"นั่งเหม่อมองข้างทางแบบนี้ คิดถึงใคร หรือมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า" ผมเห็นหญิงสาวที่นั่งรถทัวร์เบาะติดกับผม แต่เธอนั่งติดกระจก นั่งเหม่อลอยเหมือนมีอะไรในใจ จนผมก็อดที่จะถามไม่ได้ด้วยความเป็นห่วง เผื่อว่าผมจะช่วยอะไรเธอได้บ้าง
"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ" หญิงสาวยิ้มให้ผม พร้อมด้วยคำตอบที่เหมือนว่าจะไม่มีอะไร แต่จริงๆแล้วสายตาของเธอดูหมองเศร้า จนผมเกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากจะช่วยระบายความหมองเศร้าให้เธอ
ผมยิ้มตอบ แล้วก็มองหน้าเธอ หน้าเธอเป็นหญิงสาวที่น่ารักมาก ขาวใส ยิ่งมอง ยิ่งน่าหลงรัก ใจผมเต้นแรงเมื่อมองตาเธอนานเกินห้าวินาที แล้วเธอก็ไม่ได้หลบตาผมด้วย กลับมองเพ่งเหมือนจะหาอะไรบางอย่าง ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาว่า "น้าเป็นใคร"
วันนี้เป็นวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันหยุดของพนักงานบริษัทอย่างผม ผมทำงานอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่ตอนนี้กำลังนั่งรถทัวร์ที่เค้าเรียกกันว่า เมล์เขียว เพื่อไปที่จังหวัดเชียงราย เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของเพื่อนผมคนหนึ่ง วันนี้ผมได้นั่งข้างหญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นวัยรุ่น เธอดูน่ารักเอามากๆ มองยังไงก็ไม่เบื่อ แต่ติดที่ว่าเธอดูหมองเศร้ายังไงก็ไม่รู้ บวกกับที่เธอนั่งเหม่อลอยมองข้างทางมาตลอดสิบห้านาทีที่รถวิ่งออกจากสถานีขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ จนผมอดถามไม่ได้ด้วยความเป็นห่วง
ผมตกใจเมื่ออยู่ๆเธอถามว่า ผมเป็นใคร ผมทำตาโต แลบลิ้นใส่เธอ เธอก็ตกใจที่ผมทำตาโต แล้วแลบลิ้นใส่เธอ ตอนนี้เธอมีรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะเบาๆ
"คำถามมันกว้างเกินไป น้าไม่รู้ตอบยังไง เอ่อ..." ผมไม่รู้จะตอบคำถามยังไงดี เลยจะถามเธอกลับไป เพื่อขอคำถามที่เจาะจงกว่านี้ แต่ผมไม่รู้จักชื่อเธอ เลยจบคำพูดด้วย เอ่อ... แล้วชี้นิ้วไปที่เธอ
"ปายค่ะ" เธอรู้งานทีเดียว เธอบอกชื่อของเธอให้กับผม
"โอเค ปายนะ ปายช่วยเจาะจงคำถามหน่อยเถอะ น้าไม่รู้จะตอบยังไงดี เล่นถามคำถามกว้างขนาดนั้น น้าไปต่อไม่เป็นเลย" หลังจากที่รู้ชื่อของเธอแล้ว ผมก็ถามคำถามต่อเลย
"เอาแบบนี้ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวหนูถามคำถามเดียว แต่ตอบกันสองคนเลยดีกว่าค่ะ จะได้ยุติธรรมนะคะ" เธอเริ่มดูคุ้นเคยกับผมมากขึ้น เธอเริ่มมีรอยยิ้ม และสดใสขึ้น
"เมื่อกี้น้าถามชื่อหนูไปแล้ว หนูก็ตอบไปแล้วว่าชื่อ ปาย แล้วน้าล่ะคะ ชื่ออะไร" เธอถามชื่อผม แล้วมองหน้า ตอนนี้เธอดูสดใสขึ้น จนผมรู้สึกใจเต้นแรง
"น้าชื่อ ต้อม" ผมตอบเธอ เธอยิ้มแล้วพยักหน้า
"น้าต้อม อายุเท่าไหร่คะ" เธอถามต่อทันที
"เออ...40 แล้วล่ะ แก่แล้วนะเนี้ย" เธอได้ยินคำตอบอายุจากผม เธอทำปากจู๋ แล้วทำหน้าตกใจ ทำเอาผมคิ้วขมวดเลย สงสัยว่าเธอจะอายุเท่าไหร่กันนะ
"น้าต้อม อายุห่างกับหนูตั้ง 20 ปีเลยนะเนี้ย หนูอายุแค่ 20 อยู่เลย" เธอตอบพร้อมรอยยิ้มที่ดูสดใสสมวัยสาวอายุ 20 ปี ผมมองเธอด้วยอาการใจเต้นแรง หรือนี่ผมจะชอบเธอเข้าให้แล้ว
