางเขินอายจนหน้าแดง
"มาหารินนั่นแหละ สาวน้อยเสน่ห์แรงที่สุด ณ เวลานี้" จ๋าบอกกับน้องริน ก่อนที่จะมีคนมาติดต่อประชาสัมพันธ์พอดี
"ขอบคุณค่ะพี่โป้ง แหม ซื้อขนมมาฝากแทบทุกวันเลย คิดอะไรกับรินรึเปล่าคะ" รินรับขนมจากไอ้โป้ง แล้วยิงคำถามแทงใจไอ้โป้งกลับมาทันที หลังจากที่ไอ้โป้งซื้อขนมมาฝากน้องรินแทบทุกวันเป็นเวลาร่วมเดือน จนรินเองก็อดสงสัยไม่ได้
"โอย มันจะมีอะไรล่ะริน ผู้ชายซื้อขนมมาให้ผู้หญิงแทบทุกวันแบบนี้ มันก็หวังจะจีบรินนั่นแหละ" จ๋าพูดขึ้นหลังจากที่เคยเตี๊ยมกับไอ้โป้งไว้ก่อนแล้วว่า ถ้าน้องรินถามคำถามแบบนี้ ให้จ๋าช่วยปูทางให้หน่อย เพื่อที่มันจะได้เอ่ยปากขอจีบน้องรินได้อย่างเป็นทางการ
น้องรินทำท่าทางอึ้งเล็กน้อย บวกกับความกังวลใจ และเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง "แต่..."
"ทำอะไรกันจ๊ะสองสาว" มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งโผล่แทรกเข้ามา ทุกคนหันไปมอง
"พี่หมู!!!" ผม ไอ้โป้ง และจ๋า พูดชื่อพี่หมูพร้อมกันด้วยความตกใจ
"อย่าบอกนะว่า..." จ๋าพูดขึ้นลอยๆ พร้อมกับมองไปที่น้องริน ผมกับไอ้โป้งก็ค่อยๆมองไปที่น้องรินด้วยเช่นกัน
"ห๊ะ?" น้องรินทำหน้า งง เหมือนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
"พี่คุ้นๆว่า พี่หมูก็เคยซื้อขนมมาฝากริน เคยแวะมาคุยด้วยบ้างนานๆครั้ง แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ พี่หมูกลับบ้านพร้อมริน อย่าบอกนะว่า..." จ๋า เล่าถึงเหตุการณ์ที่พี่หมูเคยแวะเวียนมาหาน้องริน แล้วก็จบด้วยการถามน้องริน เพราะความคาใจ แต่ยังไม่ทันที่น้องรินจะตอบอะไร
"มันจบแล้วไอ้โป้ง มึงอดละ" จ๋าก็หันมาตบไหล่ไอ้โป้ง เล่นเอาไอ้โป้งอึ้งแดก ยืนนิ่งเป็นหินเลย
"เดี๋ยวๆๆ อะไร ไปกันใหญ่แล้ว พี่ไม่ได้เป็นอะไรกับน้องรินเลย" สิ้นเสียงพี่หมู ไอ้โป้งมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไว จนผมนึกว่ามันคือ เดอะแฟลช ขยับตัวไวเกิ๊น
"ห๊ะ จริงดิพี่ จริงๆนะ" ไอ้โป้งดีใจจนเหมือนหมาที่โดนปล่อยออกจากกรง หลังจากที่โดนขังมาทั้งวัน คงพอจะนึกออกนะครับว่าอาการมันเป็นยังไง
"เอ้า จริงดิ พี่กับน้องรินไม่ได้เป็นอะไรกัน ถึงแม้ว่าพี่เคยจีบน้องรินอยู่ช่วงหนึ่ง แต่สุดท้ายพี่ก็ไม่สามารถแทรกเข้าไปในใจของน้องรินได้" พี่หมูอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ
"ไม่สามารถแทรกเข้าไปในใจของน้องรินได้ ก็แสดงว่า..รินมีคนที่อยู่ในใจแล้วน่ะสิ" ผมพูดขึ้นด้วยความสงสัย พร้อมกับมองไปที่น้องริน
ตอนนี้ทุกคนมองไปที่น้องรินเพื่อรอคำตอบ น้องรินทำท่าทางเขินอายอย่างมาก หน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด ไอ้โป้งเองก็รอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ เพราะมันหวังว่าสิ่งที่มันไปทั้งหมด น่าจะทำให้น้องรินมีใจให้มันไม่ใช่คนอื่น
'เฮ้ย ชิบหายละ อย่าบอกนะว่าน้องรินชอบกู ไอ้โป้งเงิบแน่ๆ แต่ถ้าจริงก็ดี จะได้ไม่ต้องเสียเวลาจีบ ได้มาเลยแบบไม่ต้องทำอะไร' ก่อนที่น้องรินจะตอบ แวบหนึ่งผมก็แอบคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าตัวเองอาจจะเป็นคนที่น้องรินชอบก็ได้
"ริน...มีคนที่ชอบอยู่แล้วจริงๆค่ะ แล้วคนๆนั้นก็คือ...พี่จ๋าค่ะ"
"ป๊อก!!! ซ่าาาาา..." จ๋าทำแก้วน้ำพลาสติกที่ใส่น้ำอัดลมมาเกือบเต็มแก้วหลุดมือตกพื้น ทุกคนมองไปที่แก้ว แล้วก็หันขวับกลับไปมองที่น้องริน ก่อนจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน "ห๊ะ!!!"
