ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตอนที่ 17 (เรื่องสั้น) ... ที่สุดของความรัก



                ถ้าคุณคิดว่า ที่สุดของความรักคือ การแต่งงาน คุณอาจจะคิดผิดก็ได้นะครับ ผมจะเล่าเรื่องราวของผมให้อ่าน แล้วคุณจะรู้ว่าการแต่งงาน ก็อาจจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของความรัก และชีวิตของเราเท่านั้นเอง ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อว่า พงศ์
                “เราก็คบกันมา ปีแล้วเนอะ แต่อนาคตข้างหน้าคงไม่มีปีที่ แล้วล่ะ” คำพูดของภรรยาของผม เธอพูดกับผม หลังจากที่ผมกลับมาจากที่ทำงาน และกำลังจะกลับเข้าห้องเช่าที่อพาร์ทเมนต์ในกรุงเทพ เธอชวนผมนั่งตรงที่นั่งรอของบุคคลภายนอก ซึ่งอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าอพาร์ทเมนต์ เราสองคนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวติดกัน
                “ครูต่อ ใช่รึเปล่า” ผมพูดกับภรรยาของผม ด้วยน้ำเสียงที่เหมือนคนหมดแรง
                “พงศ์ รู้ได้ยังไงว่าคือ ครูต่อ” ภรรยาของผมทำหน้าตกใจ เพราะไม่คิดว่าผมจะรู้เรื่องราวต่างๆของเธอกับครูต่อ
                “เอาเถอะนะ จะรู้ได้ยังไงมันไม่สำคัญแล้วล่ะวรรณ เพราะยังไงวรรณก็ตัดสินใจที่จะเดินแยกทางกับพงศ์ ไปอยู่กับครูต่อแล้วนี่” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ไม่ได้มีอาการโกรธ หรือโมโหในตัววรรณแม้แต่น้อย แต่คนที่ผมต้องโกรธก็คือตัวเองซะมากกว่า ที่รู้ระแคะระคายมาบ้างแล้วเรื่องของวรรณกับต่อ แต่กลับไม่ทำอะไร ได้แต่คอยไว้ใจในตัวของวรรณ ว่าวรรณคงไม่ทำอะไรแบบนี้ เพราะเราก็แต่งงานกันมาแล้วตั้ง ปี
                “พงศ์ ไม่โกรธ ไม่ว่าอะไรวรรณเหรอ ที่วรรณทำแบบนี้” วรรณพูดกับผมพร้อมกับอาการสะอึกสะอื้น ที่พร้อมจะร้องไห้ออกมา
                “ไม่หรอกวรรณ พงศ์อาจจะดูแลวรรณไม่ดีพอก็ได้ พงศ์อาจจะเป็นคนเดิมที่ทำอะไรเดิมๆมาตลอด จนเมื่อวรรณเจอคนที่คิดว่าดูแลวรรณได้ดีกว่าพงศ์ วรรณคงเลือกเค้า ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมันเปลี่ยนแปลงกันได้ แม้ว่าบางทีมันจะเจ็บปวดก็เถอะ” ผมพูดไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา แต่ก็ไม่อยากให้วรรณรู้สึกผิดจากการเลือกครั้งนี้
                “แล้ว......จะไปเมื่อไหร่ล่ะ” ผมพยายามกลั้นใจถามถึงวันเวลาที่ต้องจากกัน
                “วันศุกร์นี้ ต่อจะเอารถขึ้นมาจากสุราษฯ มารับที่อพาร์ทเมนต์ ตอน โมงเช้า” วรรณตอบด้วยน้ำตาที่ยังไหลไม่หยุด