"อายุ 20 งั้นก็แสดงว่าพึ่งเข้าเรียนมหาลัยสิ ใช่หรือเปล่า" เธอพยักหน้าตอบว่า ใช่
"เรียนอยู่ที่ไหน เอกอะไรเอ่ย" ผมถามต่อเลยด้วยความอยากรู้
"หนูเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ค่ะ เรียนเพื่อเป็นครู" เธอตอบด้วยรอยยิ้มเช่นเคย
"อืม เหมาะมากเลย ถ้าปายไปเป็นครู ต้องเป็นครูที่สวยที่สุดในสามโลกแน่ๆเลย เด็กๆต้องดีใจแน่ ที่มีครูสาวสวยขนาดนี้มาสอนวิชาให้" ผมมองหน้าที่สวยของเธอ เธอมีอาการหน้าแดง แล้วก็หัวเราะเบาๆไปด้วย
"ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะน้าต้อม กว่าหนูจะเรียนจบ กว่าหนูจะได้เป็นครู ถึงตอนนั้นหนูอาจจะไม่สวยแล้วก็ได้นะคะ" เธอแย้งผมด้วยสีหน้าที่จริงจัง
"มันก็ไม่แน่หรอกปาย แต่เอ...ทำไมปายถึงเลือกที่จะเรียนครูล่ะ" ผมถามต่อด้วยความสงสัย
"ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่แม่ของหนูเป็นครูแค่นั้นแหละค่ะ มีคนเคยบอกว่า อาชีพครูเป็นอาชีพที่ทำงานเหนื่อย เงินเดือนน้อย เครียดด้วย แต่สิ่งที่หนูเห็นจากแม่ที่เป็นครูคือ แม่ดูมีความสุข ไม่เห็นเครียดเลย แถมบางทีก็มีนักเรียนที่เป็นลูกศิษย์ของแม่ที่เรียนจบไปแล้วแวะมาหาบ่อยๆ มาปรึกษาเรื่องเรียนบ้าง เรื่องทั่วไปบ้าง หรือบางทีก็แวะเอาขนม เอาของมาฝาก หนูดูแม่มีความสุขกับอาชีพครูมากเลย ถึงแม้ว่าแม่จะเป็นครูมาไม่นาน มีลูกศิษย์ไม่เยอะ แต่แม่ก็เป็นแบบอย่างที่ดี ที่หนูอยากจะเดินตามรอยค่ะ" เธอตอบผมอย่างมีความสุข ทุกครั้งที่เธอพูดถึงแม่ ผมเห็นสายตาของเธอดูมีความสุขมาก รอยยิ้มของเธอเต็มไปด้วยพลังของความฝัน และความหวัง
"แบบนี้นี่เอง ยอดเยี่ยมมาก ปายโชคดีนะ ที่มีแม่เป็นแบบอย่างที่ดี" ผมพูดย้ำถึงแม่ของเธอ เพื่อให้เธอมีกำลังใจ ว่าก็มีคนเห็นด้วยกับเธอ ว่าเธอเลือกทางเดินที่ถูกต้องแล้ว
"แล้วน้าต้อมล่ะคะ ทำงานอะไร" หลังจากที่ผมได้คำตอบจากเธอแล้วว่าเรียนที่ไหน เรียนอะไร และทำไมถึงเลือกเรียนแบบนั้น ตอนนี้ก็ถึงตาผมต้องตอบคำถามของเธอบ้างแล้ว
"น้าทำงานเป็นพนักงานบริษัทเอกชนน่ะ ตำแหน่งเล็กๆ แต่ก็มีความสุขดี น้าทำงานตรงนี้มาเป็น 10 ปีแล้ว เรียกว่าพนักงานเก่าแก่ได้แล้วล่ะ แต่ก็ยังโสดนะ" ผมตอบคำถามเธอ แล้วทิ้งท้ายว่าโสด อยากรู้ว่าเธอจะว่ายังไงบ้าง
"หนูไม่ได้ถามนะคะ ว่าน้าโสดหรือเปล่า เอ...ยังไงล่ะนั่น ว่าแต่น้าทำงานตำแหน่งอะไร บอกไม่ได้เหรอคะ" เธอไม่ได้สนใจเลยว่าผมโสด แต่เธอสนใจคำถามของเธอมากกว่า เธอทำหน้าอยากรู้คิ้วขมวดเลยทีเดียว
"ขอเป็นความลับก็แล้วกันนะ เออ...แล้วที่เมื่อกี้น้าเห็นปายนั่งเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่างตั้งนาน เหมือนมีเรื่องให้ไม่สบายใจน่ะ ตอนนี้บอกน้าได้รึยังว่าปายมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ" ผมชิ่งหนีคำถามของเธอ แล้วพยายามวกกลับไปถามถึงเรื่องของเธอ ที่เหมือนว่าเธอจะมีเรื่องไม่สบายใจอยู่ด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง
"ค่ะ หนูมีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะค่ะ สามเรื่อง..."
