ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตอนที่ 1 (เรื่องสั้น) ... ฝน


“เอ้กอี้เอ้กเอ้ก เอ้กอี้เอ้กเอ้ก เอ้กอี้...กริ๊ก” เสียงนาฬิกาปลุกรุ่นไก่ขัน ชวนให้นึกถึงบรรยากาศที่บ้านชนบทได้ดีจริงๆ แต่ได้ยินไก่ขันทีไร กลับขี้เกียจตื่น ขี้เกียจลุกไปทำงานจริงๆเลย
                ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่เรียกว่า ห้องพัก ในอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่งในกรุงเทพ ในห้องก็มีพัดลมตั้งพื้นเก่าๆ ตัว คอยพัดให้ได้รู้สึกถึงความเย็นสบาย ไม่งั้นนอนไม่หลับแน่ๆ เพราะในกรุงเทพมันช่างร้อนซะเหลือเกิน ขนาดอยู่ชั้น แล้วแท้ๆยังร้อนอยู่อีก ผมยันตัวเองให้ลุกมานั่งบนที่นอน ก่อนจะมองออกไปที่ประตูหลังห้อง “นาฬิกาไก่ขันมันปลุกผิดเวลารึไงกันเนี่ย” ผมต้องถามเจ้านาฬิกาเพราะวันนี้บรรยากาศเหมือนยังไม่ถึงเวลาตื่นของผม
                “อ้าว นาฬิกาก็ตรงนี่ 05.30 น.” แต่ทำไมมันมืดจริงๆ
                ผมลุกออกจากเตียงขนาด ฟุต ซึ่งกว้างพอสำหรับนอนสองคน แต่ผมนอนคนเดียว อีกครึ่งเตียงเป็นกองเสื้อผ้า ทำไงได้ล่ะครับ ชีวิตคนโสดก็ต้องนอนกับกองเสื้อผ้า ผมเดินออกไปยืนตรงระเบียบหลังห้อง “อืม แบบนี้นี่เอง ฟ้ามืด ตั้งเค้าฝนจะตกนี่เอง ถึงว่าสิมืดน่าดูเลย แต่กลิ่นไอฝน ไอดิน ก็หอมชื่นใจแต่เช้า” แต่จริงๆผมไม่ค่อยชอบหรอกครับ ฝนตกตอนเช้าๆเนี่ย เพราะมันเดินทางไปทำงานลำบาก
                ผมหยิบผ้าเช็คตัวที่แขวนอยู่ที่ราวตากผ้าหลังห้อง เข้าไปอาบน้ำอย่างสบายใจ เพราะได้กลิ่นไอดินทำให้สมองโล่ง เหมือนอยู่บ้านที่ชนบท วันนี้น้ำเย็นกว่าทุกวัน คงเพราะอากาศเย็นจากที่ฟ้ามืด ฝนตั้งเค้าจะตก
                “วันนี้ทางกรุงเทพมหานครจะมีฝนร้อยละ 80 ของพื้นที่” เสียงของพี่สรยุทธ ผู้ประกาศข่าวสุดหล่อจากช่อง ในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทำให้ผมรู้สึกว่า ข้อมูลการพยากรณ์อากาศของวันนี้มันช่างเป๊ะเสียจริงๆ เพราะแถวที่ผมพักอยู่ฝนก็กำลังจะตกแล้ว
                ระหว่างที่แต่งตัว ผมก็ดูข่าวจากเรื่องเล่าเช้านี้ไปด้วย บรรยากาศข้างนอกห้องก็เริ่มไม่สู้ดีนัก ทั้งมืด ทั้งลมแรง ขาดอย่างเดียวฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ไม่งั้นคงได้สนุกกว่านี้แน่ๆ