                “วันศุกร์เหรอ อืม....” ผมตอบสั้นๆ แต่ในหัวนั้นคิดว่า วันศุกร์ผมต้องไปทำงาน แล้วทุกๆเช้าก่อนออกไปทำงาน วรรณจะยังหลับอยู่บนที่นอน ซึ่งผมต้องเข้าไปหอมแก้มของวรรณก่อนไปทำงานเสมอ ผมทำแบบนี้มาตลอดที่ ตั้งแต่ที่เราเริ่มคบกันตอนสมัยเรียนมหาลัย ซึ่งตอนนั้นผมจะหอมแก้มวรรณทุกคืน ก่อนที่แยกย้ายกันไปนอน  แต่พอถึงวัยทำงาน ผมก็จะหอมแก้มวรรณทั้งตอนเช้าก่อนไปทำงาน ตอนเย็นหลังเลิกงานกลับมาที่ห้อง และก่อนนอน วันศุกร์นี้คงเป็นการหอมแก้มครั้งสุดท้ายของเราแล้วล่ะ
                ผมกับวรรณนั่งคุยกันอยู่ตรงที่นั่งรอของบุคคลภายนอกอยู่นานพอสมควร น่าจะประมาณครึ่งชั่วโมงได้ โดยการเริ่มคุยตอนแรกๆ บรรยากาศอาจจะไม่ดีนัก เพราะวรรณมาบอกแยกทางกับผม แต่คุยกันได้สักพักบรรยากาศก็เริ่มดีขึ้น เพราะผมพยายามคุยถึงอดีตที่ผ่านมาที่น่าจดจำ พูดไปยิ้มไป มีหัวเราะบ้าง แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเศร้า เพราะไม่อยากให้วรรณต้องคิดมาก ผมขอแบกความเสียใจนี้ไว้คนเดียวจะดีกว่า
                “พงศ์อาจจะไม่ห่วงตัวเองนะวรรณ เพราะพงศ์น่ะอยู่คนเดียวได้ แต่พงศ์ห่วงวรรณมากกว่า ที่ต้องไปอยู่กับต่อ ทั้งๆที่ยังแทบไม่ได้ศึกษานิสัยอะไรกันเลย” ผมยังคงเป็นห่วงวรรณ ถึงแม้ว่าวรรณกำลังจะทิ้งผมไปก็ตาม
                “วรรณเลือกแล้ว วรรณคิดว่า ทั้งวรรณและต่อน่าจะเข้ากันได้ เพราะจากที่คุยๆกันมาพอสมควร คิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไร” วรรณมีท่าทางที่มั่นใจพอสมควร
                “อืม ได้ยินแบบนี้ พงศ์ก็สบายใจหน่อย แต่ก็ยังมีห่วงเรื่องทางผู้ใหญ่อยู่นะ เพราะเราแต่งงานกันแล้ว ไม่รู้ว่าทางผู้ใหญ่จะเสียหน้ากันแค่ไหน ถ้ารู้ว่าอนาคตต้องมีงานแต่งรอบสอง แต่ก็ช่างมันเถอะ เรื้องนี้ ไว้คิดทีหลัง ตอนนี้ขอแค่เราสองคนใช้ชีวิตปกติที่เหลืออีก วันให้ดีก็พอ” ผมตัดบทเพื่อไม่ให้วรรณคิดมาก พร้อมกับดึงตัวของวรรณลุกขึ้นจากเก้าอี้
                “ป่ะ ไปกินข้าวกัน ไม่ต้องเสียใจนะ ทุกอย่างมันมีทางของมัน” ผมพูดพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วก็เอามือขวาไปลูบหัวของวรรณ วรรณเข้ามากอดผมแน่น แล้วก็ร้องไห้ใหญ่เลย
                เวลา วันที่เหลือ ที่ได้อยู่ด้วยกัน ผมกับวรรณใช้ชีวิตแบบปกติที่สุดที่เท่าจะทำได้ ทั้งการหอมแก้ม กินข้าว ดูละคร นอนด้วยกัน จะมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ทำเป็นเรื่องปกติไม่ได้ นั่นก็คือ การมีเซ็ก อาจจะเพราะความรู้สึกที่มันเปลี่ยนไป ทำให้ผมกับวรรณไม่สามารถสร้างอารมณ์ตรงจัดนั้นได้