หลังจากที่ผมกับเธอนั่งคุยกันหลายๆเรื่อง จนประมาณหนึ่งชั่วโมง เธอก็ง่วง แล้วก็ขอตัวหลับไป ส่วนผมก็หลับเหมือนกัน เพราะนั่งรถนานๆก็ไม่มีอะไรทำ สู้หลับเอาแรงเพื่อไปงาวันเกิดของเพื่อนคืนนี้จะดีกว่า
ผมตื่นขึ้นมาก่อนที่จะถึงขนส่งจังหวัดเชียงรายไม่ไหลนัก แต่เธอยังคงหลับอยู่ ผมมองเธอตอนหลับอยู่ เธอก็ยังคงน่ารักสมวัย ผมมองตั้งแต่หน้าเธอ ไล่ลงไปจนถึงเท้า เธอคงตัวไม่สูงมาก แต่ขาวมาก สมกับที่เป็นสาวชาวเหนือ ผมไม่แปลกใจเลยที่หนึ่งในปัญหาของเธอคือ เรื่องผู้ชาย หรือแฟนของเธอ ที่หึงหวงจนเกินพอดี เพราะขนาดผมรู้จัก และได้คุยกับเธอเพียงไม่กี่นาที ผมก็เริ่มจะชอบเธอเข้าแล้ว อยากจะขโมยหอมหน้าผากเธอสักครั้งตอนเธอหลับจริงๆ
"ปายตื่นๆ ถึงแล้ว" ผมปลุกเธอให้ตื่น เพราะใกล้จะถึงสถานีขนส่งจังหวัดเชียงรายแล้ว เธอลืมตาตื่นขึ้นด้วยอาการสะลึมสะลือ เมาขี้หูขี้ตา นี่แสดงว่าเธอคงหลับลึก หลับสนิทจริงๆ เธอบิดขี้เกียจอย่างเต็มที่ ด้วยท่าทางที่ทำผมอึ้ง โดยเธอคงลืมไปว่า ผมมองเธออยู่ พอเธอได้สติก็รีบสำรวมทันที
"อุ๊ย ขอโทษค่ะ ลืมไปว่าน้าต้อมนั่งอยู่ตรงนี้" เธอมองหน้าผมด้วยอาการของคนพึ่งตื่นนอน และเธอก็หน้าแดงด้วยความอาย
"บิดขนาดนี้ ยังมีเท่านี้ แสดงว่าปายไซส์มินินะเนี่ย" ผมแซวเธอ
"แฮะๆ มั้งคะ ไม่ลองไม่รู้หรอกค่ะ" เธออายหน้าแดง แล้วหลบตาผม แต่ก็ไม่วายมีการท้าทายผมทิ้งท้าย
"ปายกลับบ้านยังไง ใครมารับเหรอ" ผมถามเธอเพราะใกล้ถึงที่หมายแล้ว
"อ๋อ แม่มารับค่ะ แล้วน้าล่ะคะ มาวันเกิดเพื่อนที่เชียงราย แสดวว่าเดี๋ยวก็คงมีเพื่อนมารับใช่มั้ยคะ แล้วก็คงไม่ไปจ๊ะเอ๋กันที่ร้านอาหารนะคะ เพราะคืนนี้แม่หนูก็จะไปฉลองวันเกิดที่ร้านอาหารเหมือนกัน แต่หนูยังไม่รู้ว่าร้านไหน"
"ก็ไม่แน่นะ โลกอาจจะกลมก็ได้ปาย" ผมยิ้มให้เธอ แล้วเธอก็ยิ้มให้ผม
หลังจากคุยกันช่วงสุดท้ายเสร็จ รถก็เข้าจอดที่สถานีขนส่งจังหวัดเชียงราย ผมกับเธอต่างแยกย้ายกันไปตามจุดหมายของแต่ละคน ก่อนจะแยกจากกัน เธอยิ้มให้ผมอีกครั้ง เหมือนจะขอบคุณที่ช่วยแนะนำในการแก้ปัญหาให้เธอทั้งสามเรื่อง แล้วเธอก็เดินไปขึ้นรถของแม่เธอ ที่มารอรับที่สถานีขนส่งนานแล้ว
"ลูกเราน่ารักดีนะ ดูเป็นเด็กที่ไม่ดื้อเลย เป็นคนใสๆ แต่ก็ดูมีไหวพริบดีมาก คงเหมือนแม่แน่ๆเลย" ผมพูดกับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเธอคือ เจ้าของวันเกิดในวันนี้ และเธอก็เป็นแม่ของปายด้วย
ผมกับปายมาเจอกันอีกครั้งที่งานเลี้ยงวันเกิดของแม่เธอ เธอทำหน้าตกใจปนดีใจ ที่ได้เจอหน้าผมอีกครั้ง ผมบอกกับเธอว่า ผมไม่รู้เลยนะ ว่าเธอคือ ลูกสาวของเพื่อนผม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมรู้มาตั้งแต่แรกแล้ว ว่าผมเป็นใคร และเธอเป็นใคร...