"แหะๆ" น้องรินก้มหน้าก้มตาแบบเขินอายสุดๆ ถ้ามุดลงดินได้ น้องน่าจะมุดไปแล้วล่ะ
"จบละ มันจบละเพื่อน กูไปซื้อแห้วแดกก่อนนะ" ไอ้โป้งกำลังจะหันหลังออกไปซื้อแห้วกิน
"พี่โป้งคะ เมื่อเช้ารินซื้อมาพอดี เอาของรินก่อนมั้ยคะ" น้องรินเสนอแห้วที่บังเอิญซื้อมาถูกวันพอดีให้ไอ้โป้ง
ไอ้โป้งหยุดกึ๊ก แล้วหันมาหาน้องริน พร้อมรอยยิ้มแห้งๆ "อีน้องรินนนนนนนน..." ไอ้โป้งทำหน้าจะร้องไห้ แต่จริงๆมันทำเอาขำๆ จนทุกคนอดหัวเราะกันไม่ได้
"พอผิดหวังแล้ว ขึ้นอีเลยนะมึง มึงกล้าเรียกแฟนกูว่าอีเหรอ เดี๋ยวถีบๆ" จ๋าทำท่าทางไม่พอใจไอ้โป้ง พร้อมยกเท้าจะถีบ ซึ่งก็ทำให้ทุกคนหัวเราะ บรรยากาศเลยผ่อนคลาย
จริงๆผมก็สงสารไอ้โป้งมันนะครับ ลงทุนไปก็เยอะ แต่จะทำยังไงได้ล่ะครับ ก็น้องรินดันชอบผู้หญิง แต่ในความผิดหวังนี้ มันก็ยังดีหน่อย เพราะอย่างน้อยๆไอ้โป้งมันก็ไม่ได้แพ้ทอม มันแพ้ผู้หญิงซึ่งยังไงก็เหมือนสู้กับคนละแนวทาง ไม่เหมือนแพ้ทอม อันนั้นน่าเจ็บใจกว่า
"ว่าแต่จ๋า มึงเอาจริงดิ เป็นแฟนกับน้องรินน่ะ" ผมถามจ๋าทางโทรศัพท์ เพราะผมยังคาใจอยู่ ว่านี่มันเรื่องจริง หรือแค่แกล้งไอ้โป้งกันแน่ แล้วจ้ามันจะเปลี่ยนแนวได้จริงๆเหรอ
"มึงรู้มั้ย ทำไมกูเลิกกับพี่แมน" จ๋าถามผมกลับ
"ก็มึงบอกว่า พี่แมนมีคนอื่นไง" ผมตอบ แล้วก็สงสัย ทำไมมันถามผมกลับมาแบบนี้
"จริงๆแล้วคือ กูค้นพบตัวเองตอนได้อยู่ใกล้ๆกับน้องสาวพี่แมนว่ะ กูไม่รู้มันเกิดจากอะไรยังไงนะ แต่กูรู้สึกว่า กูชื่นชอบในสรีระของผู้หญิงว่ะ กูอยากลูบ อยากคลำ อยากกอด อยากแนบชิดอย่างบอกไม่ถูก จนกูแอบ...นั่นแหละมึงเข้าใจนะ กับน้องสาวพี่แมน จนวันหนึ่งพี่แมนรู้เข้า บวกกับตอนนั้นพี่แมนแม่งก็มีผู้หญิงคนใหม่พอดี กูกับพี่แมนก็เลยเลิกกันด้วยดี แต่กูไม่เคยบอกใคร และก็ไม่มีใครเคยถามลึกๆ กูเลยปล่อยเข้าใจผิดกันไป จริงๆแล้วที่กูไม่ให้พวกมึงสองคนจีบกู ส่วนหนึ่งก็มาจากสาเหตุนี้แหละ แต่คำว่าเพื่อนคือเหตุผลหลักนะมึง" จ๋าอธิบายยาว จนผมบรรลุเข้าใจลึกซึ้งเลย
"แล้ว...มึงจะปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเพื่อ..." แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดี ว่ามันจะปิดเรื่องนี้ไว้ทำไม
"ก็กูอยากปิดไง มีไรอ่ะเปล่า" จ๋าตอบผมแบบกวนๆแล้วไง และยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่อ ก็มีเสียงแทรกเข้ามา "พี่จ๋า อุ๊ย..."
ผมได้ยินเสียงแล้วก็พูดลอยๆออกไปเบาๆแบบอึ้งๆ "เหี้ย..."
"กูไม่ใช่เหี้ย กูอีจ๋าเพื่อนมึงนี่แหละ แต่แค่นี้ก่อนนะ น้องรินอาบน้ำเสร็จแล้ว"
"ตรู๊ดๆๆๆ" เออ...ผมว่า ผมไปหาดนตรีไทยฟังสักหน่อยดีกว่า
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
26 มีนาคม 2561
"มึงเอาจริงดิ" ผมถามเพื่อนของผมเพื่อความแน่ใจ จะได้ไม่เข้าใจผิด
"เออ กูเอาจริงๆ กูชอบจริงๆนะเว้ย กูรู้สึกมีความสุขเวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆเธอ" เพื่อนของผมยืนยันหนักแน่น ว่ามันจริงจังกับผู้หญิงคนนี้
"โอเค ถ้ามึงยืนยันขนาดนี้ งั้นกูหลีกทางให้มึงก็ได้" ไอ้คนที่จริงจังขนาดนั้น มันก็เพื่อนผมนี่แหละ งั้นก็ใจๆกันไปเลย ผมยอมหลีกทางให้มันจีบน้องรินคนสวยที่ทั้งผม และเพื่อนของผม แอบมอง แอบสนใจมาสักระยะหนึ่งแล้ว
"มันต้องแบบนี้สิวะเพื่อน" มันดีใจใหญ่เลย ยกนิ้วโป้งให้ผมเลยทีเดียว
"สวัสดีค่ะ มาสมัครงานค่ะ" หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวทักทายประชาสัมพันธ์สาว ที่กำลังนั่งเขี่ยโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะประชาสัมพันธ์
"ตำแหน่งอะไรคะ" ประชาสัมพันธ์สาวละสายตาจากโทรศัพท์ แล้วแหงนหน้าถามหญิงสาวที่มาขอสมัครงาน
"ประชาสัมพันธ์ค่ะ" หญิงสาวผู้มาสมัครงานตอบด้วยรอยยิ้ม
"งั้นเชิญกรอกใบสมัครงานทางห้องขวามือนะคะ" ประชาสัมพันธ์สาวบอกกับหญิงสาว พร้อมกับชี้มือไปทางห้องทางขวา ซึ่งเป็นห้องสำหรับคนมาสมัครงาน
หญิงสาวเข้าไปในห้องสมัครงาน ซึ่งในห้องนั้นก็มีผู้ชาย 2 คนมานั่งกรอกใบสมัครงานอยู่ ทั้ง 2 คนมองเธอแล้วยิ้ม เธอยิ้มตอบแบบเขินๆ แล้วเธอก็ได้หาที่นั่งกรอกใบสมัครงานจนเสร็จ ในห้องมีกระดาษ A4 เขียนช้อความว่า "กรอกใบสมัครงานเสร็จแล้ว ส่งที่ประชาสัมพันธ์ค่ะ" เธออ่านแล้วก็ออกจากห้องสมัครงานไปที่ประชาสัมพันธ์
"พี่คะ ส่งใบสมัครงานค่ะ" ประชาสัมพันธ์สาวละสายตาจากโทรศัพท์อีกครั้ง แล้วกันมาสนใจหญิงสาว กับใบสมัครงาน
ประชาสัมพันธ์สาวอ่านข้อมูลในใบสมัครงานคร่าวๆ เพื่อพิจารณาเบื้องต้นว่าควรให้ฝ่ายบุคคลสัมภาษณ์งานหรือไม่ หลังจากอ่านจบแล้วประชาสัมพันธ์สาวก็ถามหญิงสาวว่า "สะดวกสัมภาษณ์งานวันนี้หรือไม่คะ"
"สะดวกค่ะ" หญิงสาวตอบพร้อมรอยยิ้ม และความตื่นเต้น เพราะไม่คิดว่ากรอกใบสมัครเสร็จแล้ว จะได้สัมภาษณ์งานเลย
"งั้นเดี๋ยวเชิญนั่งรอที่ห้องสมัครงานก่อนนะคะ" ประชาสัมพันธ์สาวเก็บใบสมัครงานไว้ เพื่อส่งให้ฝ่ายบุคคล พร้อมกับบอกให้หญิงสาวไปนั่งรอที่ห้องสมัครงานอีกครั้ง
"เฮ้ยๆ ไอ้โป้ง มึงดูนั่นๆ" ผมสะกิดไอ้โป้ง เพื่อนสนิทในที่ทำงานให้มันดูหญิงสาวคนหนึ่งในห้องสมัครงาน
"ดูเหี้ยไรวะ" ไอ้โป้งสงสัย พร้อมกับหันไปมองที่ในห้องสมัครงาน "เหี้ย เอ้ย ไม่ใช่เหี้ยสิ นั่นมันนางฟ้าชัดๆ" ไอ้โป้งถึงกับตะลึง เมื่อได้เห็นหญิงสาวในห้องสมัครงาน
ก็จะไม่ให้มันตะลึงได้ยังไงล่ะครับ เพราะหญิงสาวคนนั้นมีเสน่ห์มาก หน้าตาสะสวย ดูใสๆ ผมสั้นประบ่า แม้จะผิวไม่ขาวจนโอโม่ แต่ก็ถือว่าน่ามอง แต่งตัวเรียบร้อยแต่ก็ยังดูเซ็กซี่ได้ คือรวมๆแล้วมีเสน่ห์มากมาย น่ามอง น่าค้นหานั่นแหละครับ
"พวกมึง...ทำอะไรกัน" ระหว่างที่ผมกับไอ้โป้งกำลังดูสาวเพลินๆอยู่นั้น ก็มีเสียงปริศนาแทรกเข้ามาระหว่างผมกับไอ้โป้ง ไอ้โป้งหันไปดูแล้วตะโกนเสียงดัง "เหี้ย!!!"