                พรึ่บ!!! “อ้าว เฮ้ย ไฟดับ ดับได้ไงเนี่ย อะไรกันเนี่ย” อยู่ๆไฟที่อพาร์ทเม้นท์ก็ดับหน้าตาเฉย ทั้งๆที่ฝนก็ยังไม่ตก แค่มืด แล้วก็ลมแค่นั้น ทุกอย่างในห้องมืดไปหมด แต่ก็ยังพอจะมีแสงอยู่บ้าง เพราะมันเช้าแล้ว ไม่ใช่กลางคืน แต่สิ่งที่ผมกังวลคือ ประตูอพาร์ทเม้นท์มันเป็นระบบล็อคไฟฟ้า ถ้าไฟดับมันจะเปิดไม่ได้ ก็ได้แต่ขอให้ไฟอย่าดับนานเลย นี่ก็ปาเข้าไป06.00 น. แล้วด้วย ผมต้องออกจากอพาร์ทเม้นตอน 06.20 น. เพื่อไปรอรถเมล์ไปทำงาน สายกว่านี้จะไม่ทันเวลาเข้างาน
                พรึ่บ!!! “เฮ้อ รอดแล้วเรา รีบออกไปทำงานก่อนดีกว่า เกิดมันดับอีกจะยุ่ง” ไฟดับไปประมาณสิบกว่านาที เล่นเอาผมลุ้นแทบแย่ กลัวว่าไฟจะดับนานกว่านี้ เพราะถ้าดับนานกว่านี้ ผมคงต้องรีบวิ่งไปขึ้นรถเมล์ล่ะครับ เดินแบบทุกทีไม่ได้แน่ๆ
                ผมปิดโทรทัศน์ ปิดพัดลม สำรวจของใช้ส่วนตัวที่ไม่ควรลืม กระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือ กุญแจห้อง คีย์การ์ด และของเฉพาะกิจในวันนี้ นั่นก็คือ ร่มกันฝน เอาล่ะทุกอย่างพร้อมแล้ว ปิดไฟ ปิดประตูห้อง ออกเดินทาง ผมเดินไปตามทางของอพาร์ทเม้นท์เพื่อลงบันไดไปชั้นล่าง มันค่อนข้างเงียบน่าดู เพราะมันเช้ามาก ห้องอื่นๆเค้าคงยังไม่ตื่นกัน ลงไปถึงชั้นล่างก็สังเกตได้ว่า ตอนนี้ฝนได้ตกลงมาแล้ว และตกหนักมาก ลมก็แรงพอสมควรเลย หรือจะเรียกมันว่าพายุดีล่ะเนี่ย
                “คิดถูกจริงๆที่ใส่รองเท้าแตะไปทำงาน ขืนใส่ผ้าใบคู่โปรดไปทำงาน มีหวังผ้าใบได้เน่าคาที่ทำงานแน่ๆ”  สภาพของผมตอนนี้คือ ขากางเกงยีนส์ถูกพับขึ้นมา ตลบขึ้นมากองอยู่เหนือหัวเข่า แต่ก็ไม่วายเปียกอยู่ดี เพราะลมแรงมากพัดเอาฝนมาเปียกกางเกงพอสมควรเลย มือขวาร่วมแรงกับมือซ้ายถือร่มให้มั่นกางกันฝน และต้านแรงลมอย่างสุดมันส์ เท้าซึ่งใส่รองเท้าแตะอยู่ก็ลุยน้ำอยู่ที่ข้างถนน โชคดีหน่อยทีว่าเสื้อเป็นเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้ม เวลาเปียกเลยมองไม่ค่อยเห็น ฝนตกแรงมากจนน้ำบนถนนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่อระบายน้ำก็ระบายไม่ทัน นี่มันพายุชัดๆ