"ฉันพยายามเลี้ยงเค้าให้ดี เป็นทั้งแม่ และเพื่อนที่ดีของเค้า เพื่อไม่ให้เค้าต้องมาซ้ำรอยของเราไงล่ะ เธอเลยดูเป็นเด็กไม่ดื้อ และสนิทกับฉันมาก" แม่ของปายบอกกับผม ซึ่งจริงๆแล้วเธอก็คือ แฟนของผมเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้วนั่นเอง เธอชื่อ ผึ้ง
ผมกับผึ้งเป็นแฟนกันเมื่อ 20 กว่าปีก่อน โดยช่วงนั้นผึ้งมีปัญหากับทางครอบครัวมาก ไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องคบเพื่อน หรือรวมถึงเรื่องแฟน ซึ่งก็คือผม และด้วยความที่ว่าผึ้งมีปัญหาอะไร ก็ไม่สามารถปรึกษาทางครอบครัวได้ เพราะไปปรึกษาเมื่อไหร่ ก็เจอด่า และบังคับตลอด ผึ้งเลยตัดสินใจหนีออกจากบ้านมาอยู่หอพัก และที่นั่นเอง คือจุดเริ่มต้นของความผิดพลาด...ผึ้งท้อง แล้วพอทางบ้านของผึ้งรู้เรื่อง จึงกีดกันผมทุกทาง จนผมและผึ้งต้องยอมแพ้ในที่สุด ทั้งๆที่ผึ้งยังอุ้มท้องอยู่ เธอคลอดลูกสาวซึ่งก็คือ ปาย จนเมื่อปายอายุได้ขวบกว่าๆ เธอก็ได้พบรักใหม่อีกครั้ง และลงเอยกับผู้ชายคนนั้นในที่สุด
"ผมก็ช่วยนะครับ อย่าลืมผมสิ" ผู้ชายคนนั้น คนที่ลงเอยกับผึ้งพูดขึ้นในวงสนทนาของเราสามคน ผู้ชายที่ดูแลทั้งผึ้ง และปาย แทนผมมาตลอดเค้าชื่อ หนึ่ง
หนึ่ง เป็นผู้ชายที่ดีมากๆ ขนาดผมเป็นแฟนเก่าของผึ้ง และเป็นพ่อของปาย เค้าก็ให้เกียรติผมมาก ไม่มีท่าทีรังเกียจเลย ผมต้องขอบคุณสวรรค์ที่ส่งคนดีๆแบบนี้มาให้ผึ้ง ผมได้เห็นผึ้งมีความสุข ผมก็ดีใจแล้ว แต่ทำไมสวรรค์ไม่เห็นส่งใครมาให้ผมเลย ผมโสดมาจน 40 แล้วนะเนี่ย
"ยังไงก็ต้องขอบใจเธอนะ ที่โทรบอกว่าลูกไปจองตั๋วเดินทางวันไหน นั่งเบาะไหน จนทำให้ฉันได้เจอลูกเป็นครั้งแรก และได้ใกล้ชิด พูดคุยกันได้ขนาดนั้น อ้อ พูดถึงเรื่องคุยกัน ระหว่างทางที่นั่งมากับลูก ลูกก็มีปัญหาอยู่สามเรื่องนะ..." ผมขอบใจผึ้ง ที่ทำให้ผมได้เจอลูกสาวเป็นครั้งแรก และได้บอกถึงปัญหาของลูกสาวให้ผึ้งฟัง ว่ามีเรื่องเรียน เรื่องแฟน แล้วก็เรื่องพ่อ...