สิ้นเสียงของไอ้โป้ง ตัวไอ้โป้งก็ถลาออกไปล้มกลิ้งอยู่บนพื้นด้วยแรงถีบของประชาสัมพันธ์สาว "เหี้ย พ่อมึงดิ กูอีจ๋าเพื่อนมึงนี่แหละ" พอจ๋าพูดจบ แทนที่บรรยากาศจะตึงเครียด มันกลับกลายเป็นเสียงหัวเราะของเราทั้ง 3 คนแทน และที่สำคัญคือ ผมสังเกตเห็นหญิงสาวที่อยู่ในห้องสมัครงาน ก็เหมือนจะแอบขำซะด้วย
"วันนี้กินอะไรจ๋า" ผมถามจ๋าถึงข้าวมื้อเที่ยง เพราะตอนนี้จ๋าทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์อยู่คนเดียว อีกคนเพิ่งลาออกไป ทำให้จ๋าไม่สามารถออกไปกินข้าวเที่ยงกับผม และไอ้โป้งได้เหมือนทุกที
"ผัดเผ็ดช้างไข่ดาวห้าฟอง" ยังไม่ทันที่จ๋าจะตอบว่ากินอะไร ไอ้โป้งก็ชิงสั่งข้าวเที่ยงแทนจ๋าซะแล้ว จ๋าหันไปมองหน้าไอ้โป้งแบบงงๆ "งงอะไรอีจ๋า แม่ง มึงถีบแรงอย่างกับช้างถีบ เห็นหุ่นนางแบบ หุ่นเพรียวๆแบบนี้ ไม่นึกเลยว่ามึงจะมีลูกถีบพลังช้างด้วย" ไอ้โป้งอธิบายจบ คราวนี้จ๋าง้างหมัดจะต่อยแทนการถีบแล้ว
"พอดิๆ รีบๆสั่งข้าวได้แล้ว ช้าเดี๋ยวคนเยอะ" ไอ้โป้งไม่สู้จ๋าแล้ว เพราะยังไงจ๋ามันก็เพื่อนของพวกผมเหมือนกัน และไม่ว่าจะมีเรื่องกันทีไร จ๋ามันก็ชนะพวกผมทุกทีสิน่า
"เอายำหมูยอมาให้กูละกัน ข้าวไม่ต้องนะ" จ๋าหันมาสั่งข้าวเที่ยงกับผม
"โอเค จัดให้ ว่าแต่สาวในห้องสมัครงานนั่น..." ผมรับออเดอร์จากจ๋า แล้วก็หันไปมองหญิงสาวในห้องสมัครงาน พร้อมกับคำถาม
"พวกมึงสองคนไปซื้อข้าวก่อน เดี๋ยวกลับมา กูจะเล่าให้ฟัง โอเค๊" เจ้าแม่จ๋าองค์ลงแล้ว ผมกับไอ้โป้งเลยต้องรีบออกไปซื้อข้าวเที่ยง ก่อนที่เจ้าแม่จ๋าจะพิโรธ
"ในใบสมัครงานน้องเขียนไว้ว่าชื่อ ริน มาสมัครตำแหน่งเดียวกับกูนี่แหละ ถ้าใครคิดจะจีบน้องริน ต้องเซ่นเจ้าแม่เยอะหน่อยนะเว้ย ไม่งั้นเจ้าแม่จะตัดกำลัง ไม่ช่วยนะเว้ย" นี่คือ คำตอบของจ๋า หลังจากที่ผมกับไอ้โป้งซื้อข้าวเที่ยงมาให้มันแล้ว แล้วที่ถามถึงหญิงสาวในห้องสมัครงานอีกครั้ง
"แต่ก่อนอื่นเลย ต้องให้น้องได้งานก่อน เราถึงจะมีโอกาสจีบน้องเขา" ผมพูดกับไอ้โป้ง เพราะกลัวว่าน้องจะไม่ผ่านการสัมภาษณ์
"พวกมึงไม่ต้องห่วงหรอก กูยืนยันร้อยเปอร์เซ็น พี่ศรีรับน้องเข้าทำงานแน่นอน" จ๋ายืนยันหนักแน่น พร้อมยกนิ้วโป้งแสดงความมั่นใจสุดๆ
"ทำไมวะ" ไอ้โป้งถามขึ้นด้วยความสงสัย
"โปรไฟล์ และความสามารถของน้อง แม่ง...เด็ดดวงว่ะ" จ๋าตอบด้วยความมั่นใจอีกครั้งหนึ่ง จนผมกับไอ้โป้งหมดคำถาม และเชื่อว่าน้องจะผ่านการสัมภาษณ์แน่นอน
"เฮ้ย ไอ้กร" ไอ้โป้งเรียกผม ขณะที่ผมกำลังทำงานอยู่ที่โต๊ะ ซึ่งโต๊ะทำงานของผม กับไอ้โป้งก็อยู่ตรงข้ามกันนี่แหละ ผมหันไปมองหน้ามันด้วยความสงสัย
"กูว่า กูขอจีบน้องรินได้มั้ยวะ มึงหลีกทางให้กูเถอะนะ" ไอ้โป้งยิงคำถามซะผมอึ้งเลย
"มึงเอาจริงดิ" ผมถามไอ้โป้งเพื่อความแน่ใจ จะได้ไม่เข้าใจผิด
"เออ กูเอาจริงๆ กูชอบจริงๆนะเว้ย กูรู้สึกมีความสุขเวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆน้องริน" ไอ้โป้งยืนยันหนักแน่น ว่ามันจริงจังกับน้องริน
"โอเค ถ้ามึงยืนยันขนาดนี้ งั้นกูหลีกทางให้มึงก็ได้" ไอ้คนที่จริงจังขนาดนั้น มันก็เพื่อนผมนี่แหละ งั้นก็ใจๆกันไปเลย ผมยอมหลีกทางให้มันจีบน้องรินคนสวยที่ทั้งผมและมัน แอบมอง แอบสนใจมาสักระยะหนึ่งแล้ว
"มันต้องแบบนี้สิวะเพื่อน" มันดีใจใหญ่เลย ยกนิ้วโป้งให้ผมเลยทีเดียว
"ไหนๆกูก็จีบน้องรินละ มึงก็จีบอีจ๋าบ้างสิวะไอ้กร" ไอ้โป้งแนะนำให้ผมจีบจ๋า ทั้งๆที่มันเพิ่งแย่งน้องรินไปจากผม
"ไม่เอาล่ะ" ผมปฏิเสธไป
"ทำไมล่ะวะ อีจ๋ามันก็น้องๆนางแบบเลยนะเว้ย หน้าสวย หุ่นเป๊ะ นี่ถ้าให้มันไปประกวดเวทีนางแบบ มันน่าจะติดหนึ่งในสิบคนสุดท้ายเลยนะเว้ย" ไอ้โป้งยังคงพยายามทำให้ผมสนใจจีบจ๋าให้ได้