                เช้าวันศุกร์ ผมใจสั่นอย่างมาก ถึงจะทำใจมาแล้ว วันก็เถอะ (น้อยมากเวลาในการทำใจ) ผมเข้าไปหอมแก้มวรรณเป็นครั้งสุดท้าย วรรณตื่นขึ้น และกอดผมแน่น พร้อมกับร้องไห้ออกมา
                “เสียใจขนาดนี้ จะทิ้งพงศ์ไปทำไมเนี่ย” ผมถามคำถามสุดท้าย เผื่อวรรณจะเปลี่ยนใจ
                “ไม่รู้สิ มันร้องเอง” วรรณปาดน้ำตาด้วยมือทั้งสองข้าง พร้อมกับรอยยิ้ม
                ผมลุกออกจากเตียง มายืนอยู่ตรงประตูห้อง เพื่อเตรียมจะออกไปทำงาน
                “ถ้าไม่ไหว ก็กลับมานะ” ผมยังคงเป็นห่วงวรรณจนวินาทีสุดท้าย ผมยิ้มให้วรรณ ก่อนจะเปิดประตูก้าวออกไปจากห้อง และปิดประตู ผมยืนใจสั่น กำมือแน่นอยู่หน้าห้อง ข่มน้ำตาไม่ให้มันไหลออกมา ก่อนที่จะเดินออกจากหน้าห้อง เพื่อไปทำงาน
                เย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน ผมไม่รู้ว่าวรรณจะเปลี่ยนใจไม่ไปรึเปล่า เพราะผมไม่ได้โทรหาวรรณเลย และวรรณก็ไม่ได้โทรหาผมด้วย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมเข้าใจคือ อารมณ์ของคนที่อยากลืมคำถาม หรืออารมณ์ของคนอกหักนั่นเอง ผมแวะซื้อเบียร์จากร้านสะดวกซื้อมา กระป๋อง กะว่าดื่มให้ลืมคำถามในหัวสักคืนก็ยังดี
                “โล่งจริงๆ ไม่มีอะไรเหลือเลย” ผมเปิดประตูห้องเช่าที่อพาร์ทเมนต์ออก ในใจก็ลุ้นว่าจะเจอวรรณนั่งอยู่ในห้อง แต่สิ่งที่เจอคือ โล่ง ว่างเปล่า อารมณ์ของคนอกหักวิ่งพล่านทันที ผมวางกระเป๋าลงที่พื้น วางถุงกระป๋องเบียร์ลงที่พื้นด้วย ปิดประตู ล้มตัวลงนอนบนที่นอน แม้จะไม่ได้คิดอะไร แต่กลิ่นของวรรณที่ค้างอยู่บนที่นอนก็ทำให้ผมน้ำตาไหล ร้องไห้ออกมาอย่างมาก จนแทบหยุดไม่ได้
                ผมนอนร้องไห้อยู่นานพอสมควร ก็ลุกขึ้นมานั่งทำใจ ตั้งสติ แทนที่จะเสียใจแบบนี้ เราควรทำตัวเองให้ดีกว่าเดิมต่างหาก พอคิดได้แบบนั้น ก็จัดการเปิดเบียร์ซดทันที...(มันดีกว่าเดิมตรงไหนก็ไม่รู้ แต่อารมณ์ตอนนั้น ร่างกายต้องการเบียร์ที่ซื้อมา)
                วันเสาร์ และวันอาทิตย์ ผมต้องอยู่คนเดียวในห้อง ซึ่งมันไม่คุ้นเคยเอาซะเลย ไม่มีคนนอนด้วย ไม่มีคนคุยด้วย ไม่มีคนคอยแย่งดูรายการทีวี ไม่มีคนชวนทะเลาะ ไม่มีคนให้อ้อน ไม่มีคนกินข้าวด้วย และอีกมากมาย ที่ทำให้ผมเหงา จนบางทีน้ำตาก็ไหลออกมาอีกจนได้
                สงสัยตัวเองอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมเราไม่โกรธวรรณ แต่กลับกลายเป็นว่า เป็นห่วงด้วยซ้ำไป