"...ลูกบ่นอยากเจอพ่อสักครั้ง แต่ฉันว่า ขอให้เรื่องฉันเป็นความลับต่อไป เป็นน้าต้อมที่ดีของลูกจะดีกว่า ยังไงก็ขอให้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับต่อไปนะ" ผมขอร้องผึ้ง กับหนึ่ง ว่าขอให้เก็บเรื่องที่ผมเป็นพ่อของปายไว้ต่อไป
"ตัดสินใจดีแล้วเหรอต้อม ลูกอยากเจอต้อมมากเลยนะ" ผึ้งถามผม
"คิดว่าดีแล้วนะ เพราะถ้าลูกรู้ว่าฉันเป็นพ่อ ฉันกลัวว่าลูกจะมาคอยเป็นห่วง คอยสนใจฉัน จนการเรียนแย่ลงกว่าเดิมน่ะสิ แต่ถ้าให้ลูกรู้จักฉันในฐานะเพื่อนของแม่ที่ชื่อน้าต้อม ลูกน่าจะไม่ใส่ใจฉันมาก" ผมบอกกับผึ้งแบบนั้น แต่ในใจจริงๆ อยากจะบอกว่าลูกว่า นี่คือพ่อของลูกนะใจจะขาด
"ก็ตามใจเธอละกันนะ ฉันไม่บังคับหรอก เพราะอะไรที่ดีต่อลูก ฉันก็พร้อมที่จะทำให้เสมอ แต่ตอนนี้เราสามคนกลับไปที่โต๊ะกันเถอะ ออกมานานแล้ว เดี๋ยวลูกๆ และเพื่อนที่โต๊ะจะสงสัยเอา ว่าหายไปไหนกัน" ผึ้งยิ้มให้ผม และตามใจผม ก่อนที่จะบอกให้กลับไปที่โต๊ะกัน ก่อนที่ใครๆจะสงสัย รวมถึงปายด้วย
"ขอบใจอีกครั้งนะ สำหรับวันดีๆวันนี้ วันที่ได้เจอลูกสาวของเราเป็นครั้งแรก เธอน่ารักมาก แล้วต่อจากนี้ไป ฉันก็จะขอดูแลเธอในฐานะน้าต้อม เพื่อนคนสนิทของแม่ของเธอตลอดไป เธอคงไม่ว่าอะไรนะ" ผมพูดกับผึ้ง และหนึ่ง ระหว่างที่เดินมาส่งทั้งคู่ที่รถ
"ว่าสิคะ พ่อไม่รู้เหรอว่าหนูอยากเจอพ่อขนาดไหน หนูอยากรู้ว่าพ่อเป็นใคร พ่ออยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ ถึงแม้ว่าพ่อจะเป็นยังไง หนูก็รับได้หมด เพราะพ่อคือพ่อของหนูนะ" เสียงของปายที่สั่นเครือเหมือนจะร้องไห้ดังขึ้นข้างหลังผม เธอน่าจะอยู่ที่รถเพื่อรอพ่อกับแม่นี่หน่า แต่ทำไมเธอถึงมาอยู่ข้างหลังผมได้ ผมหันไปหาเธอ เธอยิ้มด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข เธอยิ้มทั้งน้ำตา แล้วเธอก็โผเข้ามากอดผมแน่น ร้องไห้ด้วยความดีใจอย่างหนัก จนผมทำอะไรไม่ถูก
"พ่อ ลูก สมควรได้รู้จักกัน และดูแลกันนะครับ มันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่สร้างมาแบบนั้น แต่ว่า...คนนี้ผมขอนะ อย่ายุ่ง" หนึ่งนั่นเอง ที่เป็นคนบอกทุกอย่างให้ปายฟัง จนทำให้ผมและปายได้กลายเป็น พ่อลูกอย่างสมบูรณ์ในที่สุด แต่ก็ยังมีมุขเรียกรอยยิ้มตบท้าย เมื่อเค้าห้ามผมยุ่งกับผึ้ง ภรรยาสุดที่รักของเค้า
ผมยิ้มแล้วพูดกับกับทั้งสามคนว่า " อนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไงต่อไปไม่มีใครรู้ แต่ผมรู้แค่ว่า ผมจะต้องทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ในฐานนะพ่อของลูกสาวคนนี้...ลูกปาย" ทีนี้ผมกอดปายแน่นๆบ้าง จนปายบอกให้ผมกอดเบาๆ เพราะกลัวจะไซส์เล็กกว่าเดิม เป็นการเรียกรอยยิ้มอีกครั้งหนึ่งของจุดเริ่มต้นของพ่อลูกคู่นี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น