"โอย ไอ้โป้ง มึงดีใจจนลืมอะไรปะเนี่ย มึงก็รู้นี่หว่าว่ากูกับมึงเนี่ย คิดกับอีจ๋าได้แค่เพื่อนจริงๆ ความรู้สึกมันเป็นแบบนั้น มันไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว จำได้มั้ยว่าเราสามคนเนี่ย ตอนเข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ๆ เมื่อหกปีก่อน มันเป็นยังไง..." ผมรื้อฟื้นความหลังกับไอ้โป้ง เผื่อว่ามันจะลืมไปแล้วว่าเราสามคน ผม โป้ง และจ๋า มันเป็นยังไง เจออะไรมาบ้าง
"ตอนนั้นเราสามคนเป็นเด็กใหม่ที่นี่ เข้ามาพร้อมกัน ก็เลยดูจะสนิทกัน กูกับมึงเคยคิดจะจีบอีจ๋า มึงจะได้ใช่มั้ย" ผมถามไอ้โป้ง มันพยักหน้าตอบ
"แล้วยังไงล่ะ อีจ๋าชอบพี่แมนโน้น มันมองเราสองคนเป็นแค่เพื่อน ตั้งแต่นั้นมาเราสองคนก็เลยคิดกับมันได้แค่เพื่อน ยิ่งตอนที่มันเลิกกับพี่แมน ตอนนั้นอีจ๋าดูมันจะอ่อนแอมาก เราสองคนเลยคิดว่า นี่แหละโอกาสพิชิตใจอีจ๋า แล้วสุดท้ายเป็นไงล่ะ อีจ๋าเบรคหัวทิ่มเลย มึงจำได้มั้ยว่ามันพูดว่าอะไร" ผมเล่าย้อนอดีตยาว พร้อมกับจบด้วยคำถามที่ผมคิดว่า ไอ้โป้งน่าจะจำได้ดี
"มึงสองคนคือ เพื่อนสนิทของกู กูจะไม่ยอมเป็นแฟนกับใครคนใดคนหนึ่ง เราสามคนจะอยู่กันแบบนี้ ไม่มีการที่สองคนได้เป็นคู่กัน แล้วทิ้งเพื่อนอีกคนไว้ข้างหลัง จำไว้!!! ถ้าจะมีแฟน ขอให้ไปจีบคนอื่น ที่ไม่ใช่กู" ไอ้โป้งพูดไปยิ้มไป ผมเชื่อว่ามันก็คงซึ้งในคำว่า"เพื่อน"ไม่น้อยไปกว่าผม
"เออว่ะ กูลืมไป กูดีใจเกินไปหน่อย โทษทีว่ะ" ไอ้โป้งขอโทษผม ที่มันลืมคำพูดของจ๋าเมื่อวันนั้น
"ว่าแต่ มึงจะจีบน้องรินยังไงวะ" ผมถามไอ้โป้ง เพราะไม่เคยเห็นมันจีบสาวคนไหนในบริษัทติดเลย มันกินแห้วมาแล้วประมาณ 4 รอบ
"อืม กูว่านะ งานนี้ต้องให้เจ้าแม่เปลี่ยนร่างเป็นแม่สื่อแล้วล่ะ มันน่าจะช่วยได้เยอะเลยล่ะ" ไอ้โป้งทำท่าทางมีแผนการอยู่ในหัวแล้ว
"เป็นไงบ้างน้องริน ทำงานมาสองเดือนแล้ว ไหวรึเปล่า พี่ว่าน่าจะผ่านโปรได้สบายๆนะเนี่ย" จ๋า ทักทายน้องรินในเช้าวันแรกของเดือนที่ 3
"สบายมากค่ะพี่จ๋า งานไม่หนักอย่างที่คิด" น้องรินตอบกลับจ๋าด้วยความสดใสเช่นเคย
"เก่งนะเราเนี้ย ทั้งการทำงาน ทั้งภาษา ไหนจะหน้าตาที่ดูดีจนพี่หมองแล้ว ยังจะเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆหลายคนเลยนะเนี่ย" จ๋าชื่นชมในตัวของน้องริน พร้อมกับแซวขำๆ
"ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ รินยังต้องฝึกอีกเยอะเลย แล้วเรื่องหน้าตานี่ รินว่าพี่จ๋ายังกินขาดรินอยู่เลยนะคะ ไหนจะหุ่นที่เพรียวเหมือนนางแบบอีก ดูขาพี่จ๋าสิ นี่มันขานางแบบชัดๆ หน้าอก สะโพก โอยยยย รินยังห่างพี่จ๋าเยอะค่ะ" น้องรินตอบกลับพี่จ๋าแบบถ่อมตัว
"ฮ่าๆๆ ก็ได้ๆ เรื่องหน้าตา เรื่องหุ่นพี่ชนะก็ได้ แต่เรื่องหนุ่มๆนี่ พี่ขอยอมแพ้นะ เพราะปกติตรงประชาสัมพันธ์นี่ ไม่ค่อยมีหนุ่มๆแวะเวียนมานะ แต่ตั้งแต่น้องรินเข้ามาที่นี่นะ โอ้โห หัวโต๊ะประชาสัมพันธ์ไม่แห้งเลย" จ๋าแซวน้องรินอีกครั้ง
"พี่จ๋าก็เวอร์ไป๊ เขาอาจจะมาหาพี่จ๋าก็ได้นะคะ" น้องรินทำท่าทางเขินอายจนหน้าแดง
"มาหารินนั่นแหละ สาวน้อยเสน่ห์แรงที่สุด ณ เวลานี้" จ๋าบอกกับน้องริน ก่อนที่จะมีคนมาติดต่อประชาสัมพันธ์พอดี
"ขอบคุณค่ะพี่โป้ง แหม ซื้อขนมมาฝากแทบทุกวันเลย คิดอะไรกับรินรึเปล่าคะ" รินรับขนมจากไอ้โป้ง แล้วยิงคำถามแทงใจไอ้โป้งกลับมาทันที หลังจากที่ไอ้โป้งซื้อขนมมาฝากน้องรินแทบทุกวันเป็นเวลาร่วมเดือน จนรินเองก็อดสงสัยไม่ได้
"โอย มันจะมีอะไรล่ะริน ผู้ชายซื้อขนมมาให้ผู้หญิงแทบทุกวันแบบนี้ มันก็หวังจะจีบรินนั่นแหละ" จ๋าพูดขึ้นหลังจากที่เคยเตี๊ยมกับไอ้โป้งไว้ก่อนแล้วว่า ถ้าน้องรินถามคำถามแบบนี้ ให้จ๋าช่วยปูทางให้หน่อย เพื่อที่มันจะได้เอ่ยปากขอจีบน้องรินได้อย่างเป็นทางการ
น้องรินทำท่าทางอึ้งเล็กน้อย บวกกับความกังวลใจ และเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง "แต่..."