                ระหว่างที่เดินลุยน้ำบนถนน ลุยฝนจากฟากฟ้า ไปเรื่อยๆเพื่อไปขึ้นรถเมล์ที่ปากซอย ผมก็คิดว่าคนอื่นๆก็คงจะลำบากเหมือนกับผมนี่แหละ เพราะต่างก็ต้องรีบไปทำงาน ขืนมัวรอให้ฝนซาคงไม่ทันเวลาเข้างาน ยิ่งพวกสาวๆด้วยแล้วคงยิ่งลำบากกว่าหนุ่มๆแน่ๆ เพราะส่วนมากที่เห็นก็ใส่กระโปรงกันทั้งนั้น ไหนจะต้องกางร่ม ไหนจะต้องถือกระเป๋า ไหนจะต้องคอยระวังลมที่แรงจนต้องจับกระโปรงไว้อีก
                พรึ่บ!!! “ผมไม่เห็นลายคิตตี้สีชมพู บนพื้นที่สีขาวนะ” อุ๊ย...เต็มตาเลย แต่มันก็มีบ้างล่ะครับ ที่สาวๆจะพลาดท่าให้กับลมที่แรงแบบพายุแบบนี้ ป้องกันตัวไม่ทันกันจริงๆ
                ระหว่างทางจากอพาร์ทเม้นที่ผมอยู่ กับปากซอยก็ห่างกันประมาณ 300 เมตร ปกติเดินทางใช้เวลาไม่นานนะครับ แต่วันนี้พิเศษเพิ่มไปอีก นาที เพราะต้องสู้รบกับพายุขนาดย่อมๆตั้งแต่เดินก้าวแรกออกจากอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งผมก็ได้นินทาเจ้าพายุนี้ไปแล้ว มันเป็นพายุที่ไร้มารยาทมากๆ ช่างไม่รู้เวลาเอาซะเลย มาทำฝนตก ลมแรงอะไรเวลาคนเค้าจะเดินทางไปทำงานกันเนี่ย ทำไมไม่ไปตกตอนกลางคืน จะได้นอนหลับแบบเย็นสบาย “เอ๊ะ ไม่ได้สิ คนทำงานกลางคืนก็มีนี่ งั้นช่างมันเถอะ เรื่องของธรรมชาติ” คิดได้ดั้งนั้นผมก็เดินไปที่ป้ายรถเมล์เพื่อรอรถเมล์ไปทำงาน
                “โห ทั้งร้อน ทั้งอึดอัดเลยแฮะ บนรถเมล์ธรรมดาๆไม่มีแอร์เนี่ย รู้แบบนี้รอรถแอร์ซะก็ดี” ผมโชคดีหน่อยที่ไปถึงป้ายรถเมล์แล้ว แต่ไม่ต้องรอรถเมล์ เพราะรถเมล์สายที่ผมขึ้นไปทำงานวิ่งผ่านมาพอดี แต่ในความโชคดีก็มีความโชคร้ายซ่อนอยู่ ก็คนที่แน่นเหมือนปลากระป๋องนี่ไงล่ะครับ แน่นจริงๆ ยิ่งฝนตก ยิ่งแน่น แถมฝนตกรถเมล์ก็ต้องปิดกระจกอีกด้วย โอ้โห ทั้งร้อน ทั้งอึดอัด “นี่มันรถเมล์ หรือห้องอบซาวน่าเคลื่อนที่กันแน่เนี่ย”
                บนรถเมล์ที่ทั้งคนแน่น ทั้งร้อน และอึดอัดแบบนี้ การได้นั่งถือว่าโชคดีมาก แต่สำหรับคนที่ได้ยืนแบบผมนี่สิ ต้องลุ้นว่าจะได้ยืนตรงส่วนไหนของรถ แล้วจะได้ยืนเบียดกับใคร แน่นอนว่าคนที่ยืนส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย แต่ก็มีไม่น้อยที่เป็นผู้หญิง เพราะเบาะที่นั่งๆกันอยู่ก่อนแล้ว ผู้หญิงมาก่อนนั่งก่อน คนมาทีหลังก็ไม่ได้นั่ง ถ้าใครได้ยืนเบียดกับผู้หญิงที่มีกลิ่นน้ำหอม กลิ่นแป้งหอมๆ ก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าใครได้ยืนเบียดกับผู้ชายเหงื่อท่วม มีแต่กลิ่นเหงื่อตั้งแต่เช้า ก็ถือว่าโชคร้ายล่ะครับ
