ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตอนที่ 48 (เรื่องสั้น) ... ต้องไปให้สุด



     "แฮก แฮก แฮก เหนื่อยจริงๆเลยเรา ดีนะเนี่ยที่หนีพ้นมาได้ ไม่งั้นได้ตายแน่ๆ แต่ว่าที่นี่มันที่ไหนกัน แล้วเราจะกลับบ้านยังไง" ผมเหนื่อยหอบอย่างมาก หลังจากที่ต้องวิ่งหนีกลุ่มอันธพาลกลุ่มหนึ่งแบบสุดฝีเท้า เพราะถ้าผมโดนจับได้ ผมคงได้ตายแน่ๆ ซึ่งตอนที่วิ่งหนีมา ผมก็วิ่งแบบไม่คิดชีวิต จนลืมมองไปว่า ตามทางที่วิ่งมามีอะไรข้างทางบ้าง แล้วตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนกัน จะกลับบ้านยังไง

     "แกเดินไปทางนี้นะ สุดทางจะเจอถนนใหญ่ข้างตึก ให้แกเลี้ยวขวา แล้วเดินตรงไป พอไปถึงสุดทางจะเจอถนนใหญ่อีกที คราวนี้เป็นถนนใหญ่หน้าตึก ให้แกเลี้ยวซ้าย ทีนี้เดินตรงไปเรื่อยๆเลย ไกลหน่อยนะ จนไปถึงสี่แยกไฟแดง ให้แกข้ามแยกไฟแดงตรงไป เดินข้ามมาสักร้อยเมตร แกจะเจอห้างใหญ่ๆอยู่ทางซ้ายมือ ให้แกเลี้ยวซ้ายเข้าไปเลย ตรงเข้าไปเรื่อยๆ แล้วแกก็จะเจอเป้าหมายเหมือนที่ฉันเคยไปเจอมาแล้ว ตรงนั้นมีของดีอยู่ ลองไปดูสิ ถ้าเบื่อที่นี่ แล้วอยากลองของใหม่ๆดูบ้าง" ผมบอกกับเพื่อนว่า ผมเริ่มเบื่อของเดิมๆที่นี่แล้ว อยากลองของใหม่บ้าง มีอะไรดีๆแนะนำบ้างรึเปล่า เพื่อนผมมันก็เลยบอกทางให้ผม ให้ผมลองไปตามที่มันบอกดู เผื่อผมจะได้ลองของใหม่ๆบ้าง

     "ของทางโน้นเจ๋งกว่าทางนี้เยอะมั้ย" ผมถามเพื่อนอีกครั้ง เพื่อตัดสินใจว่าจะลองเสี่ยงไปดีรึเปล่า

     "ส่วนหนึ่งก็เหมือนของที่นี่แหละ แต่ก็มีของแปลกๆ ใหม่ๆอยู่บ้าง อาจจะถูกใจแกก็ได้นะ ลองไปดูเถอะไม่เสียหายหรอก อีกอย่างนะ เส้นทางมันก็ง่ายมาก ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องกลัวหลงหรอกน่า" เพื่อนผมบอกข้อมูลเพิ่มเติม ทำให้ผมตัดสินใจจะลองไปดูตามที่มันบอก เผื่อจะเจอของใหม่ๆบ้าง

     "นี่ขนาดสองทุ่มแล้วนะ อากาศยังร้อนอยู่เลย หรือเพราะว่าจำนวนรถบนถนนมันเยอะกันแน่ เลยทำให้อากาศแถวนี้ยังคงร้อนอยู่" ผมตัดสินใจออกเดินเท้า (อ่านไม่ผิดหรอกครับ ออกเดินเท้า เพราะผมจะเดินไป ไม่นั่งรถ) มาตามทางที่เพื่อนแนะนำ จนมาถึงถนนใหญ่หน้าตึก ซึ่งผมต้องเลี้ยวซ้าย เพื่อเดินไปให้ถึงสี่แยกไฟแดงที่เพื่อนบอกว่าไกลพอสมควร

     ผมยืนอยู่ตรงฟุตบาทข้างถนนใหญ่ ก่อนที่ผมจะเลี้ยวซ้ายไปตามทางที่เพื่อนบอก ผมได้หันมองดูทางขวาซึ่งเป็นตึกขนาดใหญ่ ที่ๆผมกิน นอนอยู่ที่นี่เป็นประจำทุกวัน ผมไม่เคยรู้เลยว่า ด้านหน้าตึกจะดูอลังการ และผู้คนเยอะแยะขนาดนี้มาก่อน เพราะผมชอบเก็บตัว ไม่ออกไปไหน ปกติอยู่แต่หลังตึกเกือบจะตลอด ทำธุระอะไร ติดต่อใครก็ทำแต่ที่หลังตึก นี่เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกของผมเลยนะ ที่กล้าออกมาเผชิญโลกใหม่ มุมมองใหม่ๆ และตรงหน้าผมคือ จำนวนรถที่ติดแหง็กไม่ขยับไปไหนเลยแม้จะดึกแล้วก็ตาม ผมยืนอยู่สักพักก็ตัดสินใจออกเดินต่อ