"ทำอะไรกันจ๊ะสองสาว" มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งโผล่แทรกเข้ามา ทุกคนหันไปมอง
"พี่หมู!!!" ผม ไอ้โป้ง และจ๋า พูดชื่อพี่หมูพร้อมกันด้วยความตกใจ
"อย่าบอกนะว่า..." จ๋าพูดขึ้นลอยๆ พร้อมกับมองไปที่น้องริน ผมกับไอ้โป้งก็ค่อยๆมองไปที่น้องรินด้วยเช่นกัน
"ห๊ะ?" น้องรินทำหน้า งง เหมือนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
"พี่คุ้นๆว่า พี่หมูก็เคยซื้อขนมมาฝากริน เคยแวะมาคุยด้วยบ้างนานๆครั้ง แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ พี่หมูกลับบ้านพร้อมริน อย่าบอกนะว่า..." จ๋า เล่าถึงเหตุการณ์ที่พี่หมูเคยแวะเวียนมาหาน้องริน แล้วก็จบด้วยการถามน้องริน เพราะความคาใจ แต่ยังไม่ทันที่น้องรินจะตอบอะไร
"มันจบแล้วไอ้โป้ง มึงอดละ" จ๋าก็หันมาตบไหล่ไอ้โป้ง เล่นเอาไอ้โป้งอึ้งแดก ยืนนิ่งเป็นหินเลย
"เดี๋ยวๆๆ อะไร ไปกันใหญ่แล้ว พี่ไม่ได้เป็นอะไรกับน้องรินเลย" สิ้นเสียงพี่หมู ไอ้โป้งมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไว จนผมนึกว่ามันคือ เดอะแฟลช ขยับตัวไวเกิ๊น
"ห๊ะ จริงดิพี่ จริงๆนะ" ไอ้โป้งดีใจจนเหมือนหมาที่โดนปล่อยออกจากกรง หลังจากที่โดนขังมาทั้งวัน คงพอจะนึกออกนะครับว่าอาการมันเป็นยังไง
"เอ้า จริงดิ พี่กับน้องรินไม่ได้เป็นอะไรกัน ถึงแม้ว่าพี่เคยจีบน้องรินอยู่ช่วงหนึ่ง แต่สุดท้ายพี่ก็ไม่สามารถแทรกเข้าไปในใจของน้องรินได้" พี่หมูอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ
"ไม่สามารถแทรกเข้าไปในใจของน้องรินได้ ก็แสดงว่า..รินมีคนที่อยู่ในใจแล้วน่ะสิ" ผมพูดขึ้นด้วยความสงสัย พร้อมกับมองไปที่น้องริน
ตอนนี้ทุกคนมองไปที่น้องรินเพื่อรอคำตอบ น้องรินทำท่าทางเขินอายอย่างมาก หน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด ไอ้โป้งเองก็รอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ เพราะมันหวังว่าสิ่งที่มันไปทั้งหมด น่าจะทำให้น้องรินมีใจให้มันไม่ใช่คนอื่น
'เฮ้ย ชิบหายละ อย่าบอกนะว่าน้องรินชอบกู ไอ้โป้งเงิบแน่ๆ แต่ถ้าจริงก็ดี จะได้ไม่ต้องเสียเวลาจีบ ได้มาเลยแบบไม่ต้องทำอะไร' ก่อนที่น้องรินจะตอบ แวบหนึ่งผมก็แอบคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าตัวเองอาจจะเป็นคนที่น้องรินชอบก็ได้
"ริน...มีคนที่ชอบอยู่แล้วจริงๆค่ะ แล้วคนๆนั้นก็คือ...พี่จ๋าค่ะ"
"ป๊อก!!! ซ่าาาาา..." จ๋าทำแก้วน้ำพลาสติกที่ใส่น้ำอัดลมมาเกือบเต็มแก้วหลุดมือตกพื้น ทุกคนมองไปที่แก้ว แล้วก็หันขวับกลับไปมองที่น้องริน ก่อนจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน "ห๊ะ!!!"