                “คุณครับๆ ขยับเข้ามาอีกครับ” ผมได้ยืนแน่นอนล่ะครับ เพราะผมเป็นผู้ชายต้องเสียสละให้ผู้หญิงได้นั่งก่อน สภาพของผมตอนนี้เหรอ มือขวาโหนราวอยู่ข้างบน มือซ้ายถือร่มที่เปียกไปด้วยน้ำฝน เสื้อเปียกนิดหน่อย กางเกงยังคงพับขึ้นมาอยู่เหนือหัวเข่าแล้วก็เปียกพอสมควรเลย รองเท้าแตะเท่ๆ ยืนโยกไปโยกมาตามแรงเร่ง และแรงเบรกของรถ ตอนแรกผมยืนเบียดกับผู้ชายวัยทำงานได้สัก ป้าย แต่เค้าลงไปแล้ว ทำให้ที่ผมยืนอยู่ไม่มีคนมาเบียด ผมเลยเรียกให้ผู้หญิงวัยทำงานที่ยืนอยู่ห่างจากผมนิดหน่อยขยับเข้ามาใกล้ๆผม เพื่อคนอื่นๆจะได้ยืนกันสะดวกขึ้น แต่ในใจจริงๆของผมเหรอ “เธอน่ารักจัง อยากอยู่ใกล้ๆ”
                ฝนยังคงตกหนัก แต่ลมได้สงบลงไปแล้ว ระยะทางจากป้ายหน้าปากซอยที่ผมขึ้น ไปถึงป้ายที่ต้องลงเพื่อเดินต่อไปที่ทำงานก็ไกลพอสมควรครับ เดินทางในสภาพอากาศปกติๆก็ 30 นาที แต่วันนี้ฝนตกหนักมาก ตอนนี้ผ่านไป 30 นาทีแล้ว ยังได้แค่ครึ่งทางอยู่เลย รถติดมาก สงสัยวันนี้จะเข้างานไม่ทันแน่ๆเลย
                “ตายละๆ วันนี้ฉันสายแน่ๆเลยแก ยังอยู่อีกไกลเลย รถก็ไม่ขยับ ฝนก็ยังตกไม่หยุด ร้อนก็ร้อนจะเป็นลมแล้วเนี่ยเมื้อยอีกว่ะแก ฉันได้ยืนมาตลอดทางเลย....” เสียงหญิงสาววัยทำงานที่ผมเรียกให้ขยับมายืนใกล้ๆผมคุยกับใครสักคนทางโทรศัพท์ แต่ถ้าให้เดาก็คงเป็นเพื่อนแน่ๆ เพราะสนิทสนมกันมาก ผมหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาดูเวลาบ้าง “อืม ขณะนี้เวลา 07.20 น. ผ่านไปแล้ว 45 นาทีสำหรับการอยู่บนรถเมล์ เหลืออีก 40 นาทีในการเดินทาง และทานข้าวเช้า จะรอดมั้ยเนี่ยเรา” ถ้าผมโทรศัพท์คุยกับเพื่อนได้ ผมก็คงจะบ่นไม่ต่างอะไรกับหญิงสาววัยทำงานคนนี้แน่ๆ
                “อ๊อดดดด” ผมกดกริ่งลงตรงป้ายต่อไป ซึ่งเป็นป้ายที่ผมต้องลงเดินอีกนิดหน่อยเพื่อไปที่ทำงาน ผมดูเวลาจากโทรศัพท์มือถือของผมแล้ว เหลือเวลาอีกแค่ 20 นาทีในการเดินเท้าไปที่ทำงาน และทานข้าวเช้า “นี่เรายืนอยู่บนรถเมล์ตั้งหนึ่งชั่วโมงกับอีกห้านาทีเลยเหรอเนี่ย นานจริงๆ”ผมว่าผมนานแล้วนะครับ แต่หญิงสาวคนที่ยืนกับผมยังไม่มีทีท่าว่าจะลงจากรถเมล์เลย แต่เธอก็ได้นั่งแล้วล่ะ เพราะรถเมล์เริ่มจะมีเบาะว่างแล้ว