     "โห กลิ่นแรงขนาดนี้เลยเหรอ นี่แสดงว่ามักง่ายเอามากๆเลยนะเนี่ย มุมมืดๆ ไม่น่ามีคนเห็น ก็จัดการกันตรงนี้กันเลย" ผมเดินเลี้ยวซ้ายมาตามทางที่เพื่อนบอก เดินมาได้ไม่ไกลก็เจอสะพานลอย ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่จำเป็นต้องข้ามไปอีกฝั่ง เพราะสิ่งที่ผมต้องทำคือ เดินตรงไปเรื่อยๆ แต่แล้วผมก็ต้องรีบเดินทันที เมื่อได้กลิ่นปัสสาวะโชยออกมาจากใต้สะพานลอย กลิ่นมันแรงมาก ผมหันไปดูจุดที่กลิ่นโชยออกมา จึงเข้าใจเลยว่า คนมักง่าย ก็ชอบทำอะไรกันง่ายๆโดยไม่สนใจว่าใครเดือดร้อน ที่ตรงนั้นเป็นเสาของสะาพนลอย และอยู่ใต้บันได ทำให้เป็นมุมอับสายตา เวลาไปยืนปัสสาวะก็จะไม่มีใครเห็น "ทำไมมักง่ายกันจริงๆเลย"

     "ร้านน่านั่งมากเลย แวะซะดีมั้ย แต่เอ๊ะ คนยังน้อยอยู่เลย ไว้ขากลับค่อยแวะนั่งดีกว่า รอคนเยอะกว่านี้อีกสักหน่อย จะได้ไม่เหงา" เลยจากสะพานลอยมาไม่ไกลนัก ก็มาเจอร้านอาหารที่บรรยากาศดีมากๆ ออกแบบเป็นสไตล์คันทรี่ มีดนตรีสดด้วย ถึงร้านจะตั้งอยู่ข้างถนน และอยู่ในอาคารพาณิชย์ แต่แต่งร้านได้แบบนี้ คนต้องเยอะแน่ๆเลย ผมเลยคิดว่าจะแวะมานั่งสักหน่อย แต่ขอไปลองหาของใหม่ๆตามที่เพื่อนแนะนำก่อน

     "ไป...ก็ยังไม่ไป มาอีกคันละ ไป...ก็ยังไม่ไป นี่เค้ายืนรออะไรกันแน่" ผมเดินมาจนถึงป้ายรถเมล์ ก็มาหยุดพักเหนื่อย เจอผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่งเป็นวัยทำงาน กำลังก้มหน้าก้มตาจิ้มๆโทรศัพท์ในมือเหมือนไม่สนใจคนรอบข้างเลย ป้ายรถเมล์ตรงนี้คนไม่เยอะ มีนั่งรออยู่สองคน และยืนรออยู่หนึ่งคน ก็คือเธอคนที่จิ้มๆโทรศัพท์อยู่นั่นเอง ผมเห็นมอเตอร์ไซต์รับจ้างวิ่งซอกแซกมาหลายคันแล้ว เธอก็ยังไม่ไป แล้วเธอจะยืนทำไมกัน เพราะรถก็ติดขนาดนี้ ยืนให้เมื่อยทำไม แล้วในที่สุดเธอก็ต้องร้องโวยวายเสียงดัง เมื่อมีคนร้ายสองคนขับมอเตอร์ไซค์มาใกล้ๆ แล้วคนซ้อนท้ายก็เอื้อมมือมาหยิบโทรศัพท์ของเธอหนีไปอย่างรวดเร็ว เพราะเธอไม่ทันระวังตัว มัวแต่ก้มหน้า ก้มตาจิ้มๆโทรศัพท์อยู่

     "ภัยใกล้ตัว ซิ่งชิงโทรศัพท์" ผมบ่นพึมพำ ส่วยหัว แล้วก็ออกเดินต่อ ปล่อยให้คนอื่นช่วยเธอต่อไป