"แหะๆ" น้องรินก้มหน้าก้มตาแบบเขินอายสุดๆ ถ้ามุดลงดินได้ น้องน่าจะมุดไปแล้วล่ะ
"จบละ มันจบละเพื่อน กูไปซื้อแห้วแดกก่อนนะ" ไอ้โป้งกำลังจะหันหลังออกไปซื้อแห้วกิน
"พี่โป้งคะ เมื่อเช้ารินซื้อมาพอดี เอาของรินก่อนมั้ยคะ" น้องรินเสนอแห้วที่บังเอิญซื้อมาถูกวันพอดีให้ไอ้โป้ง
ไอ้โป้งหยุดกึ๊ก แล้วหันมาหาน้องริน พร้อมรอยยิ้มแห้งๆ "อีน้องรินนนนนนนน..." ไอ้โป้งทำหน้าจะร้องไห้ แต่จริงๆมันทำเอาขำๆ จนทุกคนอดหัวเราะกันไม่ได้
"พอผิดหวังแล้ว ขึ้นอีเลยนะมึง มึงกล้าเรียกแฟนกูว่าอีเหรอ เดี๋ยวถีบๆ" จ๋าทำท่าทางไม่พอใจไอ้โป้ง พร้อมยกเท้าจะถีบ ซึ่งก็ทำให้ทุกคนหัวเราะ บรรยากาศเลยผ่อนคลาย
จริงๆผมก็สงสารไอ้โป้งมันนะครับ ลงทุนไปก็เยอะ แต่จะทำยังไงได้ล่ะครับ ก็น้องรินดันชอบผู้หญิง แต่ในความผิดหวังนี้ มันก็ยังดีหน่อย เพราะอย่างน้อยๆไอ้โป้งมันก็ไม่ได้แพ้ทอม มันแพ้ผู้หญิงซึ่งยังไงก็เหมือนสู้กับคนละแนวทาง ไม่เหมือนแพ้ทอม อันนั้นน่าเจ็บใจกว่า
"ว่าแต่จ๋า มึงเอาจริงดิ เป็นแฟนกับน้องรินน่ะ" ผมถามจ๋าทางโทรศัพท์ เพราะผมยังคาใจอยู่ ว่านี่มันเรื่องจริง หรือแค่แกล้งไอ้โป้งกันแน่ แล้วจ้ามันจะเปลี่ยนแนวได้จริงๆเหรอ
"มึงรู้มั้ย ทำไมกูเลิกกับพี่แมน" จ๋าถามผมกลับ
"ก็มึงบอกว่า พี่แมนมีคนอื่นไง" ผมตอบ แล้วก็สงสัย ทำไมมันถามผมกลับมาแบบนี้
"จริงๆแล้วคือ กูค้นพบตัวเองตอนได้อยู่ใกล้ๆกับน้องสาวพี่แมนว่ะ กูไม่รู้มันเกิดจากอะไรยังไงนะ แต่กูรู้สึกว่า กูชื่นชอบในสรีระของผู้หญิงว่ะ กูอยากลูบ อยากคลำ อยากกอด อยากแนบชิดอย่างบอกไม่ถูก จนกูแอบ...นั่นแหละมึงเข้าใจนะ กับน้องสาวพี่แมน จนวันหนึ่งพี่แมนรู้เข้า บวกกับตอนนั้นพี่แมนแม่งก็มีผู้หญิงคนใหม่พอดี กูกับพี่แมนก็เลยเลิกกันด้วยดี แต่กูไม่เคยบอกใคร และก็ไม่มีใครเคยถามลึกๆ กูเลยปล่อยเข้าใจผิดกันไป จริงๆแล้วที่กูไม่ให้พวกมึงสองคนจีบกู ส่วนหนึ่งก็มาจากสาเหตุนี้แหละ แต่คำว่าเพื่อนคือเหตุผลหลักนะมึง" จ๋าอธิบายยาว จนผมบรรลุเข้าใจลึกซึ้งเลย
"แล้ว...มึงจะปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเพื่อ..." แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดี ว่ามันจะปิดเรื่องนี้ไว้ทำไม
"ก็กูอยากปิดไง มีไรอ่ะเปล่า" จ๋าตอบผมแบบกวนๆแล้วไง และยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่อ ก็มีเสียงแทรกเข้ามา "พี่จ๋า อุ๊ย..."
ผมได้ยินเสียงแล้วก็พูดลอยๆออกไปเบาๆแบบอึ้งๆ "เหี้ย..."
"กูไม่ใช่เหี้ย กูอีจ๋าเพื่อนมึงนี่แหละ แต่แค่นี้ก่อนนะ น้องรินอาบน้ำเสร็จแล้ว"
"ตรู๊ดๆๆๆ" เออ...ผมว่า ผมไปหาดนตรีไทยฟังสักหน่อยดีกว่า
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
ตอนที่ 136 (บทความ) _ พนันกันมั้ยล่ะ
พนันกันมั้ยล่ะ
20 มีนาคม 2561
ผมจำไม่ได้นะครับว่าเคยเขียนเรื่องนี้ไปแล้วหรือยัง แต่พอดีว่าวันนี้อ่านข่าวเจอข่าวการพนันไก่ชนถูกกฏหมาย มันก็เลยเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมการพนันถึงถูกกฏหมายได้
จากการหาความรู้ในอินเตอร์เน็ตแล้ว พอจะจับใจความได้ว่า การพนันที่ถูกกฏหมายนั่น ก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่เล่นการพนันนั้น เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินทั้งหมด และคนรอบตัวนั่นเอง อธิบายให้เข้าใจอีกทีก็คือ คนที่จะเล่นการพนันถูกกฏหมายนั้น จะมีกฏหมายห้ามเล่นจนหมดตัว หรือเล่นจนเกินตัว จนเกิดสร้างหนี้สิน และห้ามเล่นจนครอบครัว หรือคนรอบตัวเดือดร้อน (อันนี้มันจะห้ามยังไงหว่า)
แต่เอาจริงๆนะ เคยได้ยินคำที่ว่า "ความเห็นไม่ตรงกัน การพนันจึงเกิดขึ้น"มั้ยล่ะครับ แน่นอนว่าแทบจะทุกๆที่บนโลกนี้น่ะ มีการพนันเกิดขึ้นแน่นอน แล้วไอ้บางประเทศก็บอกว่า ห้ามเล่นการพนัน แต่ยังทะลึ่งมีข้อแม้ออกมาว่า ยกเว้นจะเล่นการพนันถูกกฏหมาย เอ๊ะ ยังไงๆอยู่นะ
การพนันก็คือการพนัน ไม่ว่าจะผิดกฏหมาย หรือถูกกฏหมาย สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ มันทำให้คนที่ได้เล่นการพนันนั้น รู้สึกติดใจขึ้นมาได้นั่นเอง คนเล่นพนันชนะ ก็จะได้เงิน ทีนี้ก็ติดใจสิครับ เอาอีกๆ ลงทุนนิดเดียว ได้คืนมาเยอะ แถมสบายอีก พนันอีกๆ ส่วนคนที่เสียพนันส่วนมากก็จะเสียดายเงินที่พนันไป ก็เกิดความอยากได้คืน มีความแค้นใจ ไม่น่าพลาดเลยกู เอาใหม่ๆ รอบหน้าได้แน่ ต้องเอาคืน
นั่นล่ะครับ เสน่ห์ของการพนัน มันเลยทำให้ใครต่อใครชื่นชอบ
ทีนี้มาลองดูคำพูด คำสอนของเราๆกัน ที่เมื่อสมัยยังเด็กอยู่ จำได้มั้ยว่าผู้ใหญ่สอนว่าไง...อย่าเล่นการพนัน ห้ามเล่นการพนัน เพราะมันไม่ดี มีแต่ทำให้เราเสียตังค์ แน่นอนว่าตอนนั้นเราก็เชื่อ เพราะเรายังหาเงินเองไม่ได้ ขืนเอาค่าขนมไปเล่นพนัน ก็อดกินขนมสิ จนมาวันที่เติบโตขึ้น หาเงินเองได้ สิ่งที่ได้เจอคือ ข่าวที่บอกว่า คนถูกหวย 12 ล้าน, คนเล่นพนันชนะตีไก่ , คนเล่นการพนันม้าชนะ ฯลฯ อ้าวววว แล้วมันคืออะไร ทำไมเล่นได้
นี่อาจจะคือ "มือถือสาก ปากถือศีล" ของคนไทยเรานี่แหละครับ ปากก็ห้ามๆๆๆ แต่เอาจริงๆ รัฐบาลเล็งเห็นว่า ให้มันเล่นผิดกฏหมาย รัฐบาลไม่ได้ตังค์ เลยจับให้มันถูกกฏหมายซะเลย ก็ไหนว่าห้ามไง ก็ไหนว่าการพนันมันไม่ดีไง ทำให้ถูกกฏหมายเพื่อให้เล่นกันได้ทำไมล่ะ (ย้อนไปอ่านบรรทัดแรก เพื่อควบคุม มีกฏ ป้องกันคนเล่น งั้นเหรอ?)