            “พี่ๆ เอาหมู 20 แล้วก็ข้าวอีก ห่อ” หลังจากผมลงจากรถเมล์แล้ว ผมก็รีบเดินกางร่มลุยฝนต่อไปที่ทำงานทันที ก็คิดอยู่ว่าจะทานข้าวเช้ายังไงให้ทันเวลางานดีเนี่ย เพราะแวะทานที่ร้านข้าวราดแกงเจ้าประจำ ก็สายแน่ๆ เดี๋ยวหัวหน้าเล่นงานเอา ผมรีบเดินไปคิดไป ว่าจะเอายังไงดี ไม่ทานมันซะเลยดีมั้ย แต่สายๆมันจะหิวรึเปล่า จนเดินมาเจอ “หมูทอดเจียงฮาย” นี่แหละครับ เมนูยอดฮิตอีกเมนูหนึ่งของคนวัยทำงาน เพราะกินง่าย กินตรงไหนก็ได้ ว่าแล้วก็จัดการวางแผน เข้าที่ทำงานก่อนละกัน แล้วค่อยแอบไปทานหมูทอดเจียงฮายที่เคาน์เตอร์ชงกาแฟ
                “ไงล่ะ ไอ้ลูกหมาตกน้ำ” เพื่อนผมทักคำแรกเลยครับ หลังจากที่มันเห็นสภาพของผมจากการที่ลุยฝนมาเต็มที่  ก็ใช่สิเพื่อนผมมันมีรถส่วนตัวนี่ มันเลยสบาย ไม่เปียกเลยสักนิด ผมเข้ามาถึงที่ทำงานก่อนเวลางาน 10 นาที พร้อมกับหมูทอดร้อนๆ ในสภาพที่เหมือนเพื่อนมันทักนั่นแหละครับ ลูกหมาตกน้ำ
                “เอาน่าๆ อย่าพูดมาก ขอนั่งพักก่อน ทั้งเปียก ทั้งเหนื่อย อะไรมันจะตกหนักขนาดนี้ แถมเล่นซะรถติดสุดๆเลย นึกว่าจะสายซะแล้วนะเนี่ย” ผมได้ทีก็ขอบ่นเลียนแบบสาววัยทำงานคนนั้นบ้าง  เพื่อนผมมันก็ได้แต่หัวเราะ แล้วก็ส่ายหัวตามประสาเพื่อนกัน
                ผมนั่งพักได้ประมาณ นาที ก็ต้องรีบลุกเข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัว แต่งตัวใหม่ให้มันดูดีกว่าสภาพลูกหมาตกน้ำ แล้วก็ไปที่เคาน์เตอร์ชงกาแฟเพื่อทานข้าวเช้า ก่อนที่เวลาทำงานจะเริ่มขึ้น ก็เหลือเวลาทานข้าวไม่ถึง นาที ซึ่งไม่ใช่ปัญหา เพราะอย่างน้อยๆผมก็อยู่ในที่ทำงานแล้ว หัวหน้าก็คงไม่ว่าอะไรผมหรอก ผมทานข้าวเช้าหมูทอดเจียงฮายหมดภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที แล้วผมก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นสิ่งๆหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาว่า...

                “แดด...อยู่ในที่ทำงาน แล้วถึงเวลาทำงาน ฝนหยุดตก แดดออก อืม...เข้าใจทำเนอะ น้องฝน”

ความคิดเห็น