     "นี่มันรถติด หรือลานจอดรถกันแน่เนี่ย เดินมาตั้งนานละ ยังไม่เห็นรถจะขยับสักนิดเลย" ผมเดินมาได้ระยะเวลาหนึ่ง คาดว่าประมาณสิบกว่านาทีได้ ผมก็ยังไม่เห็นรถบนถนนจะขยับไปไหนเลย จนผมเกิดความสงสัยว่า รถมันเยอะ หรือถนนมันน้อย ข้อไหนจะถูกต้องกว่ากันนะ ถ้ารถมันเยอะ ก็แสดงว่าคนกรุงเทพรวยน่าดู มีรถกันซะแทบทุกคน ทุกบ้าน แต่ถ้าถนนมันน้อย ก็แสดงว่า กรุงเทพเล็กเกินไป แต่จะรถเยอะ หรือถนนน้อยก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้ผมรู้แค่ว่า รถที่จอดติดๆกันยาวเต็มถนน ทำให้อากาศแถวนี้ร้อน และไม่บริสุทธิ์เอาซะเลย

     "นั่นก็สวย นี่ก็สวย อยากมีบ้านที่มีอุปกรณ์ตกแต่งบ้านสวยๆแบบนี้บ้างจังเลย แต่คงไม่มีโอกาสแล้วล่ะ เพราะไม่มีเงิน" เดินมาเรื่อยๆก็ยังไม่ถึงสี่แยกไฟแดงที่เเพื่อนบอกสักที เดินมาจนเจอร้านขายอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ร้านเค้าใหญ่มาก อุปกรณ์ตกแต่งบ้านก็เยอะมาก ที่เอามาจัดโชว์ที่หน้าร้านก็สวยๆทั้งนั้น สวยซะจนผมอยากมีบ้านแบบนี้อยู่จริงๆ ผมคงมีความสุขไม่น้อยเลย แต่ก็คงได้แค่ฝันไป

     เดินมาไกลพอสมควรแล้ว ผมก็ชักไม่แน่ใจว่าผมเดินมาถูกหรือเปล่านะ ทำไมไม่เจอสี่แยกไฟแดงสักที หันหลังกลับไปมองทางที่เดินมา ก็ชักรู้สึกอยากเดินกลับไปซะแล้วสิ

     "ไม่ได้ๆ เดินมาขนาดนี้แล้ว ชีวิตมันต้องลองสักครั้ง ต้องไปให้สุด ทางเดินก็ไม่ได้ยากอะไร แต่มาคิดดูดีๆ รถก็ยังติดแหง็กอยู่ แสดงว่าสี่แยกไฟแดงต้องอยู่ข้างหน้านี้แน่ๆ" ผมคิดให้กำลังใจตัวเอง แล้วก็เดินต่อไปข้างหน้า เพื่อสิ่งที่หวังไว้

     "อย่าขวางๆ หลบไปเลย ถ้าไม่อยากมีเรื่อง" ผมเดินมาอีกนิดก็มาเจอร้านอาหารขนาดใหญ่อยู่ตรงป้ายรถเมล์อีกป้ายหนึ่ง ตอนนั้นผมเริ่มหิวแล้วเหมือนกันเพราะ สองทุ่มกว่าแล้ว ยังไม่ได้กินอะไรเลย ผมเลยหยุดอยู่ตรงหน้าร้าน ยืนมองอยู่ด้วยความหิว แต่อยู่ๆก็มีชายสองคนเดินออกมาจากร้าน ตรงมาทางที่ผมยืนอยู่ แล้วแทนที่ทั้งสองคนจะเดินเลี่ยงผมไป กลับเดินตรงเข้ามาหาผม แล้วพูดจาไล่ผมให้พ้นจากเส้นทางเดินของทั้งคู่ซะอย่างงั้น

     นี่มันอะไรกัน ทำไมคนบางคนถึงนิสัยเป็นแบบนี้ บอกกันดีๆก็ได้ หรือไม่ก็เดินเลี่ยงผมไปสิ ก็ไม่น่าจะยากอะไร หรืออยากจะมีเรื่อง เดี๋ยวผมก็จัดการให้สาสมซะหรอก แต่ผมก็ไม่ทำครับ เพราะผมไม่อยากมีเรื่อง

     "ไม่มี ไม่เห็น แปลกแฮะ ปกติต้องมีนี่หน่า เห็นเพื่อนพูดบ่อยๆว่า ที่หน้าร้านค้าที่มีอากาศเย็นๆ จะมีสุนัขนอนอยู่ แต่นี่หายไปไหน" ผมเดินมาจนถึงหน้าร้านค้าที่มีอากาศเย็นๆ ที่มีคนเข้า-ออกเยอะมาก ผมเห็นร้านเล็กๆแบบนี้ แต่ทำไมคนเข้า-ออกเยอะจัง ผมอยากจะลองเข้าไปบ้าง แต่ก็คงไม่เหมาะนัก เพราะผมไม่มีเงิน แต่สิ่งที่ผมมองหาคือ สุนัขที่เพื่อนผมพูดถึงบ่อยๆ เพื่อนผมบอกว่าส่วนใหญ่ที่หน้าร้านค้าที่มีอากาศเย็นๆ จะมีสุนัขมานอนอยู่ แต่นี่ก็ไม่เห็นเลย สงสัยร้านนี้อากาศเย็นไม่พอล่ะมั้ง

     ตอนนี้รถบนถนนได้เริ่มเคลื่อที่บ้างแล้ว ผมเดาว่าที่สี่แยกที่ผมกำลังเดินไปหา คงเปิดไฟสีเขียวให้รถในถนนฝั่งผมวิ่งแน่ๆเลย "นั่นไง เจอแล้วสี่แยกไฟแดง ถึงสักที นึกว่าหลงซะแล้ว แต่มันไกลจริงๆนะเนี่ย เพื่อนมันเดินมาสำรวจหาของใหม่ๆได้ไกลจริงๆเลย" ผมมองตามรถที่วิ่งไป จนสายตาไปเจอกับไฟสีเขียวๆ และสี่แยก ผมดีใจมากที่เดินมาใกล้จะถึงสักที แต่ก็เกิดคำถามขึ้นเล็กน้อย "ทำไมไม่เรียกสี่แยกไฟเขียวกันนะ"

     "ปวดขาแล้วนะเนี่ย เดินมาไกลเหลือเกิน สงสัยว่าถ้าได้ลองของใหม่แล้ว คงหาที่นอนแถวนี้ก่อนละกัน พรุ่งนี้ค่อยเดินกลับ ขืนให้เดินกลับวันนี้คงเดินไม่ถึงแน่ๆ ปวดขาไปหมดละ" ผมเดินมาเกือบจะถึงสี่แยกไฟแดงที่เพื่อนบอกแล้ว ผมเหนื่อย และปวดขามาก ก่อนจะไปถึงสี่แยก ผมขอพักสักหน่อยก่อนก็แล้วกัน แถวนี้มีม้านั่งอยู่หน้าร้านเสริมความงามอยู่สองตัวพอดีเลย ผมเลยเดินไปนั่งพักที่ม้านั่งตัวหนึ่ง

     "ไปๆ ลุกไปเลย มานั่งอะไรแถวนี้" ผมนั่งได้ไม่ถึงสองนาที คนในร้านเสริมความงามก็ออกมาไล่ผม เห็นผมไม่มีเงินแค่นี้ ให้นั่งหน่อยก็ไม่ได้

     ผมจำใจลุกจากม้านั่ง แล้วเดินข้ามสี่แยกไฟแดงไปตามที่เพื่อนบอกมา ผมข้ามมาอย่างไม่ยากเย็นนัก เพราะรถเยอะ จนกลายเป็นรถติดคาสี่แยกไปเลย ผมเดินตามช่องว่างของรถที่จอดติดไฟแดงกันอยู่จนมาถึงห้างขนาดใหญ่อย่างที่เพื่อนบอก ห้างแห่งนี้ใหญ่พอสมควรเลยทีเดียว ทำให้ผมคิดว่า ผมต้องได้เจอของใหม่ๆอย่างแน่นอน

     "เลี้ยวซ้าย ตรงเข้าไปเรื่อยสินะ งั้นไปกันเลย" ผมมาถึงหน้าห้างแล้ว ตอนนี้ผมตื่นเต้นมากว่าจะได้เจอของใหม่อะไรบ้าง ผมเลี้ยวซ้าย แล้วรีบเดินเข้าไปทันที ที่นี่ผู้คนเยอะมากเพราะ ห้างแห่งนี้มีการเปิดร้านขายของนอกห้างด้วย ทำให้คนเยอะจนผมเดินไม่ถนัด แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับผมหรอก ผมสอดส่ายสายตามองหาเป้าหมายที่เพื่อนแนะนำมา จนเจอกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเข้าแล้ว...

     "เฮ้ย ใครวะ มาทำอะไรในถิ่นของข้า" เสียงปริศนาดังขึ้น ในขณะที่ผมกำลังสนใจของใหม่ตรงหน้า

     "ซวยละ ทำไมเพื่อนมันไม่บอกว่ามีเจ้าถิ่นด้วย" ผมตกใจ เลิกสนใจของใหม่ตรงหน้า หันไปมองที่ต้นเสียงทันที

     "มองหน้าๆ นอกจากจะมาแย่งของถึงถิ่นแล้ว ยังจะมองหน้าอีก แบบนี้มันหาเรื่องกันชัดๆ แกตายยยยย" เจ้าของเสียงที่เป็นเจ้าถิ่นพูดจริงจังมาก พร้อมกับสั่งให้ลูกน้องทั้งสามตัวเข้ามาจัดการผม

     "วิ่งสิ เรื่องอะไรจะอยู่ให้โดนยำ" ผมละสายตาจากลูกน้องของเจ้าถิ่นทั้งสามตัว แล้ววิ่งใส่เกียร์หมาหางจุดตูดเลยครับ ถึงแม้ว่าแถวนี้จะไม่ใช่ถิ่นของผม และผมไม่คุ้นเคยเส้นทาง แต่ผมก็วิ่งเร็ว และคล่องแคล่วมากทีเดียว ผมวิ่งหนีชนิดลืมตายตัดหน้าผู้คน ตัดหน้ารถ โดนด่าไล่หลังกันเพียบ แต่ผมไม่สนใจหรอก เพราะถ้าให้เลือกระหว่างโดนด่า กับโดนยำ ผมขอเลือกที่จะโดนด่าจะดีกว่า

     "แฮก แฮก แฮก เหนื่อยจริงๆเลยเรา ดีนะเนี่ยที่หนีพ้นมาได้ ไม่งั้นได้ตายแน่ๆ แต่ว่าที่นี่มันที่ไหนกัน แล้วเราจะกลับบ้านยังไง" ผมเหนื่อยหอบอย่างมาก หลังจากที่ต้องวิ่งหนีกลุ่มสุนัขเจ้าถิ่นกลุ่มหนึ่งแบบสุดฝีเท้า เพราะถ้าผมโดนจับได้ ผมคงโดนรุมกัดตายแน่ๆ

     "เธอมาทำอะไรที่นี่เหรอ ฉันไม่คุ้นหน้าเลย แล้วดูสิเหนื่อยหอบเหมือนหนีอะไรมางั้นแหละ" ผมหนีมาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ผมรู้แค่ว่าผมมานั่งพักเหนื่อยที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง แล้วก็มีเสียงสุนัขสาวตัวหนึ่งพูดกับผม

     "ถึงแม้ว่าแกจะเป็นสุนัขจรจัดมาก่อน แต่ถ้าลูกสาวของฉันชอบ ฉันก็คงต้องยอมรับเอาแกมาเลี้ยงแล้วล่ะ แต่ทำตัวดีๆ ไม่งั้นอย่าหาว่าโหดล่ะ" หญิงสาววัยทำงานคนหนึ่งที่เลี้ยงสุนัขตัวเมียไว้ จำใจต้องรับเลี้ยงผมไว้ เพราะสุนัขตัวเมียของเธอ ที่เธอยกให้เป็นลูกสาว ดันรักผมเข้าซะงั้น แล้วผมก็จำได้ว่า เธอคนนี้คือ คนที่โดนคนร้ายชิงโทรศัพท์ตอนนั้นที่ป้ายรถเมล์นั่นเอง โลกช่างกลมจริงๆ

     ผ่านมาแล้วสองอาทิตย์จากวันนั้น วันที่ผมตัดสินใจออกมาหาอะไรใหม่ๆกินที่ห้างใหญ่ตามที่เพื่อนแนะนำ ถ้าวันนั้นผมไม่โดนสุนัขเจ้าถิ่นไล่กัดจากกองขยะที่ผมกำลังกินของใหม่ๆอย่างอร่อยอยู่นั้น ผมก็คงไม่มีวันนี้ วันที่ได้มีเจ้านายแสนสวย (แต่ดันติดโทรศัพท์ ก้มหน้า ก้มตาเล่นแต่โทรศัพท์) ได้อยู่บ้านที่ตกแต่งด้วยอุปกรณ์ตกแต่งสวยๆจากร้านขายอุปกรณ์ตกแต่งขนาดใหญ่นั่น แถมเจ้านายคนสวยก็ยังชอบไปนั่งกินอาหารที่ร้านที่ผมอยากไป แล้วก็หิวเศษอาหารมาให้ผมกับลูกสาวเค้าบ่อยๆซะด้วย และที่สำคัญที่สุด ก็คงไม่ได้เจอคู่ใจที่ดีแบบเธอตัวนี้

ความคิดเห็น