เอาจริงๆผมก็ยังงงๆนะครับว่า ตกลงการพนันถูกกฏหมาย กับการพนันผิดกฏหมาย คนที่เล่นพนันเนี่ย มันรู้สึกต่างกันเหรอ แล้วรัฐบาลจะรู้เหรอว่า ไอ้คนที่เล่นพนันถูกกฏหมายอยู่ มันจะไม่แอบๆใต้โต๊ะ เล่นผิดกฏหมายกันดื้อๆข้างๆการพนันถูกกฏหมายนั่นเลย ฮ่าๆๆ (เขียนไปเขียนมา ตรรกะเริ่มเพี้ยน)
วกไปเรื่องการพนันที่ถูกกฏหมายที่ชือว่า หวย นิดนึง หวยถูกกฏหมายคือ สลากกินแบ่งรัฐบาล(แบ่งให้แต่รัฐบาล ไม่แบ่งกูเล้ยยย) กับหวยผิดกฏหมายคือ หวยใต้ดิน หวย 2 แบบนี้ทั้งวิธีซื้อ ทั้งราคา ทั้งรางวัลก็ต่างกัน แถมที่ต่างกันชัดเจนคือ ตำรวจจับเฉพาะหวยใต้ดิน ฮ่าๆๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ การพนัน ใช่แลวครับ มันคือ การพนันนั่นแหละ ไหนๆการพนันมันก็ปราบยาก งั้นผมว่าเราอย่าหลงประเด็นไปที่ปลายเหตุกันเลย ผมว่าเราเน้นที่ต้นเหตุกันไปเลยดีกว่า ต้นเหตุที่ว่าคือ คน นี่แหละครับ
หากคนรอบตัวเรา หรือสังคมที่เราอยู่ปลอดการพนัน ส่วนมากแล้วเราก็จะไม่เล่นการพนันครับ เพราะมันไม่มีตัวอย่าง ไม่มีสิ่งเร้าไงครับ เพราะฉะนั้นแล้ว สอนให้คนสนใจเรื่องอื่นมากกว่าการพนันสิครับ แล้วการพนันก็จะน้อยลงครับ ปัญหาต่างๆจากการพนันก็จะน้อยลงตามไปด้วยครับ แต่ถ้าถามว่าให้สนใจเรื่องอื่น แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ อืม...อันนี้ผมก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ได้นะครับ แต่สำหรับตัวผมแล้ว การห่างจากการพนันได้เพราะผมเล่นเกมครับ สนใจแต่เกม เลยไม่มีหัวไปคิดเรื่องการพนันครับ
เขียนไปเขียนมาเริ่มเลอะเทอะ เหมือนจะจับประเด็นเองไม่ได้ละ ผมว่า จบดีกว่าครับ ฮ่าๆๆ
อีกนิดๆก่อนจบจริง การพนันอยู่ที่แต่ละคนนะครับ ไม่ว่าจะถูกกฏหมาย หรือผิดกฏหมาย หากคนๆนั้นไม่เล่นการพนัน คนๆนั้นก็จะ..ไม่ติดการพนันไงครับ (จะเขียนทำไมเนี่ย ฮ่าๆๆ)
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
20 มีนาคม 2561
ผมจำไม่ได้นะครับว่าเคยเขียนเรื่องนี้ไปแล้วหรือยัง แต่พอดีว่าวันนี้อ่านข่าวเจอข่าวการพนันไก่ชนถูกกฏหมาย มันก็เลยเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมการพนันถึงถูกกฏหมายได้
จากการหาความรู้ในอินเตอร์เน็ตแล้ว พอจะจับใจความได้ว่า การพนันที่ถูกกฏหมายนั่น ก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่เล่นการพนันนั้น เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินทั้งหมด และคนรอบตัวนั่นเอง อธิบายให้เข้าใจอีกทีก็คือ คนที่จะเล่นการพนันถูกกฏหมายนั้น จะมีกฏหมายห้ามเล่นจนหมดตัว หรือเล่นจนเกินตัว จนเกิดสร้างหนี้สิน และห้ามเล่นจนครอบครัว หรือคนรอบตัวเดือดร้อน (อันนี้มันจะห้ามยังไงหว่า)
แต่เอาจริงๆนะ เคยได้ยินคำที่ว่า "ความเห็นไม่ตรงกัน การพนันจึงเกิดขึ้น"มั้ยล่ะครับ แน่นอนว่าแทบจะทุกๆที่บนโลกนี้น่ะ มีการพนันเกิดขึ้นแน่นอน แล้วไอ้บางประเทศก็บอกว่า ห้ามเล่นการพนัน แต่ยังทะลึ่งมีข้อแม้ออกมาว่า ยกเว้นจะเล่นการพนันถูกกฏหมาย เอ๊ะ ยังไงๆอยู่นะ
การพนันก็คือการพนัน ไม่ว่าจะผิดกฏหมาย หรือถูกกฏหมาย สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ มันทำให้คนที่ได้เล่นการพนันนั้น รู้สึกติดใจขึ้นมาได้นั่นเอง คนเล่นพนันชนะ ก็จะได้เงิน ทีนี้ก็ติดใจสิครับ เอาอีกๆ ลงทุนนิดเดียว ได้คืนมาเยอะ แถมสบายอีก พนันอีกๆ ส่วนคนที่เสียพนันส่วนมากก็จะเสียดายเงินที่พนันไป ก็เกิดความอยากได้คืน มีความแค้นใจ ไม่น่าพลาดเลยกู เอาใหม่ๆ รอบหน้าได้แน่ ต้องเอาคืน
นั่นล่ะครับ เสน่ห์ของการพนัน มันเลยทำให้ใครต่อใครชื่นชอบ
ทีนี้มาลองดูคำพูด คำสอนของเราๆกัน ที่เมื่อสมัยยังเด็กอยู่ จำได้มั้ยว่าผู้ใหญ่สอนว่าไง...อย่าเล่นการพนัน ห้ามเล่นการพนัน เพราะมันไม่ดี มีแต่ทำให้เราเสียตังค์ แน่นอนว่าตอนนั้นเราก็เชื่อ เพราะเรายังหาเงินเองไม่ได้ ขืนเอาค่าขนมไปเล่นพนัน ก็อดกินขนมสิ จนมาวันที่เติบโตขึ้น หาเงินเองได้ สิ่งที่ได้เจอคือ ข่าวที่บอกว่า คนถูกหวย 12 ล้าน, คนเล่นพนันชนะตีไก่ , คนเล่นการพนันม้าชนะ ฯลฯ อ้าวววว แล้วมันคืออะไร ทำไมเล่นได้
นี่อาจจะคือ "มือถือสาก ปากถือศีล" ของคนไทยเรานี่แหละครับ ปากก็ห้ามๆๆๆ แต่เอาจริงๆ รัฐบาลเล็งเห็นว่า ให้มันเล่นผิดกฏหมาย รัฐบาลไม่ได้ตังค์ เลยจับให้มันถูกกฏหมายซะเลย ก็ไหนว่าห้ามไง ก็ไหนว่าการพนันมันไม่ดีไง ทำให้ถูกกฏหมายเพื่อให้เล่นกันได้ทำไมล่ะ (ย้อนไปอ่านบรรทัดแรก เพื่อควบคุม มีกฏ ป้องกันคนเล่น งั้นเหรอ?)
