เมื่อไม่นานมานี้ ผมโดนข้อหา”ไทยเฉย”ครับ สาเหตุที่โดนข้อหานี้ก็เพราะว่า ไม่มีการเคลื่อนไหว หรือแสดงออกทางด้านสังคม และการเมืองเหมือนคนอื่นๆรอบตัว ทั้งกรณีข้าวเน่า กรณีเงินกู้สองล้านล้าน หรือกรณีน้ำมันแพง ทุกคนต่างตื่นตัว และแสดงออกว่าไม่พอใจรัฐบาลอย่างยิ่ง ต่างกับผมที่ดูนิ่งๆ ดูไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวแสดงออกอะไรเลย
ก็ใช่ว่าผมจะนิ่งนะ ผมก็รู้สึกไม่ชอบใจเหมือนกันกับกรณีต่างๆที่กล่าวมา แต่ผมคิดว่า ผมจะแสดงออกไปทำไมกัน ในเมื่อผลที่ได้รับ มันมีผลเสียมากกว่าผลดี
ผลเสียที่ว่าก็เช่น ถ้าผมออกตัวในกรณีต่างที่กล่าวมา นั่นก็หมายถึงว่า ผมเริ่มแบ่งพรรค แบ่งพวก แบ่งฝ่ายกับคนที่ต่างกับผมทันที แน่นอนว่าคนที่สนับสนุนรัฐบาลก็มีอยู่ในสังคม ซึ่งเราดูไม่ออกหรอกว่าเป็นใครบ้าง ถ้าเริ่มขยับตัวแสดงออกและตรงข้ามกัน ความขัดแย้งก็เกิดขึ้น แล้วเมื่อไหร่ไทยจะสงบ
ผลเสียอีกสักข้อ เสียสมาธิ เสียเวลาส่วนตัวอันมีค่าต่อตัวเองและคนรัก แทนที่จะเอาเวลาไปคิดเรื่องจะทำยังไงให้รัฐบาลรู้ตัวว่าประชาชนไม่ชอบ หรือเวลาที่ไปชุมนุมประท้วงกันตามสถานที่ต่างๆ ให้ชาวบ้านเค้าเดือดร้อน รำคานกัน ผมว่าเอาเวลาตรงนั้นมาทำให้ตัวเองมีความสุขต่อกรณีต่างๆที่รัฐบาลได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนจะดีกว่า
ทำไมผมถึงพูดแบบนั้น ก็เพราะว่าการเมืองมีฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ทำไมเราไม่ปล่อยให้ฝ่ายค้านทำงานให้เต็มที่ล่ะ ทำไมเราต้องเข้าไปยุ่งงานของพวกนักการเมือง ถ้าคุณบอกว่าฝ่ายค้านทำงานไม่ได้เรื่อง ชักช้า แต่ผมถามคุณหน่อยว่า คุณแสดงออกต่างๆ ชุมนุมต่างๆ มันส่งผลอะไรต่อรัฐบาลรึเปล่า ?มีเพียงฝ่ายค้านเท่านั้นแหละ ที่จะทำอะไรๆให้ส่งผลต่อรัฐบาลได้โดยตรง แต่ก็มีบ้างที่ประชาชนส่งผลต่อรัฐบาล แต่ก็ไม่มากมายนัก
ไทยเฉย คือคนที่รู้ทุกอย่าง แต่เป็นคนที่ไม่อยากให้สังคมไทยแตกแยกต่างหากล่ะ ไม่ใช่คนที่ไม่รู้ร้อน รู้หนาวอะไรเลย
ไทยเฉยมีหลายแบบ และไทยเฉยก็พร้อมที่จะตื่นตัวเต็มที่ มีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวแสดงออกในเวลาที่เหมาะสม เพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น