                เวลาผ่านไปได้ประมาณ 3-4 วัน ผมยังคงอยู่ในอาการเสียใจ ผมให้สัญญากับตัวเองว่า จะอยู่ในช่วงเสียใจนี้เพียง วันเท่านั้น หลังจากนั้นผมจะต้องเป็นคนเดิมให้ได้ การอยู่คนเดียวมันไม่ได้เลวร้ายอะไร หรือถ้ามันยากลำบากนัก ก็หาใหม่มันซะเลย ไหนๆวรรณก็ไม่อยู่กับผมแล้วนี่
                “วรรณเป็นไงบ้าง สบายดีมั้ย” ผมทักทายวรรณผ่านโทรศัพท์ เธอโทรมาหลังจากที่ทิ้งผมไปประมาณ วัน ผมไม่รู้ว่าเธอโทรมาทำไม แต่ผมก็ต้องทักทายด้วยความเป็นห่วง
                “ก็สบายดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แล้วพงศ์ล่ะเป็นไงบ้าง” วรรณตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนมีอะไรไม่สบายใจ
                “ก็เรื่อยๆ ตามประสาคนโดนทิ้ง ฮ่าๆๆ” ผมตอบวรรณไปแบบติดตลก เพราะไม่อยากให้วรรณเครียด
                “ว่าแต่ มีอะไรรึเปล่าโทรมาเนี่ย เดี๋ยวต่อจับได้จะไม่ดีนะ” ผมถามวรรณเพราะรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ
                “มันก็จริงอย่างที่พงศ์ว่าเนอะ วรรณกับต่อศึกษากันน้อยเกินไป ตอนนี้วรรณรู้สึกว่า วรรณกับต่อเข้ากันไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ อ่อ...ตอนนี้ต่อออกไปตกปลาคุยได้ๆ” น้ำเสียงของวรรณฟังดูดีขึ้น หลังจากที่ผมถามเธอไป
                “ต่อออกไปตกปลา แล้วทำไมวรรณไม่ไปด้วย แล้วมันเข้ากันไม่ได้ยังไงเหรอ”
                “จะให้วรรณไปนั่งเฝ้าคนตกปลาเนี่ยนะ ไม่เอาหรอก ร้อนด้วย ไม่มีอะไรทำด้วย พงศ์ก็รู้ว่าวรรณเป็นคนใจร้อน ให้ไปเฝ้าคนตกปลาไม่ไหวๆ แล้วอีกอย่าง ต่อไปตกปลาแต่ละที กลับมาก็ 2-3 ทุ่มโน้น ออกไปตั้งแต่เที่ยง ทิ้งวรรณไว้คนเดียวเนี่ย” วรรณร่ายยาวเลยทีเดียว
                “แล้วพงศ์คิดดูนะ เอาวรรณมาอยู่ด้วย แต่กลับเหมือนไม่สนใจวรรณเลย วันๆเอาแต่ตกปลา กลับมาก็ดึกๆ มันเหมือนวรรณอยู่คนเดียวมากกว่า ทำงานบ้าน ดูทีวี กินข้าว ทำอยู่คนเดียว บางวันฝนตกก็ต้องกางร่มออกไปซื้อกินคนเดียว วรรณก็ไม่รู้นะว่าต่อเค้าคิดอะไร ยังไงบ้าง แต่เอาวรรณมาอยู่คนเดียวแบบนี้ก็ไม่ไหวนะ” วรรณร่ายยาวอีกชุด เหมือนคนเก็บกด
                “เอาน่าวรรณ ใจเย็นๆ มันอาจะอยู่ในช่วงปรับตัวก็ได้ อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อยถึงจะเข้าใจกัน” ผมปลอบวรรณให้ใจเย็นๆ เผื่ออะไรจะดีขึ้น
                “อืม วรรณก็ว่างั้นแหละ” ผมกับวรรณคุยกันประมาณ 10 นาที วรรณก็วางสายไป ผมดีใจที่ได้รู้ความเป็นอยู่ของวรรณว่ายังสบายดีอยู่ แม้จะลำบากไปบ้างในช่วงปรับตัว
                “พงศ์ เดี๋ยวันเสาร์นี้มารับวรรณที่ขนส่งด้วยนะ วรรณอยู่ไม่ได้แล้ว” วรรณโทรมาหาผมหลังจากหายไปนานกว่า วัน โดยรอบนี้ทำเอาผม งง เลยทีเดียว ว่าเกิดอะไรขึ้น
                “อะไรเหรอ เกิดอะไรขึ้นวรรณ ยังไม่ถึง อาทิตย์เลยนะ จะกลับมาแล้วเหรอ” แน่นอนว่าผมดีใจ แต่ก็คาใจว่าทำไม วรรณถึงจะรีบกลับมา
                “ต่อ ยังคงไม่สนใจวรรณอยู่ดี ตอนอยู่ด้วยกันต่อก็ไม่ทำอะไรเลย เอาแต่กินกับนอน วันทำงานไม่ว่ากัน เพราะต้องทำงาน แต่วันหยุดแทนที่จะอยู่ด้วยกัน กลับไปตกปลา ไปเที่ยวซะอย่างนั้น ทิ้งวรรณอยู่คนเดียว แล้วยิ่งกว่านั้นนะ ต่อมีปืนด้วย เคยขายของผิดกฎหมายด้วย แถมอารมณ์ร้อนเหมือนวรรณอีก เค้าเคยขู่ว่า ถ้ายังติดต่อกับพงศ์อยู่ จะทำร้ายวรรณน่ะ พงศ์คิดดูสิ คนแบบนี้ใครจะไปอยู่ด้วยไหว” วรรณระบายออกมา จนผมอึ้ง
                “ยังๆ ยังไม่หมดนะพงศ์ ต่อเคยมีภรรยา มีลูกแล้วด้วย แต่ด้วยนิสัยที่พงศ์ได้ยินมานั้นแหละ ทำให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่ชอบ เลยกีดกัน จนทำให้ทั้งสองคนต้องแยกทางกัน คิดดูสิพงศ์ แล้วพ่อแม่ของวรรณจะรับได้เหรอ” วรรณยังคงระบายออกมาอีกรอบ ผมได้แต่อึ้งๆ งงๆ ว่าอะไรมันจะขนาดนั้น
                “นี่แหละนะ ที่วรรณใจร้อน ไม่ศึกษาดีๆ คิดว่าน่าจะเข้ากันได้ แต่ก็เอาเถอะ เดี๋ยววันเสาร์พงศ์จะไปรอรับที่ขนส่งนะ” ผมดีใจมาก ที่วรรณจะกลับมา
                “เหมือนเดิม ไม่อ้วนขึ้น ไม่ผอมลง ปะ กลับห้อง หิวข้าวละ” ผมพูดกับวรรณที่สถานีขนส่ง หลังจากที่วรรณกลับมาหาผม เราสองคนเจอกันครั้งแรก ก็กอดกันกลม โดยไม่อายสายตาของใครเลย
                วรรณบอกกับต่อว่า ทางพ่อแม่ของวรรณรู้เรื่องของเราสามคนแล้ว พ่อกับแม่เลยอยากจะคุยด้วย ซึ่งพอต่อรู้แบบนั้น ก็ยอมให้วรรณกลับมาหาผม เพราะต่อเองก็รู้ตัวดีว่า ดูแลวรรณจริงๆไม่ได้หรอก มันเป็นเพียงความอยากครอบครองไม่ใช่ความรัก
                จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ผมก็ไม่เข้าใจหรอกนะ ว่าทำไมผมถึงให้อภัยในตัววรรณ ทั้งๆที่วรรณได้ทิ้งผมไปอยู่กับคนอื่นได้ขนาดนั้น และตอนนี้ก็ผ่านไปแล้ว 4 ปี ผมกับวรรณก็ได้มีพยานรักอายุ ขวบแล้ว แต่ที่สุดของความรักก็ยังไม่ใช่ลูกชายตัวน้อยของเราหรอกครับ
                ที่สุดของความรักคืออะไร จริงๆผมก็ไม่รู้หรอกครับ แต่ผมว่ามันไม่ใช่การแต่งงาน ไม่ใช่ทายาทของเราแน่นอน
                ผมรู้เพียงแต่ว่า ความรักที่มีแต่ความรู้สึกดีๆ มันย่อมดีกว่าความรักที่มุ่งร้าย เหมือนตัวร้ายในละครหลังข่าว ที่หวังจะครอบครองตัวเอกด้วยวิธีการร้ายๆ โดยลืมคิดไปว่า คนที่ทำอะไรไม่ดีๆ ใครเค้าจะรักลง

ความคิดเห็น