เอาจริงๆผมก็ยังงงๆนะครับว่า ตกลงการพนันถูกกฏหมาย กับการพนันผิดกฏหมาย คนที่เล่นพนันเนี่ย มันรู้สึกต่างกันเหรอ แล้วรัฐบาลจะรู้เหรอว่า ไอ้คนที่เล่นพนันถูกกฏหมายอยู่ มันจะไม่แอบๆใต้โต๊ะ เล่นผิดกฏหมายกันดื้อๆข้างๆการพนันถูกกฏหมายนั่นเลย ฮ่าๆๆ (เขียนไปเขียนมา ตรรกะเริ่มเพี้ยน)
วกไปเรื่องการพนันที่ถูกกฏหมายที่ชือว่า หวย นิดนึง หวยถูกกฏหมายคือ สลากกินแบ่งรัฐบาล(แบ่งให้แต่รัฐบาล ไม่แบ่งกูเล้ยยย) กับหวยผิดกฏหมายคือ หวยใต้ดิน หวย 2 แบบนี้ทั้งวิธีซื้อ ทั้งราคา ทั้งรางวัลก็ต่างกัน แถมที่ต่างกันชัดเจนคือ ตำรวจจับเฉพาะหวยใต้ดิน ฮ่าๆๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ การพนัน ใช่แลวครับ มันคือ การพนันนั่นแหละ ไหนๆการพนันมันก็ปราบยาก งั้นผมว่าเราอย่าหลงประเด็นไปที่ปลายเหตุกันเลย ผมว่าเราเน้นที่ต้นเหตุกันไปเลยดีกว่า ต้นเหตุที่ว่าคือ คน นี่แหละครับ
หากคนรอบตัวเรา หรือสังคมที่เราอยู่ปลอดการพนัน ส่วนมากแล้วเราก็จะไม่เล่นการพนันครับ เพราะมันไม่มีตัวอย่าง ไม่มีสิ่งเร้าไงครับ เพราะฉะนั้นแล้ว สอนให้คนสนใจเรื่องอื่นมากกว่าการพนันสิครับ แล้วการพนันก็จะน้อยลงครับ ปัญหาต่างๆจากการพนันก็จะน้อยลงตามไปด้วยครับ แต่ถ้าถามว่าให้สนใจเรื่องอื่น แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ อืม...อันนี้ผมก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ได้นะครับ แต่สำหรับตัวผมแล้ว การห่างจากการพนันได้เพราะผมเล่นเกมครับ สนใจแต่เกม เลยไม่มีหัวไปคิดเรื่องการพนันครับ
เขียนไปเขียนมาเริ่มเลอะเทอะ เหมือนจะจับประเด็นเองไม่ได้ละ ผมว่า จบดีกว่าครับ ฮ่าๆๆ
อีกนิดๆก่อนจบจริง การพนันอยู่ที่แต่ละคนนะครับ ไม่ว่าจะถูกกฏหมาย หรือผิดกฏหมาย หากคนๆนั้นไม่เล่นการพนัน คนๆนั้นก็จะ..ไม่ติดการพนันไงครับ (จะเขียนทำไมเนี่ย ฮ่าๆๆ)
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
ตอนที่ 135 (บทความ) _ ออเจ้า
ออเจ้า
14 มีนาคม 2561
ดังเปรี้ยงเหลือเกินครับ สำหรับกระแสความนิยมความเป็นไทยจากละคร ทุบเทแล้วก็ราด เอ้ย บุพเพสันนิวาส ของทางช่อง 3 ซึ่งเอาจริงๆเลยนะครับ ผม...ไม่ได้ดู ฮ่าๆๆ เนื่องจากว่าผมเป็นคนไม่ดูละครครับ เลยไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ แต่ที่จะมาเขียนบทความวันนี้ ก็เพราะว่าละครทำให้เกิดกระแสสนใจ และรักษ์ความเป็นไทยขึ้นมานี่แหละครับ
ในเมื่อกระแสละครดี อะไรต่างๆนาๆจากในละครมันก็เลยพลอยได้ผลประโยชน์ดีตามไปด้วยล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำพูด การแต่งชุดไทย รวมไปถึงสถานที่ทางประวัติศาสตร์ชาติไทย วัดวาอาราม ต่างมีผู้คนนิยมไปเที่ยวชมครับ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆเลยล่ะออเจ้าทั้งหลาย
นี่ล่าสุดได้ข่าวว่าดังถึงขนาด รมว.วัฒนธรรม ยกเทียบชั้นซีรี่ย์ดังอย่าง แดจังกึม กันไปเลยทีเดียว แต่ก็ถือว่าเทียบได้นะครับ เพราะมันสร้างกระแสได้ดีสุดๆ ทั้งคนไทย ทั้งคนต่างชาติ ชื่นชอบละครบุพเพสันนิวาสกันสุดๆ ชื่นชอบถีงขนาดที่ว่า มีออกไปฉายที่ต่างประเทศหลายประเทศแล้วนะเออ (ทำเป็นเล่นไป โคตรดังเลย)
กระแสตอนนี้แรงมากๆ คนแห่ใส่ชุดไทย เที่ยววัดไทยกันใหญ่ ผมเดานะครับว่า สงกรานต์ปีนี้ มีใส่ชุดไทยเลยน้ำกันล่ะ มันคงจะเป็นภาพที่สวยงามตามประเพณีไทยอย่างเหลือเชื่อเลย ไอ้ที่นุ่งสั้น เสื้อกล้าม เสื้อสายเดี่ยว คงต้องคิดหนักล่ะ ว่านี่กู...แต่งตัวผิดใช่มั้ย ฮ่าๆๆ
เอาล่ะ ออเจ้าทั้งหลายที่อ่านบทความนี้อยู่ ข้าอยากจะขอบอกว่า แม้ว่าในอนาคตละครจะจบลงไป ข้าก็อยากให้ออเจ้าทั้งหลาย ยังคงชื่นชอบความเป็นไทยๆกันอยู่อีกนานๆนะ เพราะความเป็นไทยของเรานั้น แม้มันจะดูเชยอยู่สายตาคนไทยด้วยกันเอง แต่ตรงกันข้ามกับสายตาของชาวต่างชาตินะเออ เพราะชาวต่างชาติเขาชื่อชอบความเป็นไทยสุดๆเลยนะออเจ้า
ปล. บริษัทไหนให้ใส่ชุดอะไรก็ได้ทำงาน ก็ลองใส่ชุดไทยไปทำงานสัปดาห์ละครั้งดูสิ แล้วออเจ้าจะดัง เป็นที่จับตามองเลยล่ะ เพราะ...ข้าลองมาแล้ว
ขอบคุณครับ
ต.